Close Menu
    Facebook X (Twitter) YouTube TikTok
    SpecPhone
    • ข่าวล่าสุด
    • รีวิว
    • ค้นหามือถือ
    • วิดีโอ
    • บทความ
    • ติดต่อเรา
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)
    SpecPhone
    Home»Gadgets»Accessories Review»รีวิว AirPods 4 ANC – Earbuds ตัดเสียงรบกวน ใส่สบาย ฟังก์ชันเพียบ
    Accessories Review

    รีวิว AirPods 4 ANC – Earbuds ตัดเสียงรบกวน ใส่สบาย ฟังก์ชันเพียบ

    ZeroSystemBy ZeroSystem8 พฤศจิกายน 2024Updated:8 พฤศจิกายน 2024
    Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    รีวิว AirPods 4 ANC
    Share
    Facebook Twitter LinkedIn Pinterest Email
    รีวิว AirPods 4 ANC

    หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงมากของ Apple ในยุคหลังก็คือ AirPods หูฟังไร้สายแบบ TWS ที่เข้ามาเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้หูฟังของผู้ใช้งานสมาร์ตโฟนกันขนานใหญ่ รวมถึงยังกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์จนกลายเป็นหนึ่งในแนวทางที่ผู้ผลิตรายอื่น ๆ ต้องปรับตัวตาม มาล่าสุดก็มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ล่าสุดนั่นคือ AirPods รุ่น 4 ซึ่งจะมีด้วยกันสองรุ่นคือรุ่นปกติและ AirPods 4 ANC ที่มีการนำฟังก์ชันตัดเสียงรบกวนแบบ ANC เข้ามาไว้ในหูฟังแบบ earbuds เป็นครั้งแรกของ Apple ที่ในบทความนี้เราจะมารีวิวกันว่ามันโอเคขนาดนั้น เหมาะที่จะซื้อมาใช้งานหรือเปล่า

    ในการเปิดตัว AirPods 4 หนึ่งในคีย์สำคัญที่ Apple ใช้ในการนำเสนอก็คือเรื่องของดีไซน์ที่มีความกะทัดรัดยิ่งขึ้น โดยจะเริ่มตั้งแต่กล่องใส่เลย เพราะในรอบนี้ตัวกล่องจะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าก็ช่วยลดการใช้วัสดุในการผลิตลงไป นัยหนึ่งก็ช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อม อีกนัยหนึ่งขนส่งต่อรอบได้มากขึ้นด้วย ต้นทุนต่าง ๆ ก็ต่ำลง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในแนวทางการบริหารผลิตภัณฑ์ที่ Apple มีการปรับตัวมาตลอดอยู่แล้ว ส่วนฝั่งผู้ใช้ที่ต้องการเก็บกล่องไว้ไม่ว่าจะเผื่อเคลม เผื่อขาย หรือจะเก็บสะสมเป็นคอลเลคชันก็น่าจะถูกใจเหมือนกันครับ เพราะมันเล็กลง ไม่กินพื้นที่เท่าไหร่ แต่ในด้านความแข็งแรงของกล่องก็ยังจัดว่าดีอยู่เช่นเดิม

    ด้านหน้าจะมีภาพของหูฟังทั้งสองข้าง ด้านข้างจะมีใส่ชื่อไว้ว่า AirPods พร้อมมีข้อความ Active Noise Cancellation เพื่อระบุว่าเป็น AirPods 4 รุ่นที่มีระบบตัดเสียง ANC อีกฝั่งก็จะมีพวกบาร์โค้ด ซีเรียลนัมเบอร์ และข้อมูลระบุเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อยู่ ประเทศที่ผลิตก็จะเป็นเวียดนาม ส่วนด้านหลังจะมีแจ้งชื่อรุ่น พร้อมฉลากภาษาไทยที่แจ้งไว้เลยว่าเป็นหูฟังไร้สายพร้อมเคสชาร์จ สามารถใช้งานร่วมกับที่ชาร์จ USB-C, ที่ชาร์จ Apple Watch และที่ชาร์จที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Qi รวมถึงมีแจ้งไว้ด้วยว่าสำหรับสาย USB-C จะต้องซื้อแยกต่างหาก

    ซึ่งเมื่อเปิดกล่องขึ้นมาก็จะพบกับซองใส่เอกสารประกอบเล็กน้อย ด้านในจะมีกล่องเคสหูฟังอยู่ในซองพลาสติกตรงกลางกล่อง แล้วก็จบแค่นี้เลย ไม่มีสายชาร์จมาให้ ซึ่งผู้ใช้ก็สามารถใช้สายชาร์จ iPhone, iPad หรือของอุปกรณ์อื่นที่ใช้การชาร์จผ่านพอร์ต USB-C ได้เลย ส่วนถ้าต้องการชาร์จไร้สายก็ตามที่ระบุด้านบนเลยครับ คือจะใช้ที่ชาร์จ Apple Watch ก็ได้ ใช้แท่น MagSafe ก็ได้ หรือจะใช้แท่นชาร์จไร้สายรุ่นอื่น ๆ ก็ได้เช่นกัน ขอแค่ตัวแท่นชาร์จรองรับมาตรฐาน Qi สำหรับการชาร์จไร้สายเท่านั้นเอง

    AirPods 4 บนหน้าเว็บไซต์ Apple จะมีให้เลือกซื้อสองรุ่นนั่นคือ AirPods 4 ธรรมดาในราคา 4,990 บาท และ AirPods 4 ANC ในราคา 6,490 บาท โดยส่วนต่างสองพันบาทนี้นอกจากจะเป็นค่าระบบตัดเสียงรบกวนแบบ ANC แล้ว สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในรุ่น ANC แต่ในรุ่นปกติจะไม่มีก็ได้แก่

