Samsung Galaxy Buds+ หูฟังไร้สายแบบ True Wireless รุ่นใหม่ที่เป็นรุ่นอัพเกรดหลาย ๆ อย่างจาก Galaxy Buds ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มไดร์เวอร์ เพิ่มไมโครโฟน หรือเพิ่มแบตเตอรี่จนแบตอึดสุด ๆ และที่ดีคือไม่มีการปรับราคาขึ้นแต่อย่างใด ทีนี้เราไปดูกันดีกว่าว่า Samsung Galaxy Buds+ นั้นเป็นอย่างไร
เคส Galaxy Buds+
มาเริ่มกันที่ตัวเคสกันก่อนเลย โดยตัวเคสนั้นจะมีลักษณะเป็นวงรีแบบแคปซูลมีผิวมันวาว และมีให้เลือก 3 สีคือสีฟ้า, ดำ และขาว ซึ่งสีที่ทางเราได้มาจะมีสีฟ้าและสีดำ โดยด้านบนของเคสจะมีตัวอักษรเขียนว่า ” Samsung Sound by AKG ” อยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหูฟังตัวนี้ได้รับความร่วมมือจาก AKG ในการปรับจูนเสียงให้ดียิ่งขึ้น
ที่ด้านหน้าของตัวเคสจะมีไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่ของตัวเคสอยู่โดยหากแบตเตอรี่มีมากกว่า 60% จะแสดงเป็นสีเขียว หากอยู่ในช่วง 10 – 60% จะเป็นสีแดง และหากต่ำกว่า 10% จะเป็นไฟกระพริบสีแดง ส่วนด้านหลังนั้นจะมีพอร์ตชาร์จไฟแบบ Type-C อยู่ แถมยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายอีกด้วย (ในรูปชาร์จด้วย Powershare ของ Galaxy S20+)
เมื่อเปิดฝาขึ้นมาจะเจอกับตัวหูฟังที่เก็บเอาไว้อยู่ในเคส ซึ่งตรงกลางระหว่างตัวหูฟังจะมีไฟแสดงสถานะอยู่ตรงกลาง และเมื่อมองถัดลงมาจะเป็นข้อความบอกว่าฝั่งไหนข้างซ้าย หรือขวา
หูฟัง Galaxy Buds+
ตัวหูฟังนั้นจะเป็นแบบ In-Ear ที่ภายในได้รับการอัพเกรดจากเดิมให้มีถึง 2 ไดร์เวอร์ ช่วยให้สร้างเสียงออกมาได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มไมโครโฟนให้กลายเป็น 3 ตัวช่วยให้การตัดเสียงรบกวนทำได้ดียิ่งขึ้น แถมด้วยการเพิ่มปริมาณแบตเตอรี่ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 11 ชม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
จุดเด่นของ Samsung Galaxy Buds+
ลำโพงไดนามิกระบบเสียง 2 ทาง มาตรฐาน AKG
ใน Galaxy Buds+ นั้นได้รับการอัพเกรดพลังเสียงเพิ่มเติมให้ดีขึ้นกว่าใน Galaxy Buds ที่มีไดรเวอร์เพียงตัวเดียว โดยการเพิ่มไดร์เวอร์เข้ามาอีกตัว ทำให้ได้เสียงสูงที่คมชัด และเสียงเบสที่นุ่มกว่าในรุ่นก่อน ซึ่งจากที่ได้ลองทั้ง 2 รุ่นแล้วต้องบอกเลยว่าใน Galaxy Buds+ นั้นให้เสียงสูงที่ชัดเจนขึ้น และเสียงเบสที่นุ่มนวลขึ้น ฟังแล้วสบายหูกว่ามากเลยครับ
ไมโครโฟน 3 ตัว ลดเสียงรบกวน
หนึ่งในปัญหาที่เจอใน Galaxy Buds คือการที่ปลายสายไม่ค่อยได้ยินเสียงสนทนาของเราอันเนื่องมาจากมีไมโครโฟนสำหรับสนทนาเพียงตัวเดียว ส่วนอีกตัวเป็นไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน เพื่อแก้ปัญหานั้น Samsung จึงได้ทำการเพิ่มไมโครโฟนเข้ามาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งจะทำให้สามารถรับเสียงได้ดียิ่งขึ้น แถมยังเป็นตัวช่วยให้ตัดเสียงรบกวนได้ดียิ่งขึ้นด้วย
ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 11 ชม.
