ในงาน Apple Event: Peek Performance ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นอกจากไอโฟนรุ่นใหม่อย่าง iPhone SE แล้ว Apple ได้เปิดตัว iPhone 13 Pro | iPhone 13 สีใหม่ มาในโทนเขียวทั้งสองรุ่น ได้แก่ iPhone 13 Pro Alpine Green หรือสีเขียวอัลไพน์ กับ iPhone 13 สีเขียว Green สเปคเดิม ราคาเท่าเดิม แค่สีใหม่นี่ล่ะครับ
แกะกล่อง iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ | iPhone 13 สีเขียว
สำหรับสีเขียวอัลไพน์ และสีเขียวของ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 จะครอบคลุมทั้ง 4 รุ่นในตอนนี้เลยครับ ก็คือสีเขียว (Green) จะมีให้เลือกทั้ง iPhone 13 และ iPhone 13 mini แน่นอนว่าสีเขียวอัลไพน์ (Alpine Green) ก็มีให้เลือกทั้ง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max
กล่องของทั้ง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 สีเขียว ยังคงใช้กล้องแบบเดียวกับ iPhone 13 สีอื่น ๆ คือเป็นกล่องบาง ลดการใช้พลาสติกให้มากที่สุด ไม่มีซีลพลาสติก แต่จะเป็นสติกเกอร์ซีลหลังกล่องแทน โดยกล่องของ iPhone 13 Pro จะเป็นพื้นหลังสีดำ ส่วนกล่องของ iPhone 13 จะเป็นพื้นหลังขาว มีการเล่นกิมมิกเล็ก ๆ ตรงบริเวณโลโก้ Apple กับตัวหนังสือ iPhone ข้างกล่อง จะเป็นสีเดียวกับตัวเครื่อง
อุปกรณ์ในกล่องของทั้ง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 มีให้น้อยชิ้นมาก ๆ เพราะมีให้แค่สายชาร์จแบบ USB Type-C to Lightning เพียงเส้นเดียว ที่เหลือก็เป็นเข็มจิ้มถาดซิม, คู่มือ แล้วก็สติกเกอร์รูป Apple (ที่ตอนนี้ก็เหลือแค่ลูกเดียว) ไม่มีอะแดปเตอร์ให้มาเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน แต่ก็สามารถซื้อเพิ่มได้ในราคา 690 บาท เป็นอะแดปเตอร์ USB-PD 20W หรือจะซื้อของ 3rd Party ก็ได้เช่นกันครับ
ตัวเครื่อง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 จะมีขนาดตัวเครื่องเท่ากันในทุกมุม ทั้งความกว้าง ความหนา แตกต่างกันที่น้ำหนักตัวเครื่อง โดย iPhone 13 Pro จะมีน้ำหนักตัวเครื่องที่มากกว่าเล็กน้อย ส่วนเรื่องการดีไซน์ มีความแตกต่างกันพอสมควรในเรื่องของสีตัวเครื่อง สองรุ่นนี้เหมือนสลับสีกันครับ
เริ่มจากสีเขียวอัลไพน์ของ iPhone 13 Pro จะเป็นสีเขียวโทนอ่อนกว่า คล้ายกับสี Midnight Green ใน iPhone 11 Pro แต่จะมีความสว่าง ความเขียวมากกว่า วัสดุฝาหลังเป็นกระจก Ceramic Shield แบบผิวด้าน โลโก้ Apple เป็นสีเขียวแบบเงา บริเวณโมดูลกล้องจะเป็นกระจกแบบมันเงา