    • ระบบการรับรู้เมื่อมีการสนทนา (Conversation Awareness) ที่หูฟังจะปรับระดับเสียงเพลงให้อัตโนมัติ
    • โหมดฟังเสียงภายนอกแบบใน AirPods Pro ซึ่งพ่วงมากับฟังก์ชัน ANC
    • ระบบชาร์จไร้สาย
    • เคสชาร์จจะมีลำโพงมาให้ เพื่อใช้แจ้งการชาร์จและส่งเสียงเพื่อใช้ร่วมกับฟังก์ชันค้นหาของ Find My

    ซึ่งถ้าต้องการความสะดวกในการใช้งานแบบเต็มตัวจริง ๆ การเลือกเป็นรุ่น ANC ดูจะได้เปรียบกว่าในเรื่องการชาร์จไร้สายครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครที่มี Apple Watch ใช้แท่น MagSafe หรือมีแท่นชาร์จไร้สายอยู่แล้ว เพราะสามารถใช้แท่นชาร์จเดียวกันได้เลย แทบไม่จำเป็นต้องชาร์จผ่านช่อง USB-C เลยก็ยังได้ และอีกประเด็นก็คือเรื่องระบบตัดเสียงรบกวน ที่เกริ่นไว้ก่อนเลยว่าเกินคาดมาก ๆ สำหรับหูฟัง Earbuds

    แต่ถ้ารูปแบบการนำไปใช้งานของคุณคือเน้นใช้งานในบ้าน ในที่ทำงาน ในบริเวณที่เสียงรบกวนไม่ได้เยอะมาก และไม่ได้ติดขัดอะไรกับการชาร์จผ่านสาย เพราะก็ใช้สายเดียวกับมือถือไปอยู่แล้ว AirPods 4 รุ่นปกติก็ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอยู่ครับ อิงจากราคาเต็มคือประหยัดเงินไป 2,000 แต่ได้คุณภาพเสียง ความสบายในการสวมใส่และระยะเวลาการใช้งานที่เท่า ๆ กันเลย จะเสียดายตรงที่เคสของรุ่นปกติจะไม่มีลำโพงมาให้ จึงอาจทำให้ค้นหาตำแหน่งด้วยการฟังเสียงไม่ได้ ในกรณีที่ถ้าคุณอาจจะหลงลืมบ่อย ๆ ว่าวาง AirPods ไว้ที่ไหน

    ทีนี้ถ้าลองจับมาเทียบกับรุ่นอื่นเท่าที่ผมมีอยู่ ภาพซ้ายคือ AirPods 4 ANC เทียบกับ AirPods Pro 1 ที่ใส่เคสอยู่อีกชั้น แน่นอนว่าขนาดมันต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แม้จะถอดเคสออก ตัวเคสของรุ่นโปรก็ยังใหญ่กว่าเล็กน้อยอยู่ดี ส่วนภาพขวาจะเป็นการนำมาเทียบกับเคสของ AirPods 2 ที่เชื่อว่าหลายท่านก็น่าจะยังใช้งานกันอยู่ เพราะเป็นรุ่นที่วางจำหน่ายมาอย่างยาวนาน ก่อนที่จะเพิ่งเลิกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการไปเมื่อตอนที่เปิดตัวรุ่น 4 นี่เอง จากภาพก็จะเห็นว่าขนาดเคสของรุ่นใหม่จะดูป่องกว่าเล็กน้อย แต่ก็มีส่วนสูงที่ลดลงตามมา ซึ่งถ้าลองจับถือในมือจริง ๆ ส่วนตัวผมมองว่าของรุ่น 4 จะดูกะทัดรัดกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่น 2

    สำหรับตัวเคสเองก็ยังคงเป็นพลาสติกสีขาวที่มีการทำผิวมามันวาวเช่นเดิม มีการบากร่องไว้เพื่อให้สามารถดันฝาเปิดขึ้นไปได้สะดวก กลไกการล็อกฝาก็จะใช้แรงดูดของแม่เหล็กที่จัดว่าดูดได้แรงดี แต่ก็ใช้แรงในการเปิดไม่มากนัก บริเวณใต้ร่องบากก็จะมีไฟ LED สำหรับแสดงสถานะอยู่ ถ้าเปิดขึ้นมาแล้วเป็นสีเขียวนิ่ง ๆ ก็คือมีการเชื่อมต่อกับมือถือได้ตามปกติ และแบตเต็มอยู่ ส่วนถ้าขึ้นเป็นไฟสีส้มจะหมายถึงว่ากำลังชาร์จแบต หรือถ้าไม่ใช่ระหว่างชาร์จ ก็จะหมายถึงว่าปริมาณแบตเหลือน้อยกว่าการชาร์จเต็ม 1 รอบ

    เคสชาร์จของ AirPods 4 ทั้งสองรุ่นย่อยจะมีรายละเอียดที่เปลี่ยนไปจากรุ่น 3 อยู่บ้าง ที่เห็นชัดสุดคือรอบนี้จะตัดปุ่ม setup ที่ก่อนหน้านี้จะอยู่ด้านหลัง ตรงใต้บานพับออก ทำให้เวลาต้องการจะจับคู่กับอุปกรณ์อื่นนอกเหนือจาก iPhone, iPad หรืออุปกรณ์ของ Apple จะต้องใช้การแตะที่บริเวณเซ็นเซอร์ซึ่งอยู่ใต้ไฟ LED แสดงสถานะแทน เช่นถ้าจะนำไปใช้กับมือถือ Android ก็ให้ใส่หูฟังทั้งสองข้างไว้ในเคส เปิดฝาขึ้นมา แล้วแตะสองครั้งคล้ายการดับเบิลคลิกที่บริเวณพื้นที่ถัดลงมาจากไฟ LED ด้านหน้า ไฟจะเปลี่ยนเป็นสีขาวกระพริบซึ่งเป็นการแสดงว่าได้เข้าสู่โหมดจับคู่แล้ว จากนั้นก็ไปทำการจับคู่จากมือถือที่ต้องการใช้งาน AirPods 4 ANC ได้เลย แต่ถ้าใช้งานร่วมกับ iPhone ก็แทบไม่ต้องทำขั้นตอนเหล่านี้เลยครับ เพราะระบบจะตรวจจับให้อัตโนมัติ และขึ้นมาถามเองเลยว่าจะจับคู่เพื่อใช้งานร่วมกับ iPhone หรือไม่

