สำหรับเจ้า iPad Air 2 ก็ถือเป็นการปรับปรุงจาก iPad Air รุ่นแรกทั้งในเรื่องของสเปคที่แรงขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งการปรับเปลี่ยนดีไซน์ในบางส่วนและเพิ่มเติมสียอดฮิตของพี่น้องชาวไทยอย่างสีทองเข้ามาเพิ่มอีกด้วย โดยสเปคที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นหลักๆ ก็จะอยู่ที่ตัว CPU ที่ใช้เป็นชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Apple A8X ที่แรงยิ่งกว่าใน iPhone 6 เสียอีกครับ เพราะชิปเซ็ต Apple A8X บน iPad Air 2 นั้นเป็นชิปเซ็ตแบบ Triple Core ตัวแรกของค่ายเลยทีเดียว (ปกติจะเป็น Dual Core) ส่วนสเปคอื่นๆ ก็จะประมาณนี้ครับสำหรับ iPad Air 2
สเปค iPad Air 2 Wifi
- ชิปประมวลผล Apple A8X Triple-Core ความเร็วสูงสุด 1.5 GHz
- ชิปกราฟฟิค?PowerVR GXA6850 ตัวท็อปสุดในซีรี่ส์ และ Apple ได้นำมาปรับแต่งเพิ่มเติม
- มีชิปประมวลผล M8 ช่วยจับและประมวลผลการเคลื่อนไหว
- แรม 2 GB
- หน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว Retina 264?PPI กระจกจอเคลือบสารกันสะท้อน
- มีความจุให้เลือกทั้ง 16, 64 และ 128 GB
- กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f2.2 ถ่ายวีดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p
- กล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล ถ่ายรูปได้สว่างขึ้นกว่าเดิม
- มาพร้อม iOS 8 (รองรับการอัพเดตเป็น iOS 8.1.1 และ iOS 8.2 ในอนาคต)
- แบตเตอรี่ความจุ 7340 mAh
- มาพร้อม Touch ID ที่ปุ่มโฮม
แพคเกจกล่องที่บรรจุ iPad Air 2 ก็ยังคงออกแบบมาในสไตล์คล้ายรุ่นเดิม จะมีที่แตกต่างจากเดิมก็ตรงรูปด้านหน้านี่แหละครับ โดยรูปติดกล่อง iPad Air 2 จะเน้นโชว์ความบางที่ด้านข้าง ส่วนอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องนี่ก็เหมือนเดิมเลย คือมีสาย Lightning กับอแดปเตอร์จ่ายไฟ 10W แล้วก็พวกคู่มือกับสติ๊กเกอร์รูปแอปเปิ้ลครับ
ส่วน iPad Air 2 รุ่น Wifi + Cellular หรือรุ่นที่ใส่ซิมเพื่อเล่นเน็ตได้นั้น ก็จะมีความแตกต่างจาก iPad Air 2 ที่เรารีวิวแค่เพียงช่องใส่ซิมเท่านั้นเองครับ ส่วนที่เหลือสามารถใช้อ้างอิงด้วยกันได้หมด เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงครับ อ่านรีวิว iPad Air 2 Wifi ก็ทดแทนกันได้สบายๆ
Design
