ในงานเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ ปี 2017 Apple ได้เปิดตัว iPhone ด้วยกันถึง 3 รุ่น ได้แก่ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X รุ่นที่วางจำหน่ายก่อนจะเป็นคิวของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่ได้เริ่มวางจำหน่ายไปเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในประเทศกลุ่มที่ 1 ซึ่งยังไม่มีประเทศไทยอยู่ในกลุ่มดังกล่าว โดยประเทศไทยได้ประกาศวันวางจำหน่าย iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เป็นวันที่ 3 พฤศจิกายน 2017 ในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Apple Online Store (TH), iStudio, Studio 7 รวมถึงโอเปอร์เรเตอร์ทั้ง 3 เจ้า AIS, TrueMove H และ dtac
ตามธรรมเนียมของเว็บไซต์ SpecPhone.com ที่จะต้องไปหิ้ว iPhone รุ่นใหม่มารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันก่อนมันวางจำหน่ายในประเทศไทย โดยรอบนี้เราบินไปหิ้วมาจาก Apple Store ประเทศสิงคโปร์ สามารถซื้อ iPhone 8 Plus เครื่องสีทอง ความจุ 64 GB แบบเครื่องเปล่า ไม่ติดสัญญามาได้จำนวน 1 เครื่อง สนนราคาตีเป็นเงินไทยที่ประมาณ 33,000 บาท โดยเป็นเครื่องประกันศูนย์ Apple สามารถส่งเคลมกับ Authorized Service ของทาง Apple ได้ทุกประเทศ แน่นอนว่ามันส่งเคลมในไทยได้เช่นเดียวกับ iPhone 8, iPhone 8 Plus ที่ขายในประเทศไทย
สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนเกิดคำถาม คือ Apple จะทำ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ออกมาทำไม ในเมื่อ iPhone X (ไอโฟนเท็น) ก็มาในรูปลักษณ์ใหม่ รวมถึงฟีเจอร์อื่น ๆ ที่โดดเด่นกว่า iPhone 8 ที่เหมือน Apple มักง่าย จับ iPhone 7 เอามาโมดิฟาย แล้วก็ขายสาวกไปอีก 1 ปี แถมยังทำราคาสูงกว่า iPhone 7 เสียอีก
ตัวผมเองตอนที่รับชมงานเปิดตัวทางออนไลน์ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แต่พอได้ลองเล่นเครื่องรีวิว iPhone 8 Plus ก็ต้องขอถอนคำพูด และเข้าใจสิ่งที่ Apple ทำมากขึ้น เพราะว่า iPhone 8 และ iPhone 8 Plus (หลังจากนี้ไปจะขอใช้แค่ iPhone 8 Plus) ก็ยังคงเป็น “เจเนอเรชั่นใหม่ของ iPhone” ตามที่ Apple ได้บอกไว้ มันทำหน้าที่เป็นรุ่นต่อยอดจาก iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ได้อย่างสมบูรณ์แบบในตัว ราคาที่แพงกว่ารุ่นก่อนหน้าประมาณ 3,000 บาท ก็ถือว่าสมกับสิ่งที่ได้รับจาก iPhone 8 Plus และเป็นไปตามกลไกของค่าเงิน
ส่วน iPhone X ที่เปิดตัวมาพร้อมกัน กลายเป็นอีก Product Line ใหม่ของ iPhone ไปเป็นที่เรียบร้อย มันคือ iPhone ที่พรีเมียมกว่าเดิม ด้วยราคาที่สูงขึ้น แพงขึ้น เช่นเดียวกับการมี Macbook และ Macbook Pro ในฝั่งของแมคอินทอชนั่นแหละครับ
จุดเด่น
– หน้าจอ Retina HD ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ True-Tone ให้สีสันที่สมจริงในทุกสภาพแสง
– เกิดมาเพื่อ iOS 11 ชัด ๆ การทำงานร่วมกันเรียกว่าไร้ที่ติ
– วัสดุที่เป็นกระจกทำให้ดูหรูหรามากขึ้น สีดำให้ฟิลแบบ Jet Black ที่ไม่เป็นรอยง่ายแล้ว
– ลำโพงเสียงดีขึ้นมาก เมื่อเทียบกับ iPhone 7 Plus
– กล้องหลังดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การถ่าย Portrait ทำได้เนียนมากขึ้น ใกล้เคียงกับ DSLR
– สามารถใช้อุปกรณ์เสริมของ iPhone 7 Plus ได้แทบทุกอย่าง
ข้อสังเกต
– รองรับชาร์จไร้สาย แน่นอนว่าต้องซื้อแยกเช่นเคย
– ดีไซน์ยังคงใช้แบบเดิมเมื่อตอน iPhone 6 Plus นี่มันครบ 3 ปีแล้วนะ!!
