โทรศัพท์มือถือที่ผมจะมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันในวันนี้ เป็นมือถือแบรนด์จีนแท้ๆ เลยครับ แต่ไม่ใช่แบรนด์จีนแดงไก่กาแต่อย่างใด เพราะเป็นมือถือรุ่นท็อปสุด ณ ตอนนี้จาก Huawei ซึ่งก็คือ Huawei Mate 8 มือถือที่พร้อมจะฆ่าทุกมือถือเรือธง ด้วยจุดเด่นเรื่องสเปคที่สูงและแรงมาก จัดมาแบบไม่มีกั๊ก สมกับที่เป็น Mate Series จริงๆ บอกเลยว่าใครที่เคยประทับใจกับ Huawei Ascend Mate 7 จะตกหลุมรัก Huawei Mate 8 เอาง่ายๆ เลยล่ะครับ
สเปค Huawei Mate 8 Premium
- ระบบปฏิบัติการ EMUI 4.0 มีพื้นฐานมาจาก Android 6.0 Marshmallow
- จอขนาด 6 นิ้ว ความละเอียด Full-HD 1080 x 1920 พิกเซล
- CPU Kirin 950 octa-core (4 x Cortex A-72 2.53GHz / 4 x Cortex A-53 1.8GHz)
- GPU Mali-T880MP4
- RAM 4 GB หน่วยความจำภายใน 64GB
- รองรับ microSD
- กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล Sony IMX298 กันสั่น 3 แกน ระบบโฟกัส 3 รูปแบบ (PDAF, CAF, Smart Scene AF) Dual LED Flash
- กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ 4,000 mAh (ใช้งานปกติ 1.65 วัน เปิดใช้งานโหมดประหยัด 2.36 วัน)
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
- รองรับการใช้งาน 2 ซิม
- สเปคเต็มๆ Huawei Mate 8
- ราคา 23,990 บาท
ความพรีเมียมอย่างแรกของ Huawei Mate 8 ที่สัมผัสได้คือกล่องบรรจุตัวเครื่อง แม้จะไม่มีดีไซน์แหวกแนวเหมือนกล่องของ Huawei P8 แค่ถ้าพูดเรื่องความหรูหรามีราคาแล้วล่ะก็ กล่องของ Huawei Mate 8 ก็พรีเมียมไม่แพ้ใครจริงๆ ด้วยตัวกล่องสีดำ ตัวหนังสือสีทอง วัสดุของตัวกล่องเป็นกระดาษแข็งอย่างดี เมื่อเปิดกล่องมาก็จะพบกับตัวเครื่อง Huawei Mate 8 กับบรรดาอุปกรณ์เสริมที่ให้มาแบบเต็มไม่มีกั๊ก ได้แก่
- สาย USB to Micro USB สำหรับชาร์จไฟ หรือเชื่อมต่อข้อมูล
- อแดปเตอร์ Fast Charge 2A
- หูฟังสมอลทอร์คแบบ Earbud
- เคสฝาพับของแท้ สีเดียวกับตัวเครื่อง
สำหรับ Huawei Mate 8 อย่างที่เราทราบกันว่าเป็นรุ่นต่อยอดมาจาก Huawei Ascend Mate 7 เมื่อปี 2014 ซึ่งเป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จรุ่นแรกๆ ของ Huawei ในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ และที่สำคัญคือผลิตภัณฑ์มือถือรุ่นอื่นๆ ของ Huawei ที่เปิดตัวหลังจาก Mate 7 ก็ล้วนแต่เข้าตากรรมการทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Huawei P8, Huawei Honor 6 Plus, Huawei G7, Huawei G7 Plus รวมถึงรุ่นที่ไม่เข้าไทยอย่าง Huawei Nexus 6P และ Huawei Mate S ก็ทำออกมาได้น่าสนใจเป็นอย่างมาก
