หูฟังไร้สาย หรือหูฟัง True Wireless ที่เริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น หลังจากที่ค่ายใหญ่ๆ ได้เริ่มทำออกมาวางขายกัน ก็มีตั้งแต่รุ่นธรรมดา ไปจนถึงรุ่นระดับเรือธง ที่มีเสียงเทพกันเลย ในปี 2020 นี้ก็มีหลากหลายยี่ห้อ หลายรุ่นที่น่าสนใจ และน่าใช้งานอยู่ไม่น้อยเลย
หูฟังถือว่าเป็น Accessories อีกชิ้นนึง ที่มีความสำคัญต่อการใช้งานร่วมกับมือถือ หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อ เพื่อฟังเพลง หรือดูหนัง และถ้าพูดถึงหูฟังไร้สาย หรือ หูฟัง True Wireless ในสมัยนี้ ก็คงต้องเคยผ่านหูผ่านตากันบ้างแหละ เพราะส่วนใหญ่มือถือรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาจากค่ายเรือธง ส่วนใหญ่จะแถมมาให้ด้วย และก็สามารถซื้อแยกเองได้ด้วยเหมือนกัน แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นก็มีเสียงที่ต่างกันออกไป ตามราคา ฟังก์ชันการใช้งาน และคุณภาพของเสียงที่จะออกมาจากตัวหูฟัง วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ 10 หูฟังไร้สาย True Wireless ที่มีเสียงดี เบสแน่นๆ ที่ควรค่าแก่การใช้งาน ในปี 2020 มาดูกันเลย ว่ามีรุ่นไหนน่าสนใจบ้าง
หูฟัง True Wireless คืออะไร?
หลายคนยังงงๆ และยังสงสัยอยู่ว่าเจ้าหูฟังตัวนี้ มันคืออะไร และแตกต่างจากหูฟังปกติตรงไหน ซึ่งหูฟังปกติที่สามารถเชื่อมต่อได้แบบไร้สาย ก็คือการต่อด้วย Bluetooth นั้น จะมีอยู่ 4 แบบก็คือ 1. โมโน ที่เป็นหูฟังข้างเดียว ไว้สำหรับขับรถ 2. หูฟังออกกำลังกาย ที่มีสายคล้องหลังคอ 3. Headphone ที่ครอบหัว ไว้เล่นเกม และ 4. True Wireless ที่จะเป็นหูฟังขนาดเล็ก ไม่มีสายเชื่อมต่อ และมีให้ใส่ทั้งสองข้าง ซึ่งการเชื่อมต่อของหูฟัง True Wireless นี้ จะค่อนข้างเร็ว และมีความเสถียรสูง เหมาะกับการใข้งาน ในทุกๆ รูปแบบ
ส่วนหูฟัง True Wireless ก็สามารถแบ่งได้อีก 2 ประเภท นั่นก็คือ Earbuds หรือหูฟังปกติทั่วไป ที่โด่งดังมาตั้งแต่สมัย Sony Walkman หูฟังแบบนี้จะมีข้อดีตรงที่ ใช้งานง่าย ไม่เจ็บหู แต่ถ้าเป็นของที่ไม่ดี อาจจะมีเสียงเล็ดลอดเข้ามาได้ ส่วนอีกแบบจะเป็น In-ear ที่จะมีจุกยางเพื่อเป็นตัวเก็บเสียง ทำให้การใช้งานเป็นส่วนตัวมากขึ้น และยังช่วยให้เสียงสามารถเข้ามาได้อย่างเต็มที่ แต่สำหรับบางคน อาจจะเจ็บหู เพราะต้องเสียบเข้าไปในรูหูเลย
10 หูฟังไร้สายแบบ True Wireless
หูฟังแบบ True Wireless ที่จะมาแนะนำกันในวันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นยี่ห้อ และรุ่นที่มีราคากลางๆ ไปจนถึงราคาสูง แต่บางตัวก็ลดราคาลงมาเยอะมากแล้ว และจะเน้นไปทางด้านคุณภาพเสียง และการใช้งานที่ดีแตกต่างกันไป ซึ่งรุ่นที่จะมาแนะนำนั้น ทีมงานได้เคยลองใช้งานมาแล้ว ตามนี้เลย
