นับเป็นปีที่สองแล้ว ที่ Apple เลือกจะเปิดตัว iPhone รุ่นเดิมในสีใหม่ กับล่าสุดในงานเดียวกับที่เปิดตัว iPhone SE 3 เป็นครั้งแรก นั่นคือมีการนำเสนอ iPhone 13 และรุ่น Pro ในโทนสีเขียวออกมา ซึ่งฝั่งของสีเขียวในรุ่นปกตินั้นจะออกเป็นโทนสีที่ค่อนข้างเข้มนิดนึง ต่างจากฝั่งรุ่นโปรที่เป็นสีเขียวอัลไพน์ที่เป็นสีโทนสว่างกว่า โดยในรีวิวนี้ก็จะเป็นการพูดถึง iPhone 13 กับการใช้งานในปี 2022 ว่าเป็นอย่างไรบ้าง และจะเหมาะหรือเปล่า ที่จะซื้อมาใช้งานในช่วงนี้ หรือรอ iPhone 14 ในช่วงปลายปีจะดีกว่ากัน
ขึ้นชื่อว่าเป็น iPhone 13 แม้จะเป็นสีใหม่ แต่ก็แน่นอนว่าภายในนั้นเหมือนเดิมทุกประการ เนื่องจาก Apple ไม่ได้ระบุถึงความเปลี่ยนแปลงในด้านฮาร์ดแวร์ภายในเลย ดังนั้น ไม่ว่าจะซื้อสีใด ตอนไหน ภายในปีสองปีนี้ ก็ยังได้เครื่องสเปคเดิม อุปกรณ์ภายในกล่องก็ยังเหมือนเดิมครับ นอกเสียจาก Apple จะเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับอุปกรณ์เสริมในกล่องอีก
สเปค iPhone 13
สเปคของ iPhone รุ่นนี้ก็จัดว่ายังอยู่ในระดับท็อปของสมาร์ตโฟนอยู่เหมือนเดิม
- ชิป A15 Bionic (CPU 6+2 คอร์ | GPU 4 คอร์ | NPU 16 คอร์)
- แรม 4 GB
- พื้นที่เก็บข้อมูล มีให้เลือกทั้ง 128, 256 และ 512 GB
- หน้าจอ Super Retina XDR แบบ OLED ขนาด 6.1″ ความละเอียด 2532 x 1170
- รองรับ True Tone, HDR, Dolby Vision, DCI-P3
- กระจกหน้าจอเซรามิกชิลด์
- กล้องหลัง 2 เลนส์ รองรับการถ่ายวิดีโอ HDR Dolby Vision สูงสุด 4K 60fps
- เลนส์ไวด์ 12MP f/1.6 มี OIS ซูมดิจิทัลสูงสุด 5 เท่า
- เลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP f/2.4
- กล้องหน้า TrueDepth 12MP f/2.2
- ใช้งาน 5G แบบ sub-6 ในไทยได้ พร้อม WiFi AX
- กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- ลำโพงคู่ระบบเสียงสเตอริโอ รองรับ Spatial Audio (Dolby Atmos)
- แบตเตอรี่ 3240 mAh
- รองรับการชาร์จเร็วเมื่อชาร์จด้วยอะแดปเตอร์ 20W ขึ้นไป
- รองรับการชาร์จไร้สายแบบ MagSafe สูงสุด 15W และ Qi ได้สูงสุด 7.5W
- ราคา iPhone 13 เครื่องศูนย์ไทยจากหน้าเว็บ Apple
- ความจุ 128 GB ราคา 29,900 บาท
- ความจุ 256 GB ราคา 33,900 บาท
- ความจุ 512 GB ราคา 41,900 บาท
