เมื่อ iPad 2 เทียบกับ iPad รุ่นแรก
เชื่อได้เลยว่าหลายๆ คนที่ดูรูปร่างของ iPad 2 แล้ว อาจจะสงสัยว่า iPad 2 กับ iPad รุ่นแรกมีความแตกต่างกันอย่างไร ตรงไหนบ้าง ทางทีมงานเลยถึงโอกาสนำมาเทียบกันแบบจุดต่างจุดไปเลยดีกว่า โดยของเริ่มตั้งแต่การจับวางคู่กันก่อน ที่ตามภาพด้านล่างจะเห็นว่าตัวเครื่องของ iPad 2 จะมีขนาดเล็กกว่าอยู่พอสมควร ทั้งๆ ที่มีขนาดหน้าจอเท่ากันคือ 9.7 นิ้ว ซึ่งก็อย่างที่บอกไปตอนต้นแล้วว่า iPad 2 ได้ตัดขอบรอบๆ ตัวเครื่องออกไป
สำหรับในเรื่องของความบาง iPad 2 ก็เอาชนะได้อย่างขาดลอย เพราะมีความบางกว่าเท่าตัวเมื่อนำมานอนคู่กับ iPad รุ่นแรก แบบที่ไม่ต้องสังเกตก็เห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน ส่งผลให้ทั้งความบางและขนาดที่ลงเล็ก จะไม่ทำให้ iPad 2 มีน้ำหนักที่ลดลงได้อย่างไร ^^
คราวนี้มาลองดูในมุมข้างๆ ดูบ้าง ที่สังเกตได้เลยว่า iPad 2 มีความบางกว่ามากรวมไปถึงยังมีตัวเครื่องที่โค้งเข้ากับรูปมือมากกว่า ฉะนั้นก็คงไม่แปลกอะไร ที่จะจับถือได้ถนัดกว่า iPad รุ่นแรก
ในเรื่องส่วนของตำแหน่งต่างๆ ของปุ่มในการควบคุมหรือแม้กระทั้งลำโพง ได้ถูกว่าไว้จุดเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ถ้าจะมีจุดที่เปลี่ยนคงเป็นจุดเดียว ที่เป็นช่องสำหรับใส่ Micro Sim เท่านั้นครับ ที่ตัว iPad 2 ได้ขยับมาไว้สูงขึ้นของขอบด้านซ้าย
สำหรับเรื่องอื่นๆ ของ iPad 2 อย่างหน้าจอแสดงผลก็จะเห็นได้ว่าไม่แตกต่างจาก iPad รุ่นแรกเลย นั่นก็คือยังแสดงผลได้ดีเช่นเดิมเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งแน่นอนว่าตรงจุดนี้คงไม่ใช่ปัจจุยหลักถ้าใครมี iPad รุ่นแรกอยู่ในมือแล้ว สนใจจะเปลี่ยนมาใช้ iPad 2
แต่หลักๆ ที่น่าสนใจของ iPad 2 ก็คือ มีขนาดที่เล็กลง มีน้ำหนักที่เบาลง พร้อมทั้งยังมีความแรงที่เพิ่มขึ้นแบบเท่าตัว ซึ่งถ้าใครซื้อไปใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้แอพพลิเคชั่นที่กินทรัพยากรหนักๆ หรือเล่นเกม 3 มิติ ก็คงจะสมหวังกันไปเพราะได้ความลื่นและภาพที่สวยงามขึ้น รวมไปถึงยังมีกล้องหน้าหลังอย่างที่ iPad รุ่นแรกไม่มี งานนี้ใครชอบถ่ายรูปแล้วอัพขึ้น Facebook ก็ไม่น่าจะพลาดกันอีกต่อไป
สรุปเรื่องดีไซน์และรูปร่างหน้าตาของ iPad 2
- มีดีไซน์และความสวยงามหรูหราเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
- มีความบางของตัวเครื่องค่อนข้างมากคือ 8.8 มิลลิเมตร ซึ่งบางกว่า iPhone 4 เสียอีก
- มีขนาดเล็กลง ขอบระหว่าจอกับกรอบนั้นเเคบลงกว่าเมื่อเทียบ iPad รุ่นแรก
- มีความเบาลงกว่าเดิมเเบบรู้สึกได้ เมื่อเทียบกับ iPad รุ่นแรก
- เมื่อถืออยู่ในมือมีความรู้สึกว่าจับได้ถนัดมากยิ่งขึ้น
- กล้องด้านหน้ามีขนาดเล็ก ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็นว่ามีกล้องอยู่
