จากการทดสอบใช้งานอย่างประสิทธิภาพของ iPhone 4 ในเรื่องแบตเตอรี่เหมือนจะเป็นข้อสังเกตอยู่เหมือนกัน โดยที่ผ่านมา iPhone ทุกรุ่น จะมีปัญหาแบตหมดไวกันทั้งหมด แต่ความจริงก็ต้องบอกก่อนว่า ด้วยความที่ว่า iPhone นั้นเป็นโทรศัพท์ Smart Phone ที่มีคุณสมบัติที่มากพอตัว อาทิสามารถ ฟังเพลง/ดูวีดีโอ/เล่นเกม/เล่นอินเตอร์เน็ต
คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากใช้งานของตัวเราเองด้วย ที่ทำให้แบตหมดไว จะว่าไปมันก็เป็นจุดหนึ่งที่ Smart Phone ส่วนมากเป็นกันในตอนนี้ จากการใช้งานส่วนตัว คือ แบตอยู่ได้วันต่อวัน หรือ ใช้หนักๆ ก็อยู่ได้แค่ครึ่งวันเท่านั้นเอง ซึ่งถึงแม้ iPhone 4 จะได้เพิ่มขนาดความจุแบตเตอรี่แล้วก็ตามทีจากรุ่นก่อนๆ อีกทั้งแบตเตอรี่ของ iPhone ไม่สามารถถอดเปลี่ยนเองได้ แต่ในกรณีีที่เราจำเป็นต้องใช้งานจริงๆ หรือไปในสถานที่ที่ไม่มีที่ชาร์จ เราเองสามารถที่จะซื้อแบตเตอรี่ภายนอกมาเชื่อมต่อได้ครับ
ซึ่งตามภาพประกอบด้านบนเป็น App ที่มีชื่อว่า Battery Magic ทำหน้าที่เช็คเวลาการใช้งานแบตเตอรี่อย่างละเอียด ตามการใช้งานต่างๆ ?จะสังเกตได้ว่าหากเรา เล่นเกมที่กราฟิก 3D แบตเตอรรี่จะอยู่ได้เพียง 1 ชั่วโมง 40 นาที เท่านั้นเอง
มาดูในส่วนของกล้องดิจิตอลที่ติดตัวมากับ Apple iPhone 4 กันบ้าง ซึ่งมาพร้อมกับความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่เราสามารถปริ้นต์รูปที่มีขนาดใหญ่ โดยภาพไม่แตกได้ และที่พิเศษคือมาพร้อม LED flash เป็นรุ่นแรกของ iPhone ทำให้ถ่ายในที่มืดได้สะดวกยิ่งขึ้น แถมด้วยเซ็นเซอร์แบบ CMOS ที่เป็นระบบ back-illuminated sensor เข้ามาอีก จึงให้ภาพที่ถ่ายออกมาจาก iPhone 4 มีคุณภาพที่สูงขึ้น เทียบเท่ากับกล้องดิจิตอลคอมแพคทีเดียวครับ
ในตัวกล้องเองยังคงมีระบบ Auto Focus ที่ใช้เป็นระบบ Touch to Focus (โฟกัสตรงตำแหน่งนั้นๆ พร้อมกับวัดค่าแสง) ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผลไวพอสมควรทำให้กดปุ๊ปถ่ายปั๊ป??สำหรับ User Interface นั้น ก็ดูเรียบง่ายเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมาก เช่น เปลี่ยนหมวดถ่ายภาพนิ่ง/วีดีโอ, ปุ่มลั่นชัตเตอร์/อัดวีดีโอ, เปิด/ปิด/Auto Flash, สลับกล้องหน้า/หลัง และ ซูม รวมถึงปุ่มลัดเข้า Photos?โดยกล้องหน้านั้นถ่ายได้ความละเอียดแบบ VGA ไม่จำเป็นต้องเข้า Mode Video Call สามารถใช้ถ่ายปกติได้ (สาวๆ ชอบ)
