Apple ประเทศไทยพร้อมวางจำหน่ายไอโฟนรุ่นใหม่ในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ ถือว่าวางจำหน่ายเร็วกว่าทุกครั้ง และแน่นอนว่ารีวิว iPhone 13 Pro Max และ iPhone 13 พร้อมที่จะให้ทุกท่านได้อ่านกัน แม้บางคนจะมองว่า iPhone 13 มีความเปลี่ยนแปลงไม่มากจากรุ่นก่อนหน้า เพราะดีไซน์ก็คล้ายเดิม แต่จากการที่ผมได้ทดสอบเครื่องรีวิวมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ผมมองว่าในรอบนี้ iPhone 13 Pro ก้าวกระโดดเรื่องกล้องไปไกลอยู่เหมือนกันครับ
ในการซื้อ iPhone ส่วนมากก็มักจะเน้นไปที่การซื้อเครื่องพร้อมแพ็กเกจรายเดือน เพื่อรับส่วนลดค่าเครื่อง และได้ใช้งานแพ็กเกจอินเทอร์เน็ต 5G หากจะให้แนะนำก็ควรให้น้ำหนักของทั้ง 2 ด้านใกล้เคียงกัน ค่าเครื่องต้องลดราคาลงไปในระดับหนึ่ง ให้เหมาะสมกับค่าแพ็กเกจรายเดือน และเครือข่ายที่เลือกก็ต้องเป็นเครือข่ายที่มีคุณภาพ มีพื้นที่ให้บริการ 5G ครอบคลุม จึงจะทำให้ใช้งาน iPhone 13 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
และในคราวนี้ AIS ก็ได้ออกโปรโมชั่นที่มีความหลากหลาย รับรองว่าตอบโจทย์ผู้ใช้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าปัจจุบัน โดยเฉพาะลูกค้าที่เป็น Serenade ก็จะยิ่งได้รับส่วนลดเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ มีรูปแบบส่วนลดให้เลือกหลายรูปแบบ จะใช้แพ็กเกจเดิมก็ได้ ขอแค่ราคาเทียบเท่ากับข้อกำหนด หรือจะไม่เปลี่ยนแพ็กเกจ ไม่ติดสัญญาก็เลือกได้เช่นกัน
จุดเด่นอีกอย่างของการซื้อ iPhone 13 กับทาง AIS ส่วนตัวผมมองว่าอยู่ที่แพ็กเกจ 5G One Plan for iPhone นี่ล่ะครับ ถือเป็นอีกหนึ่งทีเด็ดเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นแพ็กเกจ 5G เดียวใน AIS ที่ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 2 Gbps (แพ็กเกจ 5G ปกติจะได้ความเร็วสูงสุด 1 Gbps) และยังได้รับค่าโทรทุกเครือข่ายเยอะกว่าแพ็กเกจ 5G ปกติอีกพอสมควร
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจ ส่วนลดต่าง ๆ iPhone 13 ที่ AIS สามารถกดเข้าไปดูได้ที่นี่
ตารางเปรียบเทียบสเปคของ iPhone 13 Pro VS iPhone 13 Pro Max
ข้อมูล\ รุ่น | iPhone 13 Pro | iPhone 13 Pro Max |
หน้าจอ | OLED จอภาพ Super Retina XDR ระดับ HDR กว้าง 6.1 นิ้ว เทคโนโลยี ProMotion 120Hz | OLED จอภาพ Super Retina XDR ระดับ HDR กว้าง 6.7 นิ้ว เทคโนโลยี ProMotion 120Hz |
ขนาด | 146.7 x 71.5 x 7.65 มม. | 160.8 x 78.1 x 7.65 มม. |
น้ำหนัก | 203 กรัม | 238 กรัม |
สี | กราไฟต์, ทอง, เงิน, เซียร์ร่าบลู | กราไฟต์, ทอง, เงิน, เซียร์ร่าบลู |