ภาพรวมในส่วนของรูปร่างหน้าตา iPad Air 2 ถ้ามองผ่านๆ (และไม่นับปุ่ม Touch ID) นั้นแทบจะแยกไม่ออกระหว่าง iPad Air กับ iPad Air 2 เลยครับ แต่สิ่งที่แตกต่างในส่วนของการดีไซน์ระหว่าง iPad Air กับ iPad Air 2 จะอยู่ที่รายละเอียดปลีกย่อย เช่น ใน iPad Air 2 จะตัดปุ่มปิดเสียงด้านข้างออก แล้วเปลี่ยนมาปิดเสียงใน Control Center แทน ส่วนกล้องหลังก็มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทั้งในตัวฮาร์ดแวร์เอง และการจัดวางตำแหน่งครับ เพราะกล้องหลังของ iPad Air 2 จะใช้เป็นกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และมีตำแหน่งการวางที่ชิดมุมเครื่องมากกว่าเดิม รวมถึงขนาดตัวเครื่องโดยรวมมีความบางขึ้น และน้ำหนักเบาลงกว่าใน iPad Air รุ่นแรกอีกพอสมควร
ทีนี้ปัญหามันจะอยู่ที่การเลือกซื้อเคสมาใส่ครับ จริงอยู่ที่ iPad Air 2 มีรูปร่างต่างจาก iPad Air เพียงเล็กน้อย แต่ในเรื่องของเคสนี่จะใช้ร่วมกันไม่ได้ครับ จริงอยู่ที่เราสามารถยัดเจ้า iPad Air 2 เข้าไปในเคสของ iPad Air รุ่นแรกได้สบายๆ อาจจะมีอาการหลวมนิดหน่อย แต่ปัญหาหลักก็คือตำแหน่งของกล้องหลังที่เปลี่ยนไปนี่แหละครับ เพราะตำแหน่งของเคสที่เจาะรูไว้สำหรับกล้องหลังมันจะไม่ตรงกัน และเคสของ iPad Air รุ่นแรกก็จะบังเลนส์กล้องบางส่วนของ iPad Air 2 เพราะฉะนั้นใครที่ใช้ iPad Air รุ่นแรกอยู่แล้วอยากเปลี่ยนมาใช้ iPad Air 2 แนะนำให้ขายเครื่องเก่าพร้อมเคสไปเลยครับ
นอกเรื่องไปไกลเลย กลับมาที่รีวิว iPad Air 2 ของเรากันต่อครับ อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าดีไซน์ของ iPad Air 2 ก็ยังคงคล้ายกับ iPad Air รุ่นแรกอยู่ สำหรับผมก็ยังรู้สึกว่ามันสวยเหมือนเดิมครับ และยิ่งมีความบางกว่าเดิม รวมถึงน้ำหนักที่เบากว่าเดิม ทำให้การดีไซน์ของมันค่อนข้างใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบขึ้นไปทุกที เอาเป็นว่าแค่ได้จับก็รู้สักประทับใจแล้วสำหรับแท็บเล็ต?9.7 นิ้ว?แต่การจับถือด้วยมือข้างเดียวนี่ทำได้สบายเลย ถือนานๆ ก็ไม่ได้รู้สึกล้ามือแต่อย่างใด ต่อให้ใส่เคสที่มีฝาปิดก็ยังมีน้ำหนักในอยู่ระดับที่รับได้ ตรงนี้ต้องชมการเลือกใช้วัสดุและการออกแบบที่มีจุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างดีครับ
อยากจะได้แท็บเล็ตแรงๆ เล่นเกม
เนียนๆ น้ำหนักเบา พกพาง่ายใช่
ไหม….ก็ iPad Air 2 ไง!!
ถามว่า iPad Air 2 งอได้ไหม
ก็ต้องบอกว่างอได้
ถ้าพยายามจะงอมันอะนะ
สำหรับรายละเอียดด้านหน้าของ iPad Air 2 ออกแบบมาได้เรียบๆ เช่นเคยครับ นอกจากหน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ Retina Display ที่มีการปรับปรุงจากรุ่นเดิม ด้านหน้าก็มีเพียงแค่ปุ่มโฮมที่เป็น Touch ID กับกล้องหน้าสำหรับ Facetime รุ่นปรับปรุงใหม่ ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซลเท่านั้นเอง ส่วนพื้นที่ขอบจอก็ถือว่าแคบกว่าแท็บเล็ตทั่วไปครับ แต่ก็ยังมีพื้นที่ให้ได้จับถือตัวเครื่องสะดวกอยู่ ตรงนี้เชื่อว่าบางคนอาจจะสงสัยว่าทำไม Apple ไม่ทำให้ขอบจอมันบางกว่านี้ ก็ต้องบอกว่าพื้นที่ขอบจอสำหรับแท็บเล็ตถือว่าสำคัญนะครับ เพราะในการจับถือตัวเครื่องแท็บเล็ตเราจะใช้การจับในลักษณะที่ใช้มือข้างหนึ่งถือเครื่อง แล้วใช้มืออีกข้างในการจิ้มหน้าจอ หรือในการอ่าน E-Book บนแท็บเล็ตส่วนมากก็จะใช้มือข้างเดียวในการถืออ่าน ซึ่งการมีขอบจอจะช่วยให้จับถือตัวเครื่องแท็บเล็ตได้สะดวกยิ่งขึ้นครับ โดยที่มือเราจะได้ไม่ไปรบกวนพื้นที่หน้าจอ ไม่เหมือนอย่างมือถือที่จะทำขอบจอบางแค่ไหนก็ได้ เพราะพื้นที่ขอบจอสำหรับสมาร์ทโฟนนั้นถือว่าไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่นัก
มาถึงด้านข้างของ iPad Air 2 กันบ้างครับ กรอบด้านข้างของ iPad Air 2 จะเป็นชิ้นเดียวกับฝาหลัง อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเครื่องแบบ Unibody ที่จะใช้การขึ้นรูปด้วยโลหะเพียงชิ้นเดียว รายละเอียดด้านข้างของ iPad Air 2 เริ่มจากด้านขวามือ (หันหน้าจอเข้าหาตัว) จะประกอบไปด้วยปุ่มปรับระดับเสียง (ไม่มีปุ่มตัดเสียง) ด้านล่างจะเป็นลำโพงหลักของตัวเครื่อง ที่ดีไซน์เป็นแบบใหม่ คือออกมาเป็นรูๆ แถวเดียว กับช่องเสียบสาย Lightning ไว้สำหรับ Sync กับคอมพิวเตอร์ ส่วนปุ่ม Sleep/Wake หรือปุ่ม Power กับช่องเสียบหูฟังจะอยู่ทางด้านบนของตัวเครื่องครับ โดยขอบด้านข้างของ iPad Air 2 เหมือนจะออกแบบมาให้ทนรอยขีดข่วนมากกว่าเดิมพอสมควรครับ เพราะตอนที่รีวิว iPad Air 2 นี่ผมก็ไม่ได้ใส่เคสแต่อย่างใด เท่าที่เล่นมาประมาณ 2 สัปดาห์ก็ไม่พบว่าขอบตัวเครื่องมีรอยขนแมวนะครับ
ด้านหลังของ iPad Air 2 ก็จะคล้ายๆ กับรุ่นก่อนครับ ไม่ค่อยมีรายละเอียดอะไรมากมาย มีเพียงกล้องหลัง iSight ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล กับไมค์ตัดเสียง แล้วก็โลโก้ Apple ตรงกลางเท่านั้นเอง วัสดุก็อย่างที่บอกไปว่าใช้เป็นอลูมิเนียมชิ้นเดียวขึ้นรูปแบบ Unibody ให้สัมผัสในการจับที่ค่อนข้างดีครับ แต่ปัญหาของฝาหลัง iPad Air 2 จะอยู่ที่มันเป็นรอยได้ค่อนข้างง่าย และที่สำคัญใน iPad Air 2 เนี่ย Apple พยายามทำให้มันบางกว่าเดิม ทีนี้มันเลยมีปัญหาเวลาที่เราเปิดเสียงจากลำโพงหลักของ iPad Air 2 เพราะตัวเครื่องบริเวณลำโพงนั้นจะสั่นจนรู้สึกได้เลยหล่ะ ส่วนในเรื่องความแข็งแรง ที่ว่างอได้งอไม่ได้ ตรงนี้บอกเลยครับว่าถ้าพยายามจะงอเครื่องยังไง iPad Air 2 ก็ไม่รอดครับ งอแน่นอน 100% แต่เท่าที่ดูคลิปทดสอบ หากเป็นการงอเครื่องจากด้านหลังเหมือนจะทำได้ยากมาก เพราะตัววัสดุที่ใช้มีความยืดหยุ่นพอสมควรเลย แต่ถ้างอจากหน้าจอหล่ะก็…ไม่เหลือครับ เอาเป็นว่าถ้าไม่มันมือหยิบขึ้นมางอเล่นเนี่ย iPad Air 2 ก็ถือเป็นแท็บเล็ตที่แข็งแรงมากรุ่นหนึ่งเลยครับ งานประกอบนี่อย่างเนียน
สเปคแรง น้ำหนักเบา แบตอึด จอสวย พกพาสะดวก ยังจะอยากได้อะไรอีกไหม?
