ปีนี้ ดูเหมือน Huawei จะตั้งใจทำตลาดในไทยกันเต็มที่ สังเกตได้จากการเปิดตัวรุ่นมือถือตั้งแต่ช่วงต้นปี ที่มาพร้อมแทบจะทุกไลน์ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นราคาไม่แพง เน้นคุ้มค่า รุ่นกลางๆ รุ่นเน้นฟีเจอร์ เน้นกล้อง ล่าสุดก็เปิดตัวซีรี่ส์พรีเมียมเน้นบางเบามาอีกแล้วครับ ซึ่งเราก็มีรีวิวมาให้ชมกันด้วย นั่นคือ Huawei P8 เครื่องศูนย์ที่จำหน่ายในไทยตัวจริง อันที่จริงก่อนหน้านี้ทางเราก็มีพรีวิวเล็กๆ น้อยๆ ให้ชมไปแล้ว แต่ในคราวนี้ก็เป็นรีวิวฉบับเต็มเลยละกัน
ก่อนอื่นก็มาดูสเปค Huawei P8 เครื่องศูนย์ไทยซักหน่อยครับ
- เลขโมเดล GRA-UL00
- ชิปประมวลผล Huawei Hisilicon Kirin 930 ความเร็ว 2.0 GHz
- ชิปกราฟิก Mali-T624
- แรม 3 GB
- รอม 16 GB ใส่ MicroSD เพิ่มได้
- Android 5.0 Lollipop ครอบด้วย Emotion UI 3.1
- หน้าจอ IPS ขนาด 5.2 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD (1920 x 1080)
- กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ 2,680 mAh
- ใช้งานได้ 2 ซิม รองรับ 4G LTE
- ไม่มี NFC
- ตัวเครื่องบางเพียง 6.4 มิลลิเมตร
- ราคา 15,990 บาท
สำหรับเรื่องสเปค ก่อนหน้านี้มีกรณีที่ทำให้สับสนกันอยู่ นั่นคือเครื่อง Huawei P8 ที่มีรีวิวจากหลายๆ เว็บ เป็นเครื่องโมเดล GRA-UL09 แต่เครื่องที่ขายจริงในตลาด กลับเป็นโมเดล GRA-UL00 (อย่างในเครื่องที่เรารีวิวครั้งนี้) ซึ่งทั้งสองโมเดลจะมีจุดที่ฮาร์ดแวร์มีความแตกต่างกันอยู่ นั่นคือส่วนที่ผมทำตัวหนาเอาไว้ครับ เช่น
- เครื่องขาย ใส่ได้สองซิม แต่เครื่องที่มีรีวิวออกมา ใส่ได้ซิมเดียว
- เครื่องขายจริง ตัด NFC ออก
- ผลเทสความแรงจากบางแอพ เช่น AnTuTu คะแนนลดลงมาเป็นหมื่นคะแนน
โดยรวมแล้ว สเปคของ Huawei P8 ที่ขายในไทย เหมือนจะถูกลดความแรงลงจากโมเดลที่ขายในประเทศอื่นอยู่พอสมควรครับ แถมยังมีผู้ใช้งานบางท่านแจ้งด้วยว่าถูกตัดฟีเจอร์การเชื่อมต่อ USB กับกล่องออก ทำให้ไม่สามารถถ่ายโอนไฟล์รูปจากกล้องมาได้ แต่ก็ชดเชยมาด้วยการใช้งานสองซิมมาแทน ถ้าใครคิดว่าฟีเจอร์ที่ตัดออก ไม่ได้มีผลต่อรูปแบบการใช้งานส่วนตัว มีไว้ก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี ไม่ซีเรียสกับคะแนนผลเทส ผมว่ามันก็โอเคนะ เพราะถ้าประเมินจากสเปคแล้ว มันก็อยู่ในระดับไล่ๆ กับพวกมือถือรุ่นท็อปเลย อีกอย่าง เราซื้อมือถือมาใช้ ไม่ได้ซื้อมือถือมานั่งเทสคะแนนทุกวันเนาะ
