ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคมเป็นต้นไป นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะมาก ๆ สำหรับผู้ที่กำลังจะซื้อมือถือใหม่ เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 จากภาครัฐฯ ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถนำยอดซื้อสินค้าจากร้านที่ร่วมโครงการ และสามารถออก E-Tax invoice หรือ E-receipt ที่เป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์เข้าอีเมลผู้ซื้อได้ ซึ่งร้านขายมือถือส่วนใหญ่ โดยเฉพาะร้านสาขาของเครือร้านที่มีการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการก็มักจะเข้าร่วมในโครงการนี้อยู่แล้ว จึงทำให้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะมากสำหรับการจะซื้อมือถือใหม่ ไม่ว่าจะซื้อมาใช้เอง หรือซื้อให้ผู้อื่นก็ตาม โดยกลุ่มของสินค้าทั่วไป จะสามารถนำยอดซื้อไปใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาท
ดังนั้น ในบทความนี้ก็จะมาแนะนำมือถือ 5 รุ่นน่าซื้อ แบ่งเป็น 5 ช่วงงบยอดนิยม เริ่มตั้งแต่ 10,000 ไปจนถึงสูงสุด 30,000 บาท
งบ 10,000 บาท – POCO X7 5G
เป็นมือถือรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวและเริ่มวางจำหน่ายไปเมื่อไม่กี่วันก่อน มาพร้อมความคุ้มในแง่ของประสิทธิภาพต่อราคาแบบจัดเต็มมาก สานต่อจากซีรีส์ X6 แบบเต็ม ๆ ด้วยความแรงของชิป MediaTek Dimensity 7300-Ultra ที่จะใช้งานทั่วไปก็ทำได้สบาย จะเล่นเกมก็แรงจนเล่นได้แบบชิล ๆ เสริมด้วยแผ่นแกรไฟต์ด้านในเพื่อช่วยในการกระจายความร้อน หน้าจอก็จะได้เป็นสเปคคล้ายเดิมคือจอ AMOLED ขนาด 6.67″ ความละเอียดสูง 120Hz รองรับการแสดงสีได้ 100% ตามมาตรฐาน DCI-P3 กระจกหน้าจอ Gorilla Glass Victus 2 โดยจะมีความพิเศษเพิ่มขึ้นมาคือเป็นหน้าจอขอบโค้ง 3 มิติรุ่นแรกของ POCO ด้วย ซึ่งตรงนี้ก็อาจจะแล้วแต่ความชอบของแต่ละท่านอีกที
เรื่องกล้องหลังก็ให้มา 3 เลนส์โดยเป็นกล้องหลัก 50MP เซ็นเซอร์ Sony IMX882 เลนส์อัลตร้าไวด์ 8MP และเลนส์มาโคร 2MP มีกันสั่น OIS และ EIS มาช่วยในเรื่องการถ่ายวิดีโอ รวมถึงมี AI มาช่วยในการแต่งภาพให้ง่ายและสนุกยิ่งขึ้น มาพร้อมความสามารถในการกันน้ำกันฝุ่นที่มาตรฐานระดับ IP68 ทำให้ POCO X7 เป็นมือถืออีกรุ่นที่น่าซื้อในช่วงโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ไม่ว่าจะซื้อมาใช้เอง ซื้อมาให้เด็ก ๆ หรือให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวใช้ ด้วยสเปคที่แรงเหลือเฟือ ความทนทานโดยรวมก็ดี โดยรุ่นความจุที่แนะนำก็คือควรไปสุดเลยที่แรม 12GB สตอเรจ 512GB ครับ มากับราคา 10,000 ทอน 1 บาท
งบ 15,000 บาท – Samsung Galaxy A55 5G