    ส่วนข้อมูลรหัสโมเดล ความจุแบตเตอรี่ของเคสชาร์จ แรงดัน/กระแสไฟที่ใช้ในการชาร์จ รวมถึงรหัสซีเรียลจะซ่อนไว้ที่โพรงเก็บหูฟังข้างขวาที่อยู่ในฝาบนซึ่งเป็นตำแหน่งประจำอยู่แล้ว ใครที่ต้องการถ่ายภาพเก็บไว้ หรือต้องการนำไปใช้แจ้งเพื่อเข้ารับบริการก็สามารถดูจากตรงนี้ หรือจะดูจากฉลากที่กล่องก็ได้เช่นกัน

    การชาร์จผ่านสายก็จะใช้เป็น USB-C แบบเต็มตัวแล้ว ซึ่งก็ตามที่ระบุไปข้างต้นว่าสามารถใช้สายเดียวกับที่ใช้ชาร์จมือถือ แท็บเล็ต iPhone iPad ที่ใช้ USB-C ได้เลย ทำให้ถ้าใครต้องการเข้าสู่ระบบนิเวศน์ของ Apple ในช่วงนี้ก็จะง่ายกว่าแต่ก่อนมาก เพราะ USB-C rule them all เรียบร้อย มีเส้นเดียวก็ใช้ชาร์จได้ตั้งแต่ MacBook, iPad, iPhone มาจนถึง AirPods เลย

    บริเวณรอบพอร์ต USB-C ก็จะมีช่องกลม ๆ เล็ก ๆ อยู่สองฝั่งและมีตะแกรงโลหะอยู่ด้านใน โดยฝั่งซ้ายที่มีช่องเดียวจะใช้เป็นช่องสำหรับระบายอากาศเพื่อช่วยในการปรับแรงดันภายในเคสให้เท่ากับแรงดันอากาศในสภาพแวดล้อมภายนอก ส่วนอีกสามช่องฝั่งขวาจะเป็นช่องลำโพงที่ไว้ใช้ส่งเสียงออกมาตอนเสียบสายหรือวางเคสบนแท่นชาร์จ และตอนที่ใช้ฟังก์ชันตามหาในระบบ Find My ให้ส่งเสียงออกมา เพื่อให้สามารถตามหาตำแหน่งได้ ซึ่งลำโพงนี้จะมีเฉพาะเคสชาร์จของ AirPods 4 รุ่นที่มี ANC เท่านั้น รุ่นปกติไม่มีให้นะ และจะต้องใช้ร่วมกับอุปกรณ์ที่ใช้ iOS 18 ขึ้นไปเท่านั้นด้วย

    หน้าตาของตัวหูฟัง AirPods 4 ANC จะถือว่ามีรูปทรงที่คล้ายกับ AirPods 3 คือเป็นป่องเอียง ๆ แล้วมีก้านสั้น ๆ ยื่นออกมาด้านหลัง ทำให้เวลาใส่ใช้งานจริง บริเวณปลายก้านจะหันเข้าหาปากของผู้ใช้งานพอดี ทำให้ไมโครโฟนรับเสียงพูดได้ดีขึ้น แต่ถ้าหากจับเทียบหน้าตากับ AirPods 3 จริง ๆ จะพบความแตกต่างที่เห็นได้ชัดครับ เช่นส่วนของตะแกรงสีดำที่จะแปะอยู่กับผนังใบหูของผู้ใช้ ในรุ่น 4 จะมีขนาดเล็กลง ซึ่งก็ถือเป็นหนึ่งในจุดสังเกตเพื่อแยกรุ่นได้เลยว่าถ้าเป็นทรงนี้ และจุดสีดำมีขนาดเล็ก วางอยู่ตรงกลางเยื้องมาด้านหน้าเล็กน้อยก็จะเป็นรุ่น 4 แน่นอน แต่ถ้าจุดสีดำดีมีขนาดยาวหน่อยคล้ายกับลู่วิ่งในสนามกีฬา และอยู่เยื้องไปด้านหลังก็จะเป็นรุ่น 3

    ด้านของน้ำหนักก็ต้องจัดว่าเบามาก ๆ ตามสไตล์ของ AirPods และหูฟังไร้สายแบบ TWS ที่ออกแบบมาเพื่อเน้นความสะดวกในการใช้งาน ในการเคลื่อนไหวร่างกาย ถ้าเทียบน้ำหนักแล้วก็คือจะเท่า ๆ กับรุ่น 3 เลย แต่จะหนักกว่ารุ่น 2 ประมาณ 0.3 กรัม และเบากว่า AirPods Pro 2 อยู่ 1 กรัม ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่แทบจะไม่เห็นความแตกต่างมากนักในระหว่างการใช้งานอยู่แล้ว

    บริเวณก้านหูฟังจะมีอยู่ด้านหนึ่งที่เซาะผิวไว้เป็นระนาบแบนเรียบ ซึ่งเมื่อใส่ใช้งานแล้วจะหันออกมาด้านหน้าของผู้ใช้ และขณะที่จับก้านหูฟัง ก็จะวางปลายนิ้วชี้ลงมาตรงระนาบนี้ได้พอดี ตรงจุดนี้คือเซ็นเซอร์สำหรับสั่งงาน AirPods และควบคุมระบบฟังเพลง การเล่นสื่อของเครื่องที่ใช้งานผ่านการบีบก้านหูฟังแบบที่มีมาในรุ่นก่อน ๆ โดยจะมีรูปแบบการสั่งงานดังนี้