1. AirPods Pro
มาเริ่มกันที่ตัวแรกกันเลย กับ AirPods Pro จาก Apple ที่ถึงแม้ว่าจะเปิดตัวมานานแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากได้มีการอัพ iOS14 ใหม่บนมือถือ iPhone จึงทำให้รุ่นน่าสนใจขึ้นมาอีกเยอะ โดยเฉพาะโหมด Spatial Audio เมื่อเปิดแล้ว จะช่วยให้เสียงดีขึ้นมาก หันไปตามทิศทางเสียงเหมือนอยู่ในโรงหนังเลย ได้อารมณ์ทุกเม็ดเสียงจริงๆ ด้านของการดีไซน์ ตัวนี้จะเป็นแบบ In-ear แต่เหมือนกันเป็นกึ่ง Hybrid อยู่เหมือนกันนะ ด้วยรูปทรงที่ทำออกมาได้เข้ากับหูมากที่สุด ส่วนในด้านของเสียง รุ่นนี้จะสามารถตัดเสียงรบกวนได้ดีพอสมควรเลย แถมยังมีโหมดฟังเสียงจากภายนอกได้ด้วย
เรื่องของการเชื่อมต่อ สามารถต่อกับ Bluetooth 5.0 ได้ และที่สำคัญคือ เมื่อดึงออกมาจากเคสแล้ว จะเชื่อมต่อให้ในทันที จากอุปกรณ์ของ Apple ทุกอันเลย สะดวกต่อการใช้งานสุดๆ แบตเตอรี่ชาร์จได้จากเคส หรือจากสาย Lightning Type-C ก็ได้ เหมาะกับการใช้งานเกือบทุกประเภท ทั้งดูหนัง ฟังเพลง การพูดคุยโทรศัพท์ รุ่นนี้ทำออกมาได้ดีทั้งหมด ส่วนราคาตอนนี้จะมีราคาอยู่ที่ 9,490 บาท สลักข้อความได้ฟรีด้วย สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ Apple
2. AirPods 2
หูฟังไร้สายอีกหนึ่งรุ่นจาก Apple ที่รุ่นนี้จะไม่ได้เป็นแบบ In-ear แต่เป็น Earbuds แทน ซึ่งแน่นอนว่าถึงแม้ว่าคุณภาพเสียงจะออกมาดีมากอยู่แล้ว แต่เสียงรบกวนจากภายนอกนั้น ก็ยังคงมีเข้ามาบ้าง หรือในบางคนที่ใส่ไม่พอดี ก็อาจจะไม่ค่อยตึ้บตั้บเท่าไหร่นัก แต่ถ้าใส่แล้วพอดี เสียงที่ออกมาจะมีความนุ่มลึก เบาสบาย ไม่ได้เน้นเสียงที่แน่นมาก เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป ไว้คุยตอนขับรถ ฟังเพลงได้หมด หรือจะใส่ขณะออกกำลังกายก็ยังได้อยู่เหมือนกัน
ในเรื่องของการเชื่อมต่อนั้น สามารถเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 ได้เหมือนกับตัวโปร เชื่อมต่อกับมือถือ และอุปกรณ์ได้เหมือนกัน แต่ว่าการชาร์จแบตเตอรี่นั้น ของตัวนี้จะมีมาให้เลือก 2 รุ่น นั่นก็คือแบบชาร์จแบตเตอรี่ได้จากเคสไร้สายด้วย Wireless Charge กับแบบที่ต้องใช้สาย Lightning USB-A ซึ่งราคาของทั้งสองรุ่น ก็จะต่างกันด้วย โดยราคารุ่นชาร์จด้วย Wireless จะมีราคา 7,490 บาท และที่ต้องใช้สาย Lightning USB-A ราคา 5,990 บาท สามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Apple
3. Powerbeats Pro