ด้านของสเปคนั้น หากพูดถึงด้านประสิทธิภาพ ตัวของ iPhone รุ่นล่าสุดทั้งซีรีส์ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นปกติ รุ่น mini ไปจนถึงรุ่น Pro หรือจะรวมไปถึง iPhone SE 3 เองด้วยก็ตาม ล้วนแต่มีความเร็ว ความแรงอยู่ในระดับใกล้เคียงกันทั้งหมด เนื่องจากการเลือกใช้ชิป A15 Bionic เหมือนกัน แม้ว่าอาจจะมีการปรับแต่งบางจุดให้มีความแตกต่างกันเล็กน้อยก็ตาม จะมีเรื่องของกล้องที่รุ่นปกติยังคงให้มา 2 เลนส์เหมือนกับใน iPhone 12 อยู่ แต่ยังดีที่มาพร้อมเซ็นเซอร์รับภาพแบบใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้ Apple ต้องปรับดีไซน์กล้องหลังนิดนึง เพื่อให้สามารถใช้งานเซ็นเซอร์ใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ส่วนถ้าพูดถึงการใช้งานทั่วไป ตัวรุ่นปกตินั้นจัดว่าครอบคลุมได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งาน iPhone ด้วยหน้าจอที่มีขนาดกำลังสมดุลระหว่างพื้นที่แสดงผล และความสะดวกในการพกพา ประกอบกับแบตเตอรี่ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปได้ตลอดวันอยู่แล้ว
เรื่องราคาก็เป็นอึกจุดที่น่าสนใจ เพราะจากความจุ 128 GB อัพมาเป็น 256 GB นั้นราคาต่างกันอยู่ 4,000 บาท ในขณะที่ขั้นของ 512 GB ที่เป็นความจุสูงสุดนั้นกลับต้องเพิ่มเงินจาก 256 GB ถึง 8,000 บาทเลยทีเดียว ซึ่งก็สอดคล้องกับฝั่งรุ่นโปรที่จะเริ่มปรับสเต็ปเป็นขั้นละ 8,000 บาทตั้งแต่ช่วงความจุ 512 GB เช่นกัน ทำให้ถ้าใครที่ต้องการถือเครื่องใช้งานยาว ๆ การยอมขยับมาที่รุ่น 256 GB น่าจะเพียงพอแล้ว
แกะกล่อง และตัวเครื่องของ iPhone 13 สีเขียว
กล่องของ iPhone รุ่นล่าสุดในสีเขียวเองก็ยังคงมาในรูปแบบเดียวกับสีอื่น ๆ เพียงแต่เปลี่ยนสีของรูปตัวเครื่องให้เป็นสีเขียวเท่านั้นเอง ส่วนด้านหลังก็จะมีการระบุข้อมูลไว้ชัดเจน ถึงอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง รหัสซีเรียลตัวเครื่อง และยังมีการระบุสี ความจุ และวันที่ผลิตเอาไว้ด้วย โดยเครื่องที่ทางเราได้รับมารีวิวในครั้งนี้ จะเป็นรุ่นความจุ 512 GB ที่เป็นความจุสูงสุดนั่นเองครับ
สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องก็จะมีเพียงแค่ตัวเครื่อง เอกสารคู่มือเบื้องต้น/การรับประกัน สติกเกอร์โลโก้ Apple สีขาว เข็มจิ้มถาดใส่ซิม และก็สาย Lightning to USB-C เท่านั้น ไม่มีอะแดปเตอร์และหูฟังมาให้
รูปร่างของ iPhone 13 สีเขียวก็ยังคงใช้ดีไซน์ขอบตัวเครื่องแบบเหลี่ยมเหมือนเดิม ทำให้สามารถจับได้กระชับมือ โดยที่ขอบตัวเครื่องก็จะเป็นอลูมิเนียมสีเขียวที่มีโทนสีอ่อนลงมาจากฝาหลังเล็กน้อย
คุณภาพของหน้าจอก็ยังจัดอยู่ในระดับยอดเยี่ยมเช่นเคย ด้วยการใช้พาเนลแบบ OLED ที่ให้สีสัน ความสว่าง ความมืดของแต่ละเฉดสีได้อย่างเต็มที่ ลงตัวสำหรับการใช้งานทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง รวมถึงการรับชมคอนเทนต์ HDR ที่หน้าจอจะเร่งความสว่าง และสีสันขึ้นมาให้จัดจ้านยิ่งขึ้น