    • บีบ 1 ครั้งเพื่อสั่งเล่นหรือหยุดเล่นสื่อ ส่วนถ้ามีสายโทรเข้าก็สามารถใช้รับสายได้
    • บีบ 1 ครั้งขณะคุยโทรศัพท์เพื่อปิดหรือเปิดเสียง (mute สาย)
    • บีบ 2 ครั้งเพื่อข้ามไปเพลงถัดไป หรือใช้ในการวางสาย
    • บีบ 3 ครั้งเพื่อย้อนไปเล่นเพลงก่อนหน้า
    • บีบค้างไว้เพื่อเรียกใช้งาน Siri หรือปรับรูปแบบการตัดเสียง

    ซึ่งในหน้าเมนูการตั้งค่าก็จะสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานได้เล็กน้อยด้วย ที่จะมีการกล่าวถึงในส่วนถัดไป ส่วนในเรื่องการควบคุมด้วยการบีบก้านแบบนี้ ผมมองว่าใช้งานได้สะดวกกว่าแบบที่แตะบริเวณหูฟังอีก เนื่องจากถ้าเป็นแบบแตะ บางครั้งผมแค่ต้องการกดและจัดตำแหน่งหูฟังให้เข้าที่ ก็กลายเป็นว่าผมไปแตะ+กดเพื่อสั่งงานไป แต่จะปิดเซ็นเซอร์ก็ไม่ได้ เพราะก็ต้องการเอาไว้ใช้เวลาต้องการข้ามเพลง ทำให้ส่วนตัวมองว่าการควบคุมด้วยการบีบก้านแบบนี้จะเหมาะกับการใช้งานมากกว่า

    จับ 3 รุ่นที่ผมมีในขณะนี้มาเทียบกัน ได้แก่ AirPods 2 / AirPods 4 ANC / AirPods Pro 1 จะเห็นได้ชัดเลยว่าดีไซน์ของสองรุ่นซ้ายมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ส่วนถ้าเทียบสองรุ่นขวาก็คือจะคล้ายกันมาก ต่างกันที่รุ่นหนึ่งเป็นแบบ Earbuds ที่แปะในช่องหู และอีกรุ่นหนึ่งเป็น In-ear ที่มีจุกใส่ในช่องหู นั่นจึงทำให้ AirPods 4 สามารถใส่ระบบตัดเสียงรบกวน ANC เข้ามาได้ ด้วยการออกแบบตัวหูฟังให้ช่วยกันเสียงเข้ามาคล้ายกับในรุ่นโปร

    ความรู้สึกในการสวมใส่ AirPods 4 ANC ก็ต้องบอกว่าไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนักครับ คือใส่ง่าย ไม่รู้สึกว่าหนักหรือมีอะไรกดทับเลย ด้วยความโค้งมนและไม่มีเหลี่ยมคมใด ๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะการออกแบบตัวหูฟังที่ทำออกมาค่อนข้าง universal คือคนทั่วไปสามารถใช้งานได้ด้วย แต่ก็อาจจะมีบ้างที่ใส่แล้วไม่พอดี 100% ซึ่งในจุดนี้ก็แนะนำว่าควรจะไปหาตัวจริงมาลองดูก่อน จะเป็นตามหน้าร้านตัวแทนจำหน่ายก็ได้ครับ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นของที่ต้องสวมใส่ อย่างไรก็ควรจะไปลองกับตัวก่อนอยู่ดี

    โดยถ้าเป็นส่วนตัวผมเอง พบว่าสามารถใส่ได้สบาย สามารถใส่ทำกิจกรรม ใส่เดิน ใส่ขึ้นรถไฟฟ้าได้แบบไม่เจอปัญหาเลย แต่จะมาลำบากนิดนึงตอนใส่ระหว่างทานอาหาร เพราะขณะที่เคี้ยว มันจะมีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเหมือนหูฟังจะหล่น ทำให้ไม่สะดวกกับการทานอาหารเท่าไหร่ สุดท้ายก้คือถอดหูฟังไปเลย เอาไว้ตอนทานเสร็จค่อยใส่ใหม่ ส่วนในเรื่องการกันน้ำกันฝุ่น ตามสเปคก็ระบุไว้ว่าได้ที่ระดับ IP54 คือสามารถทนทานกับเหงื่อ ละอองน้ำ น้ำกระเซ็นได้ ไม่เหมาะสำหรับการใส่ว่ายน้ำ ใส่ดำน้ำ

    เสียงและระบบตัดเสียงรบกวนของ AirPods 4 ANC

    แนวเสียงของ AirPods 4 ANC ก็ต้องบอกว่าก็ยังคงสไตล์ของ AirPods อยู่ครับ คือเป็นแบบกลาง ๆ ทั้งย่านต่ำ กลาง สูง เรียกว่าถ้าให้พล็อตกราฟความถี่เสียงที่ทำได้ เส้นกราฟที่ได้ก็น่าจะเป็นแบบเกาะเส้นกลาง 0 dB เป็นหลัก จากความรู้สึกผมคือจะมีบูสต์ในย่านต่ำขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้พอมีเสียงเบสเดินอยู่ด้านหลังแบบนวล ๆ ไม่ถึงกับบูมหรือมีอิมแพคกระแทกหนักมากนัก แต่ก็ถือว่าทำได้ดีเมื่อมองว่าเป็นหูฟังแบบ earbuds รวมถึงมีการบูสต์ย่านสูงขึ้นนิดหน่อยแต่ไม่สูงจัดเกิน ทำให้เสียงโดยรวมออกมาค่อนข้างโปร่ง ฟังง่าย ฟังนาน ๆ ได้แบบไม่ล้าหู ทำให้สามารถใช้ฟังเพลงแบบคลอไปกับการทำกิจกรรมอื่นได้สบาย หรือจะใช้ฟัง podcast ฟังรายการแนวพูด แนวสัมภาษณ์ก็ทำได้ดีเลย เพราะจะได้ยินเสียงสนทนาชัดเจนมากจากย่านเสียงกลางที่ชัดเจนและการบูสต์ย่านสูงเล็กน้อย แต่ถ้าคุณเป็นสายฟังเพลงที่เน้นเบสหนัก มีอิมแพคแน่น ๆ ก็อาจจะไม่เหมาะกับหูฟังสาย AirPods อยู่แล้ว