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ iPad Air 2 ที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้นั่นก็คือหน้าจอครับ หน้าจอของ iPad ตั้งแต่รุ่นที่ใช้จอ Retina เป็นต้นมา (รู้สึกจะเป็น Gen 3 The New iPad ที่ตกรุ่นเร็วๆ นั่นแหละ) จะค่อนข้างได้รับเสียงตอบรับในทางที่ดีจากยูสเซอร์อยู่เสมอ และใน iPad Air 2 นี่ก็ไม่น่าจะทำให้ผิดหวังกันครับ สำหรับจอภาพ Retina Display ขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 2048×1536 พิกเซล 264 ppi ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เรียกว่าออกแบบใหม่เลยจะดีกว่าครับ เพราะ Apple ต้องการทำให้ตัวเครื่อง iPad Air 2 มีความบางมากกว่าเดิม จึงได้เริ่มปฏิวัติตั้งแต่หน้าจอที่เป็นการรวมเลเยอร์ที่แต่เดิมมี 3 เลเยอร์เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งนอกจากจะได้จอภาพที่บางกว่าเดิมแล้ว ยังส่งผลดีต่อการแสดงผลด้วยครับ สีสันที่ได้จากหน้าจอมีความสดใสยิ่งขึ้น คอนทราสต์จัดกว่าเดิม และที่สำคัญมีการเคลือบสารกันสะท้อน โดย Apple เคลมว่าจอภาพของ iPad Air 2 เนี่ยเป็นจอภาพที่มีแสงสะท้อนน้อยที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตรุ่นอื่นๆ ซึ่งจากการใช้งานก็ต้องบอกว่าจริงอย่างที่ว่าครับ เพราะหน้าจอของ iPad Air 2 นี่ทำออกมาได้เนียนจริงๆ แสงสะท้อนที่หน้าจอมีน้อยกว่าเดิมมาก ต่อให้ใช้งานกลางแดดจัดก็ยังเร่งแสงหน้าจอสู้แดดได้สบายๆ
ภาพรวมในส่วนของการดีไซน์ iPad Air 2 ก็ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐานของ Apple ครับ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ ความบางและน้ำหนักของตัวเครื่องที่พัฒนาไปจากเดิม ทำให้การจับถือ iPad Air 2 ทำได้ค่อนข้างสะดวก ถือนานๆ ไม่ค่อยล้าเหมือนรุ่นก่อน วัสดุที่ใช้ก็จัดว่าพรีเมียมสมราคาค่าตัว และยังมีการพัฒนาขึ้นไปจากรุ่นก่อนๆ เพราะนอกจากจะบางและเบากว่าเดิมแล้ว หน้าจอก็ถือว่าอยู่ในระดับท็อปของแท็บเล็ต ณ เวลานี้ เป็นจอภาพที่มีคุณภาพดีทีเดียวครับ ไม่ว่าจะใช้ทำงาน หรือจะใช้เป็นเครื่องเอ็นเตอร์เทน เช่น เล่นเกม, อ่าน E-Book, เล่นอินเทอร์เน็ต และดูหนัง ด้วยการแสดงผลที่ให้สีสันสดใสและเป็นธรรมชาติของจอภาพ Retina Display ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่บน iPad Air 2 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การซื้อแท็บเล็ตซักเครื่องมันมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะครับ แค่การดีไซน์อาจจะไม่สามารถบอกได้ว่ามันดีพอที่เราจะจ่ายเงินซื้อหรือไม่ เพราะฉะนั้นเลื่อนลงมาดูรีวิว iPad Air 2 ในส่วนของซอฟท์แวร์ตัวระบบปฏิบัติการต่อเลยครับ
Software
