เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPhone XS และ iPhone XS Max เจเนอเรชันใหม่ของ iPhone X ที่อัพเกรดสเปคขึ้นไปให้ดีขึ้น มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นในรุ่น XS Max ที่ 6.5 นิ้ว และสีใหม่อย่างสีทอง ที่ออกมาตามข่าวลือเป๊ะ ๆ เช่นกัน
ราคา iPhone XS ในประเทศไทย
ตอนนี้ราคา iPhone XS, XS Max ยังเป็นราคากลางของที่ USA อยู่ โดยราคาที่ระบุในงานเปิดตัว เป็นเพียงราคาเริ่มต้นเท่านั้น สำหรับ iPhone XS ราคาเริ่มต้นที่ $999 (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 33,000 บาท) ส่วน iPhone XS Max ราคาเริ่มต้น $1099 หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 36,000 บาท
ราคา iPhone XS ในไทย เครื่องเปล่า จาก Apple Store
ราคา iPhone XS เครื่องศูนย์ Apple Store (เครื่องเปล่าเท่านั้น)
*หมายเหตุ เป็นราคาโดยประมาณ
- รุ่นเริ่มต้น iPhone XS ความจุ 64 GB ราคา 32,900 บาท
- iPhone XS 256 GB ราคา 36,900 บาท
- iPhone XS 512 GB ราคา 42,900 บาท
ราคา iPhone XS เครื่องศูนย์ Apple Store (เครื่องเปล่าเท่านั้น)
*หมายเหตุ เป็นราคาโดยประมาณ
- รุ่นเริ่มต้น iPhone XS Max ความจุ 64 GB ราคา 35,900 บาท
- iPhone XS Max 256 GB ราคา 42,900 บาท
- iPhone XS Max 512 GB ราคา 46,900 บาท
ราคา iPhone XS, iPhone XS Max เครื่องหิ้วที่ MBK มาบุญครอง
- รออัพเดตราคาหลังวางจำหน่ายใน Tier 1 แต่คาดว่าราคาน่าจะถูกเพิ่มเป็นเกือบ 2 เท่าในเครื่องหิ้วล็อตแรก ๆ
iPhone XS, iPhone XS Max วางขายเมื่อไหร่ ที่ไหนบ้าง (เครื่องศูนย์ไทย)
สำหรับวันวางจำหน่าย iPhone XS และ XS Max จะเริ่มวางจำหน่ายในกลุ่มประเทศแรกในวันที่ 21 กันยายน 2018 หากใครต้องการซื้อก่อน ใช้ก่อน แนะนำที่ประเทศสิงคโปร์เลยครับ ใกล้บ้านเราสุด ตั๋วไม่แพงมากเท่าไหร่
ส่วนไทยน่าจะตกไปอยู่ในกลุ่มประเทศ Tier 3 เนื่องจากไม่มีชื่อในกลุ่มประเทศ 2 ที่จะวางจำหน่ายในวันที่ 28 กันยายน ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า บ้านเราอาจจะได้ซื้อ iPhone XS, XS Max กันในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2018 เลยก็เป็นได้
ด้านสถานที่วางจำหน่าย iPhone XS และ iPhone XS Max ก็ตามเดิมเลย ได้แก่ ช่องทาง Apple Online Store , iStudio และช่องทางหลักอย่างโอเปอร์เรเตอร์ AIS, TrueMove H, dtac (เครื่องพร้อมโปรมาแน่) รวมถึงร้านค้าตัวแทนจำหน่ายอื่น ๆ เช่น Powerbuy, BananaStore
หน้าตา iPhone XS, iPhone XS Max
ทั้งสองรุ่นถือเป็นรุ่นต่อยอดจาก iPhone X เพราะฉะนั้น หน้าตาจึงออกมาในรูปแบบของ iPhone X 2017 ที่มีการเพิ่มสีใหม่เข้ามา ได้แก่ สีทอง และก็ยังคงสีเดิมอย่าง สีเงิน และสีดำไว้เช่นเคย
ความเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นมาอย่างชัดเจนที่สุด คงอยู่ที่ iPhone XS Max ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้น เรียกว่าเป็น iPhone ที่หน้าจอใหญ่สุดเท่าที่ Apple เคยผลิตมา คือมีหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Super Retina และเป็นหน้าจอแบบ 120 Hz แบบ iPad Pro ซะด้วย
สเปค iPhone XS, iPhone XS Max
- หน้าจอ OLED HDR 2 ขนาด ได้แก่ 5.8 นิ้ว (458ppi) และ 6.5 นิ้ว (458ppi) ความละเอียด Super Retina displays
- สี: Gold, Silver และ Space Grey
- กล้องหลัง: Dual camera 12 ล้านพิกเซล เลนส์ wide และ เลนส์ซูม telephoto
- กล้องหน้า: 7 ล้านพิกเซล รองรับ portrait mode
- ชิปประมวลผล A12 Bionic chip, 7nm (nanometer) เปิดแอปเร็วขึ้น 30%
- ความจุ: 64GB, 128GB, 512GB
- กันน้ำกันฝุ่น IP68
- แบตเตอรี่: iPhone XS ใช้งานได้นานกว่าเดิม 30 นาทีเมื่อเทียบกับ iPhone X ส่วน iPhone XS Max ใช้งานนานกว่าเดิม 1.5 ชั่วโมง เมื่อเทียบ iPhone X
- รองรับ 2 ซิม และรองรับ e-SIM technology
- ปลดล็อกด้วยบ Face ID
- มี 3D Touch
- ลำโพง Stereo
- ระบบปฏิบัติการ iOS 12