– ณ ตอนที่เขียนรีวิว ยังไม่รองรับ ROV แบบ 60 fps (รอแอปอัพเดต)
– ภาพถ่ายกลางคืนทำได้ดีขึ้น แต่คู่แข่งอย่าง Note 8, Mate 10 Pro ก็ดันทำได้ดีกว่าในบางมุม
– ราคาแพงขึ้นจากตอน iPhone 7 Plus และมีตัวเปรียบเทียบเป็น iPhone X
บทสรุป
BEST PERFORMANCE
Design
สำหรับการออกแบบ ส่วนตัวคิดว่าควรเป็นอะไรที่ข้ามไปเลยจะดีกว่า เพราะ iPhone 8 Plus (และ iPhone 8) ก็ยังคงใช้ดีไซน์แบบเดียวกับ iPhone 7 Plus มาในทรงโค้งมน มีปุ่ม Home ทางด้านล่างหน้าจอ ส่วนขนาดหน้าจอก็มาในแบบเดียวกัน ได้แก่หน้าจอ 5.5 นิ้ว สำหรับ iPhone 8 Plus และหน้าจอ 4.7 นิ้ว สำหรับ iPhone 8
ข้อดีของการที่ iPhone 8 Plus ใช้ดีไซน์เดียวกับ iPhone 7 Plus เลยทำให้มันสามารถใช้งานอุปกรณ์เสริมร่วมกันได้แทบจะ 100% ไม่ว่าจะเป็นสายชาร์จ, หูฟัง รวมไปถึงเคส ไม่ว่าจะเป็นเคสของ Apple เอง หรือเคสจากผู้ผลิต 3rd Party ก็สามารถใช้งานร่วมกันได้แบบไร้รอยต่อ จะมีก็เพียงฟิล์มกันรอย, กระจกนิรภัยแบบเต็มหน้าจอ ที่จะต้องใช้ให้ตรงรุ่น เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งการวางเซ็นเซอร์ด้านบนหน้าจอเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ณ ตอนที่ผมเขียนรีวิว iPhone 8 Plus และมันก็ยังไม่เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ (iPhone 8 Plus วางจำหน่ายวันแรกในไทย วันที่ 3 พฤศจิกายน 2560) แต่เราก็แอบทราบมาว่าตอนนี้ Focus ผู้ผลิตฟิล์มกันรอยและกระจกกันรอยขวัญใจคนไทย ก็มีกระจก Focus Super Glass 3D Full Frame ที่เป็นกระจกกันรอยเต็มจอลงโค้ง แข็งแกร่งพิเศษตัวใหม่ของ Focus มาพร้อมกับความแข็งแรงทนทาน ทนต่อแรงกระแทกเป็นอย่างดี ทัชสกีนลื่นไหล แม้จะติดกระจกกันรอยก็ยังคงดึงความคมชัดของหน้าจอแบบ Retina HD ของ iPhone 8 Plus ออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
หน้าจอของ iPhone 8 Plus ยังคงใช้หน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Retina HD เช่นเดียวกับ iPhone 7 Plus เป็นหน้าจอที่รองรับขอบเขตสีกว้างมาตรฐาน DCI-P3 ให้สีสันที่เป็นธรรมชาติ และเพิ่มเติมด้วยเทคโนโลยี True Tone (แบบเดียวกับใน iPad Pro) ใช้เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงโดยรอบแบบ 4 ช่องสัญญาณที่ล้ำหน้าเพื่อปรับไวท์บาลานซ์บนหน้าจอให้ตรงกับอุณหภูมิสีของแสงรอบ ๆ ทำให้ด้านการแสดงผลของ iPhone 8 Plus โดยรวมแล้วดูดีขึ้นกว่า iPhone 7 Plus อย่างชัดเจน