สำหรับซอฟท์แวร์หรือระบบปฏิบัติการของ iPad Air 2 นั้นจะใช้เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดของ iOS อย่าง iOS 8.1.1 (แกะเครื่องออกมาจะเป็น iOS 8) และด้วยความเป็น Apple ทำให้เราสามารถการันตีได้เลยว่า iPad Air 2 จะอัพเดตเป็น iOS รุ่นใหม่ๆ ได้อีกอย่างน้อย 2 – 3 ปี เรียกว่าอัพกันยาวๆ เลยหล่ะ (แต่อัพแล้วจะลื่นไม่ลื่นนั่นอีกเรื่องนะครับ) โดยหน้าตาของตัวระบบปฏิบัติการ iOS 8.1.1 ก็จะประมาณนี้ครับ
เห็นหน้าตาแล้วก็ต้องบอกว่าไม่ได้รู้สึกแตกต่างจาก iOS 8 เท่าไหร่นัก (อันที่จริงก็ถือว่าแตกต่างจาก iOS 7 ไม่มากด้วยซ้ำ) การดีไซน์ภาพรวมและตัวไอคอนออกแบบมาในแนวเรียบๆ ส่วนในแง่ของการใช้งานนั้น ถ้าพูดเรื่องความยากง่ายในการใช้งาน ส่วนตัวผมมองว่าระบบปฏิบัติการ iOS นี่ใช้งานง่าย และเข้าใจง่ายที่สุดในบรรดาระบบปฏิบัติการมือถือแล้วครับ หลักๆ เลยก็แค่ปัด แล้วจิ้มแค่นั้นเอง อยากจะเข้าแอพไหนก็แค่จิ้มที่ไอคอน การตั้งค่าอะไรก็ไม่ได้ยุ่งยากด้วยความที่เป็นระบบปิด ส่วนไฮไลท์ของ iOS 8 อย่างพวก Handoff นี่ผมจะขอยกไปพูดในรีวิว iPad Air 2 ในส่วนของ Feature ก็แล้วกันครับ ในการรีวิว iPad Air 2 ส่วน Software จะเน้นพูดถึงภาพรวมของ iOS 8.1.1 บน iPad Air 2 มากกว่า
สำหรับความลื่นไหลและความเสถียรของ iOS 8.1.1 บน iPad Air 2 นั้นต้องบอกว่าหายห่วงครับ เพราะเจ้า iPad Air 2 เองก็เกิดมาเพื่อรองรับ iOS 8.1.1 อยู่แล้ว การเข้ากันได้ระหว่างซอฟท์แวร์กับฮาร์ดแวร์จึงค่อนข้างดีเลยหล่ะ การใช้งานอยู่ในระดับที่ลื่น – ลื่นมาก และการจัดการแรมบน iOS 8.1.1 ก็ทำได้ดีทีเดียว เพราะถึงแม้ว่า iPad Air 2 จะมาพร้อมกับ Ram 2?GB (แอนดรอยเดี๋ยวนี้ไป 3 GB กันแล้ว) แต่ไม่ว่าจะเปิดแอพไว้เยอะแค่ไหนก็ตาม มันก็ไม่เคยค้างหรือแอพเด้งให้เห็น เรียกว่าใช้กันไม่ต้องกลัวรีเซ็ตเลยหล่ะ ส่วนความเข้ากันได้กับแอพพลิเคชันนั้น ถ้าแอพพลิเคชันไหนอัพเดตตัวเองให้รองรับ iOS 8 ก็ถือว่าทำงานบน iPad Air 2 ได้ทั้งหมดครับ ไม่มีอาการหน่วง หรือแอพเด้งกวนใจแน่นอน เพราะจุดแข็งของ iOS ก็คือเรื่องความเข้ากันได้ของแอพพลิเคชันกับตัวระบบนี่แหละครับ อีกอย่างหนึ่งคือในเรื่องของจำนวนแอพที่มีให้เลือกดาวโหลดใน App Store ก็ถือว่ามีให้เลือกค่อนข้างเยอะทีเดียว
ส่วนแอพพลิเคชันจาก Apple ที่ใช้ในการจัดการเอกสารอย่าง Pages, Numbers และ Keynote เมื่ออยู่บน iOS 8.1.1 ก็ต้องบอกว่าใช้ทำงานแทนพวก Netbook ได้สบายๆ ครับ อย่างรีวิว iPad Air 2 ที่อ่านกันอยู่นี่ผมก็ใช้ Apple Wireless Keyboard เชื่อมต่อกับตัว iPad Air 2 แล้วก็พิมพ์เป็นโครงร่างด้วย Pages นี่แหละครับ เพราะเดี๋ยวนี้ Pages ออกแบบมาให้รองรับภาษาไทยค่อนข้างเต็มรูปแบบ ไม่มีอาการพิมพ์แล้วหน่วงเหมือนสมัย iOS 7 แล้ว เวลาไปนั่งทำงานนอกสถานที่นี่ถือว่าสะดวกพอสมควรเลย พกไอแพดไปพร้อมกับคีย์บอร์ด Bluetooth ก็สามารถทำงานได้ดีไม่แพ้การพกโน้ตบุ๊คเครื่องเล็กๆ เลยหล่ะ เพราะแอพพลิเคชันบน iPad ส่วนมากก็จะแสดงผลในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับบนคอมพิวเตอร์ครับ อย่างเช่น Facebook นี่เหมือนเล่นบนคอมเลย หรือแม้แต่การเข้าหน้าเว็บก็เช่นกัน โดยเฉพาะ WordPress (ที่ใช้เขียนบทความขึ้นเว็บ) เวลาแสดงผลบน iPad Air 2 นี่เหมือนใช้งานในคอมเลยครับ เดี๋ยวนี้บางบทความผมก็เขียนผ่าน iPad Air 2 นี่แหละ
