เป็นธรรมดาของ Apple ที่จะต้องเปิดตัวมือถือ iPhone รุ่นใหม่ทุกปี และในปี 2016 นี้ก็ถึงคิวของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus โดย iPhone ทั้งสองรุ่นได้เปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนกันยายน แล้วก็วางขายในกลุ่มประเทศแรกไปเมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา ส่วนประเทศไทย ณ ตอนที่ผมเขียนรีวิว iPhone 7 อยู่นั้น คงต้องร้องเพลงรอไปก่อน เนื่องจาก Apple ได้จัดให้ประเทศไทย เป็นประเทศกลุ่มที่ 3 ที่ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus จะวางขาย นั่นก็หมายความว่า กว่าเราจะได้ซื้อ iPhone 7 เครื่องศูนย์ไทยจาก dtac, AIS, Truemove-H และ Apple Online Store ก็น่าจะเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม – อัพเดต iPhone 7 และ iPhone 7 Plus วางจำหน่ายในไทยวันที่ 21 ตุลาคม 2559
ส่วน iPhone 7 ที่ผมจะมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันนั้น เป็น iPhone 7 ที่ให้น้องทีมงานบินไปซื้อมาจากฮ่องกง สนนราคา iPhone 7 ที่ฮ่องกง รุ่นความจุ 32 GB ก็จะอยู่ที่ HK$5588 หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 25,200 บาท (ราคาในไทยตามสถิติคือแพงกว่านี้ประมาณ 2,000 บาท) โดยเครื่อง iPhone 7 ที่เราได้มารีวิวนั้นเป็นตัวเครื่องสีดำด้าน (Black) ซึ่งเป็นสีที่มาแทนสีเทาเข้ม Space Grey และนับเป็นสีใหม่ของ iPhone เช่นเดียวกับสี Jet Black แต่ก็ต้องยอมรับว่า iPhone 7 สี Jet Black นี่เป็นอะไรที่หาซื้อยากจริง ๆ ขนาดว่าไม่มีขายในรุ่นความจุ 32 GB ต้องซื้อรุ่นความจุ 128 GB และ 256 GB ขึ้นไปเท่านั้น ส่วนสีดำด้าน Black ก็หาซื้อยากรองลงมา
อุปกรณ์ในกล่องของ iPhone 7 จะประกอบไปด้วยตัวเครื่อง iPhone 7, อะแดปเตอร์ชาร์จไฟ, สาย Lightning to USB, หูฟัง Apple EarPod with Lightning Connector และสายแปลง Lightning to 3.5 mm. สำหรับคนที่ต้องการใช้งานหูฟังแบบปกติกับ iPhone 7 เพราะใน iPhone 7 ได้ทำการตัดช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตรออกไป และใช้การเสียบหูฟังผ่านพอร์ท Lightning แทน ซึ่งก็มีผู้ผลิตหูฟังหลายเจ้าที่ตอบรับการมาของพอร์ท Lightning สำหรับหูฟังแล้ว หรือไม่ก็ต้องหันไปใช้หูฟังไร้สายแทน โดย Apple ก็ได้ปล่อยหูฟังไร้สายออกมาหลายรุ่น ทั้ง AirPods และหูฟัง Beats รุ่นใหม่ ๆ
ข้อดี
– สเปคโดยรวมดีขึ้น โดยเฉพาะ iPhone 7 Plus ใส่แรมมาให้ 3 GB แล้ว
– ตัวเครื่องกันน้ำ กันฝุ่น
– หน้าจอ Retina HD ให้สีที่ดีขึ้น ใช้งานกลางแดดได้ดีขึ้น
– ลำโพงคู่ ให้เสียงที่เต็มอารมณ์กว่าเดิม
– ใช้งานร่วมกับ iOS 10 ได้เต็มประสิทธิภาพ
– แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้น
ข้อสังเกต
– ตัวเครื่องหนาเท่าเดิม มิติเท่าเดิม แม้จะตัดแจ็ค 3.5 มิลลิเมตรออก
– ไม่มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
