เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวันที่ Apple เริ่มเปิดขาย iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ในประเทศกลุ่มแรก ซึ่งที่ใกล้ๆ บ้านเราก็ได้แก่สิงคโปร์ ฮ่องกงและญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงนี้พอดีกับที่ผมเดินทางมาญี่ปุ่นด้วย เลยได้ทำข่าวภาพบรรยากาศการต่อคิวซื้อ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่ร้าน Apple Store สาขาชิบูย่าไปแล้ว พร้อมทั้งมีพรีวิวตัวเครื่องจากหน้าร้านให้ชมกันด้วย
แต่มาในปีนี้นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญมาก ที่ Apple Store ประเทศญี่ปุ่นเปิดขาย iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เครื่อง unlocked (ไม่ติดสัญญา ไม่ล็อคเครือข่าย สามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลก) ให้กับนักท่องเที่ยวได้ด้วย เพราะปกติแล้วจะขายแต่เฉพาะเครื่องติดล็อคเป็นหลัก ทั้งยังซื้อค่อนข้างยากจนแทบจะถึงขั้นซื้อไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่การจะซื้อก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกันครับ ไม่ใช่ว่าเดิน walk-in เข้าไปที่ร้านแล้วขอซื้อได้เลย ?แต่ต้องจองผ่านหน้าเว็บไซต์ก่อน แล้วค่อยไปรับในวันรุ่งขึ้น ตามที่ผมเล่าไว้แล้วในบทความแกะกล่อง iPhone 6 Plus นั่นเอง สรุปแล้วก็ได้ iPhone 6 Plus สีดำ Space Gray 16 GB มา 1 เครื่องครับผม ราคาหน้าร้านอยู่ที่ 79,800 แปลงเป็นเงินไทยก็ประมาณ 23,600 บาท จัดว่าราคาไม่แพงเลยครับเมื่อเทียบกับบ้านเรา ส่วนราคา iPhone 6 อยู่ที่ 67,800 หรือประมาณ 20,100 บาทเอง ส่วนถ้าเป็นคนญี่ปุ่นเองก็สามารถซื้อเครื่องกับเครือข่ายได้ ซึ่งมีร้านตัวแทนจำหน่ายอยู่ทั่วเมืองเลยครับ มีเครื่องกันแทบทั้งนั้นเลยด้วย
ซึ่งถ้ายึดราคา iPhone 5s ช่วงก่อนหน้านี้เป็นฐาน ราคา iPhone 6 ในไทยก็คงจะเริ่มต้นที่ 23,x00 บาท ส่วนราคา iPhone 6 Plus ในไทยก็น่าจะไปเริ่มต้นอยู่ที่ราวๆ 26,x00 บาท ยังไงก็เตรียมตัวไว้ได้เลย น่าจะได้เจอกันในเดือนตุลาคมนี้นี่ล่ะ
เกริ่นเรื่องราคาและการซื้อหามาพักหนึ่งแล้ว ทีนี้มาดูรีวิว iPhone 6 Plus กันบ้างครับ
สเปค iPhone 6 Plus
- ชิปประมวลผล Apple A8 dual-core ความเร็วสูงสุด 1.4 GHz
- GPU ยังไม่ระบุแน่ชัด คาดว่าน่าจะเป็น PowerVR GX6650 ที่เป็นตัวท็อปสุดในซีรี่ส์ 6XT ของ PowerVR ในปัจจุบัน
- มีชิปประมวลผล M8 ช่วยจับและประมวลผลการเคลื่อนไหว
- แรม 1 GB
- หน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD (1920 x 1080) 401 PPI กระจกขอบจอโค้งมน
- มีความจุให้เลือกทั้ง 16, 64 และ 128 GB
- ใช้งานได้ซิมเดียว รองรับ 3G ทุกเครือข่าย และใช้ 4G LTE ได้แน่นอน
- กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เลนส์ f/2.2 มาพร้อมเซ็นเซอร์ใหม่ (Focus Pixels) และขนาดเม็ดพิกเซลใหญ่ขึ้น มี OIS แบบฮาร์ดแวร์
- แฟลชกล้องหลังยังเป็นแบบ TrueTone อยู่ แต่รวมหลอดไฟ LED สองหลอดไว้ในช่องเดียวกัน ถ่ายวิดีโอได้ละเอียดสุดระดับ Full HD ถ่ายวิดีโอสโลว์โมชันได้ 240 fps
- กล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล เลนส์ f/2.2 ภาพสว่างขึ้นกว่ากล้องรุ่นก่อนหน้า
- มาพร้อม iOS 8
- แบตเตอรี่ความจุ 2915 mAh
- มาพร้อม Touch ID ที่ปุ่มโฮมเช่นเคย
- มี NFC แต่ใช้ได้เฉพาะในระบบจ่ายเงินเท่านั้น
- สเปค iPhone 6 Plus
สำหรับสเปคโดยทั่วไปของ iPhone 6 Plus ก็นับว่าไล่หลังมือถือ Android มาทันแล้ว จะมีก็แต่แรมที่ยังคงให้มา 1 GB เท่าเดิม นับว่าผิดคาดมากทีเดียว เพราะมือถือรุ่นท็อปในยุคนี้มักจะมาพร้อมแรมอย่างต่ำก็ 2 GB กันแทบทั้งนั้น แถมเดี๋ยวนี้ มือถือราคาไม่แพงมากยังมาพร้อมกับแรม 2 GB กันไปแล้ว ถึงจะบอกว่า iOS มีการจัดการแรมที่ดีก็ตาม แต่ก็นะ มีเยอะดีกว่าขาด ส่วนเรื่องของกล้องถ่ายรูป แม้จะมาด้วยความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเท่าเดิม แต่ก็ชดเชยด้วยการใส่เซ็นเซอร์และระบบการทำงานใหม่ๆ เข้ามา เรียกว่าเป็นการเน้นที่คุณภาพมากกว่าจำนวนพิกเซล ซึ่งเทรนด์นี้เราก็มักจะได้เห็นบนมือถือหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน ที่เริ่มโฆษณาด้านเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของระบบกล้องมากกว่าโฆษณาเรื่องการเพิ่มจำนวนพิกเซลไปแล้ว