วัสดุ | หน้าจอ Ceramic Shield กระจกหลังแบบด้าน และสแตนเลสสตีล | หน้าจอ Ceramic Shield กระจกหลังแบบด้าน และสแตนเลสสตีล |
ชิปประมวลผล | Apple A15 Bionic | Apple A15 Bionic |
RAM | 6GB | 6GB |
ROM | 128GB, 256GB, 512GB, 1TB | 128GB, 256GB, 512GB, 1TB |
กล้องหน้า | TrueDepth 12MP Cinematic Mode | TrueDepth 12MP Cinematic Mode |
กล้องหลัง | TelePhoto 12MP + Wide 12MP + Ultrawide 12MP LiDAR Scanner ProRAW, ProRes Cinematic Mode | TelePhoto 12MP + Wide 12MP + Ultrawide 12MP LiDAR Scanner ProRAW, ProRes Cinematic Mode |
แบตเตอรี่ | 3,095 mAh MagSafe, Lightning | 4,352 mAh MagSafe, Lightning |
iPhone 13 Pro Max หน้าจอสวยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมี ProMotion
iPhone 13 ทุกรุ่นมาพร้อมกับขนาดหน้าจอเท่าเดิม เมื่อเทียบกับตอน iPhone 12 โดยแบ่งออกเป็น 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 13 mini – หน้าจอ 5.4 นิ้ว, iPhone 13 – หน้าจอ 6.1 นิ้ว, iPhone 13 Pro – หน้าจอ 6.1 นิ้ว และรุ่นที่หน้าจอใหญ่ที่สุดอย่าง iPhone 13 Pro Max กับหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว โครงสร้างจอเป็นพาแนลแบบ OLED ในทุกรุ่น เช่นเดียวกับ iPhone 12
สีสันและความสว่างบนจอนั้นทำได้ดีมากตามสไตล์รุ่นท็อปของ Apple ด้วยโครงสร้างจอแบบ OLED ของจอ Super Retina XDR ทำให้ได้สีสันที่สดใส สามารถเร่งความสว่างได้สูงสุดถึง 1000 nits สว่างกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 200 nits ส่วนในการแสดงภาพแบบ HDR นั้นจะเร่งขึ้นไปได้สูงถึงระดับ 1200 nits เหมือนเดิม ทำให้ไม่ว่าจะใช้งานในที่ร่ม หรือจะกลางแดดจัดก็ไม่มีปัญหา
โดยปัจจุบันนี้ ตัววิดีโอที่ให้ภาพ HDR แบบ DolbyVision เองก็หาชมได้ง่ายขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง YouTube และ Netflix, Disney+ HotStar ก็มีให้ได้ชมกันเยอะพอสมควร โดยเฉพาะสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มของทาง Apple เองอย่าง Apple TV+ ที่ทุกเรื่องจะแสดงภาพ HDR แบบ DolbyVision ทำให้การรับชมความบันเทิงบน iPhone 13 Pro Max นั้นเต็มอิ่มแน่นอน
กระจกหน้าจอ iPhone 13 Pro Max จะเป็นเซรามิกชิลด์ที่มีจุดเด่นตรงความแข็งแกร่ง ควบคู่กับความใสที่ทำให้แสงส่องผ่านได้ดี โดยสิ่งที่เพิ่มเติมมาใน Ceramic Shield ของ iPhone 13 ทุกรุ่น ตัวกระจกเองจะมีความทนทานกว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อยอีกด้วย ส่วนเรื่องความทนทานของ Ceramic Shield ผมอ้างอิงจาก iPhone 12 Pro Max ที่ใช้งานมาประมาณ 1 ปี แบบไม่ได้ติดกระจกกันรอย แค่ใส่เคสป้องกันตัวเครื่อง ก็แทบไม่พบรอยหนัก ๆ จะมีก็แค่รอยขนแมวบ้างประปราย และเมื่อเทียบกับ iPhone 11 Pro Max ในระยะเวลา 1 ปี ผมว่าริ้วรอยบน Ceramic Shield ของ iPhone 12 Pro Max เกิดขึ้นน้อยกว่าครับ
ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างของหน้าจอ iPhone 13 คือมีบริเวณ Notch หรือที่เราคุ้นกันดีในชื่อเรียกว่า “ติ่งหน้าจอ” มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมราว 20% แน่นอนว่าได้พื้นที่แสดงผลเพิ่มขึ้นมา ทำให้สัญลักษณ์แจ้งเตือน หรือแม้แต่การแสดงผลเรื่องเวลาดูลงตัวมากขึ้น ไม่ได้ชิดขอบเหมือนตอน iPhone 12 แล้ว
อีกไฮไลต์เรื่องหน้าจอที่มีเฉพาะ iPhone 13 Pro | iPhone 13 Pro Max ก็คือการมาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR ที่มี ProMotion เป็นครั้งแรกบน iPhone หากอธิบายให้เห็นภาพง่ายขึ้นก็คือในตอนนี้ เฉพาะรุ่น Pro จะปรับอัตรารีเฟรชหน้าจอได้สูงขึ้นเป็น 120Hz แต่จะเป็นการทำงานแบบอัตโนมัติ และเป็นแบบ Adaptive ผู้ใช้ไม่สามารถเลือกได้ว่าจะให้หน้าจอแสดงผลกี่ Hz แต่เครื่องจะเป็นคนจัดการเองว่า ใช้งานแบบไหน หน้าจอควรแสดงผลที่กี่ Hz อย่างการไถหน้าจอ หรือเข้าหน้า Setting ก็จะแสดงผลเป็น 120Hz หรือถ้าเล่นเกม 60fps ก็จะปรับ Hz ลงมาเป็น 60Hz แต่ถ้าเป็นการอ่าน Text อาจจะลดลงเหลือเพียง 10Hz เพื่อให้สบายตา และประหยัดแบตเตอรี่
การที่มี Hz หน้าจอสูง ๆ ยังช่วยในเรื่องการเล่นเกม ให้มีความลื่นไหลมากขึ้น ตอนนี้ก็จะรองรับสูงสุดที่ 120fps แต่ในวันที่ผมเขียนรีวิว iPhone 13 Pro Max กลับมีเพียงเกมเดียวเท่านั้น ที่รองรับโหมด 120fps ได้แก่ Pascal’s Wager (ราคา 199 บาท) ส่วนเกมอื่น ๆ เช่น League of Legends: Wild Rift แม้จะมีตัวเลือก 120fps แต่ก็ยังไม่สามารถเปิดโหมดดังกล่าวได้ ต่อให้เล่นด้วย iPhone 13 Pro Max ก็ตาม น่าจะต้องรอตัวเกมทยอยอัพเดตให้รองรับในอนาคตอีกทีครับ
iPhone 13 Pro Max สีใหม่ Sierra Blue ในดีไซน์คล้ายรุ่นเดิม
รูปทรงด้านหน้าของ iPhone 13 Pro Max ก็ต้องบอกว่ายังเป็นทรงเดียวกับรุ่นก่อน เช่นเดียวกับด้านหลังที่ยังคงใช้กระจกแบบด้าน เพียงแต่จะมีขนาดตัวเครื่องที่หนา, น้ำหนักเครื่องที่มากขึ้น และโมดูลกล้องที่ขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้า ส่งผลให้ iPhone 13 ทุกรุ่น ไม่สามารถใช้งานเคสร่วมกับ iPhone 12 ได้เลย