ในการเปิดตัว iPhone ช่วงปลายปีที่แล้ว Apple ได้ลดขนาดของแถบ notch สีดำด้านบนที่มีการติดตั้งกล้องหน้า และกลุ่มเซ็นเซอร์สำหรับระบบ Face ID ให้แคบลงมาเล็กน้อย โดยสามารถเข้าไปดูภาพเทียบได้จากในรีวิว iPhone 13 Pro ที่ออกมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วครับ
พลิกมาดูด้านหลังกันบ้าง โดยสีเขียวของ iPhone รุ่นนี้จะเป็นสีโทนเข้ม ๆ ที่มีการสะท้อนแสงที่ผิวกระจกหลังเล็กน้อยถ้าใช้งานกลางแจ้ง หรือในที่มีแสงสว่างค่อนข้างมาก แต่ถ้าใช้งานในอาคาร ในที่ร่ม สีจะดูเข้มขึ้นจนคล้ายกับในภาพบนหน้าเว็บ Apple อยู่เหมือนกัน ส่วนบริเวณโมดูลกล้องหลัง จะเลือกใช้สีเขียวที่โทนอ่อนลงมาเล็กน้อย ทำให้ดูตัดกัน
กล้องหลัง มีส่วนของกระจกปิดหน้าเลนส์ที่นูนขึ้นมาจากพื้นผิวเล็กน้อย ส่วนบริเวณขอบด้านบนนั้นไม่มีพอร์ตเชื่อมต่อ หรือปุ่มสั่งงานใด ๆ
ด้านล่างมีช่องลำโพง พอร์ต Lightning และก็ไมโครโฟน
ฝั่งซ้ายมีถาดใส่นาโนซิม ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และก็สวิตช์เปิด/ปิดเสียง
ส่วนฝั่งขวามีปุ่ม Power เพียงปุ่มเดียวเท่านั้น
เทียบขนาดกับรุ่นอื่น ๆ
ที่จริงแล้วรุ่นปกติกับรุ่น Pro ตามสเปคนั้นมีขนาดเครื่องที่เท่ากันแทบจะ 100% เลยครับ ทำให้พอจะสามารถนำเคสของรุ่นโปรมาใช้ชั่วคราวได้อยู่เหมือนกัน ส่วนทางซ้ายสุดคือ iPhone 12 mini ที่มีขนาดเครื่องแทบจะเท่า ๆ กับรุ่น mini ของ 13 จึงทำให้พอสามารถนำมาเทียบได้อยู่เหมือนกัน
ทีนี้ผมลองนำเคสซิลิโคนสำหรับรุ่น Pro ของ Apple เองมาใช้กับ iPhone รุ่นปกติดู พบว่าสามารถใส่กันได้พอดี แต่ตรงพื้นที่กล้องหลังจะมีช่องว่างมากพอสมควร รวมถึงการถ่วงน้ำหนักที่ไม่สมดุลกัน ทำให้แทบไม่สามารถตั้งเครื่องในแนวตั้งได้เลย
ส่วนถ้าเทียบกันด้านข้าง จะเห็นว่าในกลุ่มของรุ่นปกติและรุ่น mini จะใช้ขอบด้านข้างเป็นอลูมิเนียมผิวด้าน ส่วนรุ่นโปรจะเป็นสแตนเลสสตีลที่มีความแวววาวกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เคสซิลิโคนสีเขียวรุ่นใหม่
พร้อมกันกับการเปิดตัว iPhone รุ่นสีเขียว Apple ก็เปิดตัวเคสซิลิโคนสีเขียวตามมาด้วยเช่นกัน โดยเป็นเคสที่รองรับ MagSafe ด้วย ในราคา 1,790 บาท ซึ่งชิ้นที่อยู่ในรีวิวนี้เป็นสีเขียวยูคาลิปตัสนะครับ ซึ่งจะเป็นสีเขียวโทนอ่อน ดูมีความพาสเทล
พอจับเทียบสีกับตัวเครื่อง จะเห็นชัดเลยว่าสีดูตัดกัน