หากต้องการมือถือที่ใช้งานได้รอบด้าน มีศูนย์บริการที่ค่อนข้างครอบคลุม โดยเฉพาะในต่างจังหวัด Samsung Galaxy A55 5G คือรุ่นที่น่าจะตอบโจทย์ได้ดีในงบไม่เกิน 15,000 บาท ด้วยแต้มต่อในเรื่องของศูนย์บริการ การสนับสนุนหลังการขายที่สามารถเข้าถึงได้ค่อนข้างง่ายอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ตัวเครื่องเองก็ให้สเปคมาได้ค่อนข้างตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย เน้นไปที่การใช้งานแบบทั่วไปคือเป็นมือถือเครื่องหลักได้สบาย ๆ ใช้ลงแอปโซเชียล ลง Line เพื่อใช้พูดคุย วิดีโอคอลก็ทำได้สบาย ๆ ด้วยกล้องหน้าความละเอียดสูง 32MP จะใช้กล้องหลังถ่ายวิดีโอก็ทำได้ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K แบบเนียน ๆ โดยกล้องหลังจะมีให้มา 3 เลนส์คือเลนส์ไวด์ปกติ 50MP เลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP สำหรับถ่ายภาพกว้าง ๆ และเลนส์มาโคร 5MP สำหรับการถ่ายภาพวัตถุระยะใกล้มาก ๆ เช่น ถ่ายพระเครื่อง ถ่ายสินค้าระยะใกล้ ด้านของหน้าจอก็ให้มาในขนาดยอดนิยมคือ 6.6″ พาเนล Super AMOLED ที่ขึ้นชื่อของ Samsung มานาน รีเฟรชเรต 120Hz ทำให้เวลาปาดหน้าจอก็ดูลื่นตา
นอกจากนี้ยังสามารถติดตั้งแอปธนาคาร แอปจากภาครัฐฯ ผ่าน Play Store ได้แบบไม่มีปัญหา รองรับการอัปเดตระบบปฏิบัติการ Android ได้ถึง 4 รุ่น อัปเดตแพทช์ความปลอดภัย 5 ปี ทำให้เมื่อซื้อไปแล้วก็น่าจะอุ่นใจว่าสามารถใช้งานเครื่องไปได้ยาว ๆ หากเครื่องไม่มีปัญหา กันน้ำกันฝุ่นได้ในระดับ IP67 คือสามารถกันละอองน้ำ สามารถนำเครื่องลงน้ำจืดได้ลึกสุด 1 เมตร ในเวลาไม่เกิน 30 นาทีได้ (ในกรณีที่เครื่องยังไม่เก่ามาก) ทำให้โดยรวมแล้ว Samsung Galaxy A55 5G น่าจะเป็นมือถือที่เหมาะมาก ๆ สำหรับการซื้อให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัว ด้วยองค์ประกอบโดยรวมที่ใช้งานง่าย ศูนย์เยอะ สามารถหาข้อมูลเรื่องการแก้ไขต่าง ๆ ได้ค่อนข้างง่าย ส่วนรุ่นความจุที่แนะนำก็จะเป็นรุ่นแรม 12GB สตอเรจ 256GB ไปเลยครับ ราคาจะอยู่ที่ราว 15,000 บาทเกือบพอดี หรืออาจมีบวกไปอีกเล็กน้อยไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งก็ถือว่าเต็มงบ 15,000 ลดหย่อนภาษีในโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ได้ 15,000 บาทตามที่ตั้งไว้เลย
งบ 20,000 บาท – vivo V40 5G
ขยับงบมาอีก 5,000 บาท ในช่วงนี้รุ่นที่จัดว่ามีฟีเจอร์โดดเด่นขึ้นมาหน่อยก็คือ vivo V40 5G มือถือที่ออกแบบมาเพื่อการถ่ายภาพบุคคล ถ่าย portrait แบบเน้น ๆ ด้วยเลนส์และระบบกล้องที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง vivo กับ ZEISS จากเยอรมนี ทำให้กล้องหลังแม้จะให้มา 2 เลนส์คือเลนส์ไวด์ปกติและอัลตร้าไวด์ แต่ก็สามารถถ่ายภาพบุคคลด้วยการจำลองระยะเลนส์ต่าง