แต่ก็อย่างว่าแหละครับ คงมีความรู้สึกกันบ้างว่า เอ๊ะ เราจ่ายเงินก็ตั้งเยอะ ทำไมถึงได้ตัวลดสเปคมาใช้ล่ะ…ก็ขึ้นอยู่กับทาง Huawei ประเทศไทยแล้วแหละครับ ว่าจะดูแลลูกค้ากลุ่มนี้อย่างไร ก็หวังว่าจะจบลงด้วยดีกันทุกฝ่ายนะ
กลับมาที่รีวิวของเรากันต่อ ทีนี้เป็นส่วนของฮาร์ดแวร์ หน้าตาภายนอกกันบ้างครับ
ข้อดี
ข้อสังเกต
บทสรุป
BEST MATERIAL
Design
ถ้าจะให้พูดถึงส่วนของมือถือที่บ่งบอกระดับของความพรีเมียม ความหรูหรา แน่นอนว่าอันดับหนึ่งคงเป็นวัสดุภายนอก เพราะเป็นจุดที่เห็นและสัมผัสได้ง่ายสุด โดย Huawei P8 ก็เลือกใช้เป็นอลูมิเนียมขัดผิว มาในรูปทรงสี่เหลี่ยมแบบแฟลตเต็มตัว ตัวเครื่องก็หนาแค่ 6.4 มิลลิเมตรเท่านั้น ทำให้รูปโฉมออกมาดูเพรียว บาง แต่แข็งแกร่ง อลูมิเนียมภายนอกก็เรียบ ให้ความรู้สึกลื่นมือเล็กน้อย สัมผัสครั้งแรกก็รู้สึกได้เลยครับว่างานดีมากจริงๆ เผลอๆ จะดีกว่าพวกมือถือราคาหมื่นปลายๆ เกือบสองหมื่นซะด้วยซ้ำไป ลองเคาะ ลองบีบตัวเครื่องดูก็รู้สึกได้เลยว่ามันแน่นมาก ไม่น่าจะหักงอง่ายๆ แน่นอน
แต่ด้วยวัสดุที่เป็นอลูมิเนียม ทำให้อาจจะเกิดปัญหาเรื่องรอยขีดข่วนได้ง่ายซะหน่อยนะครับ ยิ่งเป็นอลูมิเนียมสีเงินแบบนี้ด้วย มีรอยขึ้นมาก็ยิ่งเห็นได้ชัดใหญ่เลย ดังนั้นทางที่ดี ก็อาจจะหาซื้อเคสมาใช้งานด้วยก็จะดีครับ โดยเฉพาะคนที่วางแผนไว้ว่าจะปล่อยขายเป็นเครื่องมือสองในอนาคต เพราะเกิดมีรอยขึ้นมา รับรองว่าราคาร่วงลงไปอีกแน่นอน แต่สำหรับใครที่กะใช้งานกันไปนานๆ จนกว่าเครื่องจะพังหรือเบื่อไปเอง ก็ไม่ต้องใส่เคสก็ได้นะ โชว์ตัวเครื่องเพรียวๆ ไปเลย สวยดีออก สำหรับเรื่องของน้ำหนัก เห็นเป็นอลูมิเนียมแบบนี้ ตัวจริงไม่ได้หนักอย่างที่คิดนะครับ จัดว่าเบาเลยล่ะเมื่อเทียบกับขนาดเครื่อง
ด้านของหน้าจอ Huawei P8 ก็ทำออกมาได้ดีสมราคาครับ สีสันอยู่ในระดับที่กำลังพอดีกับการใช้งาน สีสันไม่สดหรือซีดเกินไป ความละเอียดจอระดับ Full HD บนจอขนาด 5.2 นิ้วก็จัดว่าอยู่ในระดับที่ดีกำลังใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา และส่วนตัวผมว่ามันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมาก ไม่ว่าจะสำหรับการใช้งาน การเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเว็บ แบตก็ใช้ได้นาน เพราะขนาดหน้าจอที่ไม่ใหญ่เกิน ความละเอียดภาพก็ไม่สูงเกินกำลังชิปกราฟิกจะขับ ซึ่งผมว่าหน้าจอขนาดนี้นี่แหละ กำลังดีสำหรับคนที่ต้องการมือถือที่พกพาสะดวก และก็ใช้งานได้แบบไม่ต้องเพ่งหน้าจอเกินไป