ส่วนตัวผมเลยคาดหวังกับ Huawei Mate 8 ไว้มาก ว่าจะต้องทำให้รู้สึกว้าวไม่แพ้ตอน Huawei Ascend Mate 7 หรือ Huawei P8 เปิดตัว แต่พอได้ไปงานเปิดตัว Huawei Mate 8 จริงๆ บอกตามตรงว่าผมไม่ได้รู้สึกว้าวเท่าตอน Mate 7 หรือ Huawei P8 สักเท่าไหร่
ไม่ได้หมายความว่า Huawei Mate 8 เป็นมือถือที่ไม่ดีนะครับ แต่ต้องบอกว่า Huawei Mate 8 เป็นมือถือที่ภายนอกทำได้ดีตามมาตรฐานของรุ่นท็อปจากมือถือ Huawei หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ Mate 7 กับ P8 ทำได้ดีมาโดยตลอดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่พรีเมียม สัมผัสแล้วรู้สึกดี หรือการดีไซน์ที่คิดถึงผู้ใช้เป็นหลัก เพราะการที่จะออกแบบมือถือหน้าจอ 6 นิ้วให้ใช้งานได้สะดวกเนี่ย เป็นโจทย์ที่ยากพอสมควร แต่ผมว่า Huawei ทำได้ดีทีเดียวในจุดนี้ เพราะตามสเปคแล้ว Huawei Mate 8 มีขนาดตัวเครื่องที่เล็กกว่า Mate 7 (นิดหน่อย) เสียอีก
แต่ถ้าพูดถึงรายละเอียดข้างในของ Huawei Mate 8 ล่ะก็ บอกเลยว่ามือถือรุ่นนี้มีการพัฒนาไปจาก Huawei P8 และ Huawei Ascend Mate 7 แบบก้าวกระโดด พอๆ กับราคาเปิดตัวที่ทะลุ 20,000 บาทเลยล่ะ โดยราคาที่เพิ่มมานั้น ผมว่าคุ้มค่าเมื่อแลกกับสิ่งที่ Huawei Mate 8 ทำได้แน่นอน
จุดเด่น
– ฮาร์ดแวร์ค่อนข้างสมดุลและสมราคา
– รองรับ 4G LTE ทั่วโลก ทุกความถี่ การจับสัญญาณ Wifi ทำได้เร็วมาก
– งานประกอบดีตามมาตรฐานของ Huawei รุ่นท็อป
– มาพร้อม Android 6.0 Marshmallow ครอบด้วย EMUI 4.0 ลื่น และเสถียร
– หน้าจอสวยมาก แถมยังเป็นหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6 นิ้ว รับชมคอนเท้นได้เต็มตา
– แบตเตอรี่ใช้งานได้นาน การจัดการพลังงานทำได้ดีมาก
– กล้องหลังถ่ายรูปได้สนุก โฟกัสรวดเร็ว ไฟล์ภาพดีพอที่จะใช้ทำงานได้สบายๆ
– ปุ่มสแกนลายนิ้วมือทำงานได้รวดเร็ว สแกนได้แม่นยำ
ข้อสังเกต
– ขนาดอาจจะใหญ่สำหรับบางคน
– หน้าตา UI แม้จะเป็น Android 6.0 แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากรุ่นก่อน
บทสรุป
BEST PERFORMANCE
Design
สำหรับดีไซน์ของ Huawei Mate 8 ถ้าไม่นับสีตัวเครื่องที่มีหลากหลายสีมากขึ้น (เครื่องรีวิวHuawei Mate 8 ที่ผมได้รับมาจะเป็นสี Mocca Brown) และบริเวณด้านหลัง ทั้งกล้องหลังและปุ่มสแกนลายนิ้วมือ ส่วนตัวผมว่า Huawei Mate 8 ไม่ได้มีความแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง Huawei Ascend Mate 7 สักเท่าไหร่ แต่ถ้าอิงตามหน้าสเปคจริงๆ ขนาดโดยรวมของ Huawei Mate 8 จะเล็กกว่า Mate 7 อย่างขอบจอของ Huawei Mate 8 นี่บางกว่า Mate 7 อีกนะ (ส่วนตัวผมว่า Mate 7 ก็บางแล้วนะ)