สำหรับน้ำหนักตัวเครื่องที่เพิ่มขึ้นมานั้น ด้วยตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro Max ที่ผมใช้งานเป็นประจำ ก็จะรู้สึกได้เลยว่ามันหนักขึ้น และเมื่อใส่เคสก็จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากจนเกินไปครับ เพราะตอนที่ผมเปลี่ยนจาก iPhone 11 Pro Max มาเป็น iPhone 12 Pro Max ผมก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน พอใช้ไปสักพัก เริ่มชินกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาก็แทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว
รายละเอียด รวมถึงตำแหน่งต่าง ๆ บนตัวเครื่อง iPhone 13 Pro Max ก็ยังคงตำแหน่งเดิมกับรุ่นก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นปุ่มด้านข้าง, ปุ่มเปิด – ปิดเสียง, พอร์ตเชื่อมต่อต่าง ๆ รวมถึงถาดใส่ซิมการ์ด โดย iPhone 13 จะรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด แบ่งเป็นช่องใส่ซิมการ์ด 1 ช่อง และรองรับ eSIM ได้อีก 1 เลขหมาย
อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงจากตอน iPhone 12 Pro Max ก็คือเรื่องความคมของขอบตัวเครื่อง ในตอนที่ iPhone 12 Pro Max เปิดตัวใหม่ ๆ มีหลายคนบ่นเรื่องความคม แต่พอเป็น iPhone 13 Pro Max ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันคมเหมือนตอนนั้นแล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตัวเครื่องมีความหนาเพิ่มขึ้น แล้วก็น่าจะมีการปรับปรุงเรื่องขอบตัวเครื่อง มีการเก็บงานที่ละเอียดขึ้น
ด้านพอร์ตเชื่อมต่อก็ยังคงเดิม กับพอร์ต Lightning ที่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน Apple ก็ยังคงเลือกใช้พอร์ตนี้กับ iPhone อยู่เสมอ แต่ถ้าพูดถึงในแง่ของการใช้งานอุปกรณ์เสริมเดิม กรณีที่เปลี่ยนมาจาก iPhone รุ่นเก่ามาก ๆ ก็สามารถใช้สายชาร์จ กับอะแดปเตอร์ของเดิมได้เลย ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่ครับ
iPhone 13 Pro Max กล้องถ่ายภาพ จัดเต็มตั้งแต่เซ็นเซอร์ พร้อมโหมด Cinematic
ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนอีกหนึ่งอย่างของ iPhone 13 Pro Max ก็คือเรื่องชุดกล้องหลังระดับโปร 12MP ที่ยกระดับความโปรขึ้นไปอีก เริ่มจากกล้องหลักเลนส์ไวด์ 12MP ที่มีขนาดพิกเซลใหญ่ถึง 1.9μm รูรับแสง ƒ/1.5 ระบบ Focus Pixel 100% ที่ให้ความแม่นยำสูง ในขณะที่เลนส์มุมกว้างอัลตร้าไวด์ 12MP ก็มีรูรับแสงกว้างขึ้นเป็น ƒ/1.8 พร้อมระบบ Autofocus และสามารถถ่าย Macro ได้ใกล้สุดถึง 2 เซนติเมตร ส่วนเลนส์ซูมเทเลโฟโต้ 12MP ก็มีทางยาวโฟกัสเพิ่มขึ้นเป็น 77 เซนติเมตร เทียบเท่ากับระยะ 3x Optical Zoom สามารถซูมทั้งระบบอยู่ที่ 6x และซูมไกลสุดได้ที่ 15x Digital Zoom
ฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมาในด้านการถ่ายภาพ อย่างแรกเลยก็คือ “สไตล์ภาพถ่าย” ที่ผู้ใช้สามารถปรับตั้งค่าโทนสีของภาพได้ตามชอบใจ โดยที่ไม่ส่งผลกระทบกับสีผิว ยังคงให้สีผิวที่เป็นธรรมชาติในแบบฉบับของกล้อง iPhone เพียงแต่โทนสีของรายละเอียดส่วนอื่นในภาพ จะเป็นโทนสีในแบบที่เลือกไว้ มีรูปแบบหลัก ๆ ได้แก่ “สดใส”, “ความต่างระดับสีสูง”, “โทนอุ่น” และ “โทนเย็น” หรือจะเลือกปรับเพิ่มเติมให้ถูกใจที่สุดก็ได้เช่นกัน
ส่วนโหมดถ่ายวิดีโอที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ใน iPhone 13 ได้แก่ Cinematic หรือโหมดภาพยนตร์ ทำให้ถ่ายวิดีโอแบบชัดลึก ชัดตื้นได้ด้วย iPhone และยังสามารถเลือกจุดโฟกัสหลังถ่ายวิดีโอไปแล้วได้อีกด้วย อารมณ์เดียวกับเปลี่ยนจุดโฟกัสในโหมด Portrait ของภาพนิ่ง ในเรื่องความเนียนผมว่า Cinematic ก็เบลอฉากหลังได้เนียนทีเดียว แต่ที่ผมประทับใจมากคงเป็นจังหวะในการเปลี่ยนจุดโฟกัส ที่มีความหน่วงระหว่างการสลับจุด ทำให้วิดีโอที่ถ่ายด้วย Cinematic มีความสมูท ดูไม่แข็งทื่อ
การถ่ายภาพด้วย iPhone 13 Pro Max ผมกล้าพูดได้เลยว่า นี่คือโทรศัพท์ที่ถ่ายภาพได้ง่ายที่สุดในตอนนี้ และได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจเอามาก ๆ เสียด้วย ในการรีวิว iPhone 13 Pro Max เรื่องกล้อง ผมเน้นถ่ายภาพด้วยโหมด Photo เป็นหลัก เน้นหยิบมาเล็ง จัดองค์ประกอบภาพแล้วกดชัตเตอร์ ที่เหลือให้ตัวเครื่องจัดการ อย่างแรกที่สัมผัสได้เลยคือ iPhone 13 Pro Max ในเรื่องการจับโฟกัสมีความแม่นยำ และความรวดเร็วสูงมาก ตรงจุดนี้ทำได้ดีในกล้องทุกระยะ
ส่วนการถ่ายภาพกลางคืน ด้วยขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น ขนาดพิกเซลที่ใหญ่ขึ้น หากไม่มืดจริง ๆ ผมว่า iPhone 13 Pro Max ก็ไม่ได้เปิดโหมดกลางคืนในการถ่ายด้วยซ้ำไป นอกจากจะถ่ายกลางคืนได้ดีขึ้นแล้ว ยังเป็นกล้องโทรศัพท์ที่ผมมองว่าจัดการเรื่องแสงไฟฟุ้ง ๆ ได้ดีมากอีกด้วย อย่างในภาพถ่ายด้านล่าง ผมถ่ายที่ลานน้ำพุพารากอน พยายามเลือกจุดที่มีทั้งไฟตกแต่ง และไฟจากป้าย LED บนตึก ง่าย ๆ คือตั้งใจให้ภาพฟุ้งเลยครับ แต่ถ้าสังเกตที่ภาพถ่าย จะเห็นว่าท้องฟ้าก็ยังคงดำสนิท รายละเอียดต่าง ๆ ในภาพถูกบันทึกได้อย่างครบถ้วน
ด้านการถ่ายภาพด้วยเลนส์อัลตร้าไวด์ พอมีรูรับแสงกว้างขึ้นเลยทำให้ถ่ายกลางคืนด้วยเลนส์มุมกว้างให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับตอน iPhone 12 Pro Max นอกจากนี้ยังมี Autofocus ที่ช่วยให้เลนส์นี้สามารถถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอมาโครได้ใกล้สุดถึง 2 เซนติเมตร และส่งผลต่อการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องมุมกว้าง พอเลือกจุดโฟกัสได้ ก็ทำให้สร้างสรรค์มุมมองใหม่ ๆ ในวิดีโอเพิ่มได้อีกครับ