– ปุ่มโฮมแบบ Force Touch ต้องใช้เวลาปรับตัว
– สามารถใส่เคส iPhone 6s/ iPhone 6s Plus ได้ หากเป็นเคสเปิดหลัง
บทสรุป
BEST PERFORMANCE
Design
ส่วนตัวผมมองว่าดีไซน์ของ iPhone 7 เป็นอะไรที่น่าผิดหวังที่สุด ในแง่ของการเป็น iPhone 7 เพราะตามปกติแล้ว Apple จะทำการเปลียนโมเดล iPhone ทุก ๆ 2 ปี อย่างเมื่อปี 2014 ก็เปลี่ยนดีไซน์ยกแผง จาก iPhone 5s มาเป็น iPhone 6 ที่หน้าตาเปลี่ยนไป มีขนาดตัวเครื่องให้เลือก 2 ขนาด คือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แม้จะไม่ได้ลองเล่นก็ตาม และพอมาในปี 2015 ก็ได้ทำการเปิดตัว iPhone รหัส s ที่เพิ่มความสามารถในด้าน Performance กับฟีเจอร์อย่าง iPhone 6s ที่มาพร้อมกับชิปเซ็ตตัวแรง และเทคโนโลยี 3D Touch ที่เปลี่ยนวิถีการใช้งานสมาร์ทโฟนของคนที่ได้ลองใช้ iPhone 6s
แน่นอนว่า iPhone 7 มันก็ควรเป็น iPhone ที่สดใหม่จริง ๆ ทั้งในแง่ของดีไซน์, สเปค และฟีเจอร์ แต่สิ่งที่เราพบคือ iPhone 7 ดันออกมาในรูปทรงเดียวกับ iPhone 6s ไม่ว่าจะเป็นขนาดตัวเครื่อง, น้ำหนักที่ใกล้เคียงกัน และการตัดช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรก็ไม่ได้ทำให้ iPhone 7 บางกว่า iPhone 6s มีเพียงแค่ดีไซน์กล้องที่ไม่เหมือนกัน, ทำการตัดช่องเสียบหูฟังออก, ตัดเสาอากาศด้านหลังตัวเครื่อง ที่เคยพาดกลางหลังออกไป ทำให้ฝาหลังของ iPhone 7 จะดูโล่ง ๆ กว่าตอน iPhone 6s แต่ภาพรวม เราสามารถใส่เคสประเภท Bumper (เคสเปิดหลัง) ของ iPhone 6s ให้กับ iPhone 7 ได้
เพราะฉะนั้นในรีวิว iPhone 7 ผมจะไม่ลงรายละเอียดเรื่องดีไซน์เท่าไหร่ เพราะสามารถหาอ่านจากรีวิว iPhone 6s ได้เลย ความเหมือน, ประสบการณ์ในการใช้งานตัวเครื่อง ในเรื่องการจับถือ การพกพา ผมให้ iPhone 7 มีความคล้ายกับ iPhone 6s ประมาณ 90% ได้ แต่ในรีวิว iPhone 7 เรื่องดีไซน์ เราจะมาพูดถึงความแตกต่าง ที่มีใน iPhone 7 แต่ไม่มีใน iPhone 6s น่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจ iPhone 7 มากกว่า
สีสันของตัวเครื่อง iPhone 7 เป็นสิ่งแรกที่ทำให้มันแตกต่างจาก iPhone 6s ไม่ใช่แค่มีสีใหม่อย่างสีดำ (Black) และสีดำเปียโน หรือสีดำเงา (Jet Black) เท่านั้น แต่สีอื่น ๆ ของ iPhone 7 ก็ไม่ได้เหมือนกับสีของ iPhone 6s เสียทีเดียว โดยเฉพาะสีชมพู Rose Gold ที่อยู่ใน iPhone 7 เมื่อเทียบกับ iPhone 6s จะเป็น Rose Gold มากกว่า มีการเน้นสีทองเข้าไป ซึ่งเมื่อเทียบกับ iPhone 6s แล้ว จะเหมือนว่าสี Rose Gold ใน iPhone 6s เป็นสีชมพูล้วนไปเลย
ถ้าพูดถึงความหาซื้อยาก ชั่วโมงนี้ยังไงก็ต้องยกให้กับสี Jet Black ครับ เพราะเป็นสีใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน แล้วก็ดูจะ Exclusive ซะด้วย เนื่องจากมีเฉพาะใน iPhone 7 รุ่นความจุ 128 GB กับ 256 GB ขึ้นไปเท่านั้น โดยเฉพาะสีดำ Jet Black บน iPhone 7 Plus นี่เป็นอะไรที่เรียกว่าแรร์ไอเท็มแบบสุด ๆ ในช่วงแรกที่วางขาย ส่วนอีกสีที่น่าสนใจก็คงเป็นสีเดียวกับเครื่องรีวิว iPhone 7 ของเรา นั่นก็คือสีดำ Black ที่ส่วนตัวผมว่ามันสวยขึ้น ดุดันมากขึ้น แล้วก็น่าจะหาอุปกรณ์เสริมที่เข้ากันได้ง่ายกว่าสีอื่น ๆ