โดยขอบจอของ Huawei Mate 8 บางเพียง 0.4 มิลลิเมตร พื้นที่หน้าจอของ Huawei Mate 8 คิดเป็น 85% ของพื้นที่ด้านหน้าทั้งหมด เป็นการออกแบบที่ใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ ความบางของขอบจอ Huawei Mate 8 ทำให้ขนาดโดยรวมของตัวเครื่องพอๆ กับมือถือหน้าจอ 5.5 นิ้ว ผมลองเทียบกับ iPhone 6s Plus ที่ใช้งานประจำ พบว่าตัวเครื่องของ Huawei Mate 8 ก็เท่าๆ กันเลย แม้ว่า Huawei Mate 8 จะมีขนาดหน้าจอใหญ่กว่า iPhone 6s Plus ก็ตาม
ที่หนักกว่านั้นคือผมว่า Huawei Mate 8 จับถือได้สะดวกกว่า iPhone 6s Plus เสียอีก ด้วยฝาหลังที่มีดีไซน์โค้งมน เข้ากับมือได้เป็นอย่างดี นี่ยังไม่นับซอฟท์แวร์ในตัวเครื่องของ Huawei Mate 8 ที่รองรับการใช้งานมือเดียวได้ดีกว่า iPhone 6s Plus อีกนะครับ
นอกจากขอบจอจะบางแล้ว ตัวเครื่อง Huawei Mate 8 ก็มีความบางเพียง 7.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีแบบ Diamond Cut Glass เพราะฉะนั้นการพก Huawei Mate 8 ที่มีขนาดหน้าจอ 6 นิ้ว ใส่ในกระเป๋ากางเกงจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ต่อให้เป็นกางเกงยีนส์ผมว่าก็ยังโอเคอยู่นะ เอาเป็นว่าถ้ารับกับขนาดของมือถือหน้าจอ 5.5 นิ้วได้ ผมว่าก็พก Huawei Mate 8 ได้เช่นกัน
หน้าจอของ Huawei Mate 8 มีขนาดอยู่ที่ 6 นิ้วเป๊ะๆ ความละเอียดที่ระดับ Full HD ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งาน และไม่ได้เป็นภาระของ CPU จนเกินไป ทั้งๆ ที่ ชิปเซ็ต Kirin 950 แรงพอจะขับจอ Quad HD ได้สบายๆ ส่วนตัวผมว่าเป็นการเลือกสเปคได้ฉลาดมาก เพราะหน้าจอ Quad HD นั้นละเอียดเกินความจำเป็น จนบางทีเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดีเสียอีก และการที่ใช้หน้าจอที่ความละเอียด Full HD ยังส่งผลต่อการจัดการพลังงานที่ดีอีกด้วย
หน้าจอของ Huawei Mate 8 มาพร้อมกับกระจกหน้าจอแบบโค้ง 2.5D แบบ Diamond Cut Glass และด้วยกระบวนการผลิตหน้าจอแบบพิเศษไร้รอยต่อ ชิ้นพาแนลกับกระจกจอนี่แทบจะเป็นชิ้นเดียวกัน ทำให้การแสดงผลนั้นทำได้ดีไม่แพ้มือถือระดับท็อปรุ่นอื่นเลยครับ สีสันสดใส การแสดงผลทำได้อย่างเที่ยงตรง คมชัดในระดับที่ไม่เห็นเม็ดพิกเซลอย่างแน่นอน
ด้านหลังของ Huawei Mate 8 มีวัสดุเป็นโลหะแบบผิวทรายละเอียด สัมผัสเนียนมือ ดูแลรักษาง่าย เนื่องจากตัวเครื่องไม่เก็บลายนิ้วมือ และมีการออกแบบให้โค้งเข้ากับมือเวลาถือใช้งาน โดยรายละเอียดทางด้านหลังของ Huawei Mate 8 ประกอบไปด้วยกล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ของ Sony เช่นเดียวกับตอน Huawei Ascend Mate 7 แต่ที่อยู่บน Huawei Mate 8 จะเป็นรุ่นใหม่กว่า ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีกว่ามาก มาพร้อมแฟลช LED แบบ Dual Tone ส่วนเหตุผลที่กล้องของ Huawei Mate 8 มีลักษณะเป็นทรงกลมก็ไม่ใช่อะไรครับ เมื่อนำมาประกอบกับปุ่มสแกนลายนิ้วมือทรงกลมก็จะเหมือนกับเลข 8 อันเป็นชื่อรุ่นของ Huawei Mate 8 ยังไงล่ะครับ