Feature
สำหรับฟีเจอร์ของ iPad Air 2 ก็คงไม่พ้นเป็นฟีเจอร์ของตัวระบบปฏิบัติการ iOS 8.1.1 ครับ โดยทีเด็ดของ iOS 8.1.1 นอกจากเรื่องความลื่นไหลแล้ว Handoff นี่จัดเป็นทีเด็ดในงานเปิดตัว iOS 8 เลยหล่ะ
Handoff
Handoff ?เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ของ Apple ภายใต้ Apple ID เดียวกัน อย่างเช่นผมมี iPhone, iPad และ Mac ทั้งสามเครื่องก็จะลิ้งข้อมูลถึงกันอยู่ตลอดเวลาครับ โดยเฉพาะเวลาที่เชื่อมต่อ Wifi วงเดียวกันจะเป็นการรีดประสิทธิภาพของ Handoff ออกมาได้ดีที่สุด เพราะอุปกรณ์เหล่านี้แทบจะใช้แทนกันได้หมดเลยครับ อย่างเช่นเวลาที่มีคนโทรเข้า iPhone แต่ผมนั่งเล่น iPad Air 2 อยู่ ผมก็สามารถรับสายจากตัว iPad Air 2 ได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องเดินไปหยิบ iPhone ให้เสียเวลา รวมถึงสามารถโทรออกผ่าน iPad Air 2 ได้ด้วย (แต่ใช้เบอร์ของ iPhone) หรืออย่างกรณีที่เปิดเว็บไซต์ผ่าน Safari ไว้บน iPhone พอมาหยิบ iPad Air 2 แล้วเปิด Safari ก็จะเป็นการเรียกหน้าที่เราเปิดค้างไว้บน iPhone ขึ้นมาได้ด้วยครับ และนอกจากนี้ Handoff ยังทำงานผ่านแอพพลิเคชันอื่นๆ ได้อีก เช่น Messages, Mail, Calendar, Pages, Numbers, Keynote รวมถึงแอพพลิเคชันอื่นๆ นอกเหนือจากแอพของทาง Apple ด้วยครับ (ขึ้นอยู่กับนักพัฒนา)
Touch ID
เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ถูกเพิ่มเข้ามาบน iPad Air 2 ครับ แน่นอนว่าของดีก็ต้องต่อยอด เพราะระบบสแกนลายนิ้วมือของ Apple อย่าง Touch ID ก็ถือว่าเป็นระบบสแกนลายนิ้วมือที่ฉลาด มีความปลอดภัยสูง และที่สำคัญคือมันง่ายครับ แค่แตะนิ้วไปที่ Touch ID เท่านั้นเอง ไม่ต้องมาคอยรูดคอยเลื่อนให้เสียอารมณ์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับผมแล้ว Touch ID บน iPad Air 2 มีประโยชน์แค่การกดซื้อของบน App Store และ iTunes Store เท่านั้นเองครับ เพราะไม่ต้องเสียเวลากรอกพาสเวิร์ด Apple ID ให้วุ่นวาย ส่วนการใช้งาน Touch ID สำหรับปลดล็อกเครื่องนั้นผมคิดว่ามันยังไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าไหร่ เนื่องด้วยขนาดของ iPad Air 2 ที่ค่อนข้างใหญ่ด้วยแหละครับ ตำแหน่งมันจะดูแปลกๆ เวลาที่ใช้ Touch ID ในการปลดล็อก เพราะผมว่าใช้รหัสผ่าน 4 หลักน่าจะปลดล็อกได้สะดวกกว่านะ เว้นแต่ว่าจะเป็นคนที่ชอบใส่พาสเวิร์ดเครื่องยาวๆ อันนี้ผมว่า Touch ID ก็จะมีประโยชน์ขึ้นมาทันที ทั้งนี้ทั้งนั้น Touch ID เวลาที่เราเก็บลายนิ้วมือจะมีอายุการใช้งานที่แม่นยำประมาณ 2 – 3 เดือนเท่านั้น เนื่องจากลายนิ้วมือของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็แนะนำให้สแกนลายนิ้วมือใหม่ทุกๆ 2 เดือนก็จะช่วยให้การปลดล็อกทำได้แม่นยำขึ้นครับ
Camera