- ราคาเริ่มต้น ประมาณ 32,900 บาท สำหรับ 64GB iPhone XS
หน้าจอ iPhone XS, iPhone XS Max
หน้าจอของ iPhone ทั้งสองรุ่น ใช้พาแนลแบบ OLED เหมือนอย่าง iPhone X 2017 โดยความละเอียดอยู่ในระดับ Super Retina 458 ppi แต่จะมีขนาดของหน้าจอที่แตกต่างกัน โดย iPhone XS หน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว (เท่ากับ iPhone X 2017) ส่วน iPhone XS Max หน้าจอใหญ่ถึง 6.5 นิ้ว
ความพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาในหน้าจอ iPhone XS, XS Max คือเป็นหน้าจอ 120 Hz แบบเดียวกับใน iPad Pro และแน่นอนว่าฟีเจอร์เดิม ๆ เช่น True-Tone, ขอบเขตสีกว้างก็ยังคงมีอยู่
การที่มาพร้อมหน้าจอแบบ 120 Hz ทำให้ประสบการณ์ใช้งานดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ (เทียบกับจอ iPad Pro ที่ผมใช้ประจำ) การสัมผัสหน้าจอ รวมถึงการใช้งานจะลื่นไหลกว่าจอแบบเดิม ๆ การตอบสนองทำได้ดีกว่า และถ้าในอนาคตมีเกมที่รองรับ การเล่นเกมบน iPhone XS จะดีไม่แพ้คอมพิวเตอร์เลยล่ะ
แบตเตอรี่ iPhone XS, XS Max
มาต่อกันที่แบตเตอรี่ ตามสไตล์ของ Apple ที่ไม่เคยระบุว่าแบตเตอรี่ของ iPhone มีความจุเท่าไหร่ ส่วนมากที่รู้กันจะมาจากการแกะเครื่อง แต่ Apple จะบอกแค่ว่า iPhone XS, XS Max ใช้งานได้นานขึ้นเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับ iPhone รุ่นเก่าอย่าง iPhone X 2017
- iPhone XS ใช้งานได้นานกว่าเดิม 30 นาที
- iPhone XS Max ใช้งานได้นานกว่าเดิม 1.5 ชั่วโมง
*เมื่อเทียบกับ iPhone X
กล้องหลัง iPhone XS, XS Max, กล้องหน้า iPhone XS, XS Max
อีกหนึ่งสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปใน iPhone XS และ XS Max ก็คือกล้อง ที่มีการใช้เซ็นเซอร์รุ่นใหม่ แต่ยังคงมีสเปคของรูรับแสง, ขนาดพิกเซลคล้าย ๆ เดิม โดยกล้องหลัง iPhone XS, XS Max เป็นกล้องคู่ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แบ่งเป็นเลนส์มุมกว้าง และเลนส์ซูม 2 เท่า พร้อมแฟลช True-Tone รุ่นอัพเกรด
- เลนส์มุมกว้าง: ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล 1.4 ไมครอน, f/1.8, 6 ชิ้นเลนส์ มี OIS
- เลนส์ซูม: ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.4, 6 ชิ้นเลนส์ มี OIS
แม้สเปคจะคล้ายเดิม แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือกระบวนการถ่ายภาพ มีการใช้ Nerual Engine และ ISP ตัวใหม่เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพ มีฟีเจอร์ Smart HDR และการรวมภาพที่ซับซ้อนกว่าเดิม
การทำงานของ Smart HDR เมื่อเทียบกับ HDR ที่เป็นเพียงการถ่ายภาพซ้อนแบบคร่อมแสง โดย Smart HDR จะทำการเพิ่มรายละเอียดของแสงเงาเข้าไป เพื่อให้ได้รายละเอียดที่ดีขึ้น และแน่นอนว่าเป็น Zero Shutter Lag ด้วยครับ
ภาพด้านบนเป็นตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง iPhone XS จะเห็นว่าเส้นผมของนางแบบที่พริ้ว ๆ ก็สามารถแยกออกจากฉากหลังได้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ถ้าเป็นปกติที่ไม่ได้ใช้ Nerual Engine กับ ISP ใหม่ คงไม่สามารถแยกผมได้เนียนแบบนี้แน่นอน
อีกฟีเจอร์ก็คือการปรับแต่งโบเก้หลังถ่ายภาพ โดย iPhone XS สามารถทำได้เช่นเดียวกับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์เป็นที่เรียบร้อย ปรับแต่งโบเก้ได้ตามความเบลอตั้งแต่ f/1.4 ไปจนถึง f/16 ชัดทั้งภาพ
ภาพนี้คือ f/1.4 ฉากหลังละลาย
ถ้าปรับเป็น f/16 ก็จะชัดทั้งภาพ
กล้องหน้า iPhone XS, XS Max มีความละเอียด 7 ล้านพิกเซล f/2.2 และระบุในงานเปิดตัวว่าเป็นเซ็นเซอร์ที่ทำงานได้เร็วกว่าเดิม
นอกจาก Apple จะเปิดตัว iPhone XS, iPhone XS Max แล้ว ในงานเปิดตัวดังกล่าว ยังมี iPhone อีกรุ่นที่เปิดตัวด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ iPhone XR โดยเพื่อน ๆ สามารถกดเข้าไปรับชมรายละเอียดแบบเต็ม ๆ รวมถึง ราคา iPhone XR ได้จากลิ้งก์ด้านล่างเลย
ราคา iPhone XR พร้อมสเปค หลังวันเปิดตัว อัพเดตล่าสุด