
ด้วยความสามารถของแท็บเล็ต ไม่ว่าจะสเปคที่แรงพอตัว น้ำหนักเบา พกพาสะดวก รวมถึงระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันเอง ทำให้มีผู้ใช้จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่มองข้ามการซื้อโน้ตบุ๊กแล้วเปลี่ยนมาซื้อแท็บเล็ตทำงานแทน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางอยู่ตลอด หรือจำเป็นต้องพกอุปกรณ์หน้าจอใหญ่นิดนึงเผื่อใช้เช็คงานขณะอยู่ข้างนอก ซึ่งช่วงนี้ก็กำลังจะเข้าสู่ฤดูการเที่ยวแล้ว เราเลยจะมาแนะนำแท็บเล็ตจอใหญ่ที่สามารถใช้ทำงานได้ ที่สำคัญคือสามารถติดตั้งแอปยอดนิยมอย่างกลุ่มของ Microsoft Office ไว้เผื่อทำงานเอกสารได้ด้วย
iPad 11 (รุ่นปี 2025) ราคาเริ่มที่ 12,900 บาท
เริ่มด้วยแท็บเล็ตรุ่นเริ่มต้นรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Apple อย่าง iPad 11 ที่แม้ดีไซน์จะยังคงเหมือนกับใน iPad 10 ก็ตาม แต่มีการปรับสเปคภายในจากชิป A14 Bionic มาใช้เป็นชิป A16 ซึ่งเป็นชิป gen ที่ใช้ใน iPhone 15 แต่ปรับจำนวนคอร์ของ CPU และ GPU ลงมาเหลือ 5 และ 4 ตามลำดับ รวมถึงยังเพิ่มแรมมาเป็น 6GB และที่สำคัญคือมีการปรับความจุมาเริ่มต้นที่ 128GB เท่ากับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของตนเองด้วย ซึ่งจุดนี้ทำให้ iPad 11 ดูจะเป็นแท็บเล็ตรุ่นเริ่มต้นของสาย iPad ที่มีความคุ้มค่าต่อราคาดีขึ้นไปอีกระดับ
ส่วนของหน้าจอจะยังคงเป็นขนาด 11″ พาเนล IPS รีเฟรชเรต 60Hz เท่าเดิมอยู่ ซึ่งหากไปเทียบกับ iPad 10 อาจจะเห็นจากหน้าสเปคว่าหน้าจอขยับจาก 10.9″ มาเป็น 11″ แต่ที่จริงแล้วส่วนที่แสดงผลยังคงมีพื้นที่ประมาณ 10.9″ เท่าเดิม เพียงแต่ Apple เปลี่ยนแนวทางการระบุขนาดจอมาเป็นการบอกขนาดรวมทั้งชิ้นแทน ซึ่งจะมีการรวมขอบจอเข้ามาด้วย ส่วนสารเคลือบกันรอยนิ้วมือก็ยังมีมาให้เหมือนเดิม ทำให้สเปคจอโดยรวมแล้วยังเหมือน ๆ กับใน iPad 10 เลย
ความสามารถในการเป็นแท็บเล็ตทำงานของ iPad 11 นั้นก็เรียกได้ว่าหายห่วง เพราะนอกจาก Apple จะมีแอปสาย iWork อย่าง Pages, Numbers และ Keynote อยู่แล้ว แต่ผู้ใช้ก็สามารถติดตั้งแอปสาย Microsoft Office อย่าง MS Word, Excel และ Powerpoint ได้ตามต้องการ รวมถึงแอปสาย productivity อื่น ๆ ก็มีลงให้ใช้งานเป็นจำนวนมาก เรียกว่าพวกแอปยอดนิยมส่วนใหญ่ มักจะมีให้ใช้งานได้ค่อนข้างดีบน iPadOS แทบจะครบ ๆ เลย
ส่วนด้านของอุปกรณ์เสริม iPad 11 รองรับปากกา Apple Pencil ทั้งรุ่น 1 ซึ่งมีพอร์ตชาร์จ Lightning ที่หัวปากกา (และวุ่นวายมากกับการชาร์จ) และรองรับ Apple Pencil (USB-C) ที่ชาร์จง่ายกว่ามาก สามารถแปะติดกับแถบแม่เหล็กข้างเครื่องได้เพื่อช่วยให้สามารถจัดเก็บได้สะดวก ฝั่งของคีย์บอร์ดเสริมก็จะมีทั้งเคสฝาปิด Magic Keyboard Folio ที่มีคีย์บอร์ดและแทร็คแพดให้ใช้งานในรูปแบบโน้ตบุ๊กได้เลย หรือจะหาคีย์บอร์ดกับเมาส์บลูทูธมาใช้ก็ได้เช่นกัน เรียกว่าแล้วแต่ความสะดวกและงบประมาณที่มีก็ว่าได้ ตรงนี้ทำให้การใช้ iPad 11 มาเป็นแท็บเล็ตสำหรับใช้ทำงานเป็นไปได้ค่อนข้างง่ายทีเดียว การจะใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เก็บข้อมูลก็ทำผ่านพอร์ต USB-C ได้ทันที