พลิกมาดูด้านหลังเครื่อง ก็จะเห็นชัดเลยครับว่า Huawei P8 เน้นการออกแบบที่เรียบง่าย แต่หรูหราและดูดีจากวัสดุในตัวมันเอง มีการเล่นโทนสีตัดกันระหว่างกรอบด้านบนที่เป็นกระจกสีดำ ด้านล่างก็เป็นอลูมิเนียมสีเงิน ซึ่งช่วงหลังๆ เราก็ได้เห็นมือถือจีนหลายแบรนด์ หลากรุ่นมาเล่นสีทูโทนแบบนี้กัน แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดกันไป โดยเฉพาะพวกรุ่นที่ใช้อลูมิเนียมเป็นวัสดุหลัก ซึ่งสาเหตุที่ต้องมีก็เพราะว่ามันต้องมีที่ไว้สำหรับติดตั้งเสาอากาศครับ อันนี้ก็จัดว่าเป็นข้อจำกัดทางเทคนิคอยู่เหมือนกัน ทำให้เรายังไม่สามารถผลิตมือถือที่ใช้โครงสร้างภายนอกเป็นโลหะทั้งชิ้นได้แบบ 100% จำเป็นต้องมีส่วนที่เป็นกระจก หรือพลาสติกมาผสมอยู่ด้วย เพื่อไว้ใช้เป็นบริเวณรับคลื่นของเสาอากาศในเครื่อง
ถ้าดูจากฝาหลังแล้ว ก็บอกลาไปได้เลยกับคำถามที่ว่า Huawei P8 สามารถแกะฝาหลังได้หรือเปล่า เพราะตัวเครื่องมันได้รับการออกแบบมาเป็นแบบยูนิบอดี้ ที่เป็นอลูมิเนียมแผ่นเดียวกันบล็อกเดียวทั้งเครื่อง ซึ่งโครงแบบนี้มันก็มีข้อดีตรงที่ได้ในเรื่องความแข็งแรง ความสวยงามของตัวเครื่อง ส่วนคนที่ชอบให้แกะฝาหลังได้ อยากเปลี่ยนแบตได้เองคงจะไม่ค่อยชอบใจซักเท่าไหร่ล่ะนะ แต่เอาเข้าจริง พวกมือถือรุ่นท็อปๆ ก็ปรับเป็นแบบนี้กันหมดแล้วนะ ขนาด Samsung Galaxy S6 กับ S6 edge ยังเป็นแบบนี้แล้วเลย
ทำให้พวกช่องเชื่อมต่อ ที่ใส่ซิมการ์ดต่างๆ ต้องมาอยู่ด้านข้างเครื่องทั้งหมดครับ โดยมีช่องใส่ซิม ช่องใส่ MicroSD (ต้องใช้เข็มจิ้มให้ถาดออกมา) ปุ่ม Power แล้วก็ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงอยู่ทางขวาของหน้าจอ ด้านซ้ายไม่มีอะไร ด้านบนมีช่องเสียบแจ็คหูฟัง ส่วนด้านล่างก็เป็นช่อง Micro USB ครับ ใกล้ๆ กันก็จะมีช่องลำโพง และก็ช่องรับเสียงของไมค์สนทนาด้วย เลย์เอาท์ต่างๆ ก็เหมือนกับมือถือทั่วไปนะ ตำแหน่งของปุ่มก็ทำออกมาใช้งานง่ายดี
ถ้าให้ตีคะแนนเรื่องวัสดุ งานประกอบของ Huawei P8 ก็แทบจะให้ 10/10 ได้เลยแหละครับ เป็นมือถือจากบริษัทจีนที่ทำออกมาดีมากๆ ในเรื่องนี้ก็แนะนำว่าไปลองสัมผัสตัวเครื่องจริงกันตามหน้าร้านตัวแทนจำหน่ายได้เลย น่าจะมีชอบ มีถูกใจกันบ้างแน่ๆ
Software
Huawei P8 เอง มาพร้อมกับ Android 5.0 Lollipop ตามมาตรฐานของมือถือรุ่นใหม่ประจำปีนี้นี่แหละครับ แต่ที่พิเศษก็คือมันมีอินเตอร์เฟสของทาง Huawei เองครอบทับมา นั่นคือ EMUI เวอร์ชัน 3.1 ซึ่งมีการปรับปรุงหน้าตาของ Android ให้ดูเป็นแนวมินิมอลลิสลงไปอีก เน้นความเรียบง่ายทำให้ดูหรู ทั้งในส่วนของไอคอน ตัวอักษร และการเลือกใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ก็ทำออกมาได้ดูดีเลยทีเดียว ด้านความไหลลื่นก็ไม่ต้องห่วงเลยครับ ไม่เจอจุดสะดุดหรือติดขัดอะไรเลย เปิดแอพ เล่นเกม กดสลับแอพ พิมพ์ข้อความก็ไม่มีปัญหา