ถึงแม้การออกแบบจะยังคงกินบุญเก่าเมื่อตอน iPhone 7 Plus (ถ้าไม่นับกล้องหลังคู่ก็คือถอดแบบจาก iPhone 6 Plus เมื่อสามปีที่แล้ว) ในแง่ของวัสดุ iPhone 8 Plus ได้มีการเปลี่ยนวัสดุตัวเครื่อง จากเดิมที่เป็นอลูมิเนียมชิ้นเดียวไร้รอยต่อ Unibody เปลี่ยนมาใช้เป็นอลูมิเนียม และกระจกที่ Apple เคลมว่าทนทานที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน แต่มันก็ไม่ได้เป็นกระจกอมตะฆ่าไม่ตาย และสามารถแตกได้เช่นเดียวกับกระจกปกติทั่วไป ที่สำคัญคือค่าเปลี่ยนกระจกหลัง iPhone 8 Plus ดันแพงกว่ากระจกหน้าจอเสียอีก
การที่เปลี่ยนวัสดุมาใช้กระจกและโลหะ เลยทำให้ตัวเครื่อง iPhone 8 Plus มีน้ำหนักมากกว่า iPhone 7 Plus พอสมควร และกลายเป็น iPhone ที่มีน้ำหนักมากที่สุดเป็นที่เรียบร้อย โดยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาจะพอ ๆ กับ iPhone 7 Plus ที่ใส่เคส แน่นอนว่าถ้าใช้ iPhone 8 Plus แบบใส่เคส (ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น) มันจะเป็นสมาร์ทโฟน 5.5 นิ้วที่หนักเอาการ ทำให้การถือใช้งานมือเดียวทำได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร แม้ว่า iOS 11 จะมีโหมดที่ช่วยในการใช้งานมือเดียวก็ตาม
เหตุผลที่ Apple ต้องเปลี่ยนวัสดุฝาหลัง iPhone 8 Plus, iPhone 8 รวมถึง iPhone X มาใช้กระจก เนื่องจาก iPhone ทั้ง 3 รุ่นนี้รองรับการชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi ถ้าเป็นฝาหลังโลหะจะไม่สามารถชาร์จไร้สายได้ อีกทั้งกระจกก็เป็นวัสดุที่ให้ความสวยงาม และพรีเมียมไม่แพ้โลหะ การเลือกใช้กระจกจึงดูเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับ iPhone 8 Plus
Software
iPhone 8 Plus มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 11 ตั้งแต่แกะกล่อง ราวกับว่ามันเกิดมาเพื่อกันและกัน โดย iOS 11 ที่รันบน iPhone 8 Plus นั้นทำงานได้อย่างลื่นไหล ไม่มีอาการกระตุก, ค้าง, หน่วง หรือแม้แต่การซดแบตเตอรี่หนัก ๆ ที่พบใน iPhone รุ่นเก่าที่อัพเดตเป็น iOS 11 ก็ไม่พบปัญหาเหล่านั้นใน iPhone 8 Plus
ส่วนเรื่องปัญหาเรื่องการสนทนา ที่มีเสียงแทรกเป็นระยะ ๆ ก็ได้ถูกแก้ไขในการอัพเดต iOS 11.0.1 เป็นที่เรียบร้อย ส่วนเรื่องการใช้งาน iOS 11 ก็ยังคงเน้นที่ความเป็นมิตรต่อผู้ใช้ (User-Friendly) เช่นเดียวกับ iOS รุ่นก่อน จะมีเปลี่ยนแปลงมากสุดคือหน้า Control Center ที่เป็นแบบเต็มหน้าจอ สามารถจัดเรียง Shotcut ต่าง ๆ ได้เอง
สรุปโดยรวม iOS 11 บน iPhone 8 Plus คือทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และใช้งานง่ายเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ iOS มาก่อน หรือย้ายมาจาก Android ก็สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ไม่ยาก