ส่วนจุดที่น่าพอใจก็คงหนีไม่พ้นเรื่องหน้าจอที่ขยายขนาดมาซะใหญ่สะใจเลยทีเดียว กับจอที่ใหญ่ถึง 5.5 นิ้ว เทียบชั้นมือถือ Android รุ่นท็อปไปเลย (หรือจะเป็น 4.7 นิ้วใน iPhone 6) ซึ่งการเพิ่มขนาดหน้าจอก็ช่วยให้ดูเนื้อหาบนหน้าจอได้สะดวกขึ้นจริงๆ แต่ก็แลกมาด้วยความคล่องตัวในการใช้งานที่ลดลงไป ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาว่ากันในรีวิวอีกทีครับ อีกจุดที่มองว่าโอเคเลยก็คือแบตเตอรี่ ที่จัดมาให้ถึง 2915 mAh นับว่าโอเคทีเดียวสำหรับมือถือสเปคนี้ จึงน่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกรุ่นได้เลย สำหรับเรื่องแบตเตอรี่
พูดเรื่องสเปคกันมาพอสมควรแล้ว เรามาดูรีวิว iPhone 6 Plus ในส่วนอื่นๆ กันบ้างครับ
Design
เรื่องการดีไซน์นั้น iPhone 6 Plus (รวมถึง iPhone 6) มาพร้อมกับดีไซน์โฉมใหม่ เปลี่ยนคอนเซปท์จากเดิมใน iPhone 5s ที่เน้นเหลี่ยมมุม ดูสวยงามเวลาสะท้อนแสง ทุกส่วนมีการเข้ามุมที่ขับตัวเครื่องให้ดูหรูหรา แต่พอมาใน iPhone 6 Plus กลับเป็นว่าเปลี่ยนคอนเซปท์มาเป็นการเน้นความโคงมนเข้ารูป ตัดความหรูหราออก เน้นฟีลลิ่งสัมผัสให้เหมาะกับการใช้งานจริงมากขึ้น เช่นการออกแบบให้ตัวเครื่องโค้งรับกับอุ้งมือได้ดีกว่าเดิม ฝาหลังที่ผิวราบเนียน แต่ไม่ลื่นมือ รวมถึงกระจกหน้าจอที่เลือกใช้ขอบโค้งมนแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกับบอดี้อะลูมิเนียมที่เป็นฝาหลัง ทำให้การใช้งานเป็นไปได้อย่างไหลลื่น ลงตัวกว่า iPhone 5s มากๆ
ใช้วันแรกก็ไม่ชิน พอผ่านไปสองวันเท่านั้นล่ะ …ชินเลย
พูดถึงหน้าจอ ในรอบนี้ Apple ยอมที่จะกลืนน้ำลายตนเอง แล้วเพิ่มขนาดหน้าจอให้ใหญ่ขึ้นตามยุคสมัย ซึ่งก็ออกมาเป็นสองรุ่น สองขนาดให้ได้เลือกกันตามใจชอบเลยทีเดียว สำหรับจอขนาด 5.5 นิ้วของ iPhone 6 Plus นั้นจะเหมาะกับผู้ที่ต้องอ่านเนื้อหาบนหน้าจอบ่อยๆ นานๆ เพราะทั้งพื้นที่การแสดงผลที่มีมาก และตัวอักษรที่ขยายสเกลขึ้นมาให้เหมาะกับการอ่านมากกว่าเดิม เรียกว่าน่าจะถูกใจหลายๆ ท่านแน่นอน
ส่วนเรื่องความคล่องตัวในการใช้งาน อันนี้ในช่วงวันสองวันแรกต้องยอมรับว่าค่อนข้างแปลกมือไปพอสมควรครับ เพราะส่วนตัวผมใช้งาน LG G3 อยู่ ถึงแม้จะมีจอขนาด 5.5 นิ้วเท่ากัน แต่บอดี้ของ G3 ทำออกมาได้เล็กกว่า ทำให้ตอนมาจับ iPhone 6 Plus แบบใช้งานจริงครั้งแรกรู้สึกไม่ค่อยชินกับตัวเครื่องที่บานออกมาเท่าไหร่นัก แต่ iPhone 6 Plus มีจุดเด่นกว่าตรงที่ตัวเครื่องทำออกมาได้บางและเบา?ทำให้เวลาใช้งาน iPhone 6 Plus แล้วรู้สึกสบายมือกว่า แม้ในความเป็นจริงแล้ว LG G3 จะน้ำหนักเบากว่าก็ตาม แต่ถ้าเรื่องปุ่มกด ผมว่า G3 ออกแบบมาได้เหมาะกับการใช้งานจริงมากๆ แถมด้วยฟีเจอร์ Knock-on อีก ทำให้บางทีผมก็เผลอเคาะจอ iPhone เพื่อจะเปิดใช้งานอยู่บ้างเหมือนกัน (ฮา) ส่วนตัวผมชอบดีไซน์ฝาหลังของ G3 ที่โค้งรับอุ้งมือพอดี แต่ส่วนขอบเครื่องผมชอบ iPhone 6 Plus มากกว่า น่าจะจับผสมกันได้ คงดีมากเลย ^^
เรื่องคุณภาพของหน้าจอ จุดนี้ก็ยังนับเป็นจุดขายของ iPhone ได้อีกเช่นเคย ด้วยเรื่องของความละเอียด สีสันและความสว่างของภาพที่ทุกอย่างผสมกันออกมาได้อย่างลงตัว ทำให้เหมือนเอาสติ๊กเกอร์ภาพหน้าจอ iPhone มาติดไว้บนหน้าจอเลยทีเดียว โทนสีก็ไม่สดจนเกินไป ถ้าใครที่ใช้งานหรือเคยเห็นจอ MacBook Pro Retina มาก่อน ก็จะนึกออกครับว่าโทนสี ความคมชัดและความสวยงามของจอ iPhone 6 Plus อยู่ในระดับไหน ส่วนความแตกต่างระหว่างจอ iPhone 6 กับ iPhone 6 Plus ?เท่าที่ผมลองดูก็จะเป็นเรื่องความละเอียดครับ เมื่อจ้องมองจอแบบเพ่งจริงๆ ถึงจะเห็นว่าจอ iPhone 6 Plus ละเอียดกว่า มองแทบไม่เห็นเม็ดพิกเซล รอยหยักของส่วนโค้งในภาพก็น้อยกว่า iPhone 6 รุ่นจอ 4.7 นิ้วด้วย ส่วนในเรื่องสีสัน ความสว่างนั้นแทบไม่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
iPhone 6 Plus ใช้งานมือเดียวได้หรือเปล่า?