กล้องก็จัดเป็นอีกหนึ่งสิ่งใน iPad Air 2 ที่พัฒนาขึ้นจากเดิม และเป็นการใส่เซนเซอร์ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลลงไปใน iPad เป็นครั้งแรกซะด้วย โดยกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซลบน iPad Air 2 นั้นนอกจากจะโฟกัสได้ดีขึ้นแล้ว ยังลดนอยซ์บนภาพได้ดีขึ้นอีก เพื่อให้ได้คุณภาพของรูปถ่ายที่สดใสและคมชัดไม่แพ้กล้องมือถือบางรุ่นเลย
โดยโหมดต่างๆ ที่มีในกล้องของ iPad Air 2 นี่จัดว่าใกล้เคียงกับใน iPhone มากครับ ไม่ว่าจะเป็น
- โหมดปกติ
- Time Lapse
- Video
- Slo-Mo
- Panorama
ฟีเจอร์อื่นๆ ในกล้องของ iPad Air 2 ก็ทำได้ไม่น้อยหน้ากล้องไอโฟนเช่นกันครับ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพต่อเนื่อง (Burst Shot) การควบคุมค่าแสง (ปรับ f-stop) ส่วนการใช้งานกล้อง iPad Air 2 นั้นทำได้ง่ายมากครับ แค่กดเข้าแอพกล้อง เลือกจุดโฟกัส แล้วก็กดถ่ายเท่านั้นเอง เป็นความง่ายที่ไม่น่าจะมีกล้องอะไรทำได้ง่ายกว่านี้อีกแล้วหล่ะครับ เรียกว่าตัวซอฟท์แวร์กล้องเป็นมิตรกับผู้ใช้แบบสุดๆ การถ่ายรูปบน iPad Air 2 ให้สวยเนี่ยแค่จัดองค์ประกอบภาพเป็นก็เพียงพอแล้วครับ และสำหรับการถ่ายรูปในเวลากลางคืนด้วย iPad Air 2 ก็พบว่า Apple ไม่ได้โม้ไว้เกินจริง จากที่เราลองนำเครื่องรีวิว iPad Air 2 ไปถ่ายรูปตอนกลางคืนที่มีแสงน้อยดู พบนอยซ์ในรูปน้อยมากครับ น้อยจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือกล้องจากแท็บเล็ต
ส่วนกล้องหน้าของ iPad Air 2 ที่แต่เดิมตั้งใจเอาไว้สำหรับ Facetime ก็อาจจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะจะเอามาใช้ถ่ายรูปเซลฟี่ก็ยังไหว ถึงจะมีความละเอียดแค่เพียง 1.2 ล้านพิกเซลก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นครับ เพราะคุณภาพของรูปถ่ายจากกล้องหน้าของ iPad Air 2 ส่วนตัวผมว่ามันตีกล้องหน้ามือถือที่ความละเอียดเยอะกว่าได้สบายๆ เอาเป็นว่ากล้องหน้าของ iPad Air 2 นี่แสดงให้เห็นเลยว่าพิกเซลไม่ใช่ทุกสิ่งจริงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ข้อด้อยสำหรับกล้องหน้า iPad Air 2 อยู่ที่มุมมองภาพเป็นมุมมองแบบปกติครับ ไม่ได้เป็นเลนส์ Wide หรือเลนส์มุมกว้างอย่างที่นิยมใช้ในมือถือรุ่นใหม่ๆ กัน
สำหรับตัวอย่างรูปถ่ายจากกล้องของ iPad Air 2 สามารถรับชมได้จาก Gallery เลยครับ
Performance
ประสิทธิภาพของ iPad Air 2 นี่ต้องพูดกันถึง 2 ส่วนครับ เพราะเบื้องหลังความลื่น, ความแรงและกราฟฟิคอันสุดยอดนั้นมาจากแหล่งพลังงานหลักๆ 2 แห่ง ได้แก่ตัวฮาร์ดแวร์ กับซอฟท์แวร์ โดยในฮาร์ดแวร์นั้น Apple เลือกใช้ชิปเซ็ต Apple A8X ที่เป็นชิปเซ็ตแบบ 64 Bit รุ่นที่สองของแอปเปิ้ล แต่ทีเด็ดของ Apple A8X นั้นไม่ได้มีแค่สัญญาณนาฬิกาที่แรงกว่าชิปเซ็ต Apple A8 นะครับ แต่ชิปเซ็ต Apple A8X บน iPad Air 2 นั้นเป็น CPU แบบ Triple Core (3 Core) ถ้าวัดกันแค่ที่ผล Benchmark ก็ต้องบอกว่ามันแรงกว่าชิป Apple A8 บน iPhone 