ส่วน iPhone 13 สีเขียว ฝาหลังจะเป็นกระจก Creamic Shield แบบมันเงา โลโก้ Apple สีเงิน บริเวณโมดูลกล้องเป็นกระจกแบบด้าน หากสังเกตดี ๆ ก็คือจะเป็นการสลับสีกันระหว่างฝาหลังกับโมดูลกล้อง สีของโมดูลกล้อง iPhone 13 Pro Alpine Green จะเป็นสีของฝาหลัง iPhone 13 Pro Green และแน่นอนว่าสีโมดูลกล้อง iPhone 13 Green ก็คือสีฝาหลัง iPhone 13 Pro Alpine Green นั่นเอง
นอกจากฝาหลังที่สีแตกต่างกันแล้ว ในด้านวัสดุด้านข้าง บริเวณขอบตัวเครื่องก็ยังคงมีความแตกต่างกันด้วย โดย iPhone 13 Pro จะใช้วัสดุเป็นสแตนเลสผิวมันเงา ส่วน iPhone 13 จะเป็นอลูมิเนียมผิวด้าน เพราะฉะนั้นในแง่ของความเขียว ผมว่า iPhone 13 Green จะมีความสีเขียวมากกว่า ส่วน iPhone 13 Pro Alpine Green จะเป็นเขียวที่ดูขรึม ๆ หน่อย ความรู้สึกมันเหมือนตอนเทียบ iPhone 13 สีน้ำเงิน กับ iPhone 13 Pro สีเซียร์ร่าบลูครับ
iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ และ iPhone 13 สีเขียว ทั้งคู่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 15.4 ตั้งแต่แกะกล่อง ความสามารถหลัก ๆ ที่เพิ่มขึ้นมาก็คือเรื่องการปลดล็อกตัวเครื่องด้วย Face ID ในขณะที่ใส่หน้ากากอนามัยได้ แต่ก็มีสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งด้วยก็คือ Wallpaper สีใหม่ เข้ากับตัวเครื่องสีเขียวนั่นเอง
ส่วนเรื่องความเขียวของทั้ง iPhone 13 และ iPhone 13 Pro หากสงสัยว่ามันเขียวแบบในรูปโปรโมตของทาง Apple หรือไม่ หรือมันเขียวประมาณไหน ผมลองเทียบกับสีเขียวของต้นไทรใบสักให้ดู หวังว่าจะช่วยให้เพื่อน ๆ เห็นภาพได้ง่ายขึ้น ผมว่า iPhone 13 สีเขียว มันเป็นสีเขียวแบบใบแก่ของต้นไทรใบสัก ส่วนสีเขียวอัลไพน์ของ iPhone 13 Pro จะไม่ได้เขียวแบบต้นไม้ มันให้ความรู้สึกแบบสีเขียวในของคลาสสิก มีความโลหะหน่อย ๆ
นอกจากนี้ ฝาหลังของทั้ง iPhone 13 และ iPhone 13 Pro ยังให้ความเขียวแตกต่างกันไปตามสภาพแสงโดยรอบด้วยครับ หากใช้งานในอาคาร มันจะออกโทนเข้ม ๆ หน่อย แต่พอตัวเครื่องได้เจอกับแสงแดดจัด ๆ ก็จะให้สีที่ต่างออกไป ดูสว่างขึ้น เขียวขึ้นเยอะเลย โดยเฉพาะสีเขียวอัลไพน์ ตอนอยู่ในอาคาร บางมุมดูเป็นสีเทาเข้มด้วยซ้ำไป
เปรียบเทียบขนาดตัวเครื่อง iPhone 13
สำหรับใครที่สงสัยเรื่องขนาดตัวเครื่อง ผมได้ถ่ายภาพเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 13 ทุกรุ่น ทุกขนาดมาให้ชมกัน แต่ในรูปผมขอแทน iPhone 13 mini ด้วย iPhone 12 mini นะครับ เพราะหาเครื่อง iPhone 13 mini มาถ่ายไม่ทัน หลัก ๆ ก็คือ iPhone 13 กับ iPhone 13 Pro มีขนาดจอ ขนาดตัวเครื่องเท่ากัน ส่วน iPhone 13 Pro Max ก็จอใหญ่สุดไปเลย และแน่นอนว่า iPhone 13 mini ก็จะเป็นจอเล็ก เน้นขนาดที่พกพาสะดวก
เขียวไปให้สุด ด้วยอุปกรณ์เสริมสีเขียว เคส และสายนาฬิกา สีเขียวยูคาลิปตัส