การเจาะช่องต่าง ๆ นั้นทำมาได้พอดี ส่วนบริเวณพอร์ต Lightning นั้น มีการเว้นขนาดมาให้พอสำหรับการใช้งานกับสายชาร์จทั่วไปได้แทบทั้งหมดอยู่แล้ว
การใช้งาน
ถ้าใครที่เคยชินกับการใช้งาน iPhone อยู่แล้ว การเปลี่ยนมาใช้ iPhone รุ่นใหม่นี้ก็เป็นเรื่องที่ง่ายมากครับ เพราะพื้นฐานต่าง ๆ นั้นเหมือนเดิมแทบทั้งหมดเลย รวมถึงยังค่อนข้างสะดวกกับการใช้งานในยุคที่ต้องใส่หน้ากากอนามัยด้วย เนื่องจาก iOS 15.4 ได้เพิ่มความสามารถให้กับระบบ Face ID ให้สามารถสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อก ขณะที่ใส่หน้ากากอนามัยอยู่ได้แล้ว เมื่อใช้งานร่วมกับ iPhone รุ่นที่รองรับ ซึ่งแน่นอนว่า iPhone 13 สามารถทำได้
สำหรับผู้ที่ใช้งาน iPhone 12 อยู่ อันนี้บอกว่าอาจจะแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างมากนัก ด้วยรูปร่างลักษณะที่เหมือนกันแทบจะทั้งหมด ส่วนความเร็ว ความแรงก็แทบไม่ต่างกันสำหรับการใช้งานทั่วไป จะมีก็แค่ฟังก์ชันบางอย่างที่มีให้ใช้งานบน iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดเท่านั้น โดยส่วนมากก็จะเป็นฟังก์ชันในส่วนของกล้องซะมากกว่า
กล้อง iPhone 13
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น ว่า Apple ได้มีการปรับเปลี่ยนเซ็นเซอร์รับภาพของกล้องหลังเลนส์ไวด์เป็นแบบใหม่ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จึงทำให้ต้องมีการปรับตำแหน่งของเลนส์ทั้งสองให้เป็นแบบทแยงมุม ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับเพิ่มมา อาทิ
- กล้องเลนส์ไวด์ สามารถรับแสงเพิ่มได้มากขึ้น ให้ภาพและวิดีโอดูสว่าง สวยงามยิ่งขึ้น
- เลนส์อัลตร้าไวด์เก็บรายละเอียดภาพได้ดีขึ้น
- ปรับปรุงระบบชดเชยการสั่น OIS ให้มีคุณภาพดีขึ้น
ส่วนพวกเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมคุณภาพให้กับภาพถ่ายก็ใส่มาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Smart HDR 4 ที่ช่วยในการเก็บรายละเอียดมาได้ครบถ้วน การปรับแสง โทนสีผิว คอนทราสต์ให้ดูเป็นธรรมชาติ ทั้งยังทำได้อย่างรวดเร็วด้วยความสามารถของชิป A15 Bionic อีกฟีเจอร์ที่ใส่มาด้วยก็คือ Deep Fusion ที่จะช่วยเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในภาพให้ได้มากที่สุด เมื่อถ่ายในสภาพแสงปานกลางถึงน้อย
ด้านของเลนส์อัลตร้าไวด์เองก็มีการถ่ายโหมดกลางคืนมาให้ด้วยเช่นเดิม ทำให้สามารถเก็บภาพได้หลากหลายสถานการณ์ตามที่ต้องการ
