มาถึงรุ่นที่ 2 กันแล้ว กับแท็บเล็ตจาก Apple ที่มีชื่อว่า iPad โดยการกับมาครั้งนี้ได้ใช้ชื่อที่เรียบง่ายและเข้าใจง่ายๆ ว่า iPad 2 ซึ่งใครที่รู้จักกับ iPad อยู่แล้วหรือไม่รู้จักก็จะเข้าใจได้ทันที ว่ามันเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด เรียกได้ว่าจากการที่ Apple iPad ได้เคยสร้างเสียงฮือฮากันมาแล้วครั้งหนึ่งจากปี 2010 ที่เรียกได้ว่าเป็นแท็บเล็ตตัวแรกของโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างที่สุด ส่งผลให้ Apple มีกำไรสุทธิมากที่สุดในวงการคอมพิวเตอร์ พร้อมปฏิวัติวงการที่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือค่ายอื่นๆ หันมาทำตามกันบ้าง โดยอาศัยระบบปฏิบัติการอย่าง Android หรือ Windows 7 ที่เราอาจจะเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้ว จากรีวิวที่ผ่านๆ มา
วีดีโอรีวิว Apple iPad 2
ในปี 2011 นี้ทาง Apple ก็ได้ส่ง iPad 2 ออกมาตามที่คาดกันไว้ โดยได้มีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นในหลายๆ ด้าน ส่วนราคาก็ตามสไตล์ Apple ก็คือราคาเท่ากับ iPad รุ่นแรกอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งในวันนี้ iPad 2 ได้ผ่านมือทีมงานและได้ทำการรีวิวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยังไงก็สามารถติดตามชมผ่านบทความรีวิว iPad 2 นี้กันได้ครับ สำหรับใครที่จะชมวีีดีโอรีวิวก่อนก็สามารถชมกันได้ครับ
แนะนำ Apple iPad 2
ก่อนหน้าที่เราจะพบกับรีวิวเต็มๆ ของ Apple iPad 2 เรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่า ว่า iPad รุ่นแรกกับ iPad 2 แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งที่ Apple ภูมิใจนำเสนอมาก็คือ บางกว่า, เบากว่า, เร็วกว่า, รองรับ Facetime, รองรับ Smart Cover, แบตเตอรี่ใช้ได้นานสูงสุดถึง 10 ชั่วโมง พร้อมทั้งเปิดตัวราคาในไทยเริ่มที่ 15,900 บาทเท่านั้นเอง แน่นอนว่าจะเป็นจริงแค่ไหน? คงต้องติดตามในส่วนของรีวิวกัน
ดีไซน์ใหม่หมดจดแตกต่างจาก iPad รุ่นเดิม ที่เราสามารถจับถือ iPad 2 ได้ง่ายและคล่องตัวกว่าแต่ก่อน เพราะเข้ารูปมือมากกว่าด้วยดีไซน์ที่โค้งมน อีกทั้งยังมีความสวยหรู ดูแล้วเป็นของมีราคาเป็นสินค้าระดับสูง
ที่สำคัญกว่านั้นด้วยชิปประมวลผลใหม่ล่าสุดที่เป็น Dual-core A5 ความเร็ว 1GHz ส่งผลให้เราสามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล แม้ว่าจะเปิดค้างไว้พร้อมๆ กับ รวมไปถึงเกมที่ใช้กราฟิก 3D หนักๆ ก็รองรับได้เป็นอย่างดี ทำให้เราใช้งานได้เต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าถ้าเทียบกับ iPad รุ่นแรกแล้ว ก็แรงกว่าพอตัวเลย
มาพร้อมกับกล้องด้านหน้าและด้านหลังที่รองรับการถ่ายภาพคุณภาพระดับ HD ที่รองรับการใช้งานแอพพลิเคชั่น Facetime เช่นเดียวกับที่ iPhone 4 รองรับ เพื่อใช้งาน VDO Call อีกด้วย และนอกจากนั้นยังมีสีให้เลือกใช้งานทั้ง 2 สี คือ สีดำและสีขาวอีกด้วยครับ
