สำหรับอุปกรณ์เสริมที่ผมจะมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันในบทความนี้ เป็นหูฟังบลูทูธไร้สายครับ อ๊ะ!! เพื่อน ๆ บางคนอาจจะกำลังปิดบทความนี้ไปแล้วก็เป็นได้ เนื่องจากหูฟังบลูทูธไร้สายมันจะมีอะไรน่าสนใจถึงขนาดต้องมาเขียนรีวิว? แต่อยากให้ลองอ่านบทความรีวิว VerveOnes+ หูฟังบลูทูธไร้สายจาก Motorola ก่อน เพราะมันพิเศษกว่าหูฟัง Bluetooth รุ่นอื่น ๆ เนื่องจากมันไร้สายจริง ๆ นะ
ลักษณะการใช้งาน VerveOnes+ จะเป็นแบบเดียวกับหูฟังหน้าตาแปลกของ Apple อย่าง Apple Airpods ครับ คือเป็นการใช้งานแบบไร้สายจริง ๆ ตั้งแต่การเชื่อมต่อที่เป็นแบบไร้สาย รวมถึงตัวหูฟังเองก็ไม่มีสายใด ๆ มาเกะกะกวนใจ และสำหรับคนที่คิดว่าแบบนี้มันจะหล่นง่ายไหม จะทำหายหรือเปล่า ผมสปอยให้ก่อนเลยว่า VerveOnes+ เป็นหูฟังที่ผมรู้สึกว่าใส่สบายมาก (ก ไก่ หลายตัว) ส่วนหนึ่งก็ต้องให้เครดิตการไร้สายนี่แหละ
ขั้นตอนการเชื่อมต่อ VerveOnes+ นั้นง่ายเหมือนการใช้งานหูฟังบลูทูธทั่วไปเลยครับ (ต้องอาศัยที่เก็บทรงกระบอกในการเชื่อมต่อ) ในการใช้งานเราจะเชื่อมต่อกันสด ๆ หรือจะใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน VerveLife เพื่อตั้งค่าต่าง ๆ ก็ได้เช่นกัน แต่ส่วนตัวผมจะแนะนำให้ดาวน์โหลด VerveLife มาใช้งานร่วมด้วยดีกว่า เพราะจะได้สามารถใช้งานได้เต็มฟีเจอร์
ตัวหูฟัง VerveOnes+ จะถูกบรรจุอยู่ในที่เก็บทรงกระบอก ซึ่งไม่ใช่ที่เก็บอย่างเดียว แต่ยังเป็นทั้งที่ชาร์จแบตเตอรี่ และเชื่อมต่อหูฟังกับโทรศัพท์มือถือไปด้วยในตัว โดยวิธีการหยิบหูฟัง VerveOnes+ มาใช้งานก็แค่หมุนกระบอกเก็บดังกล่าวเพื่อเปิดออกมา
ขนาดหูฟัง VerveOnes+ นั้นเล็กนิดเดียวครับ แต่ถ้าเทียบกับพวกหูฟัง In-Ears มีสายปกติก็ถือว่าตัวใหญ่ว่าเล็กน้อย ตัวหูฟังนอกจากจะใช้ฟังเพลงได้แล้ว ยังมาพร้อมกับไมโครโฟนสำหรับใช้สนทนาโทรศัพท์ และมีปุ่มกดที่ใช้ในการควบคุมเพลง (แบบเดียวกับหูฟัง Apple Earpods) , รับโทรศัพท์ และเรียก Siri/ Google Play อยู่ที่ตัวหูฟังทั้ง 2 ข้าง
VerveOnes+ มีดีไซน์ที่จัดว่า Sport จ๋ามาก ด้วยตัวหูฟังด้านในที่เป็นยาง และความสามารถในการกันน้ำระดับ IP57 สามารถโดนน้ำลึกประมาณ 1 เมตรได้นาน 30 นาที แต่ไม่สามารถใส่ว่ายน้ำได้ โดยการป้องกันของเหลว HZO Protect จะออกแบบมาสำหรับการป้องกันเหงื่อ, ป้องกันฝนมากกว่า