ในตัวแอปกล้องเอง ก็ยังคงมีลูกเล่นมาเกือบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายวิดีโอในโหมด Cinematic ที่ระบบจะเลือกจับ ปรับการโฟกัส และเพิ่มความเบลอจากระยะชัดลึกให้กับพื้นหลังให้ดูเหมือนภาพยนตร์แบบอัตโนมัติ โดยประมวลผลว่ามีจุดสนใจเข้ามาในฉากหรือไม่ ทำให้สามารถนำไปใช้ทำคอนเทนต์ได้แบบสบาย ๆ
ส่วนอีกจุดที่ใส่เข้ามาให้ใช้ด้วยเช่นกันก็คือ Photographic Style ที่มีลักษณะคล้ายกับการทำพรีเซ็ตการแต่งภาพไว้ล่วงหน้า โดยที่ยังคงรักษาสีโทนผิวของตัวแบบไว้ให้เป็นธรรมชาติ ซึ่งสามารถปรับได้ตั้งแต่ก่อนถ่ายเลย ช่วยลดเวลาในการแต่งรูปในภายหลังได้พอสมควร
ภาพถ่ายจากกล้องของ iPhone 13 ก็ยังคงเป็นสไตล์ที่คุ้นเคยอยู่ คือเน้นสีสัน และความสว่างที่ดูเป็นธรรมชาติ ใกล้เคียงกับสิ่งที่ตาเห็น โดยที่สามารถเก็บรายละเอียดยิบย่อยในภาพได้ดี การโฟกัสทำได้รวดเร็ว การชดเชยแสงและ white balance เองก็ยังคงทำออกมาได้ดีเช่นเคย ทำให้เป็นมือถือที่มีกล้องที่ใช้งานและมั่นใจได้ในแทบทุกสถานการณ์
ด้านของเลนส์อัลตร้าไวด์ที่ใช้ในการเก็บภาพมุมกว้างพิเศษนั้น คุณภาพของภาพที่ออกมาจัดว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ มีความเบลอที่เกิดจากข้อจำกัดของเลนส์อยู่เล็กน้อยบริเวณขอบภาพ รองรับการแตะเลือกจุดโฟกัสและวัดแสงได้ น่าเสียดายที่ไม่สามารถใช้ในการถ่ายมาโครได้เหมือนกับในซีรีส์ Pro แต่ยังดีที่รองรับการใช้โหมดกลางคืน ที่ระบบจะเปิดหน้ากล้องนานขึ้น เพื่อให้สามารถรับแสงได้มากขึ้นกว่าปกติ ช่วยให้ภาพดูสว่าง
การเก็บรายละเอียดในส่วนมืดของภาพ ก็จัดว่าขุดขึ้นมาได้พอสมควรด้วยระบบ HDR ซึ่งในภาพด้านบนนี้ผมปล่อยให้กล้องทำงานเอง โดยไม่ได้แตะเลือกจุดโฟกัสและวัดแสงเลย ซึ่งก็ทำออกมาได้ค่อนข้างโอเคครับ คือเก็บสีสันบนท้องฟ้าได้สวยงาม ในขณะที่ก็ยังพอมองเห็นรายละเอียดด้านล่างอยู่ โดยที่ไม่ทำให้ท้องฟ้าสว่างจ้าเกินไปจนทำลายเฉดการไล่สีอย่างที่ตาเห็น
ต่อกันด้วยการถ่ายภาพกลางคืน เท่าที่ลองถ่ายดูพบว่าสามารถทำได้ดีในเกณฑ์ของ iPhone ถ้ากล้องสามารถจับโฟกัสได้ เนื่องจากในรุ่นปกติจะขาดเซ็นเซอร์ LiDAR ที่มีในรุ่นโปรไป จึงอาจทำให้ตัวกล้องต้องใช้เวลาในการจับตำแหน่งโฟกัสซักเล็กน้อย เมื่อจะถ่ายภาพในที่มืด
ถ้าจับภาพถ่ายในที่มืดของแต่ละรุ่นมาเทียบกัน ภาพจาก iPhone 13 นั้นก็แทบไม่แพ้รุ่นโปรครับ ในเรื่องของความสว่าง สีสันและความคมชัด แต่ก็จะเสียเปรียบกว่ากันนิดนึงตรงการจับโฟกัสอย่างที่กล่าวถึงไปในภาพก่อน
โหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ก็มีมาให้ใช้งานด้วยเช่นเคย โดยจะมีแค่ระยะ 1x เท่านั้น จากที่ถ่ายดูพบว่าสามารถเบลอพื้นหลังได้ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ ตัวแบบดูไม่ลอยเกินไป แต่บริเวณขอบ ๆ ของตัวแบบอาจจะมีบางส่วนที่ดูสว่างขึ้นมากว่าพื้นหลังนิดนึง ทั้งนี้ ยังคงสามารถปรับแต่งความกว้างรูรับแสงเพื่อปรับระดับความเบลอของพื้นหลัง และปรับการจัดไฟได้ทั้งก่อนและหลังถ่ายเหมือนกับในรุ่นก่อน ๆ
สำหรับตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ iPhone 13 สามารถชมได้จากแกลเลอรี่ด้านล่างนี้เลย
ประสิทธิภาพและความแรง
iPhone 13 ในช่วงทดสอบ ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชัน 15.4 ที่เป็นเวอร์ชันล่าสุดในขณะนั้น ซึ่งตัวเครื่องก็รองรับฟังก์ชันการสแกนใบหน้าขณะใส่หน้ากากอนามัยด้วยระบบ Face ID ด้วย ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น ส่วนความลื่นไหลระหว่างการใช้งานนั้นก็จัดว่าอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมตามสไตล์ของ iPhone รุ่นใหม่ ๆ ทั้งการเปิดปิดแอป การสลับแอปที่ใช้งาน การโหลดข้อมูล เป็นต้น
สำหรับเครื่องทดสอบนี้ มาพร้อมพื้นที่เก็บข้อมูล 512 GB โดยเมื่อหลังจากเปิดและตั้งค่าเครื่องครั้งแรกเสร็จแล้ว จะเหลือพื้นที่ว่างให้ใช้งานได้อีกประมาณ 500 GB
ทดสอบความแรงจาก AnTuTu ทำคะแนนได้ในระดับสูงเกาะกลุ่มกับ iPhone รุ่นอื่น ๆ ที่ใช้ชิป A15 Bionic ตัวเดียวกัน แต่จะน้อยกว่ากลุ่มพวก iPad อยู่ประมาณนึง
ส่วนฝั่งของ Geekbench ก็ทำคะแนนได้อยู่ในระดับ top 10 ในปัจจุบัน ทั้งการทดสอบ CPU แบบ single, multi core และการทดสอบ GPU ด้วยการใช้ชุดคำสั่ง Metal
การเชื่อมต่อ 5G นั้นก็ทำได้ค่อนข้างดี จับสัญญาณได้นิ่งพอสมควร เมื่อใช้งานในบริเวณที่มีคุณภาพสัญญาณดี โดยสามารถใช้งาน 5G ได้ทั้งจากซิมการ์ดปกติ รวมถึงจาก eSIM ได้แบบไม่มีปัญหา ส่วนความเร็วก็จะขึ้นอยู่กับสัญญาณ และความหนาแน่นของแบนด์วิธในแต่ละพื้นที่ด้วยครับ ซึ่งถ้าเทียบกับเครื่องรุ่นอื่นที่ผมเคยทดสอบในพื้นที่เดียวกัน ตัวของ iPhone 13 นั้นทำความเร็วได้อยู่ในกลุ่มแทบจะสูงสุด เต็มประสิทธิภาพของพื้นที่นี้เลย
การเล่นเกมนั้นจัดว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลย ด้วยความแรงของทั้ง CPU และ GPU ที่อยู่ในระดับท็อป ๆ ของวงการสมาร์ตโฟนในแต่ละปีอยู่แล้ว ดังนั้นแทบทุกเกมก็สามารถปรับกราฟิกระดับสูงสุดได้เลย อย่าง Genshin Impact ก็จัดเต็มที่ระดับสูงสุด 60fps ได้ ตัวเกมก็ออกมาลื่นไหลดี แต่ถ้าเล่นไปซักสิบกว่านาทีในห้องอุณหภูมิ (ร้อน) ปกติ จะพบว่าเฟรมเรต drop ลงเหลือไม่ถึง 60fps เหมือนตอนที่เล่นช่วงแรก ๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากความร้อนสะสม ทำให้ระบบปรับลดความเร็วในการทำงานลง ส่งผลให้เฟรมเรตลดลงตามไปด้วย ส่วนพวกเกมยอดนิยมอื่น ๆ อย่างพวก RoV หรือ PUBG นั้นไม่มีปัญหาครับ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะมันมีการเล่นเป็นช่วง ๆ ไป ไม่ได้เป็นการเล่นติดต่อกันยาวเหมือน Genshin ที่ระบบต้องประมวลผล ต้องโหลดข้อมูลอยู่แทบตลอดเวลา
ดังนั้น ถ้าให้แนะนำ ก็ควรปรับระดับกราฟิกลดลงมาซักนิดนึง อาจจะเก็บเฟรมเรต 60fps ไว้ แล้วลดความละเอียดส่วนอื่นลงจะดีกว่า เพื่อการเล่นเกมที่ลื่นไหล ต่อเนื่องได้แบบไม่ขัดใจ
ด้านของระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ ถ้าเป็นการใช้งานทั่วไป เช่น ใช้เน็ต 5G สลับกับ WiFi เป็นบางช่วง เล่นแอปโซเชียลเป็นระยะ ๆ เปิดดูคลิป ดู TikTok บ้าง เล่นเกมสั้น ๆ อันนี้แบตของ iPhone 13 จัดว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานตั้งแต่เช้าถึงเย็นอยู่ โดยที่ไม่ต้องเสียบสายชาร์จระหว่างวัน แต่ถ้าเป็นคนชอบเล่นเกมยาว ๆ หนัก ๆ อาจจะต้องแวะเติมพลังระหว่างวันกันซักนิดนึง เพื่อให้เหลือกลับถึงบ้านได้แบบไม่ต้องกังวลมากนัก
ส่วนถ้าอิงจากการเล่นเกม ผมทดสอบไปสองเกมคือ
- RoV ปรับสูงสุด เปิดเสียง เล่นไป 10 นาที แบตลด 3%
- Genshin Impact ปรับสูงสุด เปิดเสียง เล่นไป 30 นาที แบตลด 14%
สำหรับ RoV นั้นจัดว่ากิน % แบตไปพอ ๆ กับ iPhone รุ่นอื่นเลย ส่วน Genshin ผมรู้สึกว่าจะกิน % น้อยกว่าในรุ่น Pro ที่ใช้งานเป็นเครื่องหลักอยู่นิดนึง
ถ้าต้องการประหยัดแบตมากยิ่งขึ้น แนะนำว่าตั้งค่า Voice & Data ของ cellular เป็น 5G Auto ก็โอเคแล้วครับ เพื่อให้เครื่องสลับไปจับสัญญาณ 5G เฉพาะตอนที่จำเป็นต้องใช้งานเท่านั้น เพื่อช่วยลดการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลง ส่วนทริคอื่นที่ช่วยได้ก็เช่น
- ปรับธีมเครื่องเป็น dark mode
- เปิดใช้ Low Power Mode
สรุปปิดท้ายรีวิว iPhone 13 สีเขียวรุ่นใหม่ล่าสุด
แม้จะเป็นสีเขียวที่เป็นสีใหม่ล่าสุด แต่ iPhone 13 ก็ยังคงมีองค์ประกอบต่าง ๆ เหมือนกับสีอื่นที่เปิดตัวในช่วงปลายปีที่แล้วอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา มิติตัวเครื่อง หน้าจอที่ยอดเยี่ยม กล้องหลังคู่ที่ไว้ใจได้ในแทบทุกสถานการณ์ ไปจนถึงชิป A15 Bionic สุดแรงที่ได้รับการอัพเกรดจากเดิมทั้งด้านความสามารถ และการจัดการพลังงาน ทำให้ถ้าหากคุณต้องการ iPhone หน้าจอขนาดกำลังดี ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป โดยที่ต้องการเครื่องที่ใช้งานได้นานหลายปี iPhone รุ่นนี้คือทางเลือกที่ลงตัวมาก ๆ สำหรับยุคนี้เลย ซึ่งสีเขียวเองก็จัดว่าเข้ามาเป็นอีกหนึ่งสีสันที่เปิดให้คุณได้เลือก iPhone ที่สีสันตรงใจยิ่งขึ้นกว่าที่เคย ยิ่งใครที่ถือคติสีเขียวเหนี่ยวทรัพย์ด้วยละก็ บอกเลยว่ามันใช่ และของมันต้องมี