ถัดมาก็จะเป็นระบบสแกนลายนิ้วมือของ Huawei Mate 8 ที่มีรูปทรงกลมเพื่อให้เข้ากับรูปทรงของนิ้ว และความลึกของช่องสแกนถูกปรับให้เว้ากำลังพอดีเพียง 0.45 มม. โดยทาง Huawei เคลมว่าการออกแบบเช่นนี้ จะทำให้นิ้วของเราสัมผัสได้สะดวกมากที่สุด เพื่อให้ระบบประมวลผลสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำขึ้น เท่าที่ลองใช้งานเครื่องรีวิว Huawei Mate 8 ก็ต้องบอกว่าทำได้ดีสมกับที่คุยไว้จริงๆ เพราะสแกนได้รวดเร็ว แม่นยำมาก โดยเฉพาะความแม่นยำนี่ผมว่าเพิ่มขึ้นมาเยอะเลย ต่อให้สแกนนิ้วแบบไม่ตรงปุ่มเท่าไหร่ก็สามารถปลดล็อกได้ และความพิเศษอีกอย่างของ Huawei Mate 8 ก็คือจะเก็บข้อมูลการสแกนลายนิ้วมือไว้ในชิปเซ็ต ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่ามือถือรุ่นอื่นด้วยครับ
ส่วนเคสฝาพับสีเดียวกับตัวเครื่องที่แถมมาให้ในกล่อง ก็ช่วยเสริมความหรูหราให้กับ Huawei Mate 8 ได้มากทีเดียว ตัวเคสที่แถมก็ไม่ใช่ว่าสักแต่แถมนะครับ เป็นเคสฝาพับที่พรีเมียมมาก ตัวฝาพับจะมีแม่เหล็กเบาๆ ช่วยให้ปิดหน้าจอได้สนิท นอกจากนี้ตัวเคสฝาพับจะสามารถทำงานได้แม้ว่าเราจะปิดฝาพับเอาไว้ก็ตาม เนื่องจากมีหน้าจอเล็กๆ อยู่ตรงด้านหน้า แต่จะเป็นการทำงานในคำสั่งพื้นฐานทั่วไป เช่น การเปลี่ยนเพลง (ถ้าเปิดเพลงอยู่) หรือการรับสาย เป็นต้น โดยการเว้นพื้นที่ให้มีหน้าจอแสดงผลเล็กๆ หน้าเคสฝาพับช่วยได้มากเวลาที่เราพับฝาพับไปทางด้านหลัง เพราะตัวฝาพับก็จะไม่บังกล้องหลัง ทำให้เคสฝาพับไม่เป็นอุปสรรคต่อการถ่ายรูป
แต่ก็มีข้อควรระวังเล็กน้อย คือหน้าจอของเคสฝาพับจะเป็นรอยนิ้วมือง่ายไปหน่อย เวลาพับฝาไปด้านหลังแล้วใช้งานกล้องถ่ายรูปก็ระวังกล้องมัวก็แล้วกันครับ เพราะตัวเซนเซอน์จะถ่ายรูปผ่านหน้าจอฝาพับอีกที ทางที่ดีก่อนถ่ายรูปก็แนะนำให้เช็ดหน้าจอฝาพับให้สะอาดเสียก่อน หรือไม่ก็เปิดฝาพับแล้วถ่ายรูปเอาจะดีกว่า
Software
Huawei Mate 8 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ล่าสุด EMUI 4.0 ที่มีพื้นฐานมาจาก Android 6.0 Marshmallow ซึ่งถือว่าใหม่มากๆ บนโลกแอนดรอย จัดเป็นมือถือเรือธงรุ่นแรกๆ เลยก็ว่าได้ (ไม่นับ Google Nexus) ที่มาพร้อมกับ Android 6.0 แต่ถ้าพูดถึงความเปลี่ยนแปลงไปจาก EMUI 3.0 ในเรื่องของหน้าตา UI อันนี้ผมว่ามีความแตกต่างไม่เกิน 20% แต่ถ้านับที่ตัวระบบภายในก็ต่างกันเยอะพอสมควรครับ ส่วนมากจะเป็นความแตกต่างของตัว Android 5.1 กับ Android 6.0