จุดเด่น – แอปรองรับเยอะ ราคาดี อุปกรณ์เสริมมีหลากหลาย
ข้อสังเกต – หน้าจอยังไม่สวยเนียนเท่ารุ่นอื่น เพราะไม่ได้เป็นแบบ full lamination และยังรีเฟรชเรต 60Hz
ข้อมูลเพิ่มเติมของ iPad 11 (2025)
Lenovo Tab P12 ราคา 15,490 บาท
แท็บเล็ตทำงานรุ่นที่สองของบทความนี้ก็คือ Lenovo Tab P12 ในช่วงงบราวหมื่นกลาง ๆ มาพร้อมหน้าจอขนาด 12.7″ ความละเอียดสูง รีเฟรชเรต 60Hz ซึ่งก็จะทำให้แท็บเล็ตรุ่นนี้เหมาะกับการใช้งานทั่วไป แต่จะได้เป็นจอที่มีค่าขอบเขตการแสดงสีที่ระดับ 96% DCI-P3 เพียงพอสำหรับการใช้ทำงานพื้นฐาน ไปจนถึงการทำงานด้านภาพได้ในระดับหนึ่ง และกระจกหน้าจอ Gorilla Glass 3 ทำให้น่าจะมั่นใจได้ในเวลาที่ต้องพกพาเครื่องออกไปนอกสถานที่ ที่น่าสนใจคือให้แรม 8GB ความจุ 256GB มาเลย ส่วนชิปจะได้เป็น MediaTek Dimensity 7050 ซึ่งเป็นชิป 8 คอร์ในระดับกลาง รองรับการใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้สบาย จะใส่ MicroSD เพิ่มก็ทำได้ด้วย โดยจะรองรับความจุเพิ่มสูงสุด 1TB
ส่วนจุดเด่นอื่นที่ให้มาในแท็บเล็ตรุ่นนี้ก็เช่น แบตเตอรี่ความจุถึง 10200 mAh ที่รองรับการใช้งานตลอดวันได้แน่นอน แต่ในแง่ของการชาร์จก็อาจจะช้านิดนึง เพราะอัดกำลังไฟสูงสุดได้เพียง 20W (10V 2A) เท่านั้น จึงอาจจะเหมาะกับการเสียบสายชาร์จทิ้งไว้ตอนนอน พอตื่นก็หยิบใส่กระเป๋าออกจากบ้านได้เลย นอกจากนี้ภายในเครื่องยังมาพร้อมลำโพง JBL 4 ตัว ระบบเสียง Dolby Atmos ทำให้สามารถใช้เป็นแท็บเล็ตเพื่อความบันเทิงได้ด้วยในเครื่องเดียวกัน กล้องหน้าก็มาพร้อมฟังก์ชันจากระบบ AI ที่จะช่วยในการติดตามใบหน้าขณะใช้งานแอปประชุมและจัดเฟรมภาพให้ใบหน้าอยู่กลางอัตโนมัติ
อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจก็คือ Lenovo Freestyle ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์ไฟล์ข้ามเครื่องกับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows ได้ รวมถึงใช้ Tab P12 เป็นจอนอกแบบไร้สายได้ด้วย
ด้านอุปกรณ์เสริมคือหนึ่งในจุดขายของ Lenovo Tab P12 เพราะรุ่นที่ขายในไทยจะมีแถมชุดเคสคีย์บอร์ดแบบ 2-in-1 มาให้ ซึ่งจะแยกออกเป็นสองชิ้น หนึ่งคือเป็นเคสประกบกับตัวเครื่อง มีช่องเก็บปากกา และสามารถกางขาตั้งออกมาเพื่อวางเครื่องได้แบบในภาพข้างต้น ส่วนอีกชิ้นจะเป็นคีย์บอร์ดที่สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องได้ทั้งแบบประกบติดกับพินทองเหลือง และแบบไร้สายผ่าน Bluetooth ทำให้สามารถแปลงร่าง Tab P12 ให้เป็นโน้ตบุ๊กขนาด 12.7″ ได้ทันที อุปกรณ์เสริมอีกชิ้นที่แถมมาด้วยกันก็คือปากกา Lenovo Tab Pen Plus ที่สามารถเก็บเข้ากับตัวเครื่องด้วยการติดไปกับแถบแม่เหล็กหลังจอ รองรับการตรวจจับสันมือและความเอียงของมุมปากกา เพื่อให้สามารถใช้งานได้คล้ายกับการเขียนด้วยดินสอจริง รองรับการชาร์จผ่านช่อง USB-C ทำให้เมื่อซื้อมา ก็แทบจะครบเครื่องจนไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เสริมใด ๆ เพิ่มเลยก็ยังได้