สิ่งหนึ่งที่ Samsung ทำการอัพเกรดจาก Galaxy Buds นั่นก็คือปริมาณแบตเตอรี่และระยะเวลาในการใช้งาน ซึ่งใช้ได้นานสูงสุด 6 ชม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ให้เพิ่มขึ้นเป็น 11 ชม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งทำให้สามารถใช้งานได้ทั้งวันได้สบาย ๆ และถึงแม้จะไม่ได้ใส่ตลอด แต่ก็ช่วยทำให้ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่บ่อย ๆ ได้
วิธีการใช้งาน
Samsung Galaxy Buds+ นั้นจะทำงานร่วมกับแอพ Galaxy Wearable ซึ่งสามารถหาโหลดได้ทั้งใน Android และ iOS ซึ่งในสมาร์ทโฟน Samsung นั้นจะมีการติดตั้งมาไว้ให้ตั้งแต่แรกเลย
ในหน้าหลักของแอพ Galaxy Wearable นั้นจะแสดงปริมาณแบตเตอรี่ทั้งในตัวหูฟังกับ เคส, ปรับระดับเสียงรบกวนที่จะได้ยิน และสามารถปรับอีควอไลเซอร์ได้ถึง 6 แบบ ขึ้นอยู่กับสไตล์การฟังเพลงของแต่ละคน
สำหรับการควบคุมนั้นจะมีอยู่ทั้งหมด 4 รูปแบบคือการแตะ 1 ครั้ง, 2 ครั้ง, 3 ครั้ง และการแตะค้าง โดยรายละเอียดจะเป็นดังนี้
- แตะ 1 ครั้ง : เล่น/พักเพลง
- แตะ 2 ครั้ง : เล่นเพลงต่อไป / รับ-วางสาย
- แตะ 3 ครั้ง : เล่นเพลงก่อนหน้า
- แตะค้าง : ปฏิเสธสาย / ตามแต่ตั้งค่า (มีให้เลือก 4 อย่างคือ เปิด Assistant, เปิด-ปิด Ambient sound, เพิ่ม-ลดระดับเสียง และเปิด Spotify)
นอกจากนี้ในส่วนของการตั้งค่าขั้นสูงจะมีฟีเจอร์ให้เปิดเสียงรอบข้างในระหว่างที่กำลังคุยสายอยู่ ซึ่งนี่จะช่วยให้ปลายสายได้ยินเสียงของเราชัดขึ้นมาก
ประสบการณ์จากการใช้งานจริง
จากที่ได้เอามาลอใช้งานจริง แทนที่หูฟังประจำที่ใช้อยู่แบบเต็มตัวเป็นเวลา 1 สัปดาห์แล้ว ต้องยอมรับเลยว่าเสียงเพลงที่ฟังนั้นออกมาค่อนข้างดีเลยทีเดียว ถึงแม้จะต้องมาคอยปรับ EQ เวลาเปลี่ยนแนวเพลงก็ตาม โดยตัวผมนั้นฟังเพลงไทยสลับกับ J-POP ซึ่งเพลงไทยสามารถปรับ EQ เป็น Normal ได้ แต่พอเปลี่ยนเป็น J-POP แล้วจำเป็นต้องปรับเป็นแบบ Dynamic เนื่องจากเบสที่ได้นั้นหนักมากจนเกินควร
สำหรับความสบายในการสวมใส่นั้นต้องบอกเลยว่าสวมแล้วสบายมากครับ แม้จะใส่เป็นเวลานานก็ไม่มีอาการปวดหูแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นคนที่ใส้หูฟังแบบ In-Ear ไม่ได้แท้ ๆ แต่กลับในเจ้า Galaxy Buds+ ได้หลายชั่วโมงโดยไม่มีปัญหาใด ๆ
ระยะเวลาในการใช้งานนั้นรอบนี้ต้องยอมรับเลยว่า Samsung ทำออกมาดีจริง ๆ ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้ใช้งานตลอดเวลาและมักเก็นตัวหูฟังลงเคสตลอด ทำให้กว่าแบตเตอรี่จะหมดจริง ๆ ก็ปาเข้าไป 4 วันเต็ม ๆ (เอามาใช้งาน 3 ชม. ต่อวัน) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความดังที่ปรับด้วย
สรุป
โดยรวมแล้ว Samsung Galaxy Buds+ นั้นทำออกมาได้ดีมาก ปรับปรุงจากรุ่นก่อนเยอะมาก ทั้งเสียงที่ดีขึ้น ไมโครโฟนที่ชัดมากขึ้น อายุการใช่งานที่ยาวนานมาก ๆ แถมยังคงราคาไว้ที่ 4,990 บาทเท่าเดิมอยู่ สำหรับใครที่กำลังหาหูฟังแบบ True Wireless แล้วนั้นควรเอา Galaxy Buds+ นี้เข้าไปในอันดับแรก ๆ ของตัวเลือกอย่างยิ่ง อีกทั้งคนที่มีปัญหากับหูฟังแบบ In-Ear ก็สามารถใช้ Galaxy Buds+ ได้ด้วย