ในการสวมใส่ เรื่องความฟิตของหูฟัง VerveOnes+ มีจุกหูฟังมาให้เปลี่ยน 3 ขนาด เช่นเดียวกับหูฟัง In-Ears ปกติทั่วไป เมื่อใส่แล้วก็ต้องบอกว่ามันแน่น และฟิตมาก สามารถใส่วิ่ง, ใส่ปั่นจักรยาน หรือต่อให้กระโดดแบบเข้าคลาส Cardio ก็ไม่มีปัญหาอะไร ต้องขอบคุณการไม่มีสายหูฟัง เพราะปกติที่หูฟังเราหลุดจากหู ส่วนหนึ่งก็มาจากสายหูฟังมันทำให้มีน้ำหนักนี่แหละครับ
การใช้งาน VerveOnes+ เมื่อเชื่อมต่อหูฟังกับตัวเครื่องผ่านทาง Bluetooth เรียบร้อย ที่เหลือก็ง่ายมากครับ แค่เราบิดที่เก็บให้เปิด และหยิบ VerveOnes+ ออกมาจากกระบอกเก็บหูฟัง ตัว VerveOnes+ ก็จะทำการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือโดยอัตโนมัติ (โทรศัพท์ต้องเปิด Bluetooth ไว้ด้วย) สามารถดูแบตเตอรี่ VerveOnes+ ได้จากหน้าจอ iPhone ทันที
เสียงที่ออกจาก VerveOnes+ ทางหูด้านซ้ายจะเป็นเสียง Master ครับ ส่วนหูทางขวาจะรับสัญญาณจากหูด้านซ้ายอีกที แต่ก็ให้เสียงเป็นแบบ Stereo คือแยกซ้ายขวาชัดเจน ไม่ได้เป็นเสียงแบบ Mono นะ
จบแล้วล่ะครับ สำหรับการใช้งาน VerveOnes+ แต่ถ้าจะให้มัน Advance มากขึ้น ก็ให้เราเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชัน VerveLife (หูฟังต้องอยู่ในกระบอกเก็บหูฟังก่อน) แล้วเราจะสามารถใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้ เริ่มจากการปรับ EQ ซึ่งก็มีให้เลือกพอประมาณ และยังสามารถปรับ EQ แบบ Custom ได้เอง รวมถึงเช็คแบตเตอรี่ กับบอกตำแหน่งล่าสุดของ VerveOnes+ ได้ด้วย
แต่ฟีเจอร์ที่ผมคิดว่าน่าสนใจ และเป็นประโยชน์กับคนใช้ VerveOnes+ มาก ๆ ก็คงเป็นฟีเจอร์ Pass-Through Audio ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ยอมให้เสียงภายนอกเข้ามาในหูฟังได้ เหมาะมากสำหรับคนที่ใส่ VerveOnes+ ไปออกกำลังกาย เช่น การวิ่ง, ปั่นจักรยาน การฟังเสียงรอบข้างเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าใครเคยใช้หูฟัง In-Ears จะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี คือมันจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่ไม่ใช่กับ VerveOnes+ ที่เปิดฟีเจอร์ Pass-Through Audio เพราะตัว VerveOnes+ จะกรองเสียงภายนอกเข้ามาระดับหนึ่ง ก็พอที่จะให้เรารู้ว่า มีรถขับตามมา หรือได้ยินเสียงแตรรถ รวมถึงเสียงสภาพแวดล้อมโดยรอบ