ๆ ทั้ง 24mm, 35mm และ 50mm ถอดแบบมาจากกล้องจริงได้ด้วยการ crop เซ็นเซอร์และการประมวลผลเสริม ที่ทำให้ตัวแบบคมชัด และสามารถสร้างโบเก้ในแบบต่าง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเลนส์ ZEISS ได้อีกด้วย ทำให้ภาพออกมาดูมีมิติ โดดเด่นกว่าการใช้โหมด portrait ในมือถือทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ด้านหลังยังมีไฟด้านหลังที่ให้แสงออร่า เพื่อช่วยเพิ่มแสงสว่างให้กับตัวแบบ เพื่อให้สามารถถ่ายกลางคืนและถ่ายย้อนแสงได้ดีขึ้น คล้ายกับการใช้ไฟสตูดิโอ จึงทำให้น่าจะเหมาะกับการใช้ถ่ายภาพบุคคลมาก ๆ เรียกว่าสายทริป สายคาเฟ่น่าจะถูกใจ vivo V40 พอตัวทีเดียว แถมยังมี AI ช่วยแต่งภาพ ลบสิ่งที่ไม่ต้องการออกจากภาพได้ด้วย
ส่วนสเปคอื่นก็ให้มาค่อนข้างโอเคเลย โดยจะได้เป็นชิป Snapdragon 7 Gen 3 ที่ใช้งานทั่วไปได้ดี ประหยัดพลังงาน เล่นเกมทั่วไปได้สบาย หน้าจอ 6.78″ AMOLED ความละเอียดระดับ FHD+ รีเฟรชเรต 120Hz ตามมาตรฐาน สามารถแสดงสีสันได้ระดับ 100% DCI-P3 และอีกจุดเด่นที่ขาดไม่ได้ก็คือแบตเตอรี่ BlueVolt ซิลิคอน-คาร์บอน 5500 mAh ขนาดเล็กและบาง ที่รองรับการชาร์จเร็วได้สูงสุดถึง 80W จึงทำให้น่าจะเป็นมือถือที่เหมาะมากสำหรับสายเที่ยว สายถ่ายภาพ ไปจนถึงสายถ่ายนางแบบที่อาจจะต้องการกล้องรองอีกตัวเพื่อไว้ใช้เพิ่มความหลากหลายให้กับงานถ่าย เรียกว่ากดถ่ายไปได้รัว ๆ พอว่างก็เสียบสายชาร์จเพื่อเตรียมนำไปใช้งานต่อได้ในเวลาไม่นาน โดยจะมีวางขายเป็นรุ่นแรม 12GB สตอเรจ 512GB ที่สามารถหาได้ในราคาประมาณ 18,000 บาท
งบ 25,000 บาท – Xiaomi 14T Pro 5G
สำหรับงบ 25,000 บาท ก็เป็นอีกช่วงราคาที่น่าสนใจสำหรับการซื้อมือถือเพื่อลดหย่อนภาษีตามโครงการ Easy E-Receipt 2.0 เพราะจะมีงบเหลือสำหรับการลดหย่อนอีกประมาณ 5,000 บาท ที่สามารถนำไปซื้ออุปกรณ์เสริมหรือซื้อของอื่นเข้าบ้านได้อีกนิดหน่อย โดยมือถือรุ่นที่น่าสนใจในราคานี้ก็จะเป็น Xiaomi 14T Pro 5G ด้วยความโดดเด่นในด้านกล้องถ่ายรูปที่มาจากการทำงานร่วมกันระหว่าง Xiaomi กับ LEICA ทำให้ได้มือถือเน้นกล้อง ที่เลนส์และการประมวลผลภาพผ่านเกณฑ์ของ LEICA ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของโทนสี การไล่แสงเงาที่มีเอกลักษณ์มาอย่างยาวนาน สำหรับกล้องหลังจะได้เลนส์ LEICA มาสามเลนส์ ได้แก่ เลนส์ไวด์ปกติ 23mm 50MP เลนส์เทเล 60mm 50MP และเลนส์อัลตร้าไวด์ 15mm 12MP เซ็นเซอร์ Light Fusion 900 ขนาด 1/1.31″ มาพร้อมระบบประมวลผลภาพ Xiaomi AISP ที่จะใช้ทั้ง CPU, GPU, NPU และ ISP ร่วมกัน เรียกว่าถ้าต้องการภาพถ่ายที่ได้ฟีลแบบกล้อง LEICA มีไดนามิก แสงเงาที่ไล่เฉดได้เนียนตา สีสันที่ดูอิ่ม ณ เวลานี้ก็คงต้องยกให้กับมือถือซีรีส์หลักจาก Xiaomi ไปเลย
