สวัสดีครับ วันนี้หลายๆ ท่านคงได้เป็นเจ้าของ iPhone 4 สมใจอยากกันแล้ว ถามว่าทำไมต้องพูดอย่างนั้น ก็เพราะว่าตั้งแต่วันที่ได้เปิดในเมืองไทยเป็นครั้งแรก จัดได้ว่าเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นหนึ่งที่หาซื้อยากกันเสียเหลือเกิน (ไม่รวมในกรณีเครื่องหิ้วนะครับ) ต้องจองก่อนบ้าง ได้เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ หรือต้องไปหน้าร้านตามศูนย์ผู้ให้บริการต่างๆ เอง โดยถ้าโชคดีหน่อย เครื่องจะเข้ามา 10 กว่าเครื่อง พอมีลุ้นให้สอยมาใช้กันบ้าง อาจจะมีคำถามว่า “ถ้าคิดให้ดีว่าซื้อยาก ซื้อเย็นนัก ทำไมไม่ไปซื้อ BB/Android กันไปซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย” คำตอบนี้เราจะได้เห็นกันในบทความรีวิวนี้อย่างแน่นอนครับ
ซึ่งหากจะพูดถึงราคาค่าตัวของ iPhone 4 ก็จัดว่าอยู่ในระดับ High-end แน่นอน ทำให้เมื่อเรานำไปเทียบกับคู่แข่งค่ายอื่นๆ ก็ต้องอยู่ในระดับ High-end เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น HTC Desire HD, HTC HD 7, Samsung Galaxy S, BlackBerry Torch?9800?ถ้าคิดกันแล้วในประเทศไทย iPhone 4 กระแสก็ยังแรงกว่าอยู่ดี และอย่างที่ทราบกันดีก็คือ การตลาดของ Apple ทำเรื่องพวกนี้ได้ไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว แบบไม่ที่ไม่ต้องมานั่งสงสัยกัน โดยในประเทศไทยราคาค่าตัวของ iPhone 4 แบบเครื่องศูนย์ มีดังนี้
ราคา iPhone 4 ความจุ 16GB เครื่องเปล่า: 22,250 บาท *
ราคา iPhone 4 ความจุ 32GB เครื่องเปล่า: 26,000 บาท *
ราคา iPhone 4 ความจุ 16GB เครื่องพร้อม Packet ผู้ให้บริการ: 20,650 บาท *
ราคา iPhone 4 ความจุ 32GB เครื่องพร้อม Packet ผู้ให้บริการ: 23,900 บาท *
*ยังไม่รวม VAT 7% / ราคา iPhone 4 พร้อม Packet ทุกเครือข่ายราคาเท่ากันหมด
นับได้ว่า Apple iPhone 4 ถือว่าประสบความสำเร็จเช่นเคย เหมือนที่ได้เคยปรากฎแล้วใน iPhone / iPhone 3G / iPhone 3Gs ฮือฮาตั้งแต่ก่อนเห็นตัวเป็นๆ ซึ่งหากใครยังจำกันได้ในปี 2007 ?ในวันที่ iPhone เปิดตัวครั้งแรก มันสามารถปฏิวัติวงการโทรศัพท์มือถือของโลกได้ในทันที เรียกได้ว่าอยู่ดีๆ Apple ก็กลับกลายเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือที่ทำให้ทุกๆ คนต้องใฝ่หามาครอบครองซะอย่างงั้น?เหมือนอย่างที่ได้เคยทำให้วงการเครื่องเล่นเพลงพกพามาแล้วใน iPod เล่นเอาทำให้ Sony Walkman แทบจะถูกลืมไปเลย?และอย่างที่รู้กันดีว่า Apple จะส่ง iPhone ออกมาปีละรุ่นเท่านั้น แต่นั่นก็เรียกกระแสที่จัดได้ว่าเป็นที่หนึ่ง (เรื่องนี้ Apple ก็เก่งอยู่แล้ว) รวมถึงมียอดจำหน่ายเป็นล้านเครื่องต่อรุ่นๆ หนึ่ง ทั้งๆ ทีราคาตัว iPhone เอง ก็ไม่ได้ถูกซักเท่าไหร่นัก เปิดตัวมาทีก็อยู่ สองหมื่นกว่าบาททั้งนั้น ถ้าเทียบเป็นเงินไทย