ซึ่งเมื่อดูจากหน้า About แล้วก็จะมีข้อมูลต่างๆ ขึ้นมาให้ครบถ้วนเลยครับ ไล่ตั้งแต่เลขโมเดลที่เขียนชัดเจนเลยว่าเป็น GRA-UL00 (เครื่องโมเดลที่ขายจริงในไทย) รวมถึงชิปประมวลผล, แรม, ความจุรอมที่มี/ที่เหลือให้ใช้ได้, ความละเอียดหน้าจอ เป็นต้น โดยจากความจุรอม 16 GB จะเหลือว่างให้ใช้งานราวๆ 7 GB ส่วนแรมก็สบายมากครับ ตอนเปิดเครื่องมา หลังจากลงแอพหลักๆ ที่จำเป็นอย่างพวก Facebook, Instagram, LINE แล้ว ระบบจะเหลือแรมว่างให้ใช้เกือบๆ 2 GB เลย ใช้งานได้สบาย ไม่ต้องกลัวแรมเต็ม แถมไม่ต้องมานั่งกดเคลียร์แรมด้วย
ส่วนใครที่กังวลว่า Huawei P8 ใช้ชิป Hisilicon Kirin 930 ของตัวเองแล้ว จะมีปัญหากับการใช้งานแอพบ้างหรือเปล่า อันนี้เท่าที่ผมลองใช้ดู พวกแอพยอดนิยมที่เราใช้กันทั่วไป อย่างพวกโซเชียลเน็ตเวิร์ค ผมลองดูแล้วก็ใช้งานได้หมด ไม่มีปัญหาครับ ไหลลื่นดี จะไปมีปัญหากับบางเกม เล่นไม่ได้บ้างก็มี หรือเกมไหนที่ผู้พัฒนาเกมไม่ได้ทำออกมาให้รองรับกับชิป Hisilicon Kirin จาก Huawei ก็อาจจะไม่เจอให้ดาวน์โหลดใน Play Store เลยเหมือนกัน แต่ก็เป็นส่วนน้อยครับ ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้เล่นเกมบนมือถือมากมายนัก ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
Feature
ฟีเจอร์ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ Huawei ใส่มาใน P8 แบบเต็มที่เหมือนกัน ซึ่งผมก็ขอยกมาเฉพาะอันที่น่าสนใจนะครับ
Voice Wakeup
ก็เป็นระบบการเรียกใช้งานระบบผู้ช่วยส่วนตัวในเครื่อง ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องกดปุ่มเปิดครับ สามารถพูดเพื่อเปิดใช้งานได้เลย ก็คล้ายๆ กับ Siri ใน iOS และ Google Now ใน Android เลย แน่นอนว่ามันยังไม่รองรับภาษาไทยนะ
Touchplus
อันนี้เป็นฟีเจอร์พิเศษที่ต้องพึ่งอุปกรณ์เสริมด้วยครับ เพราะมันเป็นการเพิ่มปุ่มกดสั่งงานให้มาอยู่ตรงขอบจอแทน จากปกติพวกปุ่มย้อนกลับ ปุ่มโฮม แล้วก็ปุ่มเรียกดูแอพล่าสุดของ Huawei P8 จะเป็นแบบซอฟต์แวร์ของ Android เอง แต่เมื่อเราติดฟิล์มพิเศษของ Huawei ที่ออกมาเพื่อใช้งานฟีเจอร์นี้โดยเฉพาะ มันจะทำให้เราสามารถกดบริเวณขอบจอเพื่อสั่งงานได้เลย ถือว่าเป็นฟีเจอร์แปลกที่เราไม่เคยเห็นติดมากับในมือถือเครื่องไหนมาก่อนเลยเหมือนกัน