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่ต้องทราบเกี่ยวกับ iPhone 7 หรือ iPhone 7 Plus สีดำเงา Jet Black ก็คือตัวเครื่องมีสิทธิ์ที่จะเป็นริ้วรอยได้มากกว่าสีอื่น ๆ ด้วยผิวสัมผัสแบบมันเงา ที่เลอะง่ายทั้งรอยนิ้วมือ และไม่ทนรอยขีดข่วนเท่ากับพวกสีแบบด้าน คือต้องบอกว่าความทนทานอาจจะเท่ากัน แต่สีดำ Jet Black จะมองเห็นริ้วรอยได้ง่ายกว่า เนื่องจากตัวเครื่องที่เงานั่นเอง วิธีแก้สำหรับคนที่สนใจ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สี Jet Black ก็คือซื้อเครื่องมาแล้วใส่เคสซะ
ถัดมาก็คงเป็นเรื่องช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ที่โดนตัดออกไปใน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus และก็ถูกชดเชยการเชื่อมต่ออุปกรณ์ประเภทเสียง เช่น หูฟัง, ไมโครโฟน ด้วยพอร์ท Lightning แทน ใช่แล้วครับ พอร์ทเดียวกับพอร์ทชาร์จไฟนี่แหละ เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการชาร์จไฟไปพร้อม ๆ กับฟังเพลง หรือใช้หูฟังเพื่อสนทนาโทรศัพท์ ก็คงต้องพึ่งอุปกรณ์เสริม 3rd Party ที่จะเพิ่มพอร์ท Lightning ให้เพิ่มขึ้นมา 2 ช่อง แต่ถ้าใครที่มีอุปกรณ์เสียงที่ยังใช้แจ็ค 3.5 มิลลิเมตรอยู่ Apple ก็มีตัวแปลง Lightning to 3.5 mm. แถมมาให้ในกล่องของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ด้วย หรือถ้าทำหายก็สามารถซื้อสายแปลงตัวนี้ได้ในราคา 390 บาทครับ – Apple นี่มัน Apple จริง ๆ
Feature
คีย์ฟีเจอร์หลักของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ก็จะเน้นไปที่การปรับปรุงด้านฮาร์ดแวร์ ให้ทันสมัยมากขึ้น และช่วยให้ใช้งานในชีวิตจริงได้สะดวกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
ปุ่มโฮมแบบ Force Touch (Tapic Engine)
ปุ่มโฮมกับ iPhone ถือว่าเป็นของคู่กันมานาน แต่เดิมปุ่มโฮมทำหน้าที่หลายอย่าง แต่ใน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แอปเปิ้ลได้ทำการอัพเกรดปุ่มโฮมให้ล้ำเข้าไปอีกขั้น จากที่สแกนนิ้วได้อย่างเดียว ตอนนี้ปุ่มโฮม iPhone 7 จะเป็นปุ่มโฮมแบบ Force Touch แล้ว โดยใช้ Tapic Engine เหมือนกับ Force Touch TrackPad ใน Macbook ข้อดีของการใช้ปุ่มโฮมแบบนี้คือออกแรงกดน้อยลง การตอบสนองทำได้ดีมากขึ้น สามารถเลือกระดับความหนักเบา ในการกดปุ่มโฮมได้ตามที่เราต้องการ
นอกจากนี้ Tapic Engine ใน iPhone 7 ยังช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการสั่นเวลาที่เราเล่นเกม อย่างตอนเล่นเกมต่อสู้ แล้วเราโจมตีศัตรู หรือศัตรูโจมตีเรา ตัวหน้าจอ iPhone 7, iPhone 7 Plus จะสั่นเพื่อตอบสนอง อารมณ์เดียวกับเวลาเล่นเกมด้วย Controller แล้วมีการสั่นนั่นแหละครับ