สเปกหลักๆ ภายในของ iPad 2
- ใช้ Apple A5 ที่เป็น Dual Core เเละตัวประมวลผลกราฟฟิคใหม่ล่าสุดคือ PowerVR SGX 543 ที่ความเร็วถูกลดลงมาเหลือ 800 MHz จาก 1 GHz เเต่ก็เร็วกว่า iPad ตัวเดิมเเบบรู้สึกได้ คะเเนนเทสต่างจากเดิมเกือบ 2 เท่าตัว
- เเรมขนาด 512 MB เท่ากับ iPhone 4 แต่เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า
- หน้าจอเป็น LED เเบบพาเนล IPS ที่ให้สีสันดีกว่าจอเเบบทั่วไป ขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 1024 x 768 พิกเซล เท่ากับของเดิม
- ใช้ Wi-Fi ได้ทั้งเเบบ b/g/n เเละมี A-GPS มาให้ในตัวสำหรับรุ่น 3G พร้อมด้วยเซ็นเซอร์?Accelerometer/Proximity Sensor และ Gyroscope
- เป็นเพียงเเค่การอัพเกรดจาก iPad รุ่นแรก ต่างจากการปฏิวัติอย่าง iPhone 4 กับ?iPhone 3GS
- เเบตเตอรี่พัฒนาขึ้นอย่างมาก จากการใช้งานที่สภาพใกล้เคียงกัน iPad 2 อยู่ได้นานกว่าตัวเเรก 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ในส่วนของสเปกนั้นอื่นๆ นั้นสามารถชมได้จากภาพด้านล่างหรือ เว็บไซต์ของ Apple iPad 2 เลยนะครับ ซึ่งแน่นอนแล้วว่า iPad 2 จะมี 2 รุ่นให้เลือกด้วยกัน คือ Wi-Fi และ Wi-Fi + 3G พร้อมกับความจุที่มีให้เลือกตั้งแต่ 16GB, 32GB, 64GB ที่ดูแล้ว iPad 2 รุ่นที่เป็น Wi-Fi + 3G จะมีน้ำหนักมากกว่าเล็กน้อยหากเทียบกับ iPad 2 ตัวธรรมดา ส่วนสเปกอื่นๆ จะเหมือนกันทั้งหมดครับ
สำหรับในส่วนราคาของ iPad 2 ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นคือ ราคาเท่ากับ iPad รุ่นแรกช่วงเปิดตัว โดยที่ทางทีมงานได้มารีวิวนั้น จะเป็น iPad 2 สีขาวรุ่น Wi-Fi + 3G ขนาด 32GB ราคาอยู่ที่ 22,900 บาท ที่จากข้อมูลในอินเตอร์เน็ตและ iStudio จัดได้ว่ารุ่นนี้ขายดีที่สุด เพราะมีจุดคุ้มค่าที่สูงที่สุดครับ
แกะกล่อง iPad 2
มาถึงขั้นตอนในการีวิวกันแล้วกับ iPad 2 ที่ทางทีมงานของรีวิวตั้งแต่แกะกล่องกันเลย โดยหากดูจากกล่องแล้วจะเห็นได้ว่าขนาดกล่องเล็กและบางกว่ากล่องของ iPad รุ่นแรกอยู่พอสมควรเลยทีเดียวครับ ซึ่งภาพที่อยู่บนกล่องนั้นจะเน้นถึงความบางของ iPad 2
ด้านหลังของกล่องจะเป็นรายละเอียดพร้อมข้อมูลเล็กน้อยที่สำคัญในการระบุรุ่นของ iPad 2
เมื่อเราทำการแกะกล่องออกมาจะเห็นว่ามีอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ?Wall Charge, สาย USB Dock Connector, คู่มือ (รายละเอียดน้อยนิด)
และที่พิเศษคือ มีอุปกรณ์เพื่อใช้ในการใส่ Micro Sim 3G ที่จะอยู่ภายในกล่องของคู่มืออีกที (เฉพาะ iPad 2 ที่เป็นรุ่น Wi-Fi + 3G) ซึ่งถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะคล้ายๆ กับของ iPhone 4 แต่ไม่เหมือนกันสักทีเดียวนะครับ ยังไงรอติดตามได้ว่าแตกต่างกันอย่างไร ที่สำคัญที่สุดไม่มีหูฟังมาให้แต่อย่างใดนะครับ สำหรับ iPad 2 หรือ iPad รุ่นแรกก็ไม่มี (เดี๋ยวกลัวว่าจะไปทวงคนขาย แล้วจะหน้าแตกเอา อิอิ)