สำหรับเรื่องนี้ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นครับว่าในช่วงแรกก็ไม่ค่อยชินเท่าไร เพราะการสัมผัสสั่งงานเครื่องนั้นยังไม่ค่อยถนัดมือ เนื่องด้วยขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่เทอะทะไปซักนิดนึง แต่ดีที่ผมใช้งานมือถือจอใหญ่พอสมควรอยู่แล้ว จึงปรับให้เคยชินได้เร็ว สำหรับคำถามที่ว่าจะสามารถใช้ด้วยมือข้างเดียวได้มั้ย อันนี้ก็ขอบอกเลยว่าพอได้อยู่ครับ แต่จะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการจับถือเครื่องเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่ต้องขยับมือขึ้นลง เช่นเวลาจะเอื้อมนิ้วไปเลื่อนแถบ notifications ข้างบนลงมา รวมถึงเวลาพิมพ์คีย์บอร์ดที่การเอื้อมนิ้วไปกดปุ่มคีย์บอร์ดที่อยู่อีกฝั่งของมือที่จับเครื่องจะค่อนข้างลำบากทีเดียว แต่ถ้าใช้งานเครื่องด้วยทั้งสองมือ อันนี้จะสะดวกมากๆ เลยล่ะ ทั้งยังไม่ต้องกลัวว่าจะทำเครื่องตกมืออีกต่างหาก
และแน่นอนครับว่า Apple จะไม่ปล่อยให้เกิดปัญหานี้สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปแบบไม่สร้างทางเลือกอะไรเลย เพราะในตัว iOS 8 มีฟีเจอร์ชื่อว่า Reachability ซึ่งได้ถูกเปิดใช้งานมาเป็นค่ามาตรฐานอยู่แล้ว (สามารถปิดได้ในเมนู Settings > Accessibility) หน้าที่ของมันก็คือทำให้เราสามารถแตะเลือกใช้งานส่วนบนของหน้าจอแอพได้สะดวกขึ้น โดยจะทำการดึงหน้าจอแอพลงมาตามในภาพด้านซ้าย ทำให้เราสามารถเอื้อมนิ้วหัวแม่มือสั่งงานได้สะดวกมากขึ้น หรือจะลากแถบ notifications ลงมา ก็ลากนิ้วตรงบริเวณที่ว่างเหนือไอคอนแถวบนสุดลงมาเท่านั้นเอง
สำหรับวิธีการเปิดใช้งานก็แค่แตะปุ่มโฮมสองครั้งติดๆ กัน ย้ำว่าแค่แตะนะครับ ไม่ต้องกดลงไป ถ้าจะให้อินเตอร์เฟสกลับไปเป็นอย่างเดิม จะแตะพื้นที่ว่างของจอ หรือจะแตะปุ่มโฮมสองครั้งเหมือนกับตอนเรียกใช้งานก็ได้เช่นเดียวกัน
สองภาพนี้เป็นการเทียบความสว่างหน้าจอระหว่างการปรับระดับสูงสุดกับปรับระดับต่ำสุดครับ
หนึ่งจุดที่นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ iPhone 6 กับ iPhone 6 Plus ครั้งนี้ก็คือการย้ายตำแหน่งปุ่มโฮมมาไว้ที่ด้านขวาของเครื่อง เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ดี เหมือนกับที่เราพบกันมานานแล้วในมือถือ Android และ Windows Phone หลายๆ รุ่น ซึ่งก็ทำออกมาได้โอเคดีครับ กดง่าย ไม่ว่าจะใช้มือขวาที่สามารถใช้นิ้วหัวแม่มือกดได้ หรือถ้าถือเครื่องด้วยมือซ้าย ก็ใช้นิ้วชี้กดได้เช่นเดียวกัน ลักษณะของปุ่มก็จะคล้ายๆ กับใน iPad Air คือโค้งตามรูปเครื่อง แต่ถ้าใครไม่ถนัด จะใช้ปุ่มโฮมในการเปิดหน้าจอก็ได้เช่นเดิมครับ ซึ่งก็ยิ่งสะดวกขึ้นไปอีกด้วย สำหรับผู้ที่ใช้การปลดล็อกหน้าจอด้วยลายนิ้วมือของระบบ Touch ID เพราะแค่วางนิ้วค้างไว้หลังกดปุ่มโฮม ก็สามารถใช้งานได้แทบจะทันที ความแม่นยำในการอ่านลายนิ้วมือของเซ็นเซอร์ Touch ID ก็ทำออกมาได้ดี อาจจะมีปัญหาบ้างหากนิ้วเปียกเหงื่อ เปียกน้ำ เป็นต้น ซึ่งก็เป็นเรื่องปกตินะ
มาในส่วนของฝาหลัง iPhone 6 Plus กันบ้าง เรื่องวัสดุก็ยังคงใช้เป็นอะลูมิเนียมอะโนไดซ์เช่นเดียวกับ iPhone 5s ครับ เนื้อผิวนี่เรียกได้ว่าเป็นแบบเดียวกันเลยก็ว่าได้ แต่ในเรื่องของการออกแบบได้ปรับเปลี่ยนไปจากเดิมพอสมควรทีเดียว จากเดิมที่จะใช้อะลูมิเนียมในส่วนกลางเครื่อง แล้วปิดหัวท้ายด้วยกระจกตัดสีกับแผ่นอะลูมิเนียม แต่ใน iPhone 6 Plus เลือกที่จะใช้อะลูมิเนียมทำเป็นแผ่นฝาหลังทั้งชิ้นเลย ทำให้ดีไซน์โดยรวมออกมาดูเรียบๆ
ส่วนแถบสีขาวที่พาดบนฝาหลังนั้นจะเป็นแถบพลาสติกครับ คาดว่าจะใส่มาเพื่อช่วยในการรับสัญญาณให้ดีขึ้น เพราะถ้าใช้เป็นอะลูมิเนียมทั้งเครื่อง อาจจะมีปัญหาเรื่องการรับสัญญาณได้ ทั้งยังช่วยให้ดีไซน์โดยรวมไม่ดูราบเรียบเกินไปด้วย ลองคิดภาพ iPhone 6 หรือ iPhone 6 Plus มีฝาหลังเป็นสีเทาเรียบๆ ทั้งเครื่องครับ คงดูแปลกๆ เนอะ แต่แถบที่ใส่เข้ามา เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้ทำให้ตัวเครื่องสวยขึ้นซักเท่าไรเลย แต่คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะยังไงเราๆ ก็ต้องใส่เคสปิดเอาไว้อยู่ดี ส่วนด้านของงานประกอบ ก็นับว่ายังคงความเป็น Apple ได้ดี ทุกชิ้นส่วนเรียบร้อย สวยงาม ไม่มีตำหนิบนตัวเครื่อง ลองจับๆ กดๆ ดูแล้วเครื่องก็แน่นดีมาก เนื่องด้วยขนาดตัวเครื่องที่บางนี่เอง ทำให้ต้องยัดชิ้นส่วนเอาไว้ภายในค่อนข้างแน่น แต่ก็มีข่าวว่าตัวเครื่องสามารถโค้งงอได้ง่ายเช่นกันเมื่อนั่งทับหรือกดตัวเครื่องหนักๆ ซึ่งก็น่าจะใกล้เคียงกับที่เคยเกิดขึ้นใน iPhone 5s ล่ะครับ ระวังกันให้ดีๆ นะ