- ฝาหลังยังเป็นอลูมิเนียมเหมือนเดิม สัมผัสลื่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
- มีให้เลือกสองสีคือสีดำเเละสีขาว
- ลำโพงเสียงดีกว่า iPad รุ่นแรก แต่ก็ถือว่าแค่พอฟังได้
ระบบปฏิบัติการ iOS และแอพพลิเคชั่นติดเครื่อง
iPad 2 มาพร้อมกับระบบปฎิบัตการคู่บุญอย่าง iOS เวอร์ชั่น 4.3.x ที่ถือได้ว่าเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ที่ดึงความสามารของ iPad 2 มาได้อย่างเต็มที่ อาทิคุณสมบัติ อย่าง
- สลับการทำงานด้วยระบบ Multitasking
- รวมแอพพลิเคชั่นหลายๆ ตัว ไว้ในโฟลเดอร์เดียว
- เรียกใช้งาน iPod Control ได้สะดวกยิ่งขึ้น
- มีปุ่มล็อกหน้าจอที่แปลกตาออกไป
- เปลี่ยนรูป Home Screen ได้
และอื่นๆ อีกมากมายทีเดียว แต่ก็ไม่แตกต่างอะไรกับ iPad รุ่นแรกที่อัพเป็น iOS 4.3.X ครับ เรียกได้ว่าในส่วนของแอพพลิเคชั่นการทำงานเบื้องต้นของ iPad 2 และ iPad รุ่นแรกนั้นเหมือนกันเลยดีกว่า อาทิเช่น
- Safari: ใช้ในการข้าอินเตอร์เน็ต ท่องเว็บไซต์
- Mail: รจัดการรับ-ส่งอีเมล์
- Photos: แหล่งรวมรูปภาพภายในเครื่อง
- Video: แหล่งรวมวีดีโอที่มีอยู่ภายในเครื่อง
- Youtube: เครื่องมือรับชมวีดีโอออนไลน์
- iPod: เครื่องเล่นเพลงเฉพาะของ Apple
- iTunes: ศูนย์รวมของการดาวน์โหลดเพลง, หนัง และรายการทีวี?(มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน)
- App Store: ศูนย์รวมของการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น (มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน)
- iBooks: ศูนย์รวมหนังสืออนไลน์?(มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน)
- Maps: แผนที่โลก ใช้งานไม่ต่างกับแผนที่ของ Google
- Notes: ใช้งานการจดบันทึกต่างๆ
- Calendar: ปฎิทิน ใช้ติดตามนัดหมายงาน
- Contacts: ใช้แสดงหรือค้นหารายชื่อ เบอร์โทรและที่อยู่เพื่อนๆ ของเราที่ได้บันทึกเอาไว้
แต่ก็ยังมีแอพพลิเคชั่นบางตัวทีจะมีเฉพาะ iPad 2 เท่านั้น ก็คือจะเป็นพวกแอพพลิเคชั่นอย่าง Camera, FaceTime และ Photo Booth ซึ่งก็เป็นเพราะ iPad 2 นั้นมีกล้องติดมาในตัวทั้งหน้าและหลัง นั่นเองครับ สำหรับในส่วนของการใช้งานจริงๆ สามารถชมได้หลังจากนี้ หรือกลับไปดูในส่วนของวีดีโอรีวิวของ iPad 2 กันได้นะครับ
นอกเหนือจากนั้น?Apple มีแอพพลิเชั่นที่มีชื่อว่า iMovie ที่สามารถใช้ได้ iPad 2 เท่านั้น ซึ่งต้องซื้อผ่านทาง App Store และ iPad รุ่นแรกไม่สามารถที่จะติดตั้งได้ โดยตัวแอพพลิเคชั่นนั้น มีคุณสมบัติในการตัดต่อวีดีโอที่ครบครัน สมบูรณ์แบบมากๆ ทั้งใส่เสียง ตัดภาพมาใส่ ทำได้หมดในตัวเอง โดยไม่ต้องง้อคอมพิวเตอร์เลยครับ
Setting:
อีกทั้งในส่วนของหน้าตาของการ Setting ค่าต่างๆ ก็เหมือนเดิมเลยครับ เรียกได้ว่าใครก็ตามที่เคยใช้ iPad, iPhone หรือ iPod Touch ก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้ไม่ยากเลย