หูฟัง Wireless Charge แบบ In-ear ที่ทำขึ้นมาเพื่อการออกกำลังกายอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง กระโดด ตีลังกา ทำได้หมด ไม่มีหลุดแน่นอน เนื่องจากรุ่นนี้มาพร้อมกับขาคล้อง ที่สามารถปรับเข้ากับรูปทรงหูเราได้ และยังมีจุกยางที่สามารถเปลี่ยนได้อย่างหลากหลายด้วย ส่วนในเรื่องของเสียง รุ่นนี้ให้พลังเสียงที่หนักแน่น ชัดเจน และไม่ต้องกลัวว่าใส่ไปแล้วจะเจ็บหู เนื่องจากการออกแบบมาให้ เพื่อความสะดวกสบายต่อการใช้งานมากที่สุดแล้ว เสียงที่ออกมาจึงเข้ามาอย่างเต็มที่
อีกอย่างที่น่าสนใจก็คือรุ่นนี้ มีมาให้เลือกหลายสี มากถึง 8 สีเลยทีเดียว สามารถฟังแบบแยกข้างได้อีกต่างหาก โดยแต่ละข้างใช้ได้อย่างยาวนานมากถึง 9 ชั่วโมงกันเลย กันน้ำกันเหงื่อได้ปกติ ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่ จะชาร์จผ่านเคส หรือชาร์จด้วยสาย Lightning USB-A ก็ได้ เชื่อต่อด้วยระบบ Bluetooth ใช้งานได้สะดวกทุกที่ที่ออกกำลังกาย ส่วนราคาของรุ่นนี้จะมี 2 แบบ คือรุ่นไร้สาย ราคา 8,900 บาท และรุ่นมีสายคล้องหลังคอ 4,900 บาท สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Apple
4. Sony WF 1000x Mark 3
หูฟังไร้สาย แบบ In-ear กันเสียงรบกวนได้หลายแบบ และเน้นการฟังเพลงโดยเฉพาะจากค่าย Sony ซึ่งก็แน่นอนว่าเรื่องการฟังเพลง เขาคงไม่แพ้ใครอยู่แล้ว ในเรื่องของเสียง ต้องบอกว่าตัวนี้ เหมาะกับคนที่ต้องการใช้ฟังเพลงเป็นหลัก ส่วนเรื่องการใช้เพื่อคุยสื่อสาร อาจจะยังรับเข้าไมค์ได้ไม่ชัดมากเท่าไหร่ อีกอย่างคือหากใส่ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจจะมีการเจ็บหูนิดหน่อย ถ้าใส่เข้าไปแบบแน่นๆ แต่ถ้าใส่หลวมก็มีสิทธิ์หลุดได้เหมือนกัน เนื่องจากการดีไซน์ที่ค่อนข้างใหญ่
ส่วนที่ใหญ่ไม่แพ้กันก็คือเคส ที่มีขนาดมาให้ใหญ่เบิ้มมาก และจุกยางที่เลือกขนาดให้เข้ากับรูหูได้พอดี ส่วนการชาร์จแบตจะสามารถชาร์จกับเคส หรือชาร์จผ่านสาย Lightning USB-C ก็ได้ ตัวนี้มีแบตเยอะพอสมควร ไม่ต้องกลัวว่าจะหมดไว เชื่อมต่อด้วยระบบ Bluetooth 5.0 ช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้เยอะพอสมควรด้วย ราคาของรุ่นนี้ จากเว็บ Sony โดยตรงจะมีราคาขายอยู่ที่ 7,990 บาท แต่หากซื้อข้างนอกอาจจะราคาไม่ถึงขนาดนั้นแล้ว มือสองก็น่าสนใจนะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Sony
5. Sennheiser Momentum True Wireless 2
หูฟังตัวโหดที่เปิดตัวออกมา เพื่อเป็นคู่แข่งอย่าง Apple และ Sony ที่เน้นมาตรฐานของเสียงในระดับสูงจัด ซึ่งตัวนี้ ก็ได้มีการพัฒนาขึ้นมาจากรุ่นแรก โดยมีการตัดเสียงรบกวนเพิ่มเข้ามาด้วย ส่วนเรื่องของเนื้อเสียงนั้น ตัวนี้จะให้เสียงที่นุ่มละมุนหู ทั้งเสียงเบสและเสียงกลาง เข้ามาทุกโทนเสียงพร้อมๆ กัน ถ้าเน้นตึ้บตั้บรุ่นนี้ไม่ได้ทำมาแบบนั้นนะ ภายนอกออกแบบมาดูสวยงาม น่าใช้งาน และใส่เข้ากับทรงหูได้พอดี ไม่ดันขอบหูให้เจ็บ จะใส่ฟังเพลง ดูหนัง ออกกำลังก็ได้หมด