อย่างที่เล่าให้ฟังไปในข้างต้นแล้วนะครับ ว่าขอบจอของ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus จะเป็นกระจกขอบโค้งเนียนไปกับบอดี้ตัวเครื่อง ทำให้เสมือนว่าทั้งเครื่องรวมอยู่เป็นชิ้นเดียวกัน ตรงจุดนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่พอใช้งานจริง พบว่ามันช่วยให้เราใช้งานได้สบายมือมากขึ้นพอสมควรเลย เช่น บางทีที่เราใช้นิ้วปาดหน้าจอจากขอบจอ ก็ไม่บาดมือเหมือนกับขอบตัดเหลี่ยมของ iPhone 5s ทั้งยังทำให้รู้สึกดีเวลากำมือรอบเครื่องอีกด้วย แต่อันที่จริงแล้ว ขอบจอเป็นกระจกโค้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดครับ เพราะมันมีมาตั้งนานแล้ว เช่นใน Nokia Lumia 920 เป็นต้น
ถ้าจะถามว่า iPhone 6 Plus สวยมั้ย ผมว่ามันก็ไม่สวยอะไรนะ
แต่มันใช้งานจริงได้ดี แค่นั้นเอง
ส่วนการพกพาเครื่อง ผมลองนำ iPhone 6 Plus ใส่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ละครับ เป็นไปตามภาพเลย แต่ถ้ากางเกงใครกระเป๋าเล็กๆ สั้นๆ รับรองว่าเครื่องโผล่ออกมาข้างนอกเยอะแน่นอน ส่วนเวลานั่ง หรือเดินขึ้นลงบันได ก็มีตึงๆ กางเกงนิดหน่อย ไม่ได้ถึงขั้นลำบากมาก แต่ถ้าใส่เคสเข้าไปเมื่อไร รับรองว่าลำบากขึ้นแน่ๆ ครับ เพราะตัวเครื่องมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แม้จะบางก็ตามที
ด้านล่างนี้เป็นแกลเลอรี่รวมภาพตัวเครื่อง iPhone 6 Plus ครับ คลิกชมกันได้เลย
แกลเลอรี่ด้านล่างนี้ก็เป็นเคสตัวอย่างที่มีวางให้ลองในร้าน Apple Store ซึ่งเราสามารถเข้าไปลองสัมผัส ลองใส่ใช้งานจริงก่อนซื้อได้ด้วย สำหรับผิวสัมผัสของเคสหนัง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus รอบนี้จัดว่าโอเคเลย ภายนอกเป็นหนังแบบด้าน ไม่ได้เป็นขน ดูแล้วน่าจะทำความสะอาดได้ง่าย เท่าที่ลองใส่ใช้งาน พบว่าการใส่ค่อนข้างยากอยู่เหมือนกันครับ เพราะมันพอดีเครื่องมากๆ
Software
iPhone 6 และ iPhone 6 Plus นับเป็น iPhone รุ่นแรกเลยที่วางจำหน่ายพร้อมกับ iOS 8 แบบติดตั้งมาในตัว ซึ่งอินเตอร์เฟส รูปแบบการทำงานก็ไม่ต่างไปจาก iOS 7 เท่าไรนัก แต่ก็มีฟีเจอร์เสริมมาหลายๆ อย่างทีเดียว เช่นส่วนของชุดแอพ Health เพื่อสุขภาพ, Apple Pay สำหรับใช้จ่ายเงินผ่านมือถือ ซึ่งก็ยังรองรับแค่บางส่วนในสหรัฐฯ เท่านั้นเอง ส่วนระบบภายในก็มีการปรับเปลี่ยนไปพอสมควรครับ ซึ่งก็เป็นเรื่องของนักพัฒนาล้วนๆ เช่นการเปิดกว้างด้านเซอร์วิส การแชร์ข้อมูลต่างๆ ทำให้เราสามารถเลือกแชร์ข้อมูลข้ามแอพได้มากขึ้น เป็นต้น
ส่วนในสองภาพริมขวาสุดก็เป็นตัวเลือกในการปรับใช้งานฟีเจอร์ Reachability ที่กล่าวไปแล้วในส่วนของดีไซน์ครับ
มาดูด้านแอพพลิเคชันกันบ้าง สำหรับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus นับเป็นการก้าวเดินอีกครั้งของแพลตฟอร์ม iOS เลย เนื่องด้วยความละเอียดจอที่เป็นค่าใหม่ของฝั่ง iOS ทำให้ผู้ผลิตแอพจำเป็นจะต้องอัพเดตแอพของตนให้หลากหลายและครอบคลุมการทำงานบนอุปกรณ์ iDevice ให้ครบทั้งตลาด ซึ่งตัวของ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus นับว่ายังใหม่มากๆ (แม้ว่าจะมีชุด SDK ออกมาให้นักพัฒนาแอพได้พักหนึ่งแล้วก็ตาม) ทำให้หลายๆ แอพพลิเคชันยังแสดงผลแบบแปลกๆ อยู่ สำหรับกรณีที่ผมเจอก็เช่น
- ตัวอักษร บางแอพก็เล็ก บางแอพก็ใหญ่เกินไป เช่น Facebook ที่ตัวอักษรใหญ่มาก (แต่หลายๆ ท่านอาจจะชอบนะ เพราะอ่านง่ายดี)
- คีย์บอร์ดก็เช่นกัน ตามภาพด้านบนครับ แต่ละแอพแสดงขนาดคีย์บอร์ดไม่เท่ากัน
- บางแอพ เห็นชัดเลยว่ายังไม่มีการอัพเดตให้รองรับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เพราะมันแสดงผลภาพแบบขยายสเกลขึ้นมา ภาพเลยดูแตกๆ
- บางแอพแสดงผลได้ไม่เต็มจอ
ทั้งนี้ก็คงต้องรอเหล่าผู้ผลิตแอพ จัดการอัพเดตแอพของตนให้รองรับกันเต็มที่ก่อน ซึ่งคงไม่นานนักสำหรับแอพที่มีผู้ใช้งานมาก หรือแอพของบริษัทใหญ่ๆ
ส่วนอื่นๆ ที่น่าสนใจก็เช่น การประยุกต์ใช้ชุดคำสั่ง Metal เพื่อรีดประสิทธิภาพการประมวลผล ซึ่งจะเห็นผลกับเกมครับ โดยในส่วนนี้ Apple เองก็ได้รวมเกมที่ใช้ Metal เอาไว้เป็นหมวดหมู่ใน App Store แล้ว ลองไปหาเล่นกันได้ รับรองว่าลื่น ภาพสวยแน่นอน สำหรับในช่วงที่รีวิว iPhone 6 Plus นี้ เกมที่รองรับ Metal เต็มตัวยังมีไม่ค่อยมากเท่าไร คงต้องรออีกซักระยะ