    ในการใช้ฟังเพลง ดูหนัง เล่นเกม ก็จัดว่าอยู่ในระดับที่ทำได้ค่อนข้างดี ไม่พบดีเลย์แบบที่เห็นได้ชัด เรียกว่าเป็นหูฟังที่ใช้งานได้อเนกประสงค์ตามสไตล์ AirPods เช่นเคย ส่วนอีกจุดที่ถือว่าเป็นจุดบอดของหูฟังประเภท earbuds แปะช่องหูก็คือเรื่องของเสียงเพลงลอดออกมาภายนอกในขณะที่ใช้งาน เท่าที่ผมทดสอบดูกับระดับเสียงปกติสำหรับการรับฟัง พบว่าเสียงลอดออกมาน้อยมาก ต้องเข้าไปยืนใกล้นิดนึงถึงจะพอได้ยินเบา ๆ

    ส่วนเรื่องการฟังเพลงที่ความละเอียดระดับ lossless ผ่าน iPhone iPad แมค อันนี้จะไม่สามารถทำได้นะครับ เสียงที่ออกมาจะเป็นแบบที่ได้รับการบีบอัดมาตามปกติ codec ที่รองรับจะยังคงมีเพียง AAC, AAC-ELD และ SBC เท่านั้น แต่ที่น่าสนใจคือหากเป็นการใช้งานร่วมกับแว่น Apple Vision Pro จะสามารถฟังเพลงแบบ lossless ผ่าน AirPods 4 ทั้งสองรุ่นย่อยและ AirPods Pro 2 ได้ผ่านโปรโตคอลพิเศษที่ Apple ระบุว่ารองรับเสียงระดับ lossless และมีความหน่วงต่ำ

    ด้านของระบบตัดเสียงแบบแอคทีฟ (ANC) ที่ใส่มาก็จะเป็นการยกมาจากใน AirPods Pro ได้แบบเกือบครบถ้วน คือจะมีด้วยกัน 4 โหมด ได้แก่

    • ปิดระบบตัดเสียง (Off)
    • เปิดรับเสียงภายนอกเข้ามาเต็ม ๆ (Transparency)
    • ปรับระดับความเข้มของการตัดเสียงแบบอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมภายนอก (Adaptive) – ใช้ได้เฉพาะตอนใส่หูฟังพร้อมกันทั้งสองข้างเท่านั้น
    • เปิดโหมดตัดเสียงแบบเต็มที่ (Noise Cancellation)

    ประสิทธิภาพในการตัดเสียงรบกวนของ AirPods 4 ANC นั้นจัดว่าทำได้เกินคาดมาก ๆ เพราะปกติแล้วหูฟังแบบ earbuds ที่ไม่มีการสอดท่อเสียงเข้าไปในช่องหูพร้อมกับมีจุกยางช่วยกั้นเสียง มักจะทำในจุดนี้ได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่ แต่สำหรับ AirPods 4 รุ่นที่มี ANC คือสามารถตัดเสียงภายนอกได้จริง แม้จะไม่ถึงขั้นเงียบเท่าหูฟังแบบ in-ear อย่าง AirPods Pro แต่ก็ช่วยทำให้ได้ยินเสียงเพลงได้ชัดเจนขึ้นจนแทบไม่ต้องเร่งเสียงเพลงเพื่อสู้เสียงภายนอกเหมือนแต่ก่อน ส่วนที่ผมลองใช้งานในฮอลล์จัดงานใหญ่ที่มีคนเยอะมากอย่างงานสัปดาห์หนังสือ ก็พบว่ายังพอมีเสียงบรรยากาศโดยรอบ เสียงคนพูดคุยใกล้ ๆ เข้ามาอยู่บ้าง ส่วนในระหว่างโดยสารรถไฟฟ้าก็จะคล้ายกันครับ คือสามารถกันเสียงรถ เสียงประกาศได้ดี แต่ถ้ามีคนพูดคุยกันใกล้ ๆ ก็จะมีเสียงคุยเข้ามาบ้างเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงกับเป็นระดับที่รบกวนการฟังเพลงมากนัก ส่วนถ้าเป็นเสียงฝนตกหนักมาก ๆ อันนี้ไม่รอดครับ เข้าเต็ม ๆ แต่ก็ลดความดังของเสียงฝนได้ระดับหนึ่ง

    โหมดเสียงโอบล้อมรอบทิศทางแบบ Spatial audio ก็มีมาให้ใช้งานเช่นกัน ซึ่งก็สามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้แค่เสียงล้อมรอบเฉย ๆ หรือจะให้มีการปรับทิศทางเสียงตามการหันหน้าด้วย เช่นตอนหน้าตรง เราจะได้ยินเสียงเหมือนว่าอยู่ตรงกลาง แต่พอหันศีรษะไปทางซ้าย หูฟังก็จะจำลองให้ว่าทิศทางของจุดกำเนิดเสียงยังอยู่ด้านหน้าเหมือนเดิม ทำให้เสียงที่จะเข้าหูจริง ๆ นั้นจะเข้าเพียงแค่ข้างขวาอย่างเดียว เป็นต้น ช่วยเพิ่มมิติของการชมคอนเทนต์ขึ้นไปอีกนิด