รุ่นนี้มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอยู่ด้วย ก็คือที่ตัวหูฟังจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับได้ด้วย ที่เพลงจุหยุดเมื่อเราเอาออกจากหู และจะเล่นต่อเมื่อใส่เข้าไป แบตเตอรี่ของตัวนี้ก็ได้พัฒนามา ให้มากกว่าในรุ่นแรกด้วย โดยสามารถใช้งานติดต่อกันได้นานถึง 7 ชั่วโมง ชาร์จแบตเตอรี่ผ่านเคส และสาย USB-C สะดวกต่อการใช้งาน มีจุกยางเพื่อปรับขนาดให้ และตัวเคสจะเป็นผ้าหุ้ม ดูหรูหราน่าใช้งานมาก เชื่อมต่อได้ด้วยระบบ Bluetooth 5.0 แต่ต่อทีเดียวหลายเครื่องไม่ได้นะ ราคาของรุ่นนี้ก็จะสูงหน่อย มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 11,999 บาท แต่ตอนนี้บางเว็บก็ปรับราคาลงมาบ้างแล้ว ใครที่มีงบสูงและอยากได้เสียงที่ดีต่อหู แนะนำตัวนี้เลย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Sennheiser momentum true wireless 2
6. Samsung Galaxy Buds Live
ย้ายกลับมาฝั่งเกาหลีกันบ้างกับรุ่นที่ออกมา เป็นหูฟังไรสายแบบ Earbuds พร้อมกับมือถือตัวใหม่คือ Samsung Galaxy Note 20 โดยรุ่นนี้หลายๆ คนได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ดีไซน์คล้ายถั่ว ซึ่งด้วยทรงถั่วของตัวนี้นี่เอง ที่ทำให้หลายคนคิดว่าใส่แล้วเหมือนจะหลุด แต่ถ้าใส่ได้อย่างพอดีแล้วล่ะก็ ไม่มีทางหลุดร่วงลงมาได้อย่างแน่นอน จริงๆ แล้วก็มียางปรับขนาดมาให้ด้วยนะ ช่วยให้พอดีกับหูเรามากขึ้น คุณภาพของเสียงถ้าฟังครั้งแรกแล้ว อาจจะบอกว่าเสียงบางไปหน่อย แต่เมื่อใช้ไปนานๆ (ที่เขาเรียกว่าเบิร์นก่อนน่ะ) เสียงจะชัดมากขึ้น และออกมาครบทุกย่านเสียงเลย
นอกจากเสียงที่ทำออกมาได้เป็นอย่างดีแล้ว ไมค์ที่ใช้งานก็สามารถรับเสียงได้ดีมากๆ ถึงแม้ว่าดูภายนอกแล้วอาจจะไกลหูเกินไป แต่ในความจริงแล้ว กลับรับเสียงพูดได้เป็นอย่างดี เหมาะกับการใช้งานในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง หรือฟังเพลง แต่ออกกำลังกายแรงๆ ไม่แน่ใจว่าจะหลุดไหม ถ้าเบาๆพอได้อยู่ ส่วนแบตเตอรี่นั้นก็สามารถอยู่ได้นาน รองรับการใช้งานได้ 6 ชั่วโมง ชาร์จจากตัวเคสและสาย USB-C ได้เลย เชื่อมต่อได้ Bluetooth 5.0 ได้ปกติ iOS เมื่อโหลดแอปมาก็ใช้ได้เหมือนกันนะ ราคาเปิดตัวจะมีราคาอยู่ที่ 6,990 บาท สามารถดูรายละเอียดการรีวิวได้ที่นี่ Samsung Galaxy Buds Live
7. Samsung Galaxy Buds +