ส่วนถ้าหากกังวลว่าซื้อตอนนี้ เดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนก็ตกรุ่นแล้ว อันนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับ แต่ด้วยความสามารถของ iPhone 13 เองนั้นจัดว่าแรงเกินพออยู่แล้ว คุณใช้งานได้แบบลื่น ๆ ไปไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีแน่นอน ประกอบกับ Apple ไม่น่าจะออก iPhone 14 รุ่นสีเขียวมาตั้งแต่การเปิดตัวรอบแรกอยู่แล้ว สังเกตได้จากรุ่นสีม่วงใน iPhone 12 ที่สุดท้ายแล้ว Apple ก็ไม่ได้ใส่ตัวเลือกสีม่วงเข้ามาใน 13 เลยซักรุ่น เรียกว่าสีม่วงกลายเป็นสี limited สำหรับ iPhone 12 และ 12 mini ไปเลยก็คงไม่ผิดนัก
ส่วนข้อจำกัดเองก็ยังมีอยู่เช่นกัน ด้วยแบตหลัก 3,000 mAh กว่า ๆ ทำให้คนที่ชอบเล่นเกมอาจจะต้องระมัดระวังด้านการใช้งาน หรือต้องคอยพกแบตสำรอง สายชาร์จ+อะแดปเตอร์ติดตัวเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ถึงจะพออุ่นใจได้หน่อย เพราะด้วยความจุแบตเท่านี้กับการใช้งาน การเชื่อมต่อในยุคนี้ ต้องบอกว่ามันทำมาค่อนข้างพอดีกับการใช้งานแบบทั่วไป ที่ไม่ได้ใช้แอปหรือเกมที่กินพลังงานสูงติดต่อกันนาน ๆ มากนักซะมากกว่า
อีกจุดก็คือเรื่องกล้อง ที่ถ้าหากจับไปเทียบกับมือถือ Android ต้องบอกว่าในงบนี้ คือควรจะได้เลนส์เทเลมาด้วยแล้ว ซึ่งมันจะเข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกในการถ่ายภาพได้มากจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ต้องการการซูมภาพ หรือการใช้ในการถ่ายโหมด portrait ที่ระบบสามารถนำมาใช้ช่วยในการสร้างมิติให้ภาพได้ดี และแม่นยำกว่าการใช้เลนส์ไวด์และอัลตร้าไวด์ประกอบกันอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม รวม ๆ แล้ว iPhone 13 จัดว่าเป็นรุ่นที่อยู่ในจุดที่ค่อนข้างคุ้มค่าสำหรับฝั่ง iPhone ในปีนี้อีกเช่นเคย กับราคาเริ่มต้นราว 30,000 บาท ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้สบาย ใช้ไปซัก 2-3 ปีแล้วขายต่อเป็นเครื่องมือสองสภาพดียังคุ้มเลย เพราะถ้าจะมองรุ่นที่สูงกว่านี้ ก็จะไปตกที่รุ่นโปรซึ่งราคาเริ่มต้นนั้นโดดไปค่อนข้างสูงถึงเกือบ 40,000 บาท ส่วนรุ่นใหม่ที่ราคาย่อมเยากว่านี้ก็เป็นรุ่นหน้าจอเล็กไปซะอีก