ส่วนแง่ของระบบ ด้วยความที่ตัวเครื่องก็เป็นแท็บเล็ต Android ตามปกติ มี Play Store ให้ดาวน์โหลดแอปได้อย่างที่คุ้นเคย ทำให้ผู้ใช้สามารถโหลดแอปทำงานที่ต้องการใช้ โหลด MS Office มาใช้งานได้ง่าย ๆ เลย แต่อาจจะติดตรงที่ Lenovo Tab P12 ในไทยจะมีขายเฉพาะรุ่น Wi-Fi เท่านั้น ส่วนราคาจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท โดยจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างในแต่ละร้าน และแต่โปรโมชันในขณะนั้น
จุดเด่น – ได้เคสคีย์บอร์ดและปากกามาพร้อมกับเครื่องเลย / หน้าจอใหญ่ สีสวยและค่อนข้างตรง / แบตอึด
ข้อสังเกต – ชาร์จช้าไปนิดนึง เมื่อเทียบกับความจุแบต / ไม่มีระบุเรื่องการกันน้ำกันฝุ่น
ข้อมูลเพิ่มเติมของ Lenovo Tab P12
Samsung Galaxy Tab S9 FE ราคาเริ่มที่ 13,990 บาท
มาถึงรุ่นสุดท้ายแล้ว นั่นก็คือ Samsung Galaxy Tab S9 FE ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นแท็บเล็ตที่สามารถใช้งานทั่วไปและใช้ทำงานได้ดี สำหรับรุ่น FE ปกติจะมีหน้าจออยู่ที่ขนาด 10.9″ รีเฟรชเรต 90Hz ทำให้ภาพการเคลื่อนไหวบนจอเป็นไปได้ดูไหลลื่นตา ซึ่งจะเห็นชัดตอนเลื่อนแอป ไถฟีด หรือเลื่อนหน้าเอกสารยาว ๆ รวมถึงยังมีระบบ Vision Booster ที่ช่วยเพิ่มความสว่างของหน้าจอ และปรับคอนทราสต์เพื่อให้สามารถใช้งานกลางแจ้งได้ดีขึ้น รวมถึงยังมีฟังก์ชันช่วยลดแสงสีฟ้าเพื่อถนอมสายตาอีกด้วย ด้านของแรมจะให้มา 6GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128GB รองรับการเพิ่ม MicroSD เพิ่มได้สูงสุด 1TB ที่น่าสนใจคือเป็นแท็บเล็ตรุ่นที่ให้กล้องหน้ามาความละเอียดสูงกว่ากล้องหลัง ซึ่งจะทำให้เหมาะกับการใช้งานแอปสายวิดีโอคอล แอปประชุมออนไลน์ที่ต้องเปิดกล้องคุย เพราะจะได้ภาพที่คมชัดกว่า
หนึ่งในฟีเจอร์ที่เป็นไฮไลท์ของ Samsung Galaxy Tab S9 FE ก็คือความสามารถในการกันน้ำกันฝุ่นที่ระดับ IP68 ที่ถือว่าเป็นแท็บเล็ตรุ่นแรกของ Samsung ที่สามารถกันน้ำกันฝุ่นได้ในระดับนี้ ทำให้ผู้ใช้สามารถมั่นใจได้ว่าจะสามารถพกเครื่องไปใช้งานนอกสถานที่ หรือแม้กระทั่งใช้งานอยู่ในบ้านได้อย่างสบายใจ แม้น้ำจะหกหรือกระเซ็นใส่ก็ไม่มีปัญหา
ด้านของอุปกรณ์เสริมที่ให้มากับ Samsung Galaxy Tab S9 FE ก็ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ Samsung ทำได้ดีในด้านของการใช้งานเสมอมา นั่นคือปากกา S Pen ที่สามารถใช้ขีดเขียน วาดรูปได้เป็นอย่างดี รองรับการใช้งานร่วมกับแอป Samsung Notes ที่มีมาให้ในเครื่อง นอกจากนี้ยังมีโปรโมชันพิเศษ กับสิทธิ์ใช้งานแอป Goodnotes เวอร์ชัน Pro ฟรี 1 ปี และแอป Clip Studio Paint Ex ฟรี 6 เดือนด้วย เรียกว่าน่าจะสามารถใช้ทดลองทำงานได้เป็นอย่างดี และฟีเจอร์ที่ตามมาพร้อมกับการรองรับปากกา S Pen ก็คือ Circle to Search ที่ให้ผู้ใช้สามารถใช้ปากกาวงสิ่งที่ต้องการหาข้อมูลบนหน้าจอ เพื่อให้ Google ช่วยตรวจจับและค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ทันที เพิ่มความสะดวกให้กับการทำงานได้มากทีเดียว โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องสืบค้น วิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ส่วนการลงแอปใช้งานก็ไม่ต้องห่วงเลย เพราะตัวเครื่องรองรับ Play Store เต็มรูปแบบ