ย้อนกลับไปในปี 2007 ที่ Apple iPhone คลอดออกมาให้ชาวโลกได้เห็น (ซึ่งหลายคนอาจจะเรียกว่า iPhone Classic หรือ iPhone 2G ก็ได้) ขณะนั้นเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจมากๆ กับหน้าจอขนาด 3.5 นิ้ว ระบบ Multi-Touch ที่เราสามารถสัมผัสหน้าจอได้มากกว่า 1 จุด รวมไปถึงระบบปฎิบัติการ iPhone OS ที่แตกต่างและเหนือชั้นกว่า OS อื่นๆ ในตอนนั้น อย่าง Symbian / Windows Mobile ที่กำลังบูม บูม เอาว่าถ้าใครได้สัมผัสกับ iPhone ก็ต้องหลงรักกกันทุกคน ซึ่งในขณะนั้นก็ยังไม่ได้เข้าไทยอย่างเป็นทางการ ราคาก็จัดได้ว่าสูงเพราะต้องหิ้วเข้ามาจากต่างประเทศทั้งหมด พร้อมกับต้องทำการ Unlock เพื่อให้ใช้ซิมของผู้ให้บริการเครือข่ายในไทยได้อีก
ถัดมาในปี 2008 เราก็ได้พบกับ iPhone 3G ที่มีดีไซน์ที่แตกต่างออกไป ?พร้อมเพิ่มรองรับระบบ 3G กับติดตั้งโมดูล GPS เป็นครั้งแรก ทำให้ระบุพิกัดตำแหน่งได้ สำหรับ WiFi / Bluetooth ก็ยังมีมาให้เหมือนกับ iPhone รุ่นแรก แต่ก็ยังถือว่ามีข้อจำกัดหลายๆ อย่างอยู่?และในปี 2009 ครบตามกำหนดการ iPhone 3Gs ก็เผยโฉมให้กับทุกคนได้เห็น ซึ่งก็เล่นเอาหลายๆ คนผิดหวังไปตามๆ กัน เพราะดีไซน์หน้าตาเหมือนเดิม ไม่ได้ต่างจาก iPhone 3G เลย เพียงแค่ตัวเครื่องบางลงนิดหน่อยเท่านั้น กับสีที่เพิ่มเข้ามาเป็นที่มีสีขาวให้เลือก ส่วนที่ว่าทำไมต้องมี s เพิ่มเข้ามา นั่นก็เพราะ s หมายถึง Speed โดยมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ทำงานได้ไวขึ้น เร็วขึ้น ด้วยสเปกที่ได้มีการอัพเกรดทั้งซีพียู(CPU), หน่วยความจำ(Ram) และการ์ดจอ (GPU) ทำให้รองรับกับ iPhone OS ที่เวอร์ชั่นสูงขึ้น รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเกมหรือโปรแกรมที่สวยงามและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จะว่าไปยอดจำหน่ายก็ทะลุเป้าเช่นเดิม ซึ่งใน iPhone 3G / iPhone 3Gs ได้มีจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการ ผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์