ลักษณะการใช้งาน Huawei Mate 8 ก็จะคล้ายกับมือถือรุ่นอื่นของ Huawei และก็จะคล้ายๆ กับ iPhone ของ Apple ก็คือไม่มีหน้า App Drawer เหมือนแอนดรอยรุ่นอื่น โหลดอะไรมาก็จะแปะอยู่ที่หน้า Home ทั้งหมด ส่วนฟีเจอร์ที่ตัว EMUI 4.0 ทำได้ก็จะคล้ายๆ กับ EMUI 3.0 ครับ ไม่ว่าจะเป็นการจับภาพหน้าจอเฉพาะส่วน ด้วยการใช้ข้อนิ้วเคาะแล้ววาดไปที่หน้าจอ หรือการใช้ข้อนิ้วเคาะหน้าจอติดกัน 2 ครั้งเพื่อทำการจับภาพหน้าจออย่างรวดเร็ว
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบคือการแบ่งหน้าจอบนล่าง ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรหน้าจอขนาดใหญ่ได้อย่างคุ้มค่า ด้วยการแบ่งหน้าจอแบบง่ายมาก เพียงแค่ลากข้อนิ้วจากซ้ายไปขวาตรงจุดกลางหน้าจอเพื่อเปิดใช้งานระบบ 2 หน้าจอ ก็ถือว่าใช้งานได้สะดวกมากขึ้น เช่นการเปิดแอปพลิเคชันอีเมลล์ ไปพร้อมๆ กับการเปิดปฏิทินเพื่อเช็คตารางงาน เป็นต้น
ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ ใน EMUI 4.0 เช่น การสแกนนามบัตรแล้วบันทึกรายชื่อผู้ติดต่อได้ในทันที พร้อมรองรับ 17 ภาษาและแม่นยำถึง 99% อันนี้ก็เป็นฟีเจอร์ที่พบได้ในมือถือเรือธงหลายรุ่น แต่ของ Huawei Mate 8 นี่ผมว่าทำได้ดีกว่าพอสมควร คือตัวกล้องจะสแกนเอกสารก่อนถ่าย พอจับมุมได้ก็จะกดถ่ายให้ทันที แล้วก็เนียนมากๆ ด้วยครับ
Feature
ฟีเจอร์ของ Huawei Mate 8 ส่วนมากจะอยู่ที่ฮาร์ดแวร์อันทรงพลังครับ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อนี่ทางถนัดของ Huawei เขาเลยล่ะ โดย Huawei Mate 8 สนับสนุน FDD-LTE, TDD-LTE, WCDMA, TD-SCDMA, GSM, CDMA2000 และ เครือข่าย CDMA สำหรับการติดต่อทั่วโลก ใช้งานด้วยระบบ 2 ซิม โดยซิมหลักสามารถเชื่อมต่อ 4G และซิมที่ 2 เชื่อมต่อ 2G เหมือนมือถือรุ่นอื่นๆ แต่ที่พิเศษคือ Huawei Mate 8 ใช้หน่วยประมวลผล HiSilicon RF ซึ่งสนับสนุนการเชื่อมต่อช่องทางและคลื่นความถี่มากขึ้น สามารถรองรับได้สูงสุด 5 ช่องสัญญาณ 2G/10, 3G/18, 4G และ 1334 พารามิเตอร์ที่ให้บริการในพื้นที่ 217 ประเทศ เอาเป็นว่าจะหยิบ Huawei Mate 8 ไปใช้งานที่ไหนก็ได้บนโลกนี้ ถ้ามีสัญญาณ 4G LTE เชื่อว่า Huawei Mate 8 รองรับได้หมดครับ
นอกจากนี้ Huawei Mate 8 ยังรองรับการเชื่อมต่อความเร็วสูง ultra-fast Cat 6 4G LTE เชื่อมต่อและดาวน์โหลดที่ความเร็ว 30 เมกกะบิต ต่อ วินาที แน่นอนว่ารองรับ Advance LTE ที่มีการรวมคลื่นแน่นอน ความเร็วถ้าในบ้านเราอยู่ในพื้นที่สัญญาณแรงๆ ก็น่าจะทะลุ 150 Mbps สำหรับการดาวโหลดได้อย่างสบายๆ ส่วนการเชื่อมต่อ Wifi ก็รองรับทั้ง 2.4 GHz และ 5 GHz