Feature
ฟีเจอร์เด่นใน iPhone 8 Plus เอาเข้าจริงก็ดูจะไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นนัก เนื่องจากจุดเด่นในปีนี้ถูกโฟกัสไปที่ iPhone X เสียหมด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า iPhone 8 Plus จะไม่น่าเล่นนะครับ มันก็ยังคงความเป็นภาคต่อของ iPhone 7 Plus ได้อย่างสมบูรณ์แบบตามที่มันควรจะเป็นเช่นเคย
Augmented Reality (AR)
เทคโนโลยีการผสมผสานโลกเสมือน (Virtual World) เพิ่มเข้าไปในโลกจริง (Physical World) ที่เราเห็น Android พยายามใช้มันมาเมื่อหลายปีก่อน (Sony Xperia กับโหมด AR ในกล้องถ่ายภาพ) หรือแม้แต่ Google ก็มี Project Tango ที่พัฒนาด้าน AR โดยเฉพาะ และก็มีสมาร์ทโฟนที่รองรับ Tango วางจำหน่ายแล้ว เช่น Lenovo PHAB 2 Pro, ASUS Zenfone AR รวมถึงเกมยอดฮิตที่เห็นใช้เทคโนโลยี AR ก็ได้แก่ Pokemon Go ในช็อตที่เราปาบอลแล้วโปเกมอนอยู่ในสถานที่ ก็เป็นหนึ่งในการใช้เทคโนโลยี AR เข้ามาเสริม
iPhone 8 Plus (Apple A11) รวมถึงรุ่นก่อนหน้า ได้แก่ iPhone 7 (Apple A10), iPhone 6s (Apple A9) ก็ล้วนแต่รองรับ ARKit และแน่นอนว่าพอเป็น Apple ลงมือทำเอง เลยทำให้มีแอปพลิเคชัน AR ผุดขึ้นมาบน App Store มากมาย รวมถึงแอปพลิเคชันบางแอปก็มีอัพเดตให้สามารถใช้งาน AR ได้ โดยเฉพาะเกม AR บน iPhone จัดว่าทำได้ดี และเปลี่ยนวิธีการเล่นเกมบนสมาร์ทโฟนไปเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม iPhone 8 Plus ดูจะให้ประสบการณ์ใช้งานที่เหนือกว่า iPhone รุ่นก่อน ๆ ที่รองรับ ARKit อย่างเห็นได้ชัด ด้วยชิปประมวลผล Apple A11 Bionic ที่มีประสิทธิภาพสูง การเรนเดอร์ทำได้อย่างรวดเร็ว ลื่นไหล สมบูรณ์แบบมากกว่า รวมถึงเรื่องการจัดการพลังงานและความร้อนที่ออกมาจากตัวเครื่องตอนใช้ AR ก็ทำได้ดีกว่าชัดเจน
ชาร์จไร้สาย + ชาร์จเร็ว (USB PD)
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมาก็คือการชาร์จไฟ iPhone 8 Plus รองรับทั้งการชาร์จไร้สาย และการชาร์จเร็วมาตรฐาน USB PD (Power Delivery) สำหรับการชาร์จไร้สาย จำเป็นต้องซื้อแท่นชาร์จเพิ่ม ไม่ได้มีแถมมาให้ในกล่อง แต่สามารถใช้แท่นชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi ชาร์จได้ทันที ซึ่งก็มีวางจำหน่ายหลายรุ่น หลายยี่ห้อ รวมถึง Apple เองก็ได้เตรียมจำหน่าย AirPower แผ่นชาร์จไร้สาย ที่ชาร์จอุปกรณ์ได้พร้อมกันถึง 3 ชิ้น แต่จะพร้อมวางจำหน่ายในช่วงต้นปี 2018