สำหรับในปี 2010 ที่ผ่านมานี้ iPhone 4 ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน และพร้อมจำหน่ายจริงในประเทศไทยเมื่อปลายเดือนพฤศิกายนที่ผ่านมา ด้วยดีไซน์ที่ต่างจากรุ่นก่อนๆ มาก เรียกว่าช่วงที่มีภาพหลุดออกมา แทบไม่เชื่อเลยว่า iPhone 4 จะมีหน้าตาแบบนี้ อีกทั้งการประกอบและวัสดุต่างๆ ก็แข็งแรงกมากยิ่งขึ้น งานประกอบก็เนี๊ยบขึ้น ขนาดก็เล็กลงบางลง ส่วนน้ำหนักมากขึ้น การทำงานความเร็วต่างๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความละเอียดหน้าจอก็สูงกว่ารุ่นเดิมถึง 4 เท่า โดยที่คุณสมบัติต่างๆ บน iPhone 4 จะเหนือกว่าในเรื่องฮาร์ดแวร์ที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนทั้งภายนอกและภายใน แถมในส่วนของเรื่องซอท์ฟแวร์ก็เป็น iOS เวอร์ชั่น 4.0 ตัวใหม่ ที่เพิ่มในเรื่องของคุณสมบัติการทำงานอย่าง Multitasking และ Folder เข้ามา รวมไปถึงความสามารถใหม่ที่มีเฉพาะบน iPhone 4 ด้วยความที่มีกล้องหน้าแล้ว ก็คือ Facetime ที่เอาไว้สนทนา Video Call กัน ผ่าน Wi-Fi ได้
แต่ก็ยังมีบางอย่างคงเดิมไว้ นั่นก็คือเรื่องหน่วยความจำแบบภายในหรือเรียกว่า Internal Storage โดยมีให้เลือก 2 ความจุคือ 16GB และ 32GB เอาว่าซื้อแค่ไหน ก็ได้แค่นั้น แต่โดยส่วนมากก็ใช้เหลือๆ กันอยู่แล้ว ส่วน Flash ก็เป็นเหมือนเคย คือ ไม่รองรับอย่างไงก็อย่างงั้น
มาสู่เข้าสู่เนื้อหาของการรีวิวกันเลยดีกว่า เริ่มจากกล่องที่บรรจุ iPhone 4 มา ก็จะมีขนาดที่เล็กกะทัดรัด?เหมือนกับทุกผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่เคยทำมา พร้อมซีลพลาสติกใส การออกแบบกล่องจัดได้ว่าสวย ?อีกทั้งด้านหลังกล่องก็มีการระบุรายละเอียด?และขนาดหน่วยความจำของเครื่องไว้
โดยอุปกรณ์ที่มีมาในกล่องจะมี iPhone 4 / สาย USB Dock / Wall Change / Small Talk ขนาด 3.5 มม. (ไม่มีในภาพ) และคู่มือเล่มน้อยที่มีทั้งภาษไทย และภาษาอังกฤษ ซึ่งบอกให้ไปอ่านต่อในเว็บไซต์ Apple.com เอง :p พร้อมมีสติ๊กเกอร์รูป Apple 2 ใบ ไว้แปะอะไรก็ได้ เท่ห์ๆ กัน
อีกอย่างที่สำคัญ ขาดไม่ได้ คือ ตัวเข็มแทง ที่ไว้ใช้นำถาดใส่ microSIM?ให้เลื่อนออกมา เพราะถ้าไม่มีก็คงใส่ Sim ไม่ได้กันพอดี
Hardware:
เมื่อแรกเห็นก็บอกได้เลยว่ารูปร่างดีไซน์เปลี่ยนไปเยอะทีเดียว รวมถึงวัสดุที่ใช้ในการประกอบก็ดูแข็งแรงมากยิ่งขึ้น แถมยังจัดสเปกและฮาร์ดแวร์มาอย่างหนักหน่วงทั้ง ความเร็วซีพียูลื่นหัวแตก 1GHz/ความละเอียดหน้าจอ Retina Display?ที่ถือว่าดีที่สุดใน Smart Phone ด้วยกัน/กล้อง 2 ตัว (หลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, หน้า 3 แสนพิกเซล)/ถ่ายวีดีโอ Wide Screen 16:9 ได้ความละเอียด HD 720p ความคมชัดให้ผลเป็นที่น่าประทับใจ
อันนี้เป็นสเปกคราวๆ ครับ:
- CPU ARM Cortex-A8 (Apple A4)