    อีกฟังก์ชันที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Conversation Awareness ซึ่งเป็นระบบที่หูฟังจะใช้ไมค์ในตัวรับฟังเสียงภายนอกอยู่ตลอดเวลา ที่จะมีประโยชน์มากในกรณีที่อาจต้องมีการพูดคุยกับบุคคลอื่นบ้างในเวลาที่ใส่หูฟังเพื่อฟังเพลง ฟังคอนเทนต์อยู่ เพราะถ้า AirPods 4 ANC รับเสียงแล้วจับได้ว่าผู้ใช้กำลังพูดอยู่ หูฟังก็จะเบาเสียงเพลงลง และเมื่อพูดจบก็จะเร่งระดับความดังของเสียงเพลงกลับมาอยู่ระดับเดิมอีกครั้ง โดยจากที่ทดสอบมา ส่วนตัวผมมองว่าระบบนี้จะเหมาะกับการใช้งานในสถานที่ที่ไม่พลุกพล่าน ไม่มีเสียงรบกวนมากนัก เนื่องจากบางครั้งเวลาใช้งานกลางแจ้ง ในรถไฟฟ้า ในบริเวณที่มีผู้คนพูดคุยกันตลอดเวลา ระบบก็จะจับเสียงจากรอบตัวแล้วนึกว่าเป็นเสียงเราพูดเอง เลยเบาเสียงเพลงลงในช่วงที่ไม่จำเป็น ส่งผลให้ระดับความดังของเสียงนั้นขึ้น ๆ ลง ๆ เลยมองว่าน่าจะเหมาะกับการใช้งานในที่เสียงคนไม่ดังมาก เช่น ใช้งานในที่ทำงาน ในที่ออกกำลังกาย เป็นต้น

    แบตเตอรี่และระยะเวลาในการใช้งาน

    ในหน้าสเปคของ AirPods 4 รุ่นมี ANC จะระบุระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ไว้ดังนี้

    • ใช้ฟังแบบปกติ นานสุด 5 ชั่วโมง
    • ใช้ฟังแบบปกติ + เปิด ANC นานสุด 4 ชั่วโมง

    ส่วนถ้ารวมแบตจากในเคสชาร์จด้วย จะได้อยู่ที่ 30 และ 20 ชั่วโมงตามลำดับ ซึ่งจากในการรีวิวด้วยการใช้ฟังเพลงติดต่อกันจริง ๆ ที่ความดังเสียงระดับประมาณ 40-60% แล้วแต่สภาพแวดล้อมในลานจอดรถ ห้างสรรพสินค้า (เมกาบางนา) และร้านอาหาร ด้านระบบตัดเสียงก็ลองใช้แบบเปิด ANC โดยสลับไปมาระหว่างการตัดเสียงแบบเต็มสูบ การตัดเสียงแบบ adaptive ที่จะปรับระดับตามสภาพแวดล้อมภายนอก รวมถึงมีปรับไปโหมดรับฟังเสียงภายนอก (transparency) บ้างเป็นช่วงสั้น ๆ ระหว่างที่พูดคุยกับบุคคลอื่น พบว่าสามารถใช้ฟังเพลงได้ 4 ชั่วโมงตามสเปค ก็ถือว่าทำได้ตามที่เคลมจริง ๆ

    การชาร์จก็อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าสามารถชาร์จได้ทั้งแบบผ่านสายและไร้สาย ซึ่งในแบบไร้สาย พอนำไปชาร์จกับแท่นชาร์จ Apple Watch แม่เหล็กในแท่นชาร์จก็จะดูดติดกับเคส AirPods 4 ANC แบบแน่นหนากำลังดี ใครที่หาซื้อหรือทำแท่นเอียงเพื่อชาร์จ Apple Watch อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องแก้ไขอะไรเลยครับ สามารถแปะเคสชาร์จ AirPods 4 ANC เข้าไปได้เลย แม่เหล็กจะช่วยให้ยึดเกาะไว้ได้สบาย ๆ ส่วนถ้าเป็นการชาร์จกับแท่น MagSafe ซึ่งผมมีเป็นแท่นรุ่นแรก ก็สามารถวางลงไปตรง ๆ ได้เท่านั้น เนื่องจากขนาดของเคสนั้นเล็กกว่าวง MagSafe อย่างที่เห็นในภาพด้านบน ทำให้ไม่มีแรงแม่เหล็กมาช่วยยึดเคสไว้กับแท่นชาร์จได้อย่างใด

    ในการเชื่อมต่อ หากเป็นครั้งแรกหลังแกะกล่องหูฟังมา ไฟ LED ที่เคสจะแสดงเป็นสีขาวกระพริบ หากอยู่ในระยะใกล้ ๆ กับ iPhone ก็จะมีหน้าต่างปรากฏขึ้นมาด้านล่างเพื่อถามว่าจะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันหรือไม่ ก็จัดการเชื่อมต่อให้เรียบร้อย แต่ในกรณีที่ต้องการนำไปใช้กับอุปกรณ์อื่น ก็ให้เปิดฝาเคสขึ้นมาแล้วแตะสองครั้งที่บริเวณด้านหน้าอย่างที่กล่าวไปในข้างต้นแล้ว เพื่อให้หูฟังเข้าสู่โหมดจับคู่นั่นเอง