ตัวเครื่อง iPad 2
ถึงเวลาซักทีที่เราจะได้สัมผัสกับตัวจริงของ iPad 2 โดยอย่างที่บอกไปว่าเราได้เครื่องสีขาวมารีวิว ที่เรียกได้ว่าเห็นแล้วต้องหลงรักเลย กันรูปร่างหน้าตาที่สวยงามและบางเฉียบ พร้อมทั้งความเนียนของสีขาว เหมือนอย่าง iPhone 4 สีขาว แน่นอนว่ายังมาพร้อมกับ iOS เวอร์ชั่น 4.3.2 (ล่าสุดอยู่ที่ 4.3.3 นะครับ)
โดยรูปร่างหน้าตา iPad 2 Wi-Fi + 3G นั้น จะมีรูปร่างที่เหมือนกับ iPad 2 Wi-Fi เลยก็ว่าได้ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 9.7 นิ้วเช่นเดิม ไม่แตกต่างจาก iPad รุ่นแรก หน้าจอสัมผัสและขอบจอเรียบเสมอเป็นแผ่นเดียวกัน เมื่อใช้งานจึงไม่มีสะดุด ที่มีข้อสังเกตคือ มีขอบจอที่บางลง ทำให้เมื่อถือก็รู้ได้เลยว่ามีขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าตัวจอภาพเป็น LED backlight พร้อมทั้งพาเนลคุณภาพสูงอย่าง IPS เรื่องสีสันความสดใสจึงไม่ต้องกังวล รวมไปถึงเรื่องมุมมองการรับชมนั้นถือว่าทำได้เกือบ 180 องศา ?ไม่แตกต่างจากที่เราดูผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ระดับมืออาชีพทีเดียว ในส่วนของหน้าจอแสดงผลมีความละเอียด 1024 ? 768 พิกเซล หรือ 132 พิกเซลต่อนิ้ว สัดส่วนจอเป็นแบบ ?4:3 ซึ่งต่างจากสัดส่วนจอของ iPhone 4 หรือ iPod Touch ที่เป็น 3:2 เรียกได้ว่าเหมาะมากๆ ที่จะใช้อ่าน E-Book หรือ แอพฯ แม็กกาซีนที่ให้ดาวน์โหลดได้ต่างๆ
สำหรับในส่วนของมิติเครื่องของ iPad 2 นั่น ถือได้ว่าให้น่าใช้กว่าเดิมอีก เมื่อเทียบกับ iPad รุ่นแรกแล้ว เพราะว่ามีความบางลง เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงน้ำหนักก็ยังเบาลงอย่างรู้สึกได้อีกด้วย นอกเหนือจากนั้นยังดูแล้วสวยงามลงตัว และที่สำคัญอย่างที่บอกไปแล้ว คือ มีให้เลือกอยู่ ?2 สีด้วยกัน ทั้งสีขาวและดำ
มาดูในแต่ละส่วนของ iPad 2 ตัวเป็นๆ ดีกว่า โดยขอเริ่มจากกล้องหน้าก็แล้วกัน ที่เห็นว่าเป็นจุดเล็กดำๆ ในภาพ ที่จะอยู่บริเวณด้านหน้าส่วนบนของตัวเครื่อง พร้อมรองรับความละเอียดที่ VGA (640 x 480 พิกเซล) ที่ 30 เฟรม แน่นอนว่าไว้สนับสนุนการใช้งาน VDO Call อย่าง FaceTime
ด้านล่างของตัวเครื่องจะเห็นเป็นปุ่ม Home ไว้สำหรับกลับสู่หน้า Home หรือออกจากตัวของแอพพลิเคชั่นต่างๆ
งานประกอบต่างๆ ของ iPad 2 นั้น เรียบร้อยมากๆ พร้อมยังมีความแข็งแรง ที่สามารถรู้สึกได้ตั้งแต่แรกจับ ไม่เหมือนกับแท็บเล็ตเจ้าอื่นๆ :P
ด้านหลังของ iPad 2 ก็ยังคงตามแบบฉบับสวยหรูของ Apple เช่นเดียวกับ Macbook Pro พื้นผิวสัมผัสเป็นแบบเรียบๆ?พร้อมกับโลโก้ชัดเจนอยู่บริเวณกลางเครื่อง โดยวัสดุที่ใช้นี้ยังคงเป็นอลูมิเนียมแบบด้าน ที่จับแล้วไม่ค่อยเกิดรอยนิ้วมือมากนัก?จากการทดลองถือและจับ เรียกได้ว่ามีความแข็งแรงสูงด้วยความที่เป็นโลหะชั้นดี?รวมไปถึงมีข้อจำกัดแบบเดิมๆ ก็คือถอดฝาหลังด้วยตนเองไม่ได้ กับเพิ่มการ์ดหน่วยความจำไม่ได้ ซื้อมาแค่ไหนใช้มันเท่านั้นพอ (แต่โดยส่วนตัว แนะนำเป็นรุ่น 32GB หรือ 64GB จะเหมาะสุด)