อย่างไรก็ตาม โหมด Macro บน iPhone 13 Pro | iPhone 13 Pro Max มีข้อจำกัดอยู่หนึ่งอย่าง คือมันไม่สามารถเลือกได้จากเมนูกล้อง ว่าจะเปิด หรือปิดโหมดมาโคร เมื่อใดก็ตามที่ถ่ายภาพใกล้วัตถุตั้งแต่ 10 เซนติเมตรลงไป ตัวกล้องจะทำการเปลี่ยนเป็นโหมดมาโครให้อัตโนมัติ หากไม่ต้องการใช้โหมดมาโครต้องไปปิดในการตั้งค่า และต้องอัพเดตเฟิร์มแวร์เป็น iOS 15.1 เสียก่อน
iPhone 13 | iPhone 13 mini ชุดกล้องหลังคู่ ที่ตีบวกความโปรเพิ่มขึ้น
ส่วนกล้องหลังของ iPhone 13 และ iPhone 13 mini แม้จะเป็นกล้องหลังคู่ เลนส์ไวด์และอัลตร้าไวด์ 12MP เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อนหน้าก็คือ ขนาดพิกเซลที่ใหญ่ขึ้นเป็น 1.7μm สเปคกล้องเรียกได้ว่าเป็นกล้อง iPhone 12 Pro Max ที่ตัดเลนส์เทเลโฟโต้ออกไปก็ว่าได้ครับ รวมถึงยังได้รับการตีบวกระบบกันสั่น Sensor-Shift และได้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ แบบเดียวกับรุ่นโปร ไม่ว่าจะเป็น “สไตล์ภาพถ่าย” ไปจนถึง “โหมดภาพยนตร์”
Performance – แรงขึ้นเล็กน้อย แต่แบตเตอรี่อึดขึ้นมาก
iPhone 13 ทุกรุ่นมาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple A15 Bionic ว่ากันตามตรงก็คือเป็นชิปเซ็ตที่ปรับปรุงจาก Apple A14 Bionic ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ยังคงเป็น 5nm เน้นเป็นการเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์เข้าไปในชิปเซ็ต ในแง่ของประสิทธิภาพ ผมทดสอบเทียบกับด้วยแอปพลิเคชั่น Geekbench 5 พบว่า iPhone 13 Pro Max ทำคะแนนได้ดีกว่า iPhone 12 Pro Max ไม่มากนัก ทั้ง Single Core และ Multi Core เทียบกันแล้วคะแนนห่างกันเพียงไม่กี่ร้อยคะแนน
อย่างไรก็ตาม Apple A15 Bionic ที่อยู่ใน iPhone 13, iPhone 13 mini กับที่อยู่ใน iPhone 13 Pro, iPhone 13 Pro Max ก็มีจุดที่แตกต่างกันในเรื่องของ GPU หรือชิปประมวลผลกราฟฟิก โดย Apple A15 ใน iPhone 13 Pro | iPhone 13 Pro Max จะเป็นแบบ 5-Core GPU ส่วนที่อยู่ใน iPhone 13 จะเป็น 4-Core GPU เข้าใจว่าที่รุ่นโปรมี GPU Core มากกว่า คงออกแบบมาเพื่อให้รองรับอัตรารีเฟรช 120Hz ของหน้าจอ ProMotion
