เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ไปแล้วเมื่อช่วงเช้ามืดของวันนี้ สำหรับ Samsung Galaxy Note 10 Series ที่รอบนี้ไม่ได้มาแค่รุ่นเดียว แต่มีการแตกรุ่นออกมาเป็น Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ โดยในบทความนี้ผมมีโอกาสได้ลองเล่นตัวเครื่องแบบคร่าว ๆ เลยมาเขียนเป็นบทความ Hands-on ให้ทุกท่านได้อ่านกัน เน้นที่รูปลักษณ์ภายนอกเป็นหลักก่อนนะครับ ส่วนพวกฟีเจอร์ การใช้งานต่าง ๆ เอาไว้อ่านกันให้จุใจใน Full Review อีกทีเนอะ
Galaxy Note 10 Series ทำไมต้องมี 2 รุ่น?
ตามปกติของ Galaxy Note จะเปิดตัวแค่รุ่นเดียวเท่านั้น อย่างมากก็มีรุ่นความจุเริ่มต้น กับรุ่นที่มีความจุสูง แต่สำหรับ Note 10 รอบนี้มีทั้ง Galaxy Note 10 เฉย ๆ และ Galaxy Note 10+ มาถึงตรงนี้ชื่อว่ามีหลายคนสงสัย ว่าทำไมต้องทำมา 2 รุ่น โดยทาง Samsung ก็ได้ให้เหตุผลไว้น่าสนใจทีเดียวครับ
Galaxy Note 10+ คือ Real Galaxy Note ส่วน Galaxy Note 10 เป็น Galaxy Note สำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากทาง Samsung ได้มีการสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภค ว่าทำไมถึงยังไม่เลือกซื้อ Galaxy Note มาใช้งาน คำตอบที่ได้ก็คือมันมีขนาดเครื่องที่ใหญ่จนเกินไป ผู้ใช้หลายคนอยากได้ฟีเจอร์แบบ Galaxy Note มีปากกา S Pen แต่ไม่ถนัดที่จะต้องถือสมาร์ทโฟนเครื่องใหญ่ เพราะฉะนั้น Galaxy Note 10 เฉย ๆ คือคำตอบครับ
ส่วนแฟนคลับ Galaxy Note หรือถนัดใช้มือถือจอใหญ่ ๆ ให้มองไปที่ Galaxy Note 10+ ได้เลย รุ่นนี้ให้ขนาดตัวเครื่อง มิติตัวเครื่องโดยรวม ขนาดหน้าจอที่จะต้องถูกใจแฟน ๆ Galaxy Note อย่างแน่นอน และนอกจากขนาดตัวเครื่องจะใหญ่กว่าแล้ว ยังมีสเปคที่สูงกว่า Note 10 เฉย ๆ อีกด้วย เช่น การมีกล้อง ToF, อัลกอริธึมการชาร์จที่เร็วกว่า, Ram + ROM มากกว่า เป็นต้น
Hands-on จับเครื่องจริง Samsung Galaxy Note 10+
เริ่มกันที่ตัวท็อป และน่าจะถูกใจแฟน ๆ Galaxy Note เป็นอย่างมาก สำหรับ Samsung Galaxy Note 10+ ที่มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.8 นิ้ว WQHD+ ความน่าสนใจอยู่ที่ แม้ขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นกว่า Galaxy Note 9 แต่ขนาดตัวเครื่องโดยรวมของ Note 10+ กลับมีความใกล้เคียงกันมาก แถมยังเบาและบางกว่าเดิมอีกด้วย
สาเหตุที่ทำให้ Galaxy Note 10+ บางกว่ารุ่นก่อนหน้า เป็นผลมาจากการตัดพอร์ตหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรออกไปครับ ไม่เพียงแค่นั้น การตัดพอร์ต 3.5 มม. ยังทำได้แบตเตอรี่มีความจุเพิ่มขึ้น 100 mAh ในขณะที่ยังใส่ S Pen ไว้ในตัวเครื่องได้เหมือนเดิม ส่วนหูฟังในกล่อง จะแถมเป็นพอร์ต USB-C ที่ปรับจูนโดย AKG เหมือนเดิมครับ และยังมีการปรับปรุง Hapic Feedback ให้ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้นด้วย