นอกจากตัวเครื่องสีเขียวแล้ว หากต้องการใส่สุดในเรื่องความเขียว Apple ก็ได้วางจำหน่ายอุปกรณ์เสริมอย่างเคสซิลิโคน และสายนาฬิกาที่เป็นคอลเล็กชันใหม่ ผมแนะนำเป็นสีเขียวยูคาลิปตัส เพราะเข้ากับตัวเครื่อง iPhone 13 Pro Alpine Green และ iPhone 13 Green ได้เป็นอย่างดี เคสซิลิโคนสนนราคา 1,790 บาท รองรับการใช้งานร่วมกับระบบชาร์จไร้สาย MagSafe ด้วยครับ และมีกิมมิกเล็ก ๆ ตอนใส่เคส จะขึ้นโลโก้ MagSafe ตามสีเคส
เคสซิลิโคนของ Apple จะมีผิวสัมผัสที่นุ่มที่ด้านหลัง ส่วนด้านในเป็นผิวแบบกำมะหยี่ ไม่ทำให้ตัวเครื่องเป็นรอย ปุ่มกดนุ่มมือมาก ๆ และเว้นช่องต่าง ๆ ไว้อย่างพอดี เมื่อใส่เคสแล้วตัวเครื่องมีความหนาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แล้วก็เคสรุ่นใหม่ ๆ หากไม่ใช่เคสใสก็จะปกป้องไปถึงด้านล่างตัวเครื่องบริเวณพอร์ต Lightning ด้วยครับ
และถ้าจะต้องเขียวไปให้สุด เอาแบบสุดทางเลยก็ต้องจับคู่กับ Apple Watch Series 7 สีเขียวล่ะครับ แล้วก็มีสายนาฬิกาคอลเล็กชั่นใหม่ที่เป็นสีเขียวยูคาลิปตัสวางจำหน่ายคู่กันอีกด้วย อย่างในบทความนี้เป็นสายแบบ Solo Loop สวมใส่สบาย น้ำหนักเบา เหมาะกับการใส่ออกกำลังกายมาก ๆ
อุปกรณ์เสริมคอลเล็กชันใหม่ นอกจากจะมีสีเขียวยูคาลิปตัสไว้จับคู่เพิ่มความเขียวแล้ว ยังมีสีโทนสว่างอื่น ๆ อย่างสีเหลืองผิวเลมอน และสีส้มเนคทารีน อย่างภาพด้านล่าง ผมจับคู่ iPhone 13 Pro Max สีเซียร์ร่าบลู กับเคสซิลิโคนสีเหลืองผิวเลมอน ก็น่ารักไปอีกแบบ
iPhone 13 สีเขียว ราคา และช่องทางจำหน่าย
สำหรับราคา และความจุของ iPhone 13 สีเขียว และ iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์ ก็ยังคงมีตัวเลือกความจุเท่าเดิม วางจำหน่ายในราคาเท่าเดิม แต่จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ในวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2565 ที่ Apple Store ทั้งสองสาขา และช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ รวมถึงตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (Authorized Reseller) ของทาง Apple ครับ
ราคา iPhone 13 mini สีเขียว
- 128GB ราคา 25,900 บาท
- 256GB ราคา 29,900 บาท
- 512GB ราคา 37,900 บาท
ราคา iPhone 13 สีเขียว
- 128GB ราคา 29,900 บาท
- 256GB ราคา 33,900 บาท
- 512GB ราคา 41,900 บาท
ราคา iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์
- 128GB ราคา 38,900 บาท
- 256GB ราคา 42,900 บาท
- 512GB ราคา 50,900 บาท
- 1TB ราคา 58,900 บาท
ราคา iPhone 13 Pro Max สีเขียวอัลไพน์
- 128GB ราคา 42,900 บาท
- 256GB ราคา 46,900 บาท
- 512GB ราคา 54,900 บาท
- 1TB ราคา 62,900 บาท