อีกหนึ่งรุ่นของ Samsung ที่ออกมาก่อนตัว Buds Live ที่เป็นแบบ In-ear ที่ถึงแม้ว่าจะออกมาก่อนนานพอสมควร แต่คุณภาพของเสียงแน่นอนว่า ยังคงมีความคมชัดสูง เสียงเบสปึ๋งปั๋งนุ่มสบายหู ตามมาตรฐาน AKG เหมาะสำหรับการฟังเพลง ดูหนัง ไปจนถึงการออกกำลังกายได้เลย เพราะสามารถใส่เข้าไปได้พอดีกับหู และร่องหู ทำให้ไม่ปวดหรือเจ็บเมื่อใส่เป็นระยะเวลานาน รุ่นนี้จะเน้นการรับเสียงมากขึ้น โดยใส่ไมค์มาให้ถึง 3 ตัว ช่วยลดเสียงรบกวน และรับเสียงจากการพูดของเราได้มากขึ้นด้วย
มีจุกยาง และยางรอบตัวหูฟังที่สามารถปรับขนาดได้หลากหลาย เพื่อการใช้งานที่พอดี และเข้ากับทรงหูของเราได้มากที่สุด แบตเตอรี่รุ่นนี้ต้องขอบอกว่า อึดทนนาน จริงๆ เพราะเท่าที่เราลองใช้งานกันดูแล้ว สามารถลากยาวไปได้ถึง 11 ชั่วโมงกันเลย ต่อการชาร์จเพียงครั้งเดียวเท่านั้น สามารถชาร์จได้กับเคส และสาย USB-C และเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 ใช้ได้ทั้ง Android และ iOS ราคาของรุ่นนี้เปิดตัวมามีราคา 4,990 บาท แต่ตอนนี้ราคาอาจดรอปลงไปแล้ว รุ่นนี้น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย สำหรับคนที่ไม่ได้มีงบเยอะ คุ้มค่าการใช้งานแน่นอน อ่านรายละเอียดและข้อมูลการรีวิวได้ที่ Samsung Galaxy Buds +
8. Realme Buds Q
หูฟัง True Wireless ที่เปิดตัวออกมาพร้อมกับ Realme X50 Pro 5G ซึ่งเป็นแบบ In-ear ที่มีราคาสำหรับคนงบน้อย แต่ได้เสียงเบสหนักแน่นดั่งมีซับวูฟเฟอร์จ่อหู เนื่องจากตัวนี้ได้ใส่ Dynamic Bass Boost ขนาด 10 มม. มาให้ด้วย นอกจากเสียงเบสที่กระหน่ำใส่มาอย่างไม่ยั้ง แต่เสียงอื่นๆ ก็ไม่ได้ด้อยคุณค่าไปเท่าไหร่นัก โดยยังสามารถปรับให้มีเสียงทุกเสียงเท่ากันได้ ที่น่าสนใจก็คือ ในรุ่นนี้จะมีโหมด ที่เป็น Gaming Mode อยู่ด้วย ที่จะช่วยลดความหน่วงของเสียงลง ทำให้การใช้งาน ขณะเล่นเกม ฟังเพลง หรือดูหนังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดีไซน์ของตัวนี้ ทางผู้ออกแบบบอกมาว่าตั้งใจให้เหมือนก้อนหิน ก็คือจะออกมามนๆ กลมๆ แต่ก็สามารถใช้งานได้อย่างพอดีในระดับนึง แต่ใส่นานๆอาจจะเจ็บเล็กน้อย แบตเตอรี่ของรุ่นนี้สามารถอยู่ได้นาน สูงสุด 6 ชั่วโมง ชาร์จแบตเตอรี่ผ่านเคส และสาย Micro USB เชื่อมต่อได้ Bluetooth 5.0 เหมือนในทุกรุ่น มีราคาตอนนี้เหลืออยู่ 999 บาทเท่านั้น ถึงแม้ว่ารุ่นนี้จะมีราคาที่ไม่สูงมากนัก แต่สำหรับการใช้งาน กับคนที่หลงรักในเสียงเพลง และชอบเสียงเบสแบบเน้นๆ รุ่นนี้ทำออกมาตอบโจทย์ได้ดีเลย สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Realme Buds Q
9. Huawei FreeBuds 3
เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย สำหรับตัว FreeBuds 3 ของ Huawei ตัวนี้ ที่ตอนเปิดตัวออกมาได้กระแส ความสนใจกันเป็นอย่างมาก เนื่องจากการดีไซน์ที่คล้ายกับ AirPods เลย แถมประสิทธิภาพของเสียงก็ยังคล้ายกันอีกด้วยนะ โดยรุ่นนี้จะเป็น Earbuds ที่สามารถตัดเสียงรบกวนภายนอกได้ เสียงไมค์ และเสียงคุยชัดเจนมาก จะคุยโทรศัพท์ที่ไหนก็ง่ายต่อการใช้งาน ส่วนในเรื่องของเสียงนั้น จะมีเสียงที่ชัดเจน เสียงเบสหนักแน่นดึ่มๆ สบายหู และสามารถใส่นานๆ ได้เลย ไม่ค่อยเจ็บหูเท่าไหร่ เคสมีรูปทรงสวยงาม พกพาสะดวก
ส่วนการใช้งานแบบปกติทั่วไป ตัวนี้เมื่อชาร์จเต็ม 1 ครั้ง สามารถใช้ได้ยาวนานถึง 4 ชั่วโมงเลย โดยการชาร์จสามารถชาร์จผ่านเคส หรือสาย USB-C เชื่อมต่อผ่านระบบ Blutooth 5.1 Soc ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อไวมากขึ้น และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา รุ่นนี้จะเหมาะกับคนที่ต้องคุยโทรศัพท์อยู่บ่อยๆ หรือจะฟังเพลง ดูหนังก็ได้หมด ใส่ตอนออกกำลังกายก็ตัดเสียงลมได้เหมือนกันนะ ราคาตอนเปิดตัวจะมีราคาอยู่ที่ 4,990 บาท แต่ในตอนนี้ราคาก็ลดลงมาแล้วเหลือเพียง 3,999 บาท จากศูนย์โดยตรง สำหรับคนมีงบกลางๆ รุ่นนี้น่าสนใจไม่น้อยเลย สามารถดูรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Huawei FreeBuds 3
10. Razer Hammerhead True Wireless
มาถึงตัวสุดท้ายกันแล้ว กับหูฟังไร้สายแบบ Earbuds ที่ดีไซน์การออกแบบ ก็ไม่ได้หนีกันออกไปไกลมากเท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่น่าสนใจมากสำหรับตัวนี้เลย ก็คือ Ultra-Low Latency ที่คล้ายกับการเปิด Gaming Mode เมื่อเปิดใช้งานแล้ว ก็จะทำให้ลดเสียงที่ดีเลย์ลงไป ทำให้ฟังเสียงได้เรียลไทม์มากขึ้น ไม่มีหน่วง แน่นอนว่าตัวนี้ทำออกมา สำหรับพวกคอเกมโดยเฉพาะ เสียงที่ออกมาจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้เสียงครบทุกเสียง รู้ทุกทิศทาง เหมาะกับคนที่ชอบเล่นเกมมือถือเป็นประจำ
ส่วนในเรื่องของแบตเตอรี่นั้น สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 4 ชั่วโมง สามารถชาร์จแบตเตอรี่กับเคส หรือผ่านสาย USB-C ได้ การเชื่อมต่อจะเป็น Bluetooth 5.0 ได้เหมือนในทุกตัวปกติ ตัวนี้มีแถมสายคล้องเคสมาให้ด้วยนะ จะห้อยกางเกงหรือห้อยแขนไว้ก็ได้ ราคาเปิดตัวมีราคาอยู่ที่ 3,690 บาท สามารถอ่านรายละเอียดรีวิวได้ที่ Razer Hammerhead True Wireless
แล้วทั้งหมดนี้ก็เป็น หูฟังไร้สาย แบบ True Wireless ทั้ง 10 ตัว ที่เราได้เอามาแนะนำกันนะครับ และต้องย้ำอีกครั้งว่า อาจมีตัวอื่นที่ดีกว่านี้ ในราคาย่อมเยาว์ หรือมีข้อดีที่แตกต่างกันไป แต่ที่เราเอามาแนะนำนั้น ได้เคยผ่านมือ ผ่านหูด้วยการลองของทีมงานมาแล้ว ก่อนจะนำมาแชร์ประสบการณ์การฟังให้ได้ลองกัน แล้วถ้ามีเรื่องราวอะไรน่าสนใจอีก เราก็จะมาบอกกันอีกเรื่อยๆ เลยนะครับ