ภาพที่สอง?ก็เป็นตัวอย่างของแอพที่ยังแสดงผลได้ไม่สมบูรณ์ครับ อย่างเช่น Ingress ที่แสดงผลได้ไม่เต็มจอ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะการเขียนแอพ ทำมาแบบล็อคขนาดหน้าจอไปเลย ไม่ได้เปิดให้มีการปรับสเกลได้ตามความละเอียดหน้าจอ ผลก็ออกมาเช่นนี้ ซึ่งเท่าที่ผมลองกับแอพจาก Google หลายๆ ตัวก็มีปัญหาอยู่เหมือนกัน แต่ส่วนมากมักจะเป็นภาพไอคอน ภาพอินเตอร์เฟสในแอพดูแตก คล้ายๆ กับเวลาใช้งานแอพ iPhone บน iPad ครับ
ภาพที่สาม?เป็นตัวอย่างการเดาคำของคีย์บอร์ด iOS 8 แหม่ สบายใจ๋ใจ๋มาเลย แสดงว่าในพจนานุกรมคำของ iOS ก็มีการบรรจุคำภาษาไทยเข้าไปเยอะขึ้นมากทีเดียว ส่วนอีกเรื่องที่น่าสนใจของคีย์บอร์ดก็คือ เป็นครั้งแรกที่ iOS สามารถติดตั้งคีย์บอร์ดจากผู้ผลิตรายอื่นบน App Store ได้ เช่น Swiftkey, Swype เป็นต้น ซึ่งผมลองดูแล้วครับ ก็ใช้งานได้ดีนะ แต่แค่ไม่มีภาษาไทยเท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าใครอยากใช้งานคีย์บอร์ดที่ swipe เลือกคำได้ ก็จัดการติดตั้งคีย์บอร์ดจาก App Store ซะ จากนั้นก็เข้ามาในส่วนของการตั้งค่าคีย์บอร์ด ลบคีย์บอร์ดภาษาอังกฤษพื้นฐานออก แล้วเพิ่มคีย์บอร์ดที่ติดตั้งใหม่ลงไปครับ ส่วนตัวผมที่รีวิว iPhone 6 Plus มา ก็ลองใช้งาน Swiftkey แทนภาษาอังกฤษ จัดว่าโอเคเลย ส่วนคีย์บอร์ดภาษาไทยก็ใช้อันเดิมไป
ส่วนภาพที่ห้า?นี่ก็คือส่วน Action Center ครับ ซึ่งตัวเลือกกลมๆ อันที่ห้าริมขวาสุดก็เป็นการเปิด/ปิดการพลิกจอ ซึ่งจะมีผลค่อนข้างมากใน iPhone 6 Plus เพราะมันมาพร้อมกับฟีเจอร์การพลิกอินเตอร์เฟสไปเป็นแนวนอน เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน แต่ส่วนตัวผมปิดมันนะ ไม่ได้ใช้งานเท่าไร ตัวอย่างก็ตามแกลเลอรี่นี้ครับ
Feature
หนึ่งในฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ iPhone 6 Plus จากการรีวิวครั้งนี้ก็คือ Display Zoom ที่ผู้ใช้งานสามารถเลือกสเกลการแสดงผลของไอคอน รูปภาพบางส่วนและตัวอักษรได้ เนื่องจากจอ iPhone 6 Plus มีขนาดใหญ่ ถ้าใช้ไอคอนแบบเดิมอาจจะทำให้กดไม่ถนัดก็เป็นได้ ทำให้ต้องมีฟีเจอร์นี้เพิ่มเข้ามาครับ โดยเราสามารถเลือกตั้งค่าได้ตั้งแต่เปิดใช้งานเครื่องครั้งแรก หรือจะเข้าไปปรับใน Settings ภายหลังก็ได้เช่นกัน อย่างในภาพด้านบนก็เป็นการเทียบขนาดระหว่างการแสดงผลลแบบธรรมดาการแสดงผลแบบซูมให้ไอคอนและตัวหนังสือดูขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งลองใช้ดูระหว่างรีวิว iPhone 6 Plus แล้วพบว่ามันสบายตาดีมากๆ ครับ ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานขึ้นเยอะ โดยเฉพาะเมนูต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น อ่านและกดง่ายขึ้น ถ้าเกิดใครปรับแล้วไม่พอใจ จะสลับไปใช้อีกโหมดหนึ่งก็ทำได้ไม่ยากอีกด้วย (แต่ต้องรีสตาร์ทเครื่องหนึ่งรอบด้วยนะ)
Camera
ด้านของกล้องถ่ายรูป iPhone 6 Plus ก็มีการพัฒนาขึ้นจาก iPhone 5s ไม่น้อยทีเดียว ที่ Apple โฆษณาก็เช่นระบบเซ็นเซอร์ที่ใช้ชื่อว่า Focus Pixels ซึ่งช่วยให้สามารถโฟกัสภาพได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้นกว่าเดิม ขนาดเม็ดพิกเซลที่เซ็นเซอร์ก็ใหญ่ขึ้นด้วย ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดภาพ สีสัน เก็บแสงสว่างได้มากขึ้นกว่าใน iPhone 5s ประกอบกับการเปลี่ยนมาใช้ชุดเลนส์ความกว้างรูรับแสง f/2.2 อีก แม้จะยังคงให้ภาพที่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเท่าเดิมก็ตาม ทำให้เราคาดหวังกันได้ว่าภาพถ่ายจากกล้องหลัง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus จะออกมาดีกว่า iPhone รุ่นที่ผ่านๆ มา แถมใน iPhone 6 Plus ยังมาพร้อมโมดูลกันสั่น OIS มาอีก ซึ่งจะช่วยให้การสั่นไหวในภาพน้อยลง ถ่ายวิดีโอได้ภาพที่นิ่งยิ่งขึ้น