ดีไซน์ของ Samsung Galaxy Note 10+ ออกแบบโดยอิงกับหลัก Symmetric Design หรือดีไซน์ที่เน้นความสมมาตร ด้านหน้าจะสังเกตได้จากหน้าจอแบบ Cinematic Infinity Display ที่ยังคงเจาะรูไว้เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนตำแหน่งของกล้องหน้าไว้ตรงกึ่งกลางแทน โดยทาง Samsung ให้เหตุผลว่ามันกวนสายตาน้อยกว่า แล้วก็ทำให้การเซลฟี่ง่ายขึ้น เพราะอย่างตอน Galaxy S10 Series ตำแหน่งกล้องที่เยื้องไปทางด้านขวา ทำให้เวลาเซลฟี่สำหรับบางคนเป็นเรื่องยาก เนื่องจากหาจุดที่จะโฟกัสไม่เจอนั่นเอง
หน้าจอของ Samsung Galaxy Note 10+ ก็ยังคงสุดยอดเหมือนเคยครับ ด้วยหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED ที่รองรับ HDR 10+ มีความผิดเพี้ยนในการแสดงผลน้อยมาก และที่สำคัญคือมีความสว่างหน้าจอสูงถึง 1,200 nits ต่อให้เป็นแดดตอนเที่ยงวันของประเทศไทย หน้าจอ Galaxy Note 10 และ Note 10+ ก็สู้ได้สบาย ๆ
อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงใน Galaxy Note 10+ ก็คือการตัดปุ่ม Bixby ออกไปเป็นที่เรียบร้อย เชื่อว่าแฟน ๆ หลายคนถูกใจสิ่งนี้ ทำให้ปุ่มกดของ Note 10+ เหลือเพียงแค่ปุ่ม Power กับปุ่มปรับระดับเสียง อย่างไรก็ตาม การเรียกใช้งาน Bixby ยังคงทำได้อยู่เหมือนเดิมครับ เพียงแต่เปลี่ยนเป็นวิธีการกดปุ่มแบบ Combination แทน
รายละเอียดด้านล่างของ Samsung Galaxy Note 10+ ประกอบไปด้วยพอร์ตแบบ USB-C ที่รองรับการชาร์จไวสูงสุด 45W (ซื้ออะแดปเตอร์แยก) ส่วนอะแดปเตอร์ที่แถมมาเป็น Superfast Charge 25W ข้าง ๆ พอร์ต USB-C เป็นลำโพงหลักของตัวเครื่อง รุ่นนี้ยังคงเป็นลำโพงแบบสเตอริโอ และมีช่องใส่ S Pen อยู่ในตำแหน่งเดิมที่คุ้นเคยกันดี
ปากกา S Pen รอบนี้ก็เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ มากมาย โดยเฉพาะทีเด็ดอย่าง Air Gesture สะบัดปากกาแทนการสัมผัสหน้าจอ อย่างในโหมดกล้องก็จะสามารถสลับกล้อง ซูมเข้าออกได้ เนื่องจากในปากกามีการใส่ Gyroscope 6 แกนไว้ข้างใน ที่สำคัญคือ Air Gesture นั้นสามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่น ๆ ได้อีกด้วย
ด้านบนของ Galaxy Note 10+ เป็นถาดใส่ซิมการ์ดที่มีความพิเศษกว่า Note 10 เนื่องจากรุ่นนี้จะเป็นถาดซิมแบบ Hybrid Slot จึงรองรับการเพิ่ม microSD Card สูงสุดที่ 2 TB เมื่อรวมกับความจุในตัวเครื่องที่สูงสุด 512 GB จึงทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้เหมาะกับการทำงานเป็นอย่างมาก ส่วนถาดซิมของ Galaxy Note 10 จะไม่รองรับการเพิ่ม microSD Card ครับ แต่ใช้งาน 2 ซิมได้เหมือนกัน
กล้องหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ แทบจะเป็นฮาร์ดแวร์ชุดเดียวกับใน Galaxy S10+ ด้วยซ้ำ ประกอบไปด้วย
- กล้องหลัก 12 MP f/1.5 – f/2.4
- กล้องเลนส์มุมกว้าง 16 MP f/2.2
- Telephoto 12 MP f/2.1
สิ่งที่เพิ่มเติมจากตอน Galaxy S10+ รวมถึงที่เพิ่มเติมจาก Galaxy Note 10 ก็คือกล้องหลังตัวที่ 4 มีชื่อว่า DepthVision หรือกล้อง ToF สำหรับวัดระยะ ช่วยให้การถ่ายภาพ Live Focus เนียนขึ้น และสามารถใช้งานในโหมดอื่น ๆ เช่น วัดระยะ หรือถ่าย 3D Photo
