ในปีนี้ Vivo ได้ทำการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่อย่าง Vivo V7+ ซึ่งเป็นโทรศัพท์รุ่นแรกจาก Vivo ที่มาพร้อมกับหน้าจอแบบ FullView 5.99 นิ้ว โดยมีจุดเด่นในเรื่องของกล้องหน้าที่มีความละเอียดมากกว่าเดิม 24 ล้านพิกเซล และชิปเสียง Hi-Fi AK4376A มาพร้อมกับการดีไซน์ที่ได้รับการออกแบบใหม่ จะเป็นยังไงเรามาดูกันในรีวิวนี้กันเลยดีกว่า
สเปค Vivo V7+
- หน้าจอ 5.99 นิ้ว ความละเอียด 720 x 1440 pixels HD +
- CPU Snapdragon 450
- GPU Adreno 506
- Ram 4 GB
- ROM 64 GB
- กล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ความจุ 3225 mAh
- พอร์ตเชื่อมต่อ microUSB 2.0
- มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือหลังเครื่อง
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi Dual Band, Bluetooth 4.2 และ OTG
- ชิปเสียงระดับ Hi-Fi AK4376A
- ราคา 11,990 บาท
อุปกรณ์ภายในกล่อง Vivo V7+ จะมีดังนี้
- ตัวเครื่อง
- หูฟัง
- สาย USB
- เคส TPU
- อะแดปเตอร์
ข้อดี
– มีชิปเสียงแยกให้
– จอใหญ่เต็มตาใช้งาน 2 แอปได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น
ข้อเสีย
– กล้องหลังถ่ายกลางคืนโฟกัสช้า
– ระบบสแกนใบหน้าใช้ในที่มืดไม่ได้
– ด้วยจอที่ยาวกว่าเดิมทำให้เอื่อมนิ้วไปไม่ถึงจอด้านบน
บทสรุป
BEST PRICE
Design
Vivo V7+ มาพร้อมกับดีไซน์ที่ถูกออกแบบมาใหม่พร้อมกับหน้าจอขนาด 5.99 นิ้ว ความละเอียด HD + ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่ามันจะใหญ่ไปหรือเปล่ากับจอขนาด 5.99 นิ้วอันนี้ของบอกเลยว่ามีขนาดที่ไม่ใหญ่หรือแตกต่างไปจากโทรศัพท์ที่มีขนาดจอ 5.5 นิ้วเลย เพราะว่า Vivo V7+ ได้ลดพื้นที่หน้าจอบนและล่างลงไปทำให้เราได้พื้นที่หน้าจอในขนาดที่มีตัวเครื่องขนาดเท่าเดิมนั้นเอง
ต่อมาก็เป็นเรื่องของจอรอบนี้เป็นครั้งแรกที่ Vivo ได้นำเอาจอสัดส่วน 18:9 มาใช้งานในโทรศัพท์ของตัวเองมี 5.99 นิ้วแบบ HD + จากที่ลองใช้มานั้นบอกเลยว่าชัดกว่าโทรศัพท์ที่ใช้ จอ HD แบบปกติอยู่เพราะจากขนาดของจอที่ยาวกว่าปกติทำให้ต้องเพิ่มเม็ดพิกเซลเข้าไปช่วยทำให้ความละเอียดนั้นไม่ลดลงตามขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น โดยจอ HD แบบปกติจะมีความละเอียดอยู่ที่ 720 x 1280 แต่ว่าจอแบบ HD + นั้นจะมีความละเอียดอยู่ที่ 720 x 1440 ทำให้มั่นใจได้เลยว่าถึงจอจะใหญ่แต่ก็จะไม่โดนลดความละเอียดลง ส่วนเรื่องของสีสันนั้นจากที่ใช้มาหน้าจะจะออกติดฟ้าไปหน่อยแต่โดยรวมแล้วถือว่าทำออกมาได้ดีมากใช้ดูหนังดูรูปต่าง ๆ ก็สามารถแสดงผลออกมาได้สวยงาม
ด้านหลังของตัวเครื่อง Vivo V7+ จะมีกล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED ด้านบนและล่างจะมีเส้นเสาอากาศแบบที่ทาง Vivo ออกแบบมาให้มีความบางกว่าเดิมดูแล้วไม่รบกวนสายตา ตัวเครื่องถูกออกแบบมาแบบ Unibody ไร้รอยต่อให้สัมผัสที่เรียบเนียนมาก ใครที่อยากดูรายละเอียดตัวเครื่องเพิ่มเติม คลิกที่นี่