จากที่ผมรีวิว iPhone 6 Plus มา ก็พบว่าคุณภาพของภาพถ่ายมันดีขึ้นกว่า iPhone 5s จริงๆ จุดที่เห็นง่ายสุดก็คือความคมชัดในภาพที่สูงขึ้น สามารถมองเห็นรายละเอียดต่างๆ ได้มากกว่าเดิม ส่วนเรื่องของระบบการวัดแสง ชดเชยแสง อันนี้ยอมรับเลยว่าทำได้ดี ทำให้ได้ภาพที่ออกมาเป็นธรรมชาติและค่อนข้างตรงกับความเป็นจริง?ส่วนการถ่ายภาพก็ทำได้ง่ายและสนุกเหมือนเดิมครับ แค่จิ้มจุดที่ต้องการโฟกัส แล้วก็กดถ่ายภาพได้เลย หรือจะปรับแสงสว่างก่อนถ่ายก็ได้ด้วย เพียงแค่จิ้มเลือกจุดโฟกัส ปล่อยนิ้วออกมา แล้วก็กลับไปจิ้มหน้าจอค้างไว้ เลื่อนขึ้นเพื่อเพิ่มความสว่าง เลื่อนลงเพื่อลดความสว่าง ซึ่งตัวนี้เป็นฟีเจอร์ของ iOS 8 ครับ ใครที่ใช้งาน iOS 8 บนเครื่องอื่นอยู่แล้วก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน ส่วนที่มีพบปัญหาภาพอมม่วงนั้น ส่วนตัวผมไม่เจอนะ เจอแต่ว่าบางภาพก็สีซีดไปหน่อย
ด้านของการถ่ายวิดีโอก็มีฟีเจอร์เพิ่มขึ้นมาบ้างเหมือนกัน ที่ชัดก็ในส่วนการถ่ายวิดีโอสโลว์โมชัน ที่สามารถถ่ายได้เฟรมเรตระดับ 240 เฟรมต่อวินาทีที่ความละเอียด 720p เข้าไปแล้ว จากเดิมใน iPhone 5s ที่ถ่ายได้ 120 เฟรมต่อวินาทีที่ความละเอียด 720p เท่านั้น ซึ่งจะทำให้วิดีโอที่ออกมายิ่งดูสโลว์โมชันมากขึ้นกว่าเดิมอีก หรือถ้าต้องการถ่ายที่เฟรมเรต 120 fps 720p ก็ยังทำได้เช่นกันครับ การแชร์วิดีโอก็ทำได้ง่าย ไม่ว่าจะแชร์ขึ้น Facebook, YouTube, Instagram หรือจะส่งเข้าอีเมลก็ทำได้ง่ายๆ ตัวอย่างวิดีโอ Slo-mo ที่ผมถ่ายมาก็ในคลิปนี้เลย
ส่วนอีกโหมดหนึ่งก็คือการถ่ายวิดีโอ Hyperlapse ที่ทำให้วิดีโอดูเร็วๆ เหมาะกับการใช้ถ่ายวิวที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่นมีคนเดิน หรือจะใช้ถ่ายระหว่างเราเดินก็ได้ ซึ่งในแบบหลังนี้ จากที่ผมรีวิว iPhone 6 Plus มา พบว่ามันทำได้ดีพอสมควรเลย เนื่องจากมันมี OIS ช่วยชดเชยการสั่นไหวในตัว
สำหรับตัวอย่างภาพถ่ายต่างๆ ก็ตามแกลเลอรี่ด้านล่างนี้ครับ รับชมกันได้เลย แต่ภาพในแกลเลอรี่นี้จะซีดกว่าภาพจริงเล็กน้อย ถ้าอยากดูภาพจริงๆ เต็มๆ แนะนำว่าให้ดาวน์โหลดภาพจากลิ้งค์นี้ไปชมกันในเครื่องของท่านได้เลยครับ (ไฟล์ใหญ่มาก)
ภาพถ่ายในเวลากลางคืน
ภาพถ่ายพาโนรามา
ในการถ่ายโหมดพาโนรามาบน iPhone 6 Plus ระหว่างการถ่ายจะค่อยๆ ปรับและชดเชยแสงสว่างในภาพแบบอัตโนมัติ ทำให้ภาพที่ออกมามีจุดที่แสงแตกต่างกันค่อนข้างน้อย
สำหรับภาพชุดนี้ เป็นการเทียบกันระหว่างภาพถ่ายจาก iPhone 6 Plus (ซ้าย) และ iPhone 6 นะครับ เอาจริงๆ แล้วมันไม่ต่างกันมาก เพียงแค่ตอนถ่าย สภาพแสงในร้านมันไม่คงที่เท่านั้นเอง เลยทำให้ภาพคู่ที่สองดูแตกต่างกันในด้านความสว่างมากไปหน่อย
สำหรับถ้าใครอยากชมบทความเปรียบเทียบภาพถ่ายระหว่าง iPhone 6 Plus กับ LG G3 ก็ตามไปชมกันต่อที่บทความนี้เลยครับ
>>?เทียบภาพถ่าย iPhone 6 Plus กับ LG G3 ทั้งกลางวันกลางคืน <<
Performance
ผลการทดสอบประสิทธิภาพของ iPhone 6 Plus ออกมาก็ไม่เกินไปกว่าที่คาดการณ์ครับ คือสามารถทำได้ในระดับท็อปๆ ของสมาร์ทโฟนประจำปีอีกเช่นเคย เหนือกว่ารุ่นท็อปของทางฝั่ง Android บางตัวด้วยซ้ำไป แม้ว่าชิปประมวลผลจะมีแค่ 2 คอร์ก็ตาม ส่วนด้านกราฟิกก็เช่นเดียวกัน แม้ในขณะที่รีวิว จะยังไม่แน่ชัดว่า Apple เลือก GPU รุ่นไหนมาใส่ในชิป Apple A8 ของตน มีแต่คาดการณ์ว่าน่าจะเป็น PowerVR GX6650 ซึ่งเป็นชิป GPU รุ่นท็อปของไลน์ 6XT จาก PowerVR เท่านั้นเอง
ส่วนผลการทดสอบด้านกราฟิกก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ครับ ทำได้ในระดับท็อปๆ ของวงการมือถืออีกเช่นกัน คะแนนออกมาเหนือกว่าการ์ดจอออนบอร์ดบางตัวของพีซีซะอีก ดังนั้นเรื่องการเล่นเกมก็หายห่วงตามสไตล์ของ iPhone ที่มักเล่นเกมได้สบายๆ ไปอีก 2-3 ปีเป็นอย่างต่ำ
แต่ทั้งนี้ก็มีอีกจุดหนึ่งที่ผมสังเกตพบครับ นั่นคือภาพแคปเจอร์หน้าจอของ iPhone 6 Plus นี้มีจุดค่อนข้างแปลกอยู่ เนื่องจากปกติแล้วขนาดของภาพแคปเจอร์หน้าจอจะเป็นความละเอียดเดียวกับจอจริงๆ เช่นใน iPhone 5s ก็จะมีขนาด 1136 x 640 ใน LG G3 ก็จะมีขนาด 2560 x 1440 แต่ใน iPhone 6 Plus ที่จอจริงๆ มีความละเอียดเป็น 1920 x 1080 แต่ภาพแคปเจอร์หน้าจอที่ออกมาดันเป็นความละเอียด 2208 x 1242 ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่เกินจอออกไปอีก?ทำให้เห็นว่าที่จริงแล้วชิปประมวลผลกราฟิกของ iPhone 6 Plus มันประมวลผลเกินความละเอียดหน้าจอจริงๆ ขึ้นไป แล้วสเกลภาพลดลงมา ทำให้ภาพที่ออกมาสวย คมชัด หลักการก็คล้ายๆ กับใน MacBook Pro with Retina Display นั่นเองครับ คือประมวลผลเยอะๆ ไว้ก่อน แล้วค่อยปรับสเกลลงมาบนจอ ….นี่ขนาดประมวลผลเยอะขนาดนี้แล้ว ยังได้คะแนนเทสกราฟิกสูงอยู่เลย