6 พอสมควร และอีกส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ iPad Air 2 ทำงานได้ลื่นไหล รวมถึงแสดงผลกราฟฟิคออกมาได้สวยงาม สมจริงมากขึ้นต้องยกความดีความชอบให้กับตัวระบบปฏิบัติการ iOS 8 ครับ เพราะใน iOS 8 นั้นมีการปรับเปลี่ยน API ใหม่ ที่เรารู้จักกันในชื่อ Metal โดยไอ้เจ้า Metal เนี่ยจะช่วยให้นักพัฒนาสามารถรีดประสิทธิภาพของชิปกราฟฟิคใน Apple A8X ออกมาให้ได้มากที่สุด
ส่วนเรื่องของแบตเตอรี่นั้น ถึง iPhone จะเป็นมือถือที่มีแบตเตอรี่สุดเห่ย ใช้งานได้ไม่ค่อยจะพ้นวัน แต่ในการทำ iPad ของ Apple นี่มีจุดเด่นในเรื่องของแบตเตอรี่นะครับ โดยตามสเปคแล้ว iPad Air 2 สามารถใช้งานได้นานสูงสุดที่ 10 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งมาจากชิปร่วม M8 ที่แอบอยู่ใน Apple A8X ที่คอยช่วยในการประมวลผลเล็กๆ ได้แก่ บารอมิเตอร์, ไจโรสโคป, อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว, GPS และเข็มทิศ โดยในการประมวลผลเซ็นเซอร์ทั้ง 5 นี้จะใช้ชิป M8 ในการประมวลผลทั้งหมด เพื่อเลี่ยงการเสียพลังงานมากเกินจำเป็นจากชิป Apple A8X ผลก็คือทำให้ iPad Air 2 มีอายุการใช้งานต่อครั้งที่ค่อนข้างนาน อย่างผมใช้ iPad Air 2 นี่วันนึงชาร์จตอนก่อนนอนก็เพียงพอสำหรับ 1 วันแล้วครับ กลับถึงบ้านสี่ทุ่มยังมีแบตเตอรี่เหลือใช้สบายๆ ทำไมไม่ทำไอโฟนให้แบตอึดๆ แบบนี้บ้างนะ!!!
Overall
เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับรีวิว iPad Air 2 สุดยอดแท็บเล็ตจาก Apple ที่มารอบนี้ค่อนข้างครบถ้วนทั้งฮาร์ดแวร์และฟีเจอร์ มีการปรับปรุงสเปคจากรุ่นก่อนหน้านี้พอสมควร อะไรที่เคยอยากให้มีใน iPad Air ก็จัดให้มีทั้งหมดใน iPad Air 2 ไม่ว่าจะเป็น Touch ID และกล้องที่มีความละเอียดของเซ็นเซอร์มากขึ้นกว่าเดิมเป็น 8 ล้านพิกเซล และยังคงความเป็น iPad ด้วยแอพพลิเคชันที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ส่วนการดีไซน์ก็ยังถือว่าสวยงามตามมาตรฐานของ Apple และยังได้ในเรื่องของความบางที่บางกว่าเดิม และน้ำหนักที่ยังเบากว่าตอน iPad Air รุ่นแรกอีกต่างหาก เอาเป็นว่าถ้าอยากได้แท็บเล็ตแรงๆ ดีไซน์สวยงามที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและการเอ็นเตอร์เทน iPad Air 2 คือคำตอบเลยครับ
ข้อดี
- ดีไซน์ออกแบบมาได้ดีเช่นเคย ตัวเครื่องบาง น้ำหนักเบา ถือนานๆ ไม่ค่อยล้า
- เป็นแท็บเล็ตที่หน้าจอสวยมาก แสงสะท้อนก็น้อย ใช้งานกลางแดดได้สบาย
- มาพร้อมกับ Touch ID ช่วยให้ชีวิตสะดวกขึ้นเยอะ
- กล้องหลังพัฒนาขึ้นไปจากรุ่นก่อนค่อนข้างมาก จับโฟกัสไว ถ่ายง่าย
- แบตเตอรี่อึดสำหรับแท็บเล็ต
- ถ้าใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ของ Apple จะเป็นอะไรที่สะดวกมากๆ ด้วยฟีเจอร์ Handoff
ข้อสังเกต
- ฝาหลังค่อนข้างบาง ทำให้เวลาเปิดเสียงลำโพงจะรู้สึกเลยว่าฝาหลังสั่น
- ไม่สามารถใช้งานร่วมกับเคส iPad Air รุ่นแรกได้ เนื่องจากช่องของกล้องไม่ตรงกัน