โหมดกล้องที่น่าสนใจใน Galaxy Note 10+ ได้แก่ การถ่ายกลางคืนที่รองรับทั้งกล้องหน้ากลเองหลัง, 3x Audio Zoom, Super Steady ที่รองรับ Optical Zoom, Live Focus Video รวมถึงความสามารถในการตัดต่อวีดีโอในตัว ไม่จำเป็นต้องโหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติม หรือถ้าอยากโหลดเพิ่มเติม Adobe Rush บน Galaxy Store จะเป็นเวอรชันพิเศษที่ปรับแต่งมาสำหรับ Galaxy Note 10 โดยเฉพาะ
ปิดท้ายด้วยอุปกรณ์เสริมของ Galaxy Note 10+ ครับ รุ่นนี้ราคาเริ่มต้น 37,900 บาท ในรุ่น 256 GB ส่วนรุ่น 512 GB จะมีราคาอยู่ที่ 40,900 บาท อย่างไรก็ตามในโปรโมชันพรีออเดอร์ หากจอง Note 10+ ตอนนี้จะได้สิทธิ์ในการอัพเกรดความจุ จ่าย 37,900 บาท ได้รุ่น 512 GB ไปเลย หรือจะเลือกรับเป็น Galaxy Buds มูลค่า 4,990 บาทก็ได้เช่นกัน
Official Case ของ Galaxy Note 10+ มีมาโชว์ในงานอยู่ 4 แบบ ส่วนตัวผมถูกใจเคสฝาพับแหะ ดูมีลูกเล่นดี
Hands-on จับเครื่องจริง Samsung Galaxy Note 10
พูดถึงรุ่นใหญ่ไปแล้ว มาต่อกันที่รุ่นเล็ก หรือรุ่นเริ่มต้นอย่าง Galaxy Note 10 ที่เปิดราคา 32,900 บาท รุ่นนี้อย่างที่ผมได้เกริ่นไปแล้วว่ามันออกแบบมาสำหรับคนที่อยากใช้ S Pen แต่ไม่อยากใช้สมาร์ทโฟนเครื่องใหญ่ จะว่าไปนี่ก็ถือเป็น Galaxy Note จอเล็กที่สุดในรอบหลายปีก็ว่าได้ครับ
ส่วนตัวผมสัมผัส Galaxy Note 10 ครั้งแรก แทบจะไม่รู้สึกถึงความเป็น Galaxy Note เลยครับ ด้วยขนาดที่เล็ก กะทัดรัด น้ำหนักเบา การจับถือกลายเป็นสะดวกและคล่องตัวมากไปเลย ส่วนตัวมองว่าให้อารมณ์คล้ายการถือ Galaxy S10 แล้วเทียบกับ S10+
รายละเอียดต่าง ๆ ของ Galaxy Note 10 มีความแตกต่างจาก Galaxy Note 10+ น้อยมากครับ ภายนอกที่มองเห็นชัดเจนก็คือ หน้าจอที่มีขนาดเล็กกว่า ตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กกว่า แล้วก็กล้องหลังที่ไม่มี DepthVision หรือ ToF ส่วนที่เหลือมันคือ Note 10+ โดนย่อส่วนชัด ๆ
ความต่างภายนอกอีกอย่างก็คือสีสันตัวเครื่อง Note 10 จะวางจำหน่ายในไทยด้วยกัน 3 สี ได้แก่ Aura Glow, Aura Black และ Aura Pink ส่วน Galaxy Note 10+ นั้นไม่มีสี Aura Pink แต่จะเป็นสี Aura White แทน
สเปคด้านอื่น ๆ ที่น่าสนใจของ Samsung Galaxy Note 10 Series ได้แก่ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Ultrasonic ที่ขยับตำแหน่งให้สแกนได้ง่ายขึ้นกว่าตอน S10 Series แล้วก็มีเรื่องของ Game Launcher ที่สามารถใช้งานห้องแชท Discord ไปพร้อม ๆ กันการเล่นเกม รวมถึงมีบางเกมที่เป็น Partnership กับทาง Samsung เช่น Call of Duty Mobile, Harry Potter และ Candy Crush เป็นต้น
ข้อมูลการจองล่วงหน้า สามารถทำได้แล้ววันนี้ เริ่มต้นเพียง 15,900 บาท พร้อมรับสิทธิ์ประกันจอแตกนาน 1 ปี เมื่อจองผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย (AIS, TrueMove H, dtac) และสามารถเลือกเพิ่มความจุเป็น 512GB เมื่อจอง Galaxy Note 10+ รุ่นความจุ 256GB หรือเลือกรับหูฟังไร้สาย Galaxy Buds มูลค่า 4,990 บาทฟรีเมื่อจอง Galaxy Note 10
พิเศษ!! เมื่อจอง Galaxy Note 10 Series ทุกรุ่นรับสิทธิ์ประกันจอแตกนาน 1 ปี เมื่อจองผ่านซัมซุงแบรนด์ช็อป เว็ปไซต์ Samsung.com และร้านค้าที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2562 เท่านั้น