ด้านของประสิทธิภาพก็จะได้มาจากชิป MediaTek Dimensity 9300+ ที่จัดว่าค่อนข้างแรงเหลือเฟือสำหรับการใช้งานมือถือแทบทุกรูปแบบในปัจจุบัน รวมถึงยังมีระบบระบายความร้อนภายใน Xiaomi 3D IceLoop ที่จะใช้ทั้งก๊าซและของเหลวในการช่วยถ่ายเทความร้อนจากชิปออกสู่ภายนอกด้วย ส่วนหน้าจอก็จะมาในขนาด 6.78″ AMOLED ความละเอียดระดับ FHD+ รีเฟรชเรต 144Hz มีระบบ AI ช่วยปรับจูนความสว่าง สีสันและการแสดงผลต่าง ๆ แบตเตอรี่ 5000 mAh ตามปกติ แต่ที่พิเศษคือรองรับการชาร์จเร็วไฮเปอร์ชาร์จผ่านสายได้สูงสุดถึง 120W และแบบไร้สายได้สูงสุดถึง 50W จัดว่าเป็นมือถือที่ชาร์จเร็วมากที่สุดรุ่นหนึ่งในปัจจุบันเลยก็ว่าได้
รุ่นความจุที่แนะนำก็จะเป็นแรม 12GB สตอเรจ 1TB ไปเลยครับ มากับราคา 24,990 บาท เกือบเต็มงบ 25,000 พอดี หรือถ้าต้องการลดลงมาหน่อยก็จะเป็นรุ่นสตอเรจ 512GB ที่ราคา 21,990 บาทก็ได้ แต่ถ้าคุณเป็นคนถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอเยอะ ๆ ก็จัดรุ่น 1TB เลยดีกว่า ยังไงก็อยู่ในงบ Easy E-Receipt 2.0 ที่วางแผนไว้ 25,000 บาทอยู่แล้ว
งบ 30,000 บาท – iPhone 16
ปิดท้ายกับงบ 30,000 เต็มเพดานลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้อสินค้าทั่วไปด้วย iPhone 16 รุ่นความจุ 128GB ราคา 29,990 บาท หรืออาจจะลดลงมาได้เล็กน้อยแล้วแต่โค้ดส่วนลดและโปรโมชันของแต่ละร้าน โดยจะเหมาะกับผู้ที่อยากได้ iPhone เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว รวมถึงผู้ที่ต้องการมือถือแบบใช้งานได้ยาว ๆ รองรับการอัปเดตซอฟต์แวร์และแอปส่วนใหญ่หลายปี เนื่องจากสเปคที่ได้ก็จัดว่าเป็นสเปคใหม่ล่าสุดในขณะนี้ของฝั่ง Apple อยู่เหมือนกัน นั่นคือชิป A18 จับคู่กับแรม 8GB ทำให้สามารถใช้งานฟีเจอร์ของ Apple Intelligence ได้เต็มที่อย่างน้อยก็ซัก 1-2 ปี กล้องหลังแม้จะให้มาแค่เลนส์ไวด์ปกติแบบ Fusion Camera 48MP กับเลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP แต่ก็มีความสามารถในการซูม 2 เท่าแบบ crop sensor ที่ได้คุณภาพเทียบเท่ากับการซูมด้วยเลนส์ ทำให้ผู้ใช้มีทางเลือกและลูกเล่นในการถ่ายภาพเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน ๆ พอสมควรทีเดียว ไม่นับว่ามีปุ่ม Camera Control มาให้ด้วย ก็น่าจะทำให้ผู้ใช้สนุกกับการถ่ายภาพมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการถ่ายวิดีโอที่เทคโนโลยีการประมวลผล ระบบกันสั่น การผสมเสียงที่ Apple ทำได้ดีเสมอมา จึงเหมาะกับการนำไปใช้ถ่ายวิดีโอเพื่อการใช้งานได้ในระดับหนึ่ง ใช้ถ่ายสินค้า ถ่ายไลฟ์ก็ทำได้ดี