กันน้ำ กันฝุ่นระดับ IP67
ความสามารถในการกันน้ำ กันฝุ่น ก็เป็นอีกฟีเจอร์หลักของ iPhone 7 และจัดเป็นไอโฟนรุ่นแรกที่สามารถกันน้ำ กันฝุ่นได้ถึงระดับ IP67 กันน้ำได้ลึก 1 เมตร นาน 30 นาที โดยที่ไม่ต้องปิดพอร์ทใด ๆ ของตัวเครื่อง สามารถนำลงน้ำได้ทันที
อย่างไรก็ตามการรับประกัน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ก็ไม่ได้ครอบคลุม หากแถบความชื้นแจ้งเปลี่ยนสี หรือง่าย ๆ ก็คือ iPhone 7 กันน้ำ แต่ไม่รับประกันถ้าตัวเครื่องพังเพราะของเหลวนะครับ ซึ่งถือเป็นเรื่องมาตรฐานของมือถือกันน้ำอยู่แล้ว โดยการกันน้ำ กันฝุ่นในโทรศัพท์มือถือ จะออกแบบมาสำหรับการป้องกันลักษณะของอุบัติเหตุ มากกว่าการจงใจเอาไปลงน้ำ
หน้าจอแบบใหม่ Retina HD Display
ถึงแม้ว่าหน้าจอของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus จะมีขนาดเท่าเดิม คือ หน้าจอขนาด 4.7 และ 5.5 นิ้วตามลำดับ ความละเอียดก็เท่าเดิมกับตอน iPhone 6s และ iPhone 6s Plus แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือหน้าจอเป็นแบบ Retina HD Display ที่มีค่าความกว้างของสีสูงมาก มีความสว่างมากกว่าเดิม 25% รองรับการใช้งาน 3D Touch มีค่าสีเป็นแบบ Wide Color Gamut คุณภาพระดับเดียวกับเกรดที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เลยทีเดียว
ส่วนความแข็งแรงของหน้าจอ iPhone 7 ทาง Apple ไม่ได้ระบุว่า iPhone 7 ใช้หน้าจอนิรภัยแบบไหน รวมถึงหน้าสเปคของ iPhone 7 เองก็ไม่ได้มีการแจ้งว่าใช้กระจกหน้าจอที่ป้องกันรอยขีดข่วน มีเพียงข้อมูลระบุว่า หน้าจอ Retina HD Display มีการเคลือบสารป้องกันรอยนิ้วมือที่หน้าจอ แต่จากประสบการณ์ใช้งานส่วนตัว หน้าจอของ iPhone มักจะเป็นกระจกนิรภัยที่ป้องกันรอยขีดข่วนหนัก ๆ ได้ดีในระดับหนึ่งอยู่แล้ว และจากการที่ได้ใช้ iPhone 6s Plus มาครบ 1 ปี แบบไม่ได้ติดกระจกกันรอย หรือฟิล์มกันรอย ก็พบว่ามีรอยขนแมวขึ้นเต็มหน้าจอเต็มไปหมด คาดว่า iPhone 7 ก็คงจะมีความแข็งแกร่งหน้าจอในแบบเดียวกันนี่ล่ะ
การติดฟิล์มกันรอย หรือกระจกกันรอยก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ซีเรียสเรื่องริ้วรอยบนหน้าจอ โดยเฉพาะพวกรอยขนแมว เพราะมันมีผลทั้งในเรื่องของจิตใจ และราคาขายต่อ iPhone 7 ในอนาคต ซึ่งตรงนี้เป็นข้อดีของ iPhone 7 และ iPhone รุ่นอื่น ๆ ในเรื่องของอุปกรณ์ ที่มีมาให้พร้อมตั้งแต่ iPhone 7 ยังไม่วางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่น กระจกและฟิล์มกันรอยโฟกัส ตอนที่เขียนรีวิว iPhone 7 อยู่ก็ได้ข่าวมาว่ามีสินค้าพร้อมวางจำหน่ายทันที เมื่อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เปิดตัวในประเทศไทย