ฟีเจอร์เด็ดอีกอย่างของ Huawei Mate 8 ก็จะอยู่ในชิปเซ็ต Hisilicon Kirin 950 ชิปตัวแรงที่ Huawei ผลิตขึ้นเอง แต่ที่ผมจะพูดถึงยังไม่ใช่เรื่องความแรงครับ แต่เป็นหน่วยประมวลผลร่วม i5 ที่อยู่ใน Kirin 950 ต่างหาก โดยชิปเซ็ตตัวจิ๋วนี้จะช่วยในการประมวลผลยิบย่อย ทำหน้าที่สนับสนุนการทำงานของเซ็นเซอร์ทั้งหมด เช่น การจดจำเสียงพูด, การปรับใช้พลังงานต่ำเมื่อฟังเพลง mp3, ระบบการนำทาง (FLP) และลดการใช้พลังงานในระบบนำทางลงกว่า 70% คือการใช้งานเบาๆ แบบนี้จะไม่ต้องถึงมือชิปหลัก Cortex A72 และ A57 เป็นหลักการเดียวกับชิปเซ็ต Apple M9 ที่อยู่บน iPhone 6s นั่นเอง การที่ใช้ชิปตัวเล็กแยกในการประมวลผลจะทำให้ Huawei มีการจัดการพลังงานและการจัดการความร้อนที่ดีมาก เนื่องจาก Huawei Mate 8 มีกลไกจัดการกับความร้อนถึง 6 ระดับ ทำให้สามารถกระจายความร้อนระหว่างการใช้งานได้ดีกว่า
Camera
Huawei Mate 8 มาพร้อมกับเซ็นเซอร์รับภาพความละเอียด 16 ล้านพิกเซลของ Sony มาพร้อมกับรูรับแสง f 2.0 และเซ็นเซอร์ขนาด 1/2.8 นิ้ว แน่นอนว่าสเปคเทพขนาดนี้ต้องใส่ระบบกันภาพสั่น (OIS) มาให้ด้วย ส่วนการโฟกัสแม้จะไม่ได้ใส่เทคโนโลยี Laser Auto Focus มาให้ แต่ผมว่า Huawei Mate 8 ก็โฟกัสได้รวดเร็วทันใจ ด้วยเทคโนโลยีประมวลผลภาพรุ่นใหม่ของ Huawei นวัตกรรมการวางระยะระหว่างเลนส์และจุดโฟกัส เพื่อให้สามารถโฟกัสภาพได้รวดเร็วขึ้น ความชัดมากขึ้นและได้สีที่ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด
Huawei Mate 8 มาพร้อมกับการถ่ายวิดีโอโหมด Slow Motion ที่ความเร็ว 1/4 จากความเร็วจริง นอกจากนั้นยังสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้กว่า 100 ภาพที่ 12 เฟรมต่อวินาที และถ่ายวีดีโอแบบปกติได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p แบบ 60 fps
กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ของ Huawei Mate 8 พร้อมเลนส์มุมกว้าง สามารถเก็บรายละเอียดพื้นหลังได้สบายๆ ทั้งภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่ง มาพร้อมโหมดหน้าสวยที่ไว้ใจได้ และโหมด Perfect Selfie ที่จะเก็บรายละเอียดโครงหน้าทั้งหมดของเรา รวมถึงการตั้งค่าความสวยเอาไว้ ทีนี้เวลาถ่ายรูป Selfie ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายคนเดียว หรือการถ่ายกับเพื่อน ตัวกล้องก็จะปรับแต่งหน้าของเราตามที่ได้ตั้งค่าไว้ตั้งแต่แรกเสมอ ประมาณว่าสวยที่สุดในเฟรมอ่ะครับ
สำหรับโหมดกล้องของ Huawei Mate 8 จะมีมาให้แค่พอใช้งานครับ หลักๆ ก็โหมด Auto, วีดีโอ, หน่วงเวลา, โหมดแต่งสวย และโหมดวาดภาพด้วยแสง หรือ Light Panting ส่วนโหมดย่อยที่น่าสนใจก็ได้แก่ โหมดกลางคืนขั้นสูง และโหมดมืออาชีพ ที่สามารถปรับแต่งค่าได้เองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ISO, EV, การโฟกัส, White Balance, สปีดชัตเตอร์ ไปจนถึงการวัดแสง ว่าจะให้วัดแสงตรงไหนก็ทำได้ โดยซอฟท์แวร์โหมดมืออาชีพนี่ปรับแต่งได้ละเอียดพอๆ กับกล้อง Mirrorless หรือกล้อง DSLR เลยทีเดียว