สำหรับเสียงของ VerveOnes+ โดยรวมผมถือว่ามันเป็นหูฟังที่เสียงดีใช้ได้ เสียงกลางเด่นพอสมควรควร แต่ถ้าใครเป็นแนวบริโภคเสียงเบสตึ๊บ ๆ VerveOnes+ คงไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ สำหรับเสียงโทนต่ำ หรือเสียงเบสของ VerveOnes+ จะไม่ลงลึกมาก พอให้ฟังเพลงระหว่างออกกำลังกายได้สนุก แต่ไม่ถึงกับกระเพื่อมจนหูสั่น ต่อให้ปรับ EQ เพื่อเร่งเสียงเบสก็จะออกมาตื้อ ๆ ไปเลย เอาเป็นว่ามันเป็นหูฟังที่ให้เสียงออกแนวกลาง ๆ ฟังเพลงได้ทุกแนว แต่ไม่สุดสักแนว ก็อย่างว่าล่ะครับ จุดเด่นของ VerveOnes+ มันอยู่ที่ความไร้สาย 100% มากกว่า
การเชื่อมต่อ VerveOnes+ ด้วยความที่เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 4.1 ในการเชื่อมต่อก็เลยจัดว่าเสถียร และกินพลังงานไม่มาก ตามสเปคบอกว่าสามารถใช้งานได้นานถึง 12 ชั่วโมง เมื่อใช้งานกับตัวเก็บหูฟัง ตอนใช้งานผมก็ไม่ทันได้นับเหมือนกันว่าใช้งานไปกี่ชั่วโมง แต่ตอนที่ไปเยอรมันนี อยู่บนเครื่องบินประมาณ 10 ชั่วโมง ผมใส่ ๆ ถอด ๆ ก็สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องชาร์จไฟนะครับ (ตัวหูอย่างเดียว ตามสเปคได้ 3 ชั่วโมง) ถือว่าเป็นหูฟังบลูทูธที่แบตเตอรี่อึดใช้ได้
ส่วนการชาร์จไฟก็ไม่ยากอะไร แค่เอา VerveOnes+ ใส่กล่องเก็บทรงกระบอก แล้วชาร์จไฟผ่านทางพอร์ต MicroUSB เหมือนโทรศัพท์เลย จะชาร์จด้วยอะแดปเตอร์ หรือชาร์จด้วย Powerbank ก็ได้เช่นกัน แต่จะใช้เวลาชาร์จนานหน่อย ประมาณ 2 ชั่วโมง
การใช้คุยโทรศัพท์ผ่าน VerveOnes+ ก็ให้เสียงสนทนาที่คมชัด แบบที่ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะให้เสียงคุยโทรศัพท์ที่ชัดขนาดนี้ ด้วยขนาดตัวเล็ก ๆ มองผ่าน ๆ นึกว่าไม่มีไมโครโฟนด้วยซ้ำไป แต่เสียงสนทนาที่ให้จัดว่าโอเคมาก การสนทนาคมชัดในแบบฉบับของการคุยผ่านบลูทูธ แต่ปัญหาจะอยู่ที่เราเขิน ๆ ตอนคุยมากกว่า เพราะมันโล่งจริง ๆ แล้วก็การใช้คุยโทรศัพท์ในที่ ๆ มีคนพลุกพล่านอาจจะลำบากหน่อย เพราะเราต้องเร่งเสียงให้ดังเข้าไปอีก แต่ถ้าเป็นในรถยนต์ หรือในห้องอันนี้สบายเลยครับ คุยได้ชัด และสบายเหมือนไม่ได้ใส่อะไรจริง ๆ
จุดเด่น
- ขนาดเล็ก ใส่แล้วแทบจะเหมือนไม่ได้ใส่อะไร
- การไม่มีสาย ทำให้ใช้งานได้สะดวกกว่าที่คิด
- การสวมใส่ทำได้ดีมาก ฟิตพอดี ไม่แน่นเกินไป ไม่หลวมเกินไป ใส่กระโดดก็ไม่หลุด
- แบตเตอรี่อึดดีทีเดียว
- ฟีเจอร์ Pass-Through Audio เหมาะกับการออกกำลังกายมาก
- กันน้ำระดับ IP57
ข้อสังเกต
- ไม่เหมาะกับการใช้คุยโทรศัพท์ในที่คนพลุกพล่าน
- การเชื่อมต่อในที่คนพลุกพล่าน มีอาการแลคเล็กน้อย