โดยสินค้าที่โฟกัสมีก็ได้แก่ กระจกกันรอยรุ่นใหม่แบบเต็มหน้าจอลงโค้ง 3D ตรงนี้ใครที่เคยใช้ iPhone 6 หรือ iPhone 6s มาจะเข้าใจดี เนื่องจากหน้าจอของ iPhone เหล่านี้จะเป็นกระจกแบบโค้งเล็กน้อย การติดฟิล์ม หรือกระจกกันรอยทั่วไปจะไม่สามารถติดให้มันครอบคลุมหน้าจอได้ 100% แต่ถ้าเป็นกระจกกันรอยตัวใหม่ของ Focus การันตีเลยว่า ปกป้องเต็มจอถึงขอบโค้งหน้าจอแน่นอน แล้วก็มีของรุ่น iPhone 6, iPhone 6s วางจำหน่ายด้วยเช่นกัน
ติด Focus กระจกกันรอยลงโค้ง 3D แบบเต็มจอแล้ว!! สวยเนียบเฉียบทุกมุมโค้ง ทัชลื่นไม่สะดุด
ลำโพงคู่ Stereo Speaker
ฟีเจอร์สุดท้ายของ iPhone 7 ก็คือลำโพงที่เปลี่ยนมาใช้ลำโพง 2 ตัวแบบ Stereo อยู่บริเวณด้านบนหน้าจอและด้านล่างของตัวเครื่อง ให้เสียงที่ชัดเจน ดังขึ้น และรายละเอียดมาเต็มยิ่งกว่าเดิม ทำให้การรับชมภาพยนตร์ได้อรรถรสมากขึ้น หรือแม้แต่การเล่นเกม ที่แยกเสียงซ้าย – ขวาได้อย่างชัดเจน โดยลำโพงสเตอริโอจะมีทั้งใน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
Software
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 10 ตั้งแต่อยู่ในกล่อง แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็น iOS 10 ที่เสร็จสมบูรณ์ ขณะที่กำลังเขียนรีวิว iPhone 7 และรีวิว iPhone 7 Plus อยู่ ก็ยังพบว่ามีการอัพเดตซอฟท์แวร์ iOS 10 เวอร์ชันแก้บั๊กอยู่เรื่อย ๆ (ตอนนี้ก็ iOS 10.0.2) นี่ยังไม่รวม iOS 10.1 ที่กำลังจะปล่อยมาให้ใช้งานกันในเร็ว ๆ นี้อีก (หลัก ๆ ก็คือการเพิ่มโหมด Portrait ใน iPhone 7 Plus) โดยล่าสุด สถานะของ iOS 10.1 ยังเป็นตัว Beta 2 อยู่ครับ
ส่วนการใช้งาน iOS 10 ผมเชื่อว่าคนที่ใช้งาน iPhone/ iPad อยู่แล้วก็น่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะคงจะอัพเดตไปใช้ iOS 10 กันหมดแล้ว อีกทั้ง iOS 10 ก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากตัว iOS 9 เท่าไหร่ จะมีก็แค่หน้า Widget ที่ย้ายไปอยู่ทางด้านซ้าย, Control Center ที่ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย, การปลดล็อกหน้าจอแบบใหม่ ที่ต้องใช้การกดปุ่มโฮมเพื่อปลดล็อก และสามารถลบแอปพลิเคชันติดเครื่องให้ออกไปจากหน้าจอหลักได้แล้ว เอาเป็นว่าคนที่เคยใช้ iPhone อยู่แล้ว เปลี่ยนมาใช้ iPhone 7 หรือ iPhone 7 Plus แทบไม่ต้องปรับตัวอะไร ส่วนคนที่ใช้ Android แล้วเปลี่ยนมาใช้ iOS 10 ก็คงต้องปรับตัวกันหน่อย แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป ด้วยพื้นฐานของ iOS ที่มี UI ที่ใช้ง่าย และมีความเป็นมิตรกับผู้ใช้ในระดับหนึ่ง
Camera
อีกหนึ่งสิ่งที่เปลี่ยนไปใน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus และเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจ ทั้งผู้ใช้ iPhone รุ่นก่อน ๆ หรือแม้แต่คนที่ไม่เคยใช้ iPhone ก็ตาม เพราะตอน iPhone 6s และ iPhone 6s Plus นั้น Apple ได้ทำการเพิ่มความละเอียดของเซนเซอร์จาก 8 ล้านพิกเซล ไปเป็น 12 ล้านพิกเซล แต่ในการใช้งานโดยรวมกล้องของ iPhone 6s ก็ยังไม่ได้แตกต่างจาก iPhone 6 เท่าไหร่