ประโยชน์ของมันก็คือช่วยทำให้เราสามารถกดปุ่มสั่งงานเครื่องได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเอื้อมนิ้วไปยังบริเวณจอ ทั้งยังได้บริเวณแสดงผลเพิ่มขึ้นมาเป็นเต็มจออีกด้วย สำหรับฟิล์มนี้ ถ้าจะมีขายก็ต้องหาซื้อจากทางช็อป Huawei เท่านั้นแหละนะครับ (ไม่แน่ใจว่ามีขายหรือเปล่า เพราะดูทาง Huawei ไทยไม่ได้เน้นฟีเจอร์นี้เท่าไหร่)
Signal+
นี่ก็เป็นฟีเจอร์พิเศษของทาง Huawei เค้านะครับ นั่นคือการเพิ่มความแรงให้กับสัญญาณทั้ง WiFi และ Cellular โดยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับส่งสัญญาณระหว่างตัวเครื่องกับจุดปล่อยสัญญาณ เพื่อให้สามารถใช้งานทั้งอินเตอร์เน็ต และสัญญาณมือถือได้อย่างไม่ขาดตอน แม้จะเป็นระหว่างเดินทางก็ตาม ซึ่งอันนี้ Huawei ไม่ได้บอกถึงวิธีการเอาไว้ครับ แต่ถ้าให้เดา ก็คิดว่าน่าจะเป็นการเพิ่มกำลังรับส่งสัญญาณของตัวเครื่องให้แรงขึ้น ซึ่งก็น่าจะส่งผลให้กินแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยด้วยเหมือนกันครับ โดยฟีเจอร์นี้สามารถเลือกเปิดหรือปิดได้ตามใจชอบเลยครับ ถ้าตามปกติใช้งานในเมืองที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสัญญาณอยู่แล้ว จะปิดก็ได้ครับ
Networked apps
เมนูนี้ก็จะเป็นเมนูช่วยเปิด/ปิดว่าจะให้แอพไหนสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อย่างไรบ้าง เช่น อาจจะตั้งให้ YouTube ใช้เน็ตได้เฉพาะแบบ WiFi เท่านั้น ปิดการใช้งาน YouTube ด้วย 3G/4G เพื่อป้องกันเน็ตไหล หรือแอพไหนที่ไม่จำเป็นต้องใช้เน็ต ก็ปิดทั้ง Mobile data และ WiFi สำหรับแอพนั้นไปเลยก็ได้ ผมว่าเป็นตัวตั้งค่าที่มีประโยชน์ดีนะ
Camera
มาที่เรื่องกล้องถ่ายรูปกันบ้างครับ ทั้งส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์กล้อง Huawei P8 ทำออกมาได้ลงตัวดีเลย มีโหมดให้ใช้งานค่อนข้างครบถ้วนดี ส่วนความสามารถของโหมดออโต้ก็ทำได้โอเคดีครับ ภาพออกมาอยู่ในระดับที่ทำได้ดีสำหรับสมาร์ทโฟนในปัจจุบันเลย ยังไงก็ลองชมตัวอย่างภาพจากในแกลเลอรี่ด้านล่างนี้เลยครับ ทุกภาพใช้โหมดออโต้ทั้งหมด จะมีก็แค่แตะเลือกจุดโฟกัสบ้างเท่านั้น ส่วนภาพมุมเดียวกันแต่อยู่ติดกันสองภาพนั้น แต่ละภาพจะเป็นการแตะเลือกจุดโฟกัสที่ต่างกันนะครับ
รวมๆ แล้ว กล้องของ Huawei P8 ใช้งานได้ดี ถ่ายแล้วหวังผลได้เลยแหละ คนที่อยากได้มือถือ Android หน้าตาดีๆ กล้องสวย รับรองเลยว่าน่าจะถูกใจกันบ้างแน่นอน