ในด้านการเล่นเกม รวมถึงการประมวลผลต่าง ๆ ผมว่าไม่น่าจะใช่เรื่องที่หลายคนกังวลใน iPhone 13 Pro Max เพราะมันสามารถเล่นเกมได้ทุกเกม แบบปรับตั้งค่าสูงสุด ส่วนเรื่องความร้อนจากตัวเครื่อง หากเล่นเกมที่กินกราฟฟิกหนัก ๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน นอกจากความร้อนจะสูงขึ้นแล้ว ยังมีอัตราการบริโภคพลังงานที่สูงขึ้นตามด้วย แต่ด้วยบอดี้ที่บริเวณเฟรมเครื่องเป็นสแตนเลส ก็ถือว่าระบายความร้อนออกได้เร็วอยู่ครับ
ส่วนการเชื่อมต่อ แม้จะไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า แต่ก็ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อ Wi‑Fi 6 (มาตรฐาน 802.11ax) พร้อม MIMO แบบ 2×2 หรือจะเป็นการเชื่อมต่อ Cellular แบบ 5G (sub‑6 GHz), Gigabit LTE พร้อม MIMO แบบ 4×4 และ LAA โดยผมทดสอบกับซิม AIS 5G ทำ Speedtest พื้นที่ในเมือง ได้ความเร็วเฉลี่ย 600Mbps ขึ้นไปแทบทุกครั้ง และในการใช้งานจริง ก็สามารถเปิดวิดีโอความละเอียดสูง 4K บน Youtube หรือดูภาพยนตร์ Apple TV+ ได้แบบไม่ต้องรอบัฟเฟอร์
ไฮไลต์อย่างสุดท้ายของ iPhone 13 Pro Max รวมถึง iPhone 13 ทุกรุ่น ที่ผมมองว่ารอบนี้ทำได้ดีขึ้นอย่างชัดเจนจากรุ่นก่อนหน้า ก็คือเรื่องการจัดการพลังงาน ไม่ว่าจะด้วยการเพิ่มปริมาณความจุแบตเตอรี่ในทุกรุ่น หรือจะด้วยปัจจัยอื่น ๆ อย่างระบบปฏิบัติการ ไปจนถึงการจัดการพลังงานของชิปเซ็ตก็ตาม ในภาพรวมก็คือแบตเตอรี่อึดขึ้นจาก iPhone 12 ทุกรุ่นแบบเห็นได้ชัด อย่างผมใช้งานเครื่องรีวิว iPhone 13 Pro Max เมื่อเทียบกับตอนใช้งาน iPhone 12 Pro Max ก็จะใช้งานแบตเตอรี่ได้นานขึ้นประมาณ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว และต่อให้เปิดใช้งาน 5G ไว้ตลอดเวลา ผมว่าคราวนี้แบตเตอรี่ก็ไม่ได้ไหลฮวบ ๆ เหมือนตอน iPhone 12 เปิดตัวใหม่ ๆ แล้วล่ะครับ
iPhone 13 | iPhone 13 Pro ราคาและการวางจำหน่าย
โดยรวมก็ถือว่าเปิดราคามาใกล้ ๆ รุ่นเดิม แต่ความน่าสนใจอยู่ที่ iPhone 13 | iPhone 13 mini ในรุ่นเริ่มต้นก็ให้ความจุเป็น 128GB ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในระดับหนึ่งแล้ว ส่วนในรุ่นโปร แม้จะเริ่มต้นที่ความจุ 128GB เหมือนเช่นเคย แต่ความจุสูงสุดที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 1TB ก็น่าจะเหมาะสมกับคนที่เน้นไปใช้ในงานระดับ Production ที่มีการเก็บฟุตเทจไฟล์วิดีโอเยอะหน่อยล่ะครับ
- iPhone 13 mini
- 128GB : 25,900 บาท
- 256GB : 29,900 บาท
- 512GB : 37,900 บาท
- iPhone 13
- 128GB : 29,900 บาท
- 256GB : 33,900 บาท
- 512GB : 41,900 บาท
- iPhone 13 Pro
- 128GB : 38,900 บาท
- 256GB : 42,900 บาท
- 512GB : 50,900 บาท
- 1TB : 58,900 บาท
- iPhone 13 Pro Max
- 128GB : 42,900 บาท
- 256GB : 46,900 บาท
- 512GB : 54,900 บาท
- 1TB : 62,900 บาท