Software
Vivo V7+มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 7.1.2 ครอบด้วย FunTouch OS 3.2 ที่ Vivo พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งมีหน้าตา UI ที่แตกต่างจากโทรศัพท์ Android รุ่นอื่น ๆ อยู่บ้างแต่โดยรวมแล้วเข้าใจง่ายใช้งานสะดวก
ในเรื่องลักษณะการใช้งานเช่น การเรียก Control Center ที่เป็นเครื่องมือทางลัดต่าง ๆ จากที่เราจะเรียกได้จากการปัดหน้าจอด้านบน ใน Vivo ก็จะเปลี่ยนมาไว้ที่ด้านล่างแทน แต่เนื่องจากว่านี้เป็นรุ่นแรกที่ Vivo ไม่ได้ใส่ปุ่มใด ๆ มาให้ก็จะมีการใช้งานที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่น
- รูดฝั่งซ้าย เพื่อเรียก Control Center
- รูดตรงกลางจอ แทนการกดปุ่ม Home
- รูดฝั่งขวา แทนย้อยกลับ
โดยจากที่ลองใช้มาถือว่าสะดวกมาก ๆ เลยทีเดียวและไม่มีปุ่มบนจอให้รกตาอีกด้วย ส่วนใครที่ยังอย่างใช้จอแบบมีปุ่มก็สามารถไปตั้งค่าเปิดเองได้เลย
หน้าจอ
ด้วยจอที่ยาวในสัดส่วน 18:9 ทำให้เรานั้นสามารถดูวีดีโอได้ไม่เต็มจอแต่เวลาที่เราดูเราสามารถปรับได้แบบรูปด้านบนดังนี้
- พอดีหน้าจอ อันนี้จะแสดงวีดีโอในสัดส่วนปกติเลย
- คร็อปให้เต็มหน้าจอ อันนี้จะขยายภาพให้เต็มหน้าจอ 18:9 แต่จะเสียรายละเอียดขอบวีดีโอไปบ้าง
- เต็มหน้าจอ อันนี้จะบีบวีดีโอให้มาพอดีกับสัดส่วนหน้าจอ ไม่เสียรายละเอียดขอบของวีดีโอแต่จะทำให้เราได้สัดส่วนที่ดูแน่นกว่าเดิมเพราะวีดีโอถูกบีบบนล่าง
เนื่องจากหน้าจอที่ยาวในสัดส่วน 18:9 ทำให้บางแอปไม่สามารถทำงานเต็มจอได้ ทาง Vivo ก็ได้ออกตัวเลือกตั้งค่าในการแสดงผลมาช่วยจากที่ลองใช้มาเจอ Pokemon Go เกมเดียวที่ไม่รองรับพอเปิดโหมดเต็มจอก็สามารถใช้งานได้ แต่ก็จะมีตกหลนไปบ้างบางหน้าที่เราเล่น เดียวชิดหน้าจอบนบ้างหน้าจอล่างบ้าง
Smart Split 3.0
ด้วยความที่เป็นจอแบบ 18:9 ทำให้เราสามารถ ใช้งานสองแอปพลิเคชันในหน้าจอเดียวได้ในสัดส่วนที่เท่ากันพอดีเลยเพราะจะได้สัดส่วนแบบ 2:1 ทำให้การใช้งานแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ทำได้อย่างเต็มตามากยิ่งขึ้นโดยที่เราสามารถเรียกการใช้งาน Smart Split 3.0 ได้ง่าย ๆ เพียงลาก 3 นิ้วจากหน้าจอลงมาก็จะเป็นการเปิดใช้งานทันที
App Clone
ฟังก์ชั่นใหม่ในการโคลนแอพฯ ต่าง ๆ ของเรา ช่วยให้สามารถทำงานได้สองบัญชีพร้อมกัน ปัจจุบันรองรับ WhatsApp, Line, BBM, WeChat, Zalo และ Viber เท่านั้น
ปลดล็อคด้วยใบหน้า
ฟังก์ชั่นใหม่ของ Vivo V7+ มีการสแกนหลายจุดบนใบหน้าและจะปลดล็อกเครื่องได้โดยการกดปุ่มเปิดหน้าจอ 1 ครั้งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหน้าจอเพียงเท่านี้ฟังก์ชั่นการปลดล็อคด้วยใบหน้าก็จะเริ่มทำการปลดล็อกทันที จากที่ลองใช้มาถือว่าปลดล็อกได้เร็วมาก พอ ๆ กับการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือเลยแต่ว่าถ้าอยู่ในที่มืดอาจจะสแกนไม่ค่อยได้
Game Mode