แต่กล้องของ Huawei P8 ไม่ได้มีฟีเจอร์แค่นั้นครับ แต่มีอีกสองสามอันที่ Huawei เน้นโฆษณามาตั้งแต่ตอนงานเปิดตัวในต่างประเทศแล้ว ก็คือมันมีโหมดสำหรับถ่ายไฟได้ด้วย
โหมดแรกก็คือ Tail light trails ที่ใช้สำหรับถ่ายไฟให้ยาวเป็นทางเส้นๆ ตัวอย่างภาพก็ดูจากภาพพรีวิวในโหมดแรกของภาพบนเลยครับ เหมาะมากกับการใช้ถ่ายรถวิ่งบนถนนเวลากลางคืน อะไรประมาณนี้
โหมดที่สองก็คือ Light grafiti ใช้สำหรับถ่ายเวลาเราวาดไฟ วาดไฟเย็นเป็นเส้นๆ เพื่อทำเป็นตัวอักษรครับ โหมดนี้มันเกิดมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะเลยแหละ
โหมดที่สามคือ Silky water ใช้สำหรับถ่ายน้ำตกให้สายน้ำดูเป็นเส้นๆ เหมือนถ่ายด้วยกล้อง DSLR
โหมดที่สี่คือ Star track ใช้สำหรับถ่ายดาวบนฟ้า เพื่อให้ภาพออกมาเป็นเส้นครับ
ซึ่งทั้ง 4 โหมดนี้ อันที่จริงมันก็คือการประยุกต์เอาการเปิดชัตเตอร์ค้างไว้เพื่อเก็บภาพเลยครับ แต่ Huawei ก็เพิ่มในส่วนของการประมวลผลภาพ และทำให้การใช้งานมันง่ายขึ้นกว่าต้องมานั่งตั้งค่าเอง แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าแค่เปิดโหมดขึ้นมา กดถ่ายแล้วจะได้ภาพสวยๆ เลยนะครับ เพราะทางที่ดี เราควรตั้งมือถือไว้บนที่นิ่งๆ ด้วย อย่างเช่นการใช้ขาตั้งกล้องช่วยยึดมือถือไว้ ซึ่งอาจจะใช้ไม้เซลฟี่จับตัวเครื่อง แล้วหาที่ตั้งให้นิ่งๆ ก็ได้ หรือไม้เซลฟี่บางอัน ตัวยึดเครื่องมันจะมีเบ้าสำหรับใช้งานกับขาตั้งกล้องจริงๆ ได้อยู่ ก็เอาเบ้านั้นมาใช้งานมือถือร่วมกับขาตั้งกล้องไปเลยก็ได้ พอตอนจะถ่าย ให้ใช้การกดถ่ายแล้วให้มันนับถอยหลังก่อนถ่ายก็จะดีครับ เพื่อไม่ให้ภาพสั่นตั้งแต่ตอนกดถ่าย เพราะคีย์สำคัญของการถ่ายแบบเปิดชัตเตอร์ค้างไว้นานๆ คือ กล้องต้องอยู่นิ่งๆ นั่นเอง
สำหรับภาพในแกลเลอรี่ข้างล่างนี้ ผมใช้โหมด Tail light trails และมีขาตั้งกล้องช่วยทั้งหมดนะครับ ลองใช้มือเปล่าแล้ว ภาพสั่นไปหมดเลย อ้อ! แล้วก็ถ้าเวลาไปถ่ายบนสะพานลอย สะพานข้ามแยกอะไรแบบนี้ก็ระวังด้วยครับ เพราะบางทีสะพานมันจะสั่น โดยเฉพาะพวกสะพานที่มีรถไฟฟ้า BTS อยู่เหนือสะพาน ส่วนตัวผมลองไปถ่ายที่ทางเชื่อมตรงแยกอโศกมา บอกเลยว่าไม่เวิร์ค เพราะสะพานมันสั่นแทบจะตลอดเวลาเลย
ภาพแรก เป็นการใช้โหมด Tail light trails
ภาพที่ 2 มุมเดียวกับภาพแรก ใช้โหมดถ่ายรูปตามปกติ แต่ใช้การปรับความเร็วชัตเตอร์ให้เปิดค้างไว้
ภาพที่ 3 มุมเดิม ใช้โหมดถ่ายรูปตามปกติ แต่ใช้การปรับความเร็วชัตเตอร์ที่สั้นกว่าภาพที่สอง