    สำหรับการตั้งค่าครั้งแรก จะมีข้อความขึ้นมาอธิบายถึงฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา นั่นคือการพยักหน้าและส่ายหน้าเพื่อโต้ตอบกับ Siri ซึ่งตัวอย่างสถานการณ์ที่ใช้ได้ก็เช่นการพยักหน้าเพื่อรับสายและตอบกลับการแจ้งเตือน การส่ายหน้าเพื่อตัดสายโทรเข้าและลบการแจ้งเตือนไป หรือถ้าไม่ต้องการใช้ก็สามารถเข้าไปปิดได้

    ส่วนเรื่องการปรับตั้งค่าการทำงานของหูฟัง แน่นอนว่าจะสามารถปรับได้แบบเต็มที่สุดก็เมื่อตอนที่ใช้งานร่วมกับผลิตภัณฑ์จาก Apple เองได้แก่ iPhone iPad และเครื่องแมคผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth โดยเมื่อทำการเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องใดเครื่องหนึ่งแล้ว หากผู้ใช้มีเครื่องอื่นที่ใช้ Apple Account (หรือชื่อเดิมคือ Apple ID) อยู่ ก็จะสามารถใช้งาน AirPods ได้ทันที โดยตัวหูฟังจะสลับการเชื่อมต่อให้อัตโนมัติ ซึ่งชิป H2 ที่อยู่ภายในหูฟังก็ทำหน้าที่ในการประมวลผลต่าง ๆ ได้ดี สลับเครื่องได้เร็วและค่อนข้างฉลาด แต่ถ้าต้องการตั้งค่าให้หูฟังเชื่อมต่อเฉพาะกับเครื่องล่าสุดที่ใช้งานเท่านั้นก็สามารถทำได้เช่นกันครับ จากในหน้าเมนูการตั้งค่านี้เลย

    อย่างในภาพด้านบนก็จะมีการแสดงปริมาณแบตเตอรี่ของหูฟังทั้งสองข้างกับเคสชาร์จ ถัดลงมาคือชื่อที่ตั้งให้กับหูฟัง ตามมาด้วยโหมดของระบบตัดเสียงรบกวนที่มีให้เลือก 4 แบบตามที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งจริง ๆ แล้วยังสามารถเลือกปรับจากที่อื่นก็ได้ เช่น ใช้การบีบก้านหูฟังค้างไว้เพื่อสลับโหมดไปมา หรือจะกดเปลี่ยนโหมดจากหน้า control center ก็ได้ โดยจะมีตัวเลือกเพิ่มเติมสำหรับโหมด Adaptive ด้วยว่าจะให้ปรับระดับการตัดเสียงเข้มข้นขนาดไหน จะให้มีเสียงเข้ามาเยอะหน่อย หรือให้เสียงเข้ามาน้อย หรือให้อยู่ระดับกลาง ๆ

    หัวข้อต่อมาก็คือการตั้งค่าว่าจะให้การบีบก้านหูฟังค้างไว้จะเป็นการสั่งงานอะไร ระหว่างการสลับโหมดตัดเสียงที่จะเลือกได้ด้วยว่าจะให้มีตัวเลือกโหมดใดมาให้สลับบ้าง เช่นถ้าหากต้องการให้สลับแค่ 2 โหมดจากที่มีทั้งหมด 4 โหมดก็สามารถเข้ามาตั้งค่าตรงนี้ได้เลย รวมถึงยังสามารถตั้งค่าแยกกันระหว่างข้างซ้ายและขวาก็ได้ด้วย หรือถ้าไม่ต้องการปรับโหมดตัดเสียงก็จะสามารถตั้งค่าให้เป็นการบีบเพื่อเรียกใช้งาน Siri ก็ได้

    ลงมาก็จะเป็นชุดตั้งค่าว่าถ้ามีสายโทรศัพท์ จะให้การบีบก้านหูฟังแต่ละแบบทำหน้าที่อะไรบ้าง ได้แก่การรับสาย การปิดเสียงและการตัดสาย ว่าจะให้เป็นการบีบครั้งเดียว หรือบีบสองครั้งติดกัน

    เลื่อนลงมาก็จะเจอ Personalized Volume ที่จะช่วยปรับระดับความดังเสียงเพลงให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมภายนอก เช่นถ้าออกจากบ้านมาเดินริมถนน ระดับเสียงเพลงก็จะดังขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ผู้ใช้ได้ยินเสียงชัดขึ้น ต่อมาคือ Conversation Awareness ก็จะตามด้านบนเลยคือจะเป็นระบบเบาเสียงเพลงให้อัตโนมัติเมื่อตรวจจับได้ว่ามีการสนทนาเกิดขึ้น ซึ่งฟังก์ชันนี้สามารถเปิดหรือปิดได้ตามต้องการ ส่วนที่เหลือก็จะคล้าย ๆ กับรุ่นก่อนหน้าครับ คือมีระบบเล่นเพลงต่ออัตโนมัติเมื่อเสียบหูฟัง หรือหยุดเพลงอัตโนมัติเมื่อถอดหูฟังออก เป็นต้น ส่วนที่เพิ่มเข้ามาก็คือตัวเลือกเปิด/ปิดว่าจะให้มีเสียงตอนชาร์จหรือไม่

    ปิดท้ายรีวิว AirPods 4 รุ่น ANC

    โดยรวมแล้ว AirPods 4 ANC จัดว่าเป็นหูฟังที่ใช้งานง่าย เป็นมิตรกับผู้ใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะผู้ใช้ iPhone iPad รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple ทั้งในด้านการสวมใส่ด้วยการออกแบบรูปทรงที่ใส่ง่ายในแบบของ earbuds ที่เพียงแค่แปะเข้าไปในช่องหูเท่านั้น ความกะทัดรัดพกพาสะดวก แบตเตอรี่ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานตลอดทั้งวันได้สบายเมื่อรวมกับแบตในเคสชาร์จ ความสะดวกในการใช้งานข้ามอุปกรณ์ที่ใช้บัญชีเดียวกัน รวมถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ก็ให้มาในระดับพื้นฐานที่ตอบโจทย์การรับฟังคอนเทนต์ในปัจจุบันได้ดี

