เปรียบเทียบ iPad ทุกรุ่นที่วางขายตอนนี้ในปี 2022 รุ่นไหนเหมาะกับใคร เลือกซื้อยังไงให้ตรงกับการใช้งาน?
หลังจากที่ได้มีการเปิดตัว iPad รุ่นใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการอย่าง iPad Pro M2 และ iPad 10 รุ่นใหม่ไปไม่นาน ทำให้รุ่นเก่าก่อนหน้านี้ก็ได้ถูกปลดออกจาก Apple Store ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมรุ่นก่อนหน้าที่เป็นรุ่นเก่าก็มีราคาเพิ่มขึ้นมาด้วย และหาซื้อยากในบางรุ่นด้วย จะหาซื้อได้ในตอนนี้ก็จะหาได้จากค่ายต่างๆ หรือว่าร้านค้าตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น โดยรุ่นใหม่ล่าสุดที่ออกมานี้ ก็ทำออกมาได้ดีมากทั้งความเร็ว และสเปคต่างๆ ที่มาแรงเหนือใคร พร้อมดีไซน์ใหม่ของ iPad 10 แต่ทั้งนี้รุ่นอื่นๆ อย่าง iPad 9, iPad Air 5 หรือ iPad mini นั้นก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากัน เพียงแต่ว่าแต่ละรุ่นก็จะมีความเหมาะสม และหน้าที่ในการใช้งานที่ต่างกันออกไปด้วย สำหรับใครที่อยากจะหาแท็บเล็ตอย่าง iPad มาใช้งานสักเครื่อง แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกรุ่นไหนดี ที่เหมาะกับการใช้งานของตัวเองมากที่สุด และจะเลือกซื้อยังไงดี วันนี้ทาง Specphone เลยจะมาเปรียบเทียบ iPad ทุกรุ่นที่ยังมีการวางขายอยู่ในตอนนี้ปี 2022 ว่ารุ่นไหนเหมาะกับการใช้งานแบบไหน เหมาะกับใครบ้างในแต่ละรุ่น และควรเลือกซื้ออย่างไรดีให้ตรงกับการใช้งานของตัวเองมากที่สุด โดยรุ่นที่ยังมีการวางขายทั้งหมดในตอนนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 6 รุ่น แต่ละรุ่นจะมีการใช้งานแบบไหนบ้างไปดูกันเลย
ตารางเปรียบเทียบ iPad สเปคทุกรุ่นที่วางขายปี 2022
- เปรียบเทียบ iPad 9th
- เปรียบเทียบ iPad 10th
- เปรียบเทียบ iPad mini 6
- เปรียบเทียบ iPad Air 5
- เปรียบเทียบ iPad Pro 11 นิ้ว และ iPad Pro 12.9 นิ้ว
สรุปเปรียบเทียบ iPad แต่ละรุ่น
ตารางเปรียบเทียบ iPad สเปคทุกรุ่นที่วางขายในปี 2022
ข้อมูล\ รุ่น | iPad 9th | iPad 10th | iPad mini 6 | iPad Air 5 | iPad Pro 11 นิ้ว | iPad Pro 12.9 นิ้ว |
หน้าจอ | Retina กว้าง 10.2 นิ้ว | Liquid Retina กว้าง 10.9 นิ้ว | Liquid Retina กว้าง 8.3 นิ้ว | Liquid Retina กว้าง 10.9 นิ้ว | Liquid Retina ProMotion | Liquid Retina XDR ProMotion แบ็คไลท์ Mini-LED |
ขนาด | 250.6 x 174.1 x 7.5 มม. | 248.6 x 179.5 x 7 มม. | 195.4 x 134.8 x 6.3 มม. | 247.6 x 178.5 x 6.1 มม. | 247.6×178.5×5.9 มม. | 280.6×241.9×6.4 มม. |
น้ำหนัก | WiFi : 487g Cellular : 498g | WiFi : 477g Cellular : 481g | WiFi : 293g Cellular : 297g | WiFi : 461g Cellular : 462g | WiFi : 466g Cellular : 468g | WiFi : 682g Cellular : 684g |
ชิปประมวลผล | Apple A13 Bionic | Apple A14 Bionic | Apple A15 Bionic | Apple M1 | Apple M2 | Apple M2 |
RAM | 3GB | 4GB | 4GB | 8GB | 8GB/ 16GB | 8GB/ 16GB |
ROM | 64GB/ 256GB | 64GB/ 256GB | 64GB/ 256GB | 64GB/ 256GB | 128GB/ 256GB/ 512GB/ 1TB/ 2TB | 128GB/ 256GB/ 512GB/ 1TB/ 2TB |
กล้องหน้า | Ultrawide 12MP | Ultrawide 12MP | Ultrawide