โหมดเกมส์ของ Vivo สามารถป้องกันสายโทรเข้าและข้อความที่เข้ามารบกวนระหว่างการเล่นเกมส์ได้ทำให้เราไม่ถูกขัดจังหวะในการเล่นเกม
Camera
กล้องหลังของ Vivo V7+ มีเซนเซอร์ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED มีโหมดการใช้งานให้เลือกใช้เยอะดีเช่น HDR ถ่ายกลางคืน,ULTRA HD,PPT,ภาพถ่ายมืออาชีพ,ภาพเคลื่อนไหว ภาพต่อเนื่อง,พาโนรามา โดยการถ่ายรูปนั้นสามารถทำออกมาได้ดีโฟกัสภาพได้รวดเร็ว แต่อาจจะมีการวัดแสงที่แปลก ๆ ไปบ้าง
มาดูที่จุดเด่นของ Vivo V7+ กับกล้องหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.0 ที่มีจุดเด่นเรื่องความคมชัดและการจัดการภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นกว่าเซนเซอร์รุ่นก่อน และด้วยขนาดพิกเซลที่เยอะมากทำให้มั่นใจได้เลยว่าเราจะได้รู้ที่คมชัดอย่างแน่นอน
จากรูปจะเห็นว่ารูปถ่ายกล้องหน้าของ Vivo V7+ ถ่ายออกมาได้ดีมาก ๆ มีความคมชัดที่สูงมากมาพร้อมกับการเกลี่ยผิวของตัวซอฟท์แวร์ที่ทำออกมาได้ดีมากและยังมีการตรวจรายละเอียดอีกว่าเป็น ผู้ชายหรือผู้หญิง เพื่อจะได้ปรับระดับความสวยในระดับที่แตกต่างกันถ่ายรูปออกมาไม่ดูปลอมแน่นอน นอกจากนี้กล้องหน้ายังรองรับ Face Beauty แบบ VDO Call อีกด้วย
ถ่ายด้วยกล้องหน้าของ Vivo V7+ ฝั่งซ้ายไม่เปิดแฟลช ฝั่งขวาเปิดแฟลช จะเห็นได้ว่าไม่เปิดแฟลชก็สามารถทำภาพออกมาได้ดีอยู่แล้วพอเปิดยิ่งทำให้หน้าของเรานั้นเนียนผ่องมากขึ้นกว่าเดิม
Performance
ประสิทธิภาพของ Vivo V7+ นั้นก็เป็นอีกส่วนที่อาจจะเข้าใจกันผิดกันไปหน่อยกับชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 450 octa-core ความเร็ว 1.8 GHz และ GPU Adreno 506 หลายคนอาจจะคิดว่าทำไม่ถึงไม่เลือกใช้ Snapdragon ในะตระกูล 600 อย่างที่เคยใช้กันมาใน Vivo รุ่นก่อน ๆ อันนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า Snapdragon 450 เป็นชิปที่ปรับปรุงมาจาก Snapdragon 625 เพื่อเอามาทดแทน Snapdragon 435 โดยชิปตัวนี้ผลิตที่ขนาด 14nm ซึ่งเป็นชิปตัวแรกในซีรี่ย์ 400 ที่มีขนาดเล็กเท่านี้ ทำให้การใช้พลังงานของ Snapdragon 450 ประหยัดขึ้นมากถึง 30% และมีประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมมากขึ้นถึง 25%
จากที่ลองใช้งานมาถ้าไม่บอกว่าเป็น Snapdragon 400 นี้ก็ไม่รู้เลย เพราะว่ามีความเร็วและไหลลื่นเหมือนกับ Snapdragon ในะตระกูล 600 เลยทีเดียว
Ram 4 GB เหลือใช้อยู่ประมาณ 1.9 GB ถือว่ามีระบบการจัดการแรมที่ดี สามารถเปิดแอปที่ใช้งานค้างอยู่จากจุดเดิมได้ แม้ว่าจะสลับไปหน้าโฮมแล้วเปิดแอปอื่นนิดหน่อย หรือปิดหน้าจอพักไปหลายชั่วโมงก็ตาม
เรื่องการเล่นเกม Vivo V7+ ก็ถือว่าสามารถทำได้ดี เพราะลองเล่น ROV ปรับภาพ HD ก็ไม่มีอาการกระตุกให้เห็น หรือจะเป็นเกม Lineage 2 Revolution ก็สามารถเล่นได้ด้วยแต่จะทำเฟรมเรทภาพไม่ทันบ้างบางที การจับถือขนาดที่เล่นก็มีความรู้สึกว่าเข้ามือมาก ๆ เพราะตัวเครื่องมีความบางแต่จะติดตรงที่ลำโพงจะโดนมือบังเวลาที่เล่นเกม