พอมาอยู่ใน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus จึงมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์ขนาด 12 ล้านพิกเซล แต่มีค่ารูรับแสง f/1.8 ซึ่งเป็นค่ารูรับแสงที่กว้าง และทำให้ iPhone 7 ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงมีความแม่นยำในเรื่องสีสันมากขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับ iPhone 6s
ส่วนกล้องของ iPhone 7 Plus จะเป็นกล้องหลัง 2 ตัวด้วยกัน แบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน โดยกล้องหลักจะมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แบบเดียวกับในกล้องของ iPhone 7 ภาพที่ถ่ายออกมานี่แทบจะเหมือนกันเลย ส่วนกล้องตัวที่ 2 จะเป็นกล้องสำหรับซูม เลนส์เทเลโฟโต้ ระยะ 56 มิลลิเมตร ใช้สำหรับการซูมภาพ และการถ่ายรูปในโหมด Portrait หรือโหมดหน้าชัดหลังเบลอ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ iPhone 7 Plus ก็ตามนี้เลยครับ
Performance
ประสิทธิภาพของ iPhone 7 กับ iPhone 7 Plus จัดอยู่ในระดับท็อปของมือถือ ณ ช่วงเวลานี้ ตามที่มีข่าวคราวเรื่องการ Benchmark ผลทดสอบก็อยู่ในระดับที่ยังไม่มีชิปเซ็ตตัวไหนของมือถือแอนดรอยทำคะแนนได้แรงเทียบเท่า ด้วยชิปเซ็ต Apple A10 Fusion ชิปเซ็ตแบบ 4 Core ของ Apple ที่แบ่งการทำงานออกเป็น 2 Core + 2 Core เพื่อรองรับการทำงานที่แตกต่างกัน ทำให้ iPhone 7 นอกจากจะแรงแล้ว ยังประหยัดพลังงานมากกว่าเดิมอีกด้วย
แบตเตอรี่ของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในแง่ของความจุอาจจะไม่ได้มีความแตกต่างจากตอน iPhone 6s แต่ถ้าวัดกันที่ระยะเวลาในการใช้งาน เท่าที่ลองใช้เครื่องรีวิวเป็นเครื่องหลักมาเป็นเวลา 1 อาทิตย์ เมื่อเทียบกับ iPhone 6s Plus จะรู้สึกได้เลยว่า iPhone 7 Plus มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า เพราะอย่างปกติ ผมจะชาร์จมือถือวันต่อวัน ตอนใช้ iPhone 6s Plus ก็ว่าแบตเตอรี่อึดพอสมควรแล้ว เพราะสามารถใช้งานทั้งวัน ตั้งแต่ 8.00 – 21.00 น. แล้วเหลือแบตเตอรี่ประมาณ 10% (เปิดโหมดประหยัดพลังงานตั้งแต่แบตเหลือ 20%) แต่พอลองใช้ iPhone 7 Plus ในลักษณะใกล้เคียงกัน iPhone 7 Plus จะมีแบตเตอรี่เหลือประมาณ 18 – 20% เมื่อถึงเวลา 21.oo น.
ส่วนความแรงของ iPhone 7 Plus เมื่อเทียบกับ iPhone 6s Plus ส่วนตัวยังไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเท่าไหร่ แม้ว่าตามหน้าสเปคจะชัดเจนว่าชิปเซ็ต Apple A10 Fusion นั้นแรงกว่า Apple A9 ประมาณ 30% ก็ตาม แต่ในแง่ของการใช้งานจริงเมื่อเทียบกับ iPhone 6s Plus ผมก็ยังไม่รู้สึกว่ามันเร็วกว่ากันมากเท่าไหร่ ไม่เหมือนตอนอัพจาก iPhone 6 Plus มาใช้ iPhone 6s Plus อันนี้เห็นความแตกต่างแบบชัดเจนมากกว่า