ส่วนฟีเจอร์ชาร์จเร็ว Apple เลือกใช้การชาร์จเร็วมาตรฐาน USB PD (ไม่แถมให้ในกล่อง) ซึ่งเป็นการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ชาญฉลาด ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้อะแดปเตอร์ของ Apple ก็สามารถชาร์จเร็วให้กับ iPhone 8 Plus ใช้เวลาเพียง 30 นาที สามารถชาร์จไฟได้ถึง 50% โดยอะแดปเตอร์ที่รองรับการชาร์จเร็วร่วมกับ iPhone 8 Plus ถ้าเป็นของ Apple ก็จะเป็นอะแดปเตอร์ของ Macbook, Macbook Pro รุ่นใหม่ แต่จำเป็นต้องชาร์จผ่านสาย USB-C to Lightning Cable ที่จำหน่ายแยกในราคา 890 บาท ส่วนอะแดปเตอร์ 3rd Party ตอนนี้ก็มีวางจำหน่ายแล้วหลายยี่ห้อ อย่าง Innergie เองก็เตรียมวางจำหน่าย Innergie PowerJoy 30C ที่รองรับ USB PD ในเร็ว ๆ นี้
Camera
สเปคกระดาษของ iPhone 8 Plus บอกให้เราทราบว่ามันยังคงใช้กล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่าเดิม มาพร้อมกับกล้องคู่ เลนส์มุมกว้างกับเลนส์เทเลโฟโต้แบบเดียวกับ iPhone 7 Plus แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ iPhone 8 มาพร้อมกับกล้องที่เซ็นเซอร์มีขนาดใหญ่ขึ้นและ
ไวขึ้น ฟิลเตอร์สีแบบใหม่ พิกเซลที่เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น รวมถึงระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล (OIS) สำหรับรูปภาพและวิดีโอ
นอกจาก Apple จะเลือกใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว ยังมีการใช้โปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพอัจฉริยะ (ISP) ที่คอยตรวจจับองค์ประกอบต่างๆ ในฉาก ไม่ว่าจะเป็นคน การเคลื่อนไหว และสภาพแสง เพื่อปรับแต่งรูปภาพให้สวยยิ่งขึ้นตั้งแต่ก่อนที่จะถ่าย ขณะเดียวกันก็ยังมีการประมวลผลพิกเซล, การบันทึกภาพด้วยขอบเขตสีกว้าง, ระบบออโต้โฟกัสที่เร็วขึ้น และภาพ HDR ที่ดีขึ้น
การที่มีชิปประมวลผลอันทรงพลังอย่าง Apple A11 Bionic รวมกับ ISP ใหม่ เลยทำให้ความพิเศษของ iPhone 8 Plus นอกจากที่จะถ่ายรูปได้ดีขึ้นแล้ว โหมด Portrait ก็มีการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น มีฟีเจอร์ “การจัดแสงภาพถ่ายบุคคล” (Portrait Lighting) สามารถใช้ระบบตรวจจับใบหน้า และแผนผังแนวลึกเพื่อถ่ายภาพถ่ายบุคคลพร้อมแสงเงาที่สวยสะดุดตา เอฟเฟ็กต์แสงสปอตไลท์ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง iPhone 8 Plus
กล้องหน้าของ iPhone 8 Plus ใช้กล้องหน้า Facetime HD ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับ Retina Flash ส่วนตัวคิดว่าคุณภาพยังไม่แตกต่างจากกล้องหน้า iPhone 7 Plus มากเท่ากับกล้องหลัง