แต่จะมีจุดที่น่าขัดใจอยู่นิดนึงก็คือเรื่องหน้าจอ แม้จะเป็นพาเนล OLED คุณภาพสูง ความละเอียดก็ FHD+ เนียนตาก็ตาม แต่จะได้ขนาดหน้าจอมาที่ 6.1″ ซึ่งบางท่านอาจจะรู้สึกว่าเล็กไปซักนิดนึงเมื่อเทียบกับมือถือ Android ในปัจจุบัน แต่ที่ชัดเจนสุดก็คงจะเป็นเรื่องรีเฟรชเรตหน้าจอที่ได้มาแค่ 60Hz ดังนั้นหากเป็นการเปลี่ยนจากมือถือ Android ที่จอ Hz สูง หรือเปลี่ยนจาก iPhone รุ่น Pro มา ก็อาจจะต้องปรับสายตาให้ชินซักนิดนึง คือภาพก็ยังลื่นอยู่ตามเทคนิคทางด้านซอฟต์แวร์ แต่มันก็จะสังเกตความแตกต่างได้อยู่ดีว่ามันลื่นไม่สุดเหมือนกับพวกจอ 120Hz ขึ้นไป อันนี้ก็จัดว่าเป็นหนึ่งในข้อจำกัดใหญ่ของ iPhone 16 เมื่อเทียบกับมือถือ Android ในช่วงราคาใกล้เคียงกัน
สำหรับในงบ 30,000 บาท หากต้องการสเปคใหม่ล่าสุดก็จะแนะนำเป็น iPhone 16 128GB อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น แต่ถ้าต้องการหน้าจอใหญ่หน่อย ก็จะมี iPhone 15 Plus 128GB ที่ยังมีขายอยู่ในราคาเริ่มต้น 29,900 บาทเท่ากัน สเปคเก่ากว่ากันนิดนึง เหมาะกับคนที่ต้องการจอใหญ่ในราคาย่อมเยา และไม่ต้องการใช้งาน Apple Intelligence
หรือถ้าต้องการเป็นมือถือ Android งบ 30,000 บาท ก็จะมีตัวเลือกพอสมควร อาทิ
- vivo X200 (12+256GB)
- OPPO Find X8 (12+256GB)
- iQOO 12 (16+512GB)
- Samsung Galaxy S24 (รอซื้อหลังเปิดตัว S25 แล้วน่าจะดีกว่า)
ปิดท้าย – ซื้อมือถือลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt 2.0
ครบแล้วสำหรับการแนะนำมือถือน่าซื้อในช่วงโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ที่สามารถนำยอดซื้อไปลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ต้องย้ำว่าจะต้องเป็นการซื้อกับร้านที่สามารถออก E-Tax invoice หรือใบเสร็จแบบ E-receipt ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้เท่านั้น ซึ่งปกติแล้วแต่ละร้านมักจะมีการประชาสัมพันธ์กันอยู่แล้ว หรือถ้าให้มั่นใจก็สามารถติดต่อสอบถามกับทางร้านเพิ่มเติมได้ก็ยิ่งดี โดยระยะเวลาของโครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่ 16 มกราคม 68 – 28 กุมภาพันธ์ 68 เท่านั้น
และอีกข้อที่ต้องทำความเข้าใจคือ ยอดซื้อในโครงการนี้ จะถูกนำไปคำนวณในการลดหย่อนภาษีสำหรับการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2568 ที่จะเป็นการคำนวณและจ่ายในช่วงต้นปี 2569 ยังไม่ใช่ภาษีที่จ่ายในรอบต้นปีนี้ โดยฝั่งผู้ซื้อจะได้รับเอกสารหลักฐานที่จำเป็นจากผู้ขายผ่านทางอีเมลที่แจ้งไปในตอนซื้อ ซึ่งเราก็ต้องเก็บอีเมลและไฟล์เอกสารนั้นไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการยื่นภาษีต้นปีหน้า ส่วนฝั่งร้านค้าก็จะต้องส่งยอดเดียวกันไปให้กับกรมสรรพากร เพื่อนำไปใช้คำนวณลดหย่อนภาษีด้วยเช่นกัน โดยข้อมูลจะไปปรากฏอยู่ใน My Tax Account ของผู้เสียภาษีโดยอัตโนมัติ