และถ้าหากต้องการใช้งาน Samsung Galaxy Tab S9 FE ในรูปแบบโน้ตบุ๊ก ก็สามารถหาซื้อ Book Cover Keyboard (ราคาศูนย์ไทย 4,990 บาท) มาใช้งานได้ โดยจะเป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถใช้ร่วมกันได้ทั้ง Galaxy Tab S10, S9 และ S9 FE เมื่อประกอบเข้าด้วยกันก็จะสามารถใช้งานเครื่องโหมด DeX ที่จะเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลและการทำงานให้คล้ายกับการใช้คอมพิวเตอร์พีซี เพิ่มความสะดวกในการใช้เป็นแท็บเล็ตทำงานขึ้นไปอีกขั้น
ปิดท้ายในเรื่องของการเชื่อมต่อ Samsung Galaxy Tab S9 FE จะมีให้เลือกทั้งรุ่น Wi-Fi ที่ราคา 13,990 บาท และรุ่นรองรับ 5G ด้วยในราคา 16,990 บาท ซึ่งสเปคทั้งสองรุ่นนี้จะเหมือนกันทั้งหมด สามารถเลือกซื้อได้ตามความต้องการและงบประมาณ
จุดเด่น – มีปากกา S Pen มาให้ / กันน้ำกันฝุ่น IP68 / มีโหมด DeX ให้ใช้งานได้เหมือนโน้ตบุ๊ก
ข้อสังเกต – สีหน้าจออาจยังไม่สดเท่าสายจอ OLED
ข้อมูลเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy Tab S9 FE
แท็บเล็ตทำงาน เลือกรุ่นไหนดี?
หากคุณต้องการหาแท็บเล็ตทำงานซักเครื่อง ทั้ง 3 รุ่นนี้น่าจะมีรุ่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณ อย่างในกรณีที่ถ้าคุณมีผลิตภัณฑ์ Apple อยู่แล้ว เช่นกำลังใช้งาน iPhone อยู่ หรือมี Mac อยู่ที่บ้าน ที่ทำงาน การเลือก iPad 11 มาเป็นแท็บเล็ตสำหรับใช้ทำงานก็น่าจะช่วยเพิ่มความสะดวกได้ดี ด้วยปัจจัยเรื่องความเข้ากันได้ การโอนถ่ายข้อมูลร่วมกันที่จะราบรื่นกว่าเมื่อเทียบกับกรณีที่ใช้ iPhone คู่กับแท็บเล็ต Android
ส่วนถ้าหากต้องการซื้อแบบเน้นความคุ้ม กะว่างบหมื่นกลาง ซื้อทีเดียวจบ ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เสริมอะไรเพิ่ม Lenovo Tab P12 คือทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะมาพร้อมของแถมเป็นชุดเคสคีย์บอร์ดและปากกา Lenovo Tab Pen Plus เพื่อให้พร้อมใช้งานได้ทันทีตั้งแต่แกะกล่อง แถมยังได้แบตความจุหลักหมื่น mAh แรมและความจุก็จัดเต็มมากว่ารุ่นอื่น ๆ ด้วย
หรือถ้าต้องการแท็บเล็ตที่เน้นเรื่อง productivity ต้องใช้ปากกาบ่อย ๆ รองรับโหมดการแสดงผลที่ให้ประสบการณ์การใช้งานคล้ายกับการใช้พีซี Samsung Galaxy Tab S9 FE คือตัวเลือกที่น่าใช้งานทีเดียว ทั้งด้วยคุณสมบัติของตัวเครื่องเองที่รองรับปากกา S Pen (ซึ่งแถมมาให้กับเครื่อง) และรองรับโหมด DeX รวมถึงยังมีฟีเจอร์อย่าง Circle to Search ที่ไว้เป็นตัวช่วยในการค้นหาข้อมูลจาก Google ได้อย่างง่ายดายและสะดวก นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเด่นอย่างการกันน้ำกันฝุ่นได้ รองรับการชาร์จเร็ว 45W อีก จึงน่าจะทำให้ Samsung Galaxy Tab S9 FE เป็นแท็บเล็ตทำงานคู่ใจได้เป็นอย่างดี