ด้านแบตเตอรี่ คงเป็นจุดที่หลายท่านรอชม เนื่องจาก iPhone 6 Plus ขยับขึ้นมาใช้แบตเตอรี่ความจุสูงถึงกว่า 2915 mAh ทำให้เป็นที่คาดการณ์ว่าน่าจะใช้งานเต็มวันได้อย่างสบายๆ ส่วนตัวผมก็จัดการทดสอบมาในระดับหนึ่งแล้วครับ รูปแบบการใช้งานของผมก็มีดังนี้
- ชาร์จแบตค้างไว้ตลอดคืน มาถอดสายชาร์จก็ตอนประมาณ 7 โมงเช้า จากนั้นก็วางเครื่องทิ้งไว้ มาใช้งานจริงๆ อีกทีก็ราว 11 โมงกว่าเกือบเที่ยง
- ไม่ได้ใช้งาน 3G/4G LTE ?เลย เพราะไม่มีซิม ใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน Pocket WiFi ตลอด
- เปิด GPS ตลอดเวลา เพราะใช้งาน Google Maps บ่อยมาก (GPS แม่นและเร็วจริงๆ)
- ความสว่างหน้าจอแบบปรับอัตโนมัติ แต่มีบางช่วงที่ปรับโดยใช้มือ
- ใช้งาน Facebook, Line, Twitter, เปิดหน้าเว็บ, แชท, เล่นเกมเล็กน้อย, ฟังเพลงเกือบตลอดเวลา, ถ่ายรูปเยอะมาก, เปิดใช้งานหน้าจอบ่อยๆ
ผลคือสามารถใช้งานแบบเต็มๆ ได้ 7 ชั่วโมงครึ่ง แบตจึงจะเหลือ 10% แต่ทั้งนี้ ไม่แน่ใจนะครับว่าถ้าใช้งานแบบเปิดซิมเชื่อมต่อสัญญาณจริงๆ ในไทยจะได้กี่ชั่วโมง ไว้ยังไงถ้าได้ทดสอบ จะมาเล่าให้ฟังในรีวิวนี้อีกทีแล้วกันนะ
สำหรับการชาร์จก็ทำได้รวดเร็วกว่าเดิมจริงๆ จากเท่าที่ลองชาร์จ iPhone 6 Plus ระหว่างรีวิวด้วย powerbank ซึ่งจ่ายไฟ 2.1A ได้ พบว่าใช้เวลาไม่นาน จากแบต 10% ก็เพิ่มมาเป็น 18% ภายใน 9 นาที หลังจากนั้นไม่นานก็เพิ่มเป็น 70% ซึ่งผมก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าใช้เวลานานเท่าไร แต่รู้สึกได้ว่าเร็วกว่า iPhone 5s แน่นอน แสดงว่า iPhone 6 และ iPhone 6 Plus รองรับการชาร์จไฟที่เร็วขึ้นด้วยแน่นอน ดังนั้นถ้าใครอยากชาร์จแบตเร็วๆ แนะนำว่าไปหาซื้ออะแดปเตอร์ iPad แท้มาใช้งานก็ได้ครับ ชาร์จเร็วถึงใจแน่นอน เพราะอะแดปเตอร์ที่แถมมากับ iPhone มันจ่ายไฟได้แค่ 1A เอง
Overall
เป็นอย่างไรบ้างครับกับรีวิว iPhone 6 Plus สมาร์ทโฟนรุ่นใหญ่ รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Apple ประจำปีนี้ สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับการอัพเกรดในหลายๆ จุด ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่ยกเครื่องมาใหม่ (แต่อาจจะดูไม่ค่อยสวยเท่าไร) สเปคที่อัพเกรดขึ้นมาตามปี แม้ว่าอาจจะยังดูด้อยกว่ามือถือรุ่นท็อปตัวอื่นๆ ในตลาดอยู่บ้างก็ตาม แต่ที่เด่นสุดคงเป็นขนาดหน้าจอที่เพิ่มมาเป็น 5.5 นิ้ว ใหญ่สะใจสำหรับผู้อยากได้มือถือจอใหญ่เลยทีเดียว โดยรวมแล้วทำให้การอ่านข้อมูล การเล่นโซเชียล การดูหนังฟังเพลงบน iPhone เป็นไปได้อย่างสนุกสนาน สบายตามากขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความคล่องตัวในการพกพา การหยิบใช้งานที่ลดลงจากเดิม เนื่องด้วยการออกแบบที่ทำให้ตัวบอดี้ดูใหญ่เทอะทะ แม้ว่าจะชดเชยมาด้วยความบางเบาแล้วก็ตาม แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเครื่องมันใหญ่เกินไปหน่อยจริงๆ
ส่วนพอได้ลองใช้งานจริงในระหว่างรีวิว iPhone 6 Plus แล้ว พบว่ามันก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากนักที่จะปรับตัว ปรับการใช้งานมือถือของตัวเองให้สามารถใช้งาน iPhone 6 Plus ได้อย่างคล่องตัวครับ ทั้งในตัวมันยังมีฟีเจอร์อำนวยความสะดวกกับการใช้งานหน้าจอขนาดใหญ่อีก เช่นฟีเจอร์ Reachability ที่ช่วยดึงส่วนบนของหน้าจอลงมาอยู่ในบริเวณที่สามารถสั่งงานได้ง่าย รวมไปถึงฟีเจอร์ Display Zoom ที่ช่วยซูมไอคอนและตัวอักษรให้แสดงผลได้ใหญ่ขึ้น ดูได้สบายตากว่าเดิม ทำให้การใช้งานจริงไม่ได้ถึงขั้นลำบากอะไรมากนัก อาจจะต้องใช้สองมือบ้างเป็นบางครั้ง
สำหรับส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความลื่นไหลของการทำงาน จอภาพ แอพพลิเคชัน กล้องถ่ายรูป ทั้งหมดเหล่านี้ iPhone 6 Plus ก็ยังคงมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีของแต่ละด้านได้เช่นเดียวกับ iPhone ประจำปีที่ผ่านๆ มา แม้ว่ามันอาจจะยังไม่ดีที่สุด ไม่ครบเครื่องที่สุด อาจจะยังมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ส่วนตัวผมเท่าที่รีวิวและใช้งานมา 3-4 วัน ต้องยอมรับเลยครับว่ามันเป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้งานได้สนุกจริงๆ อะไรๆ ก็ง่ายไปหมด และดูแล้วก็คงจะขายดีกันอีกเช่นเคยล่ะนะ
ข้อดี
- ทำงานได้อย่างลื่นไหล ตอบสนองรวดเร็วทันใจ (ดูเหมือนจะเร็วขึ้นด้วย โดยเฉพาะการเปิดแอพ)