    ส่วนระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation ที่ให้มาก็ต้องบอกว่าทำได้ดีเกินคาดมากเมื่อมองว่าเป็นหูฟังแบบ earbuds ซึ่งไม่มีท่อเสียงและจุกยางช่วยกั้นเสียงภายนอก เพราะทำให้ผู้ใช้สามารถฟังคอนเทนต์ได้อย่างชัดเจน แม้ภายนอกจะมีเสียงอยู่รายล้อมก็ตาม แต่ก็แน่นอนว่าจะยังไม่สามารถตัดได้เงียบสนิท 100% ซะทีเดียว น่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหูฟังตัดเสียง แต่ไม่อยากได้ทรงแบบ in-ear เพราะบางท่านอาจจะไม่ชอบรูปทรง หรืออาจจะมีข้อจำกัดด้านสุขภาพก็ตาม สามารถเลือกซื้อ AirPods รุ่นใหม่นี้ไปใช้ได้เลย แต่จะมีเรื่องระบบการรับรู้เสียงสนทนาที่ส่วนตัวมองว่าบางครั้งก็มาขัดอารมณ์การฟังเพลงอยู่บ้าง เนื่องจากการปรับระดับเสียงขึ้น ๆ ลง ๆ ดีที่สามารถเลือกเปิดหรือปิดได้ตามต้องการ

    ส่วนถ้าใช้มือ Android หรือจะซื้อไปใช้กับโน้ตบุ๊ก Windows อันนี้ไม่แนะนำเท่าไหร่ครับ เพราะจะใช้ได้แค่ด้านการฟังเท่านั้น ไม่สามารถใช้ฟังก์ชันอื่น ๆ ได้เต็มที่เท่าใช้กับ iDevice

    แต่หนึ่งในปัจจัยที่อาจทำให้ตัดสินใจยากนิดนึงก็คือเรื่องของราคาที่รุ่นปกติมีราคาศูนย์อยู่ที่ 4,990 บาทกับรุ่นมี ANC ที่ 6,490 บาท ซึ่งจัดว่าค่อนข้างสูงซักนิดนึงจนแทบจะไปชนกับ AirPods Pro แล้ว ตรงนี้ส่วนตัวมองว่าก็จริงอยู่ครับ ทำให้ถ้าเป็นราคาเต็มเลยอาจจะยอมเพิ่มเงินอีกหน่อยเพื่อไป AirPods Pro 2 เลยจบกว่า เพราะได้เสียงและระบบ ANC ที่ดีขึ้นแน่ ๆ จากการเป็นหูฟังทรง in-ear เว้นแต่ว่าถ้าคุณตั้งใจจะเลี่ยงหูฟังแบบ in-ear ก็คงต้องตัดรุ่นโปรออกไป

    ทำให้ถ้าต้องการหาซื้อ AirPods 4 ANC ในราคาที่คุ้มค่าขึ้นมาอีกนิด แนะนำว่าลองดูช่วงแพลตฟอร์มออนไลน์จัดโปรโมชันพวกวันเลขเบิ้ล วันกลางเดือน วันเงินเดือนออก หรือช่วงที่มีโค้ดพิเศษก็ได้ครับ เพราะในนั้นก็มีร้านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการอนุญาตจาก Apple ให้ได้เลือกซื้อและใช้โค้ดส่วนลดกัน ซึ่งจะช่วยลดราคาลงมาได้พอสมควรทีเดียว เช่นอย่างในรุ่น ANC อาจจะซื้อมือหนึ่งของแท้ได้ในราคาราวห้าพันกลาง ๆ เท่านั้น

    AirPods AirPods 4 AirPods 4 ANC Apple Review
    Share. Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    ZeroSystem

    Related Posts

    ลือ iPhone 17 หน้าจอใหญ่ขึ้น รีเฟรชเรต 120Hz ในทุกรุ่นย่อย

    30 พฤษภาคม 2025

    วิธีล้างเครื่องไอโฟนทำยังไง รีเซ็ตไอโฟนให้เหมือนเครื่องใหม่ทำยังไงบ้างในปี 2025

    29 พฤษภาคม 2025

    ลือ Apple อาจปรับการตั้งชื่อ ขยับจาก iOS 18 ข้ามไป iOS 26 ตามเลขปี

    29 พฤษภาคม 2025

    Comments are closed.

    หัวข้อทั้งหมด

    Instagram ประกาศรองรับภาพอัตราส่วน 3:4 ตอบโจทย์การลงภาพแบบไม่ต้อง crop

    30 พฤษภาคม 2025

    ลือ iPhone 17 หน้าจอใหญ่ขึ้น รีเฟรชเรต 120Hz ในทุกรุ่นย่อย

    30 พฤษภาคม 2025

    วิธีล้างเครื่องไอโฟนทำยังไง รีเซ็ตไอโฟนให้เหมือนเครื่องใหม่ทำยังไงบ้างในปี 2025

    29 พฤษภาคม 2025

    วิธีเช็คพร้อมเพย์ว่าอยู่ธนาคารไหนให้ตัวเองและคนอื่นด้วยแอพเป๋าตัง, กสิกร, กรุงไทยทำยังไงในปี 2025

    29 พฤษภาคม 2025

    มือถือรุ่นยอดนิยม

    Honor X7

    Honor X7

    6,299 บาท
    Honor X8

    Honor X8

    7,999 บาท
    Honor X9

    Honor X9

    9,299 บาท
    HTC Desire 22 Pro

    HTC Desire 22 Pro

    0 บาท
    Huawei Nova 10 Pro

    Huawei Nova 10 Pro

    24,990 บาท
    ดูมือถือทั้งหมด
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

    ยอมรับ
    X