- GPU PowerVR SG?(Apple A4)
- หน่วยความจำหลัก 512 MB (Ram)
- ความจุ มีทั้งรุ่น 16 GB และ 32 GB (Rom)
- iOS เวอร์ชั่น 4.2.1 (เครื่องศูนย์ไทย)
- หน้าจอขนาด 3.5 นิ้ว สัดส่วน 3:2
- กล้องหลัง 5 ล้านพิกเซล LED แฟลช บันทึกวิดีโอ 720p ได้/กล้องหน้า 0.3 แสนพิกเซล
- รองรับ 3G 800/850/900/1900/2100 MHz
- Wi-Fi 802.11n ที่ 2.4 GHz/Bluetooth 2.1
- แบตเตอรี่ 1420 mAh
- ขนาด 115.2 x 58.6 x 9.3 มม./น้ำหนัก 137 กรัม
สเปกเต็มๆ iPhone 4 16GB/iPhone 4 32GB
สิ่งที่ iPhone รุ่นก่อนๆ นั้นทำได้ดีและหลายๆ ค่ายผู้ผลิตมือถือต้องตามกันก็คือ หน้าจอแบบ Touch Screen ขนาดใหญ่พอดีที่ 3.5 นิ้ว สัดส่วน 3:2 ทำให้ชมภาพถ่ายจากกล้อง D-SLR ได้เต็มจอ รวมไปถึงรองรับการใช้นิ้วมือด้วยเทคโนโลยีแบบ Capacitive?ที่เรียกว่าแม่นยำ 100% ไม่มีพลาดเป้า พร้อมด้วยระบบ Multi-Touch ที่ทำให้การใช้งานลื่นไหลพร้อมทั้งยังส่งผลให้สร้างสรรค์แอพพลิเคชั่นที่หลากหลายได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการซูมดูรูปภาพ หรือหน้าเว็บไซต์ สนับสนุนการใช้นิ้วหลายๆ นิ้วเพื่อตอบสนองการทำงานต่างๆ สิ่งนี้ทำให้ iPhone 4 ยังโดดเด่นเหนือใคร เชื่อได้ว่าผู้ใดได้สัมผัสก็ต้องหลงรัก iPhone 4 อย่างแน่นอน
ในส่วนของหน้าตาที่ดูเปลี่ยนไปเห็นได้ชัดว่า ไม่เหมือน iPhone 3Gs พร้อมทั้งมีวัสดุอย่างโลหะ Stainless Steel?เป็นส่วนประกอบมากยิ่งขึ้น ทำให้เมื่อจับถือจึงรู้สึกได้ถึงความแข็งแรง โดยพื้นผิวเป็นแบบกระจกมันวาวทั้งบอดี้ด้านหน้า ด้านหลังที่เป็นวัสดุแบบ Engineered Glass ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้เป็นกระจกสำหรับเฮลิคอปเตอร์และรถไฟความเร็วสูง มีความทนทานกันรอยขีดข่วนได้ดี และยังสามารถรีไซเคิลได้อีกด้วย ซึ่ง iPhone 4 มีสัดส่วน 115.2 x 58.6 x 9.3 มม. ใกล้เคียงกับ iPhone รุ่นก่อนๆ แต่บางกว่าเดิม ซึ่งก็ถือว่านาทีนี้ยังจัดเป็น Smart Phone ที่มีความบางที่สุดรุ่นหนึ่งอยู่ ส่วนน้ำหนักก็เพิ่มขึ้นมานิดหน่อย คือ 137 กรัม
สำหรับด้านหน้าที่เห็นได้ชัดเจน เและต้องพูดถึงก็คือกล้องหน้าที่ไว้ใช้ FaceTime ถัดจากนั้นก็จะเป็นลำโพงสนทนา ที่พร้อมกับซ่อน Ambient Light Sensor ที่ช่วยในการวัดแสงโดยรอบเพื่อปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ และทำหน้าที่ปิดหน้าจออัตโนมัติในขณะคุยโทรศัพท์
ส่วนด้านล่างก็มีปุ่ม Home เหมือนเดิม 1 ปุ่ม ที่สำคัญหน้าจอเป็นแบบไร้ขอบ เรียบสนิท เรียกว่าสัมผัสได้ไม่มีสะดุดและยังทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย
อย่างที่บอกไปว่า วัสดุมีส่วนประกอบที่เป็นโลหะ โดยจะอยู่รอบๆ ของตัวเครื่อง ซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือมีคุณสมบัติเป็นเสาสัญญาณ รวมไปถึงมีความสามารถการเชื่อมต่อไร้สายต่างๆ อาทิ Bluetooth/Wi-Fi และ GPS แต่ในอีกมุมหนึ่งเรื่องของเสาสัญญาณแบบใหม่ของ iPhone 4 ได้นำเอาปัญหามาให้?ในเรื่องของสัญญาณตก หรือเรียกอีกอย่างว่า “Death Grip” ซึ่งจากการทดสอบถือ iPhone 4 ด้วยมือซ้าย ผลที่ออกมาก็คือ “สัญญาณมันดรอปลงไปจริงๆ” แต่ก็ไม่ได้ลดลงไปจนน่าเกลียด ยิ่งถ้าอยู่ในเมือง เสาสัญญาณเยอะๆ แล้ว ยิ่งไม่ต้องกังวล บอกได้เลยว่าใช้งานได้อย่างปกติ จะเป็นห่วงก็ตอนที่อับสัญญาณเท่านั้นเอง โดยการดีไซน์ที่นำเสาสัญญาณมาไว้รอบๆ นั้น ก็เสริมให้ดูเท่ห์ไปอีกแบบ แถมช่วยลดพื้นที่ในการออกแบบไปพอสมควร อีกทั้งการนำโลหะอย่าง Stainless Steel มาใช้ทำให้บอดี้ดูแน่นขึ้น เป็นเหลี่ยมเป็นมุมขึ้น ?นับได้ว่าเป็นจุดเด่นจุดหนึ่งใน iPhone 4 ที่แตกต่างจากรุ่นเดิมๆ ที่จับแล้วโค้งมน ให้ความรู้สึกที่ได้จับถือดีขึ้นแบบไม่ต้องสงสัย
สำหรับด้านหลังของเครื่องจะเห็นว่าแตกต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องบอกขนาดหน่วยความจำมาด้วยด้านหลังที่เคยมีมาใน iPhone รุ่นก่อนๆ?จึงทำให้ ทั้งความจุรุ่น 16GB และ 32GB มีด้านหลังที่เหมือนกัน แบบไม่สามารถแยกออกจากกันได้ หากไม่ดูในส่วนของ Setting
แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทั้ง 2 ความจุเหมือนกันก็คือ “Oleophobic Coating” ที่เป็นสารชนิดหนึ่งที่เคลือบไว้ทั้งด้านหน้าและหลังของ iPhone 4 เพื่อป้องกันรอยนิ้วมือที่จะเกิดขึ้นจากการสัมผัส ซึ่งถ้ามีรอยก็สามารถใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็คออกได้อย่างไม่ยากเย็นนัก (เชื่อได้เลยว่า ทุกคนที่มี iPhone 4 ต้องติดฟิล์มกันรอยกันอยู่แล้วทุกคน ฉะนั้นเรื่องสารเคลือบก็มีไว้ ดีกว่าไม่มีก็แล้วกันครับ ^^)
กลับมาดูในส่วนของด้านหน้ากันหน่อย สิ่งแรกที่จะคิดถึงคงเป็นหน้าจอแบบ TFT-LCD?ที่โดดเด่น ด้วย Retina Display?ความละเอียด 960×640 พิกเซล (326 พิกเซลต่อตารางนิ้ว) จากของเดิม iPhone 3Gs อยู่ที่ 320 x 480 พิกเซล ซึ่งเทียบกันแล้ว สูงขึ้นมาถึง 4 เท่ากันกันเลยทีเดียว คิดเล่นๆ ก็คือ การนำหน้าจอ iPhone 3Gs มาต่อเข้าด้วยกัน แล้วจากนั้นมารวมเป็นจอเดียว ซึ่งดูจากความละเอียดก็เห็นได้แล้วว่าเป็นหน้าจอที่ละเอียดที่สุดของบรรดา Smart Phone ในปัจจุบันนี้ ด้วยขนาด 3.5 นิ้ว ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ทั้งในของสีสันที่แสดงก็สมจริง ถ่ายทอดออกมาไม่เวอร์จนเกินไป มีความคมชัดที่สูงมากๆ เรียกได้ว่า ละเอียดของตัวอักษรบนหน้าจอเกินสายตาของมนุษย์จะแยกแยะกันเลยทีเดียว?