อย่างรูปด้านล่างจะเป็นการถ่ายในโหมด Auto เทียบกับโหมดกลางคืนขั้นสูง ที่ใช้เวลาในการถ่ายประมาณ 26 วินาที เสียดายที่ผมไม่ได้พกขาตั้งกล้องไปด้วย ไม่อย่างนั้นน่าจะได้รูปที่สวยกว่านี้ครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ Huawei Mate 8 ครับ
Performance
Huawei Mate 8 มาพร้อมกับชิปเซ็ต Hisilicon Kirin 950 ชิปเซ็ตตัวแรง Octa Core 8 แกน โดย 4 Core ชุดแรกคือ Cortex A72 ความเร็ว 2.3 GHz และ 4 Core ชุดที่ 2 คือ Cortex A53 ความเร็ว 1.8 GHz เมื่อเปรียบเทียบกับชิปรุ่นก่อนอย่าง Kirin 930 ที่อยู่ใน Huawei P8 จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม 30% ทั้งเรื่องประสิทธิภาพการทำงานและการประหยัดพลังงาน
ในเรื่องของการประมวลผลกราฟฟิค Huawei Mate 8 มาพร้อมกับ GPU Mali-T880 ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น 20% และลดการใช้พลังงาน 11% เมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยประมวลผลในรุ่นก่อนหน้า เมื่อบวกกับหน้าจอที่มีความละเอียด Full HD ในเรื่องของการเล่นเกมไม่ต้องพูดอะไรมาก เอาแค่สั้นๆ ว่า “เล่นได้ทุกเกม” แบบปรับความละเอียดสุด แถมลื่นพอๆ กับ iOS เลยล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นเกม Asphalt 8, Line Battle Hero หรือแม้แต่เกมปราบเซียนอย่าง N.O.V.A. 3 ก็สามารถเล่นได้แบบลื่นๆ ไม่มีอาการหน่วงเลยแม้แต่น้อย
สำหรับการจัดการพลังงานของ Huawei Mate 8 กับแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh แน่นอนว่าเป็นแบตเตอรี่ที่มีความจุสูงอยู่แล้ว เมื่อรวมกับเทคโนโลยี ‘Heart Beat’ เทคโนโลยีประหยัดพลังงานเฉพาะใน Huawei Mate 8 ที่จะตรวจวัดแอพพลิเคชั่น เวลาเราใช้งานเพื่อกำหนดอัตราการใช้งานพลังงานที่เหมาะสมและประสิทธิภาพในงานใช้งาน ทั้งยังลดอัตราการใช้พลังงานของแอพพลิเคชั่นที่สแตนด์บายในเครื่องลงถึง 50% ทำให้ Huawei Mate 8 ตามหน้าสเปคแล้วพร้อมใช้งานหนักถึง 1.65 วัน (หรือ 2.36 วัน สำหรับผู้ใช้งานตามปกติ) ส่วนการสแตนด์บายตัวเครื่องก็ทำได้มากที่สุดถึง 22 วัน
ในการใช้งานจริงก็ตามหน้าสเปคเลยครับ ตอนที่ผมรีวิว Huawei Mate 8 นี่ก็เฉลี่ย 1 วันครึ่งถึงจะชาร์จไฟ โดยลักษณะการใช้งานคือเปิด 4G ไว้ตลอด มีสลับไปใช้งาน Wifi ตอนที่อยู่ทำงาน และเล่นเกมบ่อยมาก เล่นโซเชียลเป็นงานรอง ส่วนในเรื่องการระบายความร้อน 6 ระดับนั้น เท่าที่ลองเล่นเกม Asphalt 8 แบบปรับความละเอียดสูงสุดต่อเนื่องประมาณ 8 เกม พบว่าความร้อนที่ออกมาจากตัวเครื่อง Huawei Mate 8 นั้นเพียงแค่อุ่นๆ เท่านั้น และเมื่อเลิกเล่นเกม แล้วเปลี่ยนไปใช้งาน Facebook ในเวลาเพียงไม่นานก็ไม่พบความร้อนสะสมแล้ว