- ตัวเครื่องบาง และถือว่าค่อนข้างเบาเมื่อดูจากขนาดตัวเครื่อง งานประกอบแน่นหนา
- ตัวเครื่องไร้เหลี่ยมมุม ทำให้สามารถใช้งาน จับถือได้อย่างไม่มีสะดุด อะลูมิเนียมก็เนื้อเนียนมือมากๆ
- หน้าจอสวยมาก ทั้งเรื่องของความละเอียด สีสัน contrast ทุกอย่างอยู่ในระดับพอดีๆ
- กล้องถ่ายรูปอยู่ในระดับที่หวังผลได้ โฟกัสเร็ว ให้โทนภาพออกมาค่อนข้างตรงกับความเป็นจริง (ส่วนตัวไม่พบปัญหาเรื่องสีภาพอมม่วงครับ เจอแต่ white balance เพี้ยนนิดหน่อย)
- ถ่ายวิดีโอสโลว์โมชันได้เฟรมเรตถึง 240 fps
- ชาร์จไฟได้เร็วขึ้นมาก แตต้องใช้อะแดปเตอร์ที่จ่ายไฟสูงด้วยนะ เช่นอะแดปเตอร์ iPad
- แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้นจริงๆ ถ้าไม่ได้ใช้งานหนัก รับรองว่าอยู่ได้จนหมดวัน
- GPS จับสัญญาณได้แม่นและรวดเร็ว
ข้อสังเกต
- ด้วยตัวเครื่องที่เป็นอะลูมิเนียมชิ้นเดียว จึงมีโอกาสงอเหมือนใน iPhone 5 และ iPhone 5s ได้ ดังนั้นตอนใช้งานคงต้องระวังกันหน่อย
- โมดูลกล้องยื่นออกมาจากฝาหลังประมาณ 1 มิลลิเมตร ควรใส่เคส
- ตัวเครื่องค่อนข้างใหญ่ ใช้งานช่วงแรกอาจไม่ค่อยชิน
- แรมแค่ 1 GB
- มี NFC แต่เอาไปใช้อะไรไม่ได้เลยนอกจากระบบ Apple Pay ซึ่งก็ไม่ได้ใช้ในไทยแน่นอน (อันที่จริงมี AirDrop อยู่ ใช้งานง่ายกว่า แต่รองรับเฉพาะ iDevice ด้วยกันและเครื่อง Mac เท่านั้น)
- บางแอพยังรองรับการทำงานบนจอ iPhone 6 Plus ไม่เต็มที่ ภาพยังแตกอยู่บ้าง คงต้องรออัพเดตจากทางผู้ผลิต
- OIS จะเห็นผลก็แค่ในการถ่ายภาพบริเวณที่มีแสงน้อย กับการถ่ายวิดีโอเป็นหลัก ถ้าไม่ค่อยได้ใช้ ส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยจำเป็น
เปรียบเทียบ
มาถึงส่วนของการเทียบ iPhone 6 Plus กับมือถือรุ่นอื่นที่น่าสนใจแล้วครับ มาเริ่มดูไปทีละตัวแล้วกัน
LG G3
LG G3 นับเป็นมือถือรุ่นท็อปที่จัดเต็มมากๆ ทั้งในเรื่องของสเปคที่แรงสะใจในแทบทุกจุด รวมถึงด้านดีไซน์ยังโดดเด่นตรงที่ย้ายปุ่มกดไปไว้ด้านหลังเครื่อง ทำให้สามารถใช้งานเครื่องได้ถนัดมือ และที่สำคัญคือการออกแบบที่ทำให้ขอบจอบาง ตัวเครื่องเล็กสุดในบรรดามือถือจอ 5.5 นิ้วด้วยกัน นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียวสำหรับผู้ที่ต้องการมือถือระดับท็อป แต่ใช้งานง่าย จับถือสะดวก จะมีจุดด้อยหน่อยก็คือเรื่องรอมที่บางครั้งก็ไม่ไหลลื่นอย่างที่ควรจะเป็น รวมถึงจอที่ภาพคมเกินไปนิดนึงด้วย
HTC One M8
ส่วน HTC One M8 ก็นับว่าเป็นมือถือ Android ที่เลือกใช้วัสดุและงานประกอบในระดับเดียวกับ iPhone เลยก็ว่าได้ ให้สัมผัสที่ยอดเยี่ยม รอมก็ทำออกมาได้อย่างลงตัว แถมราคาก็ปรับลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจทีเดียว ติดที่ว่าตัวเครื่องหนักไปหน่อย และกล้องความละเอียดไม่สูงมาก แม้จะมาพร้อมเทคโนโลยี UltraPixel ก็ตาม แต่ถ้าได้ความละเอียดสูงกว่านี้หน่อยก็คงโอเคกว่านี้ล่ะนะ
OPPO Find 7
ด้านของ OPPO Find 7 น่าจะเป็นมือถือสเปคระดับท็อปที่มีสเปคต่อราคาดีสุดในตลาดขณะนี้เลยก็ว่าได้ ด้วยจอความละเอียดระดับ 2K ชิปประมวลผลตัวแรง แรมจุใจ 3 GB รอม 32 GB ในตัว แบตเตอรี่ 3000 mAh การใช้งานโดยรวมก็ลื่นไหลเป็นอย่างดี เรียกว่าครบเครื่องมากๆ
Sony Xperia Z3
ในเร็วๆ นี้ Sony Xperia Z3 ก็จะวางจำหน่ายแล้ว แม้สเปคอาจจะดูอัพเดตไม่ค่อยทันหลายๆ แบรนด์ แต่ด้วยชื่อชั้นของความเป็น Sony ทำให้เชื่อได้ว่าการอัพเดตสเปคครั้งนี้น่าจะมีอะไรเด็ดๆ ออกมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะระบบกล้องถ่ายรูป ระบบการแสดงผล รวมถึงระบบการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ของ Sony เองที่แบรนด์อื่นไม่สามารถทำตามได้แน่นอน เหลือก็แค่เรื่องราคาล่ะครับว่าจะเปิดมาเท่าไร
Samsung Galaxy Note 4
ปิดท้ายด้วย Samsung Galaxy Note 4 ที่ในบ้านเราเพิ่งเปิดราคาไปหมาดๆ ที่ 24,900 บาท แม้ว่าสเปครุ่นที่นำมาขายจะเป็นรุ่น Exynos ก็ตาม แต่อันที่จริงในเรื่องของความแรงก็ไม่แพ้ใครเลย (ส่วนเรื่องความเข้ากันได้ก้บแอพต่างๆ คงต้องรอดูกันต่อไป) ส่วนสเปคอื่นๆ ก็สมกับเป็นรุ่นท็อปครับ ไม่ว่าจะจอ 2K แรม 3 GB กล้องหน้าหลังที่ทั้งความละเอียดสูง ทั้งยังมีการปรับปรุงด้านฮาร์ดแวร์ให้ดึกว่า Note 3 ขึ้นไปอีก เชื่อว่าน่าจะมาแย่งตลาดมือถือจอใหญ่รุ่นท็อปกับ iPhone 6 Plus ได้อย่างสูสีแน่นอน