ซึ่งถ้าดูจากภาพชุดแรก ก็น่าจะเห็นความแตกต่างระหว่างการใช้โหมด Tail light trails กับโหมดธรรมดาแต่ปรับความเร็วชัตเตอร์แล้วนะครับ คือถ้าใช้โหมดของมัน ก็จะเน้นไปที่การเก็บทางแสง ส่วนอื่นๆ ในภาพก็จะยังค่อนข้างมืดอยู่ ไม่สว่างเกินไปเหมือนในภาพที่สอง ที่จะเห็นว่าพื้นที่ข้างๆ ของถนนนี่สว่างโล่งเลย แถมก็เก็บทางแสงไม่ได้ด้วย กลายเป็นภาพสว่างวาบไปเลย
ภาพที่ห้า อันนี้ผมเปิดชัตเตอร์ค้างไว้ร่วมๆ 3 นาทีกว่าเลย กล้องก็ทำงานได้ปกติ เครื่องไม่ร้อนด้วยนะ
อีกโหมดที่น่าใช้ก็คือโหมด Light grafiti ครับ ก็ลองวาดไฟฉาย LED เล็กๆ ให้เป็นเส้น เป็นคำ ซึ่งถ้าเป็นกล้องปกติ เวลาจะวาดแล้วให้อ่านออกมาเป็นคำจริงๆ คนวาดจะต้องวาดตัวอักษรกลับซ้ายเป็นขวา ซึ่งบอกเลยว่าไม่ง่าย และคงต้องซ้อมมือกันมาให้ดี แต่กับโหมดนี้ของ Huawei P8 มันทำให้เราใช้งานได้สะดวกกว่าเดิมมากเลยครับ เพราะระบบมันจะกลับภาพ กลับตัวอักษรให้เองอัตโนมัติ ทำให้คนวาดสามารถวาดตัวอักษรเหมือนกับการเขียนจริงๆ ในด้านที่ตัวเองยืนได้เลย ไม่ต้องมาวาดแบบกลับด้านอีกต่อไป ส่วนผลก็ได้ตามสองภาพข้างบนครับ ภาพแรกเป็นการวาดในห้องสว่างตามปกติ ส่วนภาพที่สองคือวาดในห้องมืด
ทีนี้เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แล้วอยากวาดไฟเย็นเป็นคำก็ทำได้สบายๆ ละ แต่ทางที่ดีก็คือคนถ่ายควรจะวางเครื่องให้นิ่งๆ ระหว่างเก็บภาพนะครับ เพราะอาจต้องใช้เวลาหลายวินาทีในการเก็บภาพ ถ้ามือไม่นิ่ง ภาพสั่นแน่นอน
Performance
ปิดท้ายด้วยส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพ ก็เป็นไปตามภาพครับกับคะแนนจากแอพทดสอบต่างๆ ส่วนคะแนนจาก AnTuTu ที่เป็นประเด็นกันก่อนหน้านี้ ว่าเครื่องที่แต่ละเว็บรีวิวออกมาได้คะแนนสูงจัง แต่เครื่องขายจริงคะแนนได้แค่สามหมื่นกว่าๆ เท่านั้น สำหรับเครื่องที่เราทดสอบในรอบนี้ก็เป็นเครื่องขายจริงในไทยนะครับ ได้คะแนนมาอยู่ในระดับที่ใช้งานทั่วไปได้สบาย เล่นเกมก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ความแรงก็จะน้อยกว่าพวกที่ใช้ชิป Snapdragon 801 อยู่ซักหน่อยนึง คะแนนกราฟิกก็ไม่ค่อยแรงมากครับ เพราะชิปกราฟิกเป็นตัวค่อนข้างเก่าไปหน่อย แต่ก็ยังใช้เล่นเกมใหม่ๆ ในตอนนี้ได้อยู่นะ แค่อาจจะต้องปรับลดกราฟิกลงมาบ้าง (สำหรับเกมที่ปรับได้ ซึ่งมักจะเป็นพวกเกมโหดๆ กินเครื่องหนักๆ)
ส่วนเรื่องของระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ก็ทำได้ดีมากครับ อยู๋ได้นาน ใช้งานหมดวันได้สบายๆ แบบแบตเหลือกลับถึงบ้านด้วย เรียกว่าทุกอย่างทำออกมาได้ดีหมด มาตกม้าตายนิดหน่อยก็ตรงเรื่องสเปคเครื่องขายจริงที่ลดลงมาจากตอนเปิดตัวเท่านั้นเอง