ที่สังเกตเห็นชัดๆ ที่ตัว iPad 2 Wi-Fi + 3G ต่างจาก iPad Wi-Fi ตัวธรรมดาก็คือ ขอบด้านบนจะเป็นพลาสติกสีดำ ซึ่งเป็นตำแหน่งของเสาสัญญาณ เพื่อให้สัญญาณ 3G และ GPS ใช้งานได้อย่างเต็มกำลังนั่นเองครับ
ขอบด้านซ้ายของตัว iPad 2?จะเป็นช่อง Slot สำหรับใส่ Micro Sim 3G โดยในกล่องก็จะมีเครื่องมือในการถอดถาดออกมาเพื่อที่จะใส่?Micro Sim ได้อีกที วีธีการใช้คือ แทงเข้าไปในมุม 45 องศา แล้วดันเข้าไปตรงๆ (ใหม่ๆ อาจจะแน่นซักนิดนึง)
และขอแนะนำว่าใครที่มี iPhone 4 ก็อย่าใช้ตัวเดียวกันนะครับ เพราะรูที่ของ iPad 2 นั่นจะมีลักษณะกลมๆ แตกต่างจาก iPhone 4 ที่เป็นเหลี่ยมๆ ซึ่งถ้าเราเอาเครื่องมือของ iPhone 4 อาจจะทำให้ iPad 2 ของเรานั้นเป็นรอยได้ในทันที T^T
มาดูส่วนของด้านบน iPad 2 ที่เป็นพลาสติกสีดำ ที่ถ้าเรามองดีๆ แล้ว จะพบกับช่องของไมค์โครโฟน ที่ไว้รองรับการใช้งานวีดีโอ หรือบันทึกเสียงอื่นๆ
ขอบด้านขวามือของตัวเครื่อง iPad 2 ด้านบนจะเป็นปุ่มสีดำ Power / Sleep ส่วนขอบด้านขวาจะเป็นปุ่ม Hold ที่สามารถเลือกที่จะปิดเสียงหรือเป็นตัวล็อกหน้าจอไม่ให้ปรับอัตโนมัติก็ทำได้ โดยการเลื่อนขึ้น-ลง และสุดท้ายคือปุ่มปรับระดับเสียง เรียกได้ว่ายังคงเอาไว้อย่างเดิมไม่แตกต่างจาก iPad รุ่นแรกเลย
นอกเหนือจากนั้นที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากที่มีกล้องด้านหน้าแล้ว ยังมีในส่วนของกล้องด้านหลังอีกด้วย ที่ในตามภาพจะเห็นเป็นวงกลมสีดำ ซึ่งตัวกล้องเองสามารถถ่ายภาพความละเอียดได้ที่ 960 x 720 พิเซล ระบบ Autofocus?พร้อมทั้งถ่ายวีดีโอได้ความละเอียด 720P 30 เฟรม?แน่นอนว่าดูจากความละเอียดคงจะสู้ไม่ได้เลยถ้าเทียบกับในแท็บเล็ตคู่แข่ง หรือแม้กระทั้ง iPhone 4 ด้วยกัน ซึ่งโดยความคิดส่วนตัวของผม คาดว่า Apple ตั้งใจติดกล้องนี้มาให้เพื่อน่าจะพอถ่ายรูปได้มากกว่า (เพราะแฟลชก็ไม่มี) รวมถึงเซ็นเซอร์เองก็น่าจะเป็นตัวเดียวที่ใช้ใน iPod Touch Gen 4 อีกด้วย ยังไงในส่วนของคุณภาพไฟล์ คงต้องไปดูในส่วนของตัวอย่างภาพถ่ายกันนะครับ
ลงมาขอบจอด้านล่างก็จะเป็น USB Connector ไว้เชื่อมกับคอมพิวเตอร์ หรือ Docking ต่าง ๆ อีกทั้งยังไว้เชื่อมต่อกับ Wall Charge เพื่อชารจ์ไฟอีกด้วย รวมไปถึงก็มีรายละเอียดที่เป็นการระบุความจุและข้อมูลต่าง ๆ ตามสไตล์ของ Apple ที่ใช้ใน iPhone, iPod ที่มีมาแต่ไหนแต่ไร (ในรูปเราได้ทำการลบ IMEI และ Serial ของเครื่องออกนะครับ)
ส่วนถัดมาเห็นเป็นช่องที่มีลักษณะเป็นรูเล็กๆ นั่นคือลำโพงซึ่งเป็นแบบระบบโมโนที่จัดว่าคุณภาพเสียงที่ออกมานั้น ยังพอฟังได้ แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียดอะไร เมื่อเทียบกับ iPad รุ่นแรกก็ดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น คาดว่าคงเป็นเพราะ Apple อยากให้เราซื้อหูฟังดีๆ หรือลำโพงหรูๆ มาต่ออีกที ^^