จึงทำให้หน้าจอของ iPhone 4 เป็นจุดเด่นที่หาใครเปรียบได้ยาก อีกทั้งยังใช้พาเนลคุณภาพสูงอย่าง?IPS ที่ใช้เหมือนใน Macbook Pro/iMac ทำให้มีมุมมองการรับชมได้เกือบ 180 องศา โดยสีไม่เพี้ยน
ซึ่งนอกเหนือจากพาเนลแบบ IPS แล้วนั้น ยังเปล่งแสงได้สวยขึ้นเพราะเป็น LED Backlight ให้อัตราคอนทราสต์ที่สูงถึง?800:1 รวมไปถึงหน้าจอยังให้สีสันได้ได้ 16.7 ล้านสี จึงทำให้หน้าจอ iPhone 4 เหนือกว่า iPhone 3GS ในทุกๆ ด้าน เรียกว่าถ้าเอามาเทียบกันก็เห็นความต่างได้อย่างชัดเจน เอาว่าพิกเซลไม่มีแตกก็แล้วกันครับ
อีกเทคโนโลยีที่สำคัญและลืมไม่ได้เลย นั่นก็คือ Gyroscope โดยเทคโนโลยี Gyroscope เป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวทิศทาง 3 มิติ หรือ 360 องศา พร้อมทั้งจับแรงโน้มถ่วง โมเมนตัม?ที่โดยปกติจะใช้บนเฮลิคอปเตอร์ หรือเครื่องบิน แต่คราวนี้ Apple จับมาใส่ iPhone 4 ซะงั้น
แน่นอนคำถามต้องเกิดขึ้นมาใส่มาแล้ว จะใช้งานอย่างไร ซึ่งคำตอบก็คือ เอามาช่วยเซ็นเซอร์ให้มีการตอบสนองที่ดียิ่งขึ้น รองรับการเล่นเกมหรือแอพพลิเคชั่นที่ต้องการหมุน และเอียงเครื่องไปมา ให้ควบคุมการเล่นการใช้งานได้ง่ายขึ้น เพื่อถ่ายทอดได้สมจริงขึ้นไปอีก
มาต่อที่ส่วนของเครื่องทางด้านซ้าย ยังคงรูปไว้เช่นเดิม ทั้งในเรื่องปุ่มที่เป็น ปุ่มเปิด/ปิดเสียง, ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง รวมกัน 3 ปุ่ม แต่ก็มีการดีไซน์ออกแบบของปุ่ม ปุ่มเปิด/ปิดเสียงนั้นมีลักษณะที่ยาวขึ้น ส่วนปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงก็เปลี่ยนดีไซน์เป็นปุ่มกลมๆ มีสัญลักษณ์เป็น +/- ซึ่งทั้ง 3 ปุ่มนี้ ใช้วัสดุเป็นชนิดเดียวกัน กับวัสดุรอบๆ เครื่องนั่นก็คือ สแตนเลสสีเงินครับ
เมื่อได้สัมผัสและทดลองกดดูแล้วก็บอกได้ว่า เนี๊ยบและแน่น รู้สึกดีกว่าจับ iPhone 3Gs มากๆ
ถัดมาด้านขวา เป็นที่น่าสังเกตอย่างแรกเลยก็คือไม่มีปุ่มลั่นชัตเตอร์ไว้สำหรับถ่ายรูป (เช่นเคย) โดยจะมีช่องใส่ซิม ซึ่งก็ถือว่าแตกต่างกับ iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ทั้งหมดที่ปกติต้องอยู่ด้านบน แต่ตอนนี้ iPhone 4 มันมาอยู่ด้านข้างแล้ว ?วิธีการใส่ซิมก็ซับซ้อนนิดหน่อยแบบเดิมๆ นั่นแหละ ก็คือต้องใช้เข็มแทงเพื่อดันถาดซิมออกมา (อาจจะใช้อุปกรณ์อื่นที่มีลักษณะเหมือนก็ได้ ขอว่าไม่ต้องปลายแหลมก็พอ) แต่ก็ยังไม่จบแค่นั้น