อีกสิ่งหนึ่งที่กล้องของ iPhone 8 Plus ทำได้เหนือกว่ารุ่นก่อนหน้า คือรองรับการถ่ายวีดีโอที่ความละเอียด 4K เฟรมเรตสูงสุดถึง 60 fps ที่กล้อง DSLR บางรุ่นยังทำไม่ได้ ถ่าย Slo-mo ได้ที่ความละเอียด 1080p ที่เฟรมเรต 240 fps และที่สำคัญคือมันสามารถเลือกเฟรมเรต 24 fps ที่เป็นมาตรฐานของการใช้งานในวงการภาพยนตร์ได้อีกด้วย รวมถึงระบบการจัดเก็บไฟล์แบบใหม่ ที่เริ่มใช้ใน iOS 11 อย่างการบีบอัดข้อมูลแบบ HEVC เลยทำให้สามารถถ่ายวีดีโอที่มีความละเอียดเท่าเดิม ในขนาดไฟล์ที่เล็กลงกว่าครึ่งได้สบาย ๆ
Performance
ประสิทธิภาพของ iPhone 8 Plus คงไม่มีอะไรต้องพูดมากนัก ด้วยคะแนนทดสอบจากแอปพลิเคชัน Benchmark ที่แรงทะลุหลอด แซงทุกชิปเซ็ตของฝั่ง Android ด้วยชิปประมวลผล Apple A11 Bionic ชิปเซ็ตแบบ Hexa-Core (6 Core) แบ่งเป็น 4 Core ประหยัดพลังงาน และ 2 Core ประสิทธิภาพสูง พร้อมตัวประมวลผลด้านการจัดการพลังงานโดยเฉพาะ ทำให้มันสามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone 7 Plus เฉลี่ยที่ 2 ชั่วโมง ในขณะที่แบตเตอรี่มีขนาดเล็กลง
นอกจาก CPU ที่ทรงพลังขึ้นแล้ว GPU รุ่นใหม่ที่ใช้บน iPhone 8 Plus ก็ให้ความแรงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าถึง 30% เป็น GPU แบบ 3 Core ทำให้การเล่นเกม หรือการใช้งานด้านกราฟฟิคจากที่ทำได้ดีอยู่แล้ว ทำได้ดียิ่งขึ้นบน iPhone 8 Plus โดยชิปเซ็ต Apple A11 Bionic ยังรองรับ Metal 2 ซอฟต์แวร์กราฟิกที่ออกแบบโดย Apple ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์เกมที่มีกราฟฟิคระดับคอนโซลได้ รวมถึง Core ML ที่ทำให้นักพัฒนาสามารถผสานรวมการเรียนรู้ของระบบเข้าไปในแอปของตัวเอง เชื่อว่าหลังจากนี้ไปคงมีเกมใหม่ ๆ ใน App Store ที่มาพร้อมกับกราฟฟิคระดับสูงมากขึ้น
ด้านการจัดการพลังงาน Apple ได้ระบุว่า iPhone 8 Plus สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone 7 Plus เฉลี่ยที่ 2 ชั่วโมง แม้ว่ามันจะมีแบตเตอรี่ความจุน้อยกว่า iPhone 7 Plus ก็ตาม จากการทดสอบพบว่าเป็นไปตามที่กล่าวอ้าง iPhone 8 Plus สามารถใช้งานได้หมดวันโดยไม่ต้องชาร์จไฟเพิ่ม ถ้าไม่ได้เป็นการใช้งานหนัก เช่น เล่นเกมแบบต่อเนื่อง หรือการเปิดหน้าจอตลอดเวลา แน่นอนว่ามันเทียบกับพวกสมาร์ทโฟนแอนดรอยบางรุ่นที่เคลมกว่าใช้งานได้ 2 วัน หรือนานกว่านั้น แต่ก็อย่าลืมว่าแบตเตอรี่ของ iPhone 8 Plus จากที่ถูกแกะมามันมีความจุเพียง 2,675 mAh เท่านั้น