ซึ่งที่เพิ่มเข้ามานอกเหนือจากการถ่ายด้วยกล้องหน้าแล้ว ใน iOS 4.1 ยังมีระบบการถ่ายภาพแบบ HDR (High Dynamic Range) เข้ามาด้วย เป็นการช่วยให้การถ่ายภาพใน iPhone นั้นได้ภาพที่เก็บได้ทั้งส่วนมืดแล้วส่วนสว่างได้ ทพให้เห็นรายละเอียดของภาพได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ? ซึ่งจะเป็นการถ่ายภาพพร้อมกัน 3 ภาพซึ่งจะแตกต่างกันที่ค่า Expo +1/0/-1 แล้วเอาทั้ง 3 ภาพมารวมกัน โดยอาจจะจะมีข้อเสียคือ ทำให้ความคมชัดของภาพลดลงได้ รวมไปถึงสีสันอาจจะดูจืด จากธรรมดา
การถ่ายวีดีโอนั้นสามารถถ่ายได้ความละเอียด 720p หรือ HD (Hi Definition) ที่ Smart Phone ระดับไฮเอนด์ส่วนมากในตอนนี้ก็สามารถถ่ายกันได้ ซึ่ง 720p เป็นค่าพื้นฐาน โดยเราไม่สามารถที่จะปรับลดความละเอียดลงได้ ?ไฟล์ที่ถ่ายจะได้เป็นไฟล์ฟอร์แมต .MOV สำหรับคุณสมบัติอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ อีกอย่างคือสามารถเปิด Flash แบบต่อเนื่อง เพื่อให้ถ่ายได้สว่างขึ้นในกรณีที่เราถ่ายในที่ที่แสงน้อย รวมถึง Tap to Focus ที่มีการโฟกัสและวัดแสงตรงจุดนั้นพร้อมกัน ในโหมดวีดีโอได้ รวมถึงใช้กล้องหน้าในการถ่ายวีดีโอในระดับ VGA ได้อีกด้วย
คุณภาพของวีดีโอ 720p ออกมาค่อนข้างดี Frame rate สูง ทำให้ไม่ภาพกระตุก นอกจากนี้ยังสามารถส่งวีดีโอผ่าน MMS หรือส่งขึ้น Youtube ได้อย่างทันใจ?ส่วนความสามารถเดิมๆ อย่างการตัดต่อวีดีโอยังทำได้เหมือนเดิม ซึ่งยังคงเป็นแบบ Basic trim ที่ตัดได้เฉพาะส่วนหน้า/หลังเท่านั้น โดยสามารถ Save ทับได้เลยหรือว่าจะ Save เป็น Clip ใหม่ก็ได้
“Apple มี App ที่มีชื่อว่า iMovie ใน iPhone ออกมา ซึ่งต้องซื้อผ่าน App Store และใช้ได้กับ iPhone 4 เท่านั้น ตัว App เองนั้น มีคุณสมบัติในการตัดต่อวีดีโอที่ครบครัน สมบูรณ์แบบมากๆ ทั้งใส่เสียง ตัดภาพมาใส่ ทำได้หมดในตัวเอง โดยไม่ต้องง้อคอมพิวเตอร์เลยครับ”
>>> สามารถคลิกที่รูปเพื่อดูแบบเต็มขนาดได้ <<<
ทดสอบการถ่ายภาพตอนกลางวัน
ทดสอบการถ่ายภาพตอนกลางคืน
ทดสอบการใช้แฟลชในที่แสงน้อย
ทดสอบโหมด HDR ภาพซ้ายคือปิด/ภาพขวาคือเปิด
ทดสอบการถ่ายวีดีโอความละเอียด 720P
อย่างที่บอกไปทั้งหมดว่า iPhone 4 มีฮาร์ดแวร์ที่ดีขึ้น ทั้งซีพียู แรม ตัวประมวลผลภาพ?ทำให้คุณภาพของภาพนั้นอยู่ในขั้นที่จัดว่าดีเยี่ยม ด้วยการทำงานที่รวดเร็วทำให้จับภาพได้แม่นยำขึ้น มีระบบปรับแสงอัตโนมัติ เพื่อให้เข้ากับสภาพแสงต่างๆ ซึ่งภาพตอนแสงน้อยไม่ค่อยมี Noise ให้เห็นมากนักหากเทียบกับแต่ก่อน เพราะมีเทคโนโลยี Back Illuminated CMOS Sensors ทำให้ไฟล์ภาพที่ถ่ายออกมามีคุณภาพที่ดีและสีสันก็ดูสดใส ทั้งที่ใช้ค่า ISO ที่สูง อีกอย่างหนึ่งก็คือที่ทำให้ภาพดูสวยเหมือนดูใน iPhone 4 ก็คือ หน้าจอที่ละเอียดมากนั่นเองครับ