เพราะเราจะต้องพบเจอกับซิมแบบใหม่ที่ใช้ ที่เป็น microSIM ที่ขณะนี้มีใช้เฉพาะ iPhone 4 และ iPad WiFi + 3G เท่านั้น ซึ่งก็ไม่ต้องกังวลไปหากใครมีซิมเดิม ทางผู้ใหม่บริการ ได้มีการเปลี่ยนซิมให้ฟรี ซึ่งตอนนี้ในประเทศไทยก็พร้อมทุกค่ายแล้ว ทั้งนี้ประโยชน์ของ microSIM จริงๆ แล้ว มันยังทำให้มีพื้นที่ในตัวเครื่องเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มความจุแบตเตอรี่ให้มีมากยิ่งขึ้น (แม้จะเพียงเล็กน้อยก็เถอะ)
แต่บางคนก็ยังเป็นห่วงเรื่องซิมที่ไม่สามารถเอาไปใช้ร่วมกับโทรศัพท์เครื่องอื่นได้ วิธีนี้ก็แก้ด้วยง่ายคือ หาซื้อตัวแปลงมา สำหรับราคาก็เห็นขายกันราคาไม่กี่สิบบาท?หรือถ้าใครใช้วิธีตัดซิมเองก็ทำได้ โดยจะใช้คัตเตอร์ตัด หรือจะใช้เครื่องมือตัดซิม โดยเฉพาะก็ได้ แล้วเก็บส่วนที่เหลือเอาไว้
มาดูที่ขอบด้านบนกันบ้าง ซึ่งก็จะเห็นปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง (Sleep/Wake) ที่เดิมเป็นเพียงพลาสติกเคลือบสีธรรมดา แต่คราวนี้เป็นสแตนเลสแล้ว
และมีรูเสียบหูฟัง 3.5 มม. ที่ดีไซน์ได้สวยเหมือนเดิม แต่ที่พิเศษขึ้นมาก็คือมีไมค์รับเสียงอีกตัว ทำหน้าที่ตัดเสียงอื่นๆ ที่ไม่ใช่เสียงสนทนา อยู่บริเวณด้านข้างรูเสียบหูฟัง ทำให้เสียงในการสนทนาเป็นไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ส่วนขอบด้านล่าง ยังคงเหมือนกัน iPhone รุ่นเดิมๆ นั่นก็คือมี ช่องเสียบ iPod Dock 30 pin/ไมค์รับเสียงสนทนา/ลำโพงตัวเดียวแบบโมโน นอกจากนั้นเรายังจะเห็นน๊อตแบบพิเศษที่ไว้ใช้ในการแยกชิ้นส่วน iPhone ด้วยนะครับ
ถ้าแค่มองผ่านๆ เราจะเห็นว่ามีลำโพงสองตัว ส่วนไมค์สนทนาซ่อนเอาไว้ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น โดยความจริงก็คือ ช่องด้านขวาจะเป็นไมค์สนทนา และช่องด้านขวาถึงจะเป็นลำโพงจริงๆ ซึ่งก็ให้เสียงที่ดีในระดับหนึ่ง พร้อมมีเสียงที่จัดได้ว่าดังพอสมควร ไม่น่าเกลียดอย่างที่ iPhone 3Gs/3G/2G เคยทำมา
ด้านหลังตรงกลางมีโลโก้ Apple สีเงินเงาๆ วาวๆ เด่นเป็นสง่าอยู่
ขยับมาด้านบนทางซ้ายหน่อย มีกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมระบบ Autofocus ที่คุณภาพจัดว่าใช้ได้ พร้อมถ่ายวีดีโอความละเอียด HD 1280×720 พิกเซลได้
และยังมี Flash แบบ LED อยู่ด้านข้าง รองรับการถ่ายในที่มืด รวมไปถึงมีข้อจำกัดแบบเดิมๆ ก็คือถอดฝาหลังด้วยตนเองไม่ได้ กับเพิ่มการ์ดหน่วยความจำไม่ได้ ซื้อมาแค่ไหน ใช้มันเท่านั้นพอ (แต่โดยส่วนตัว 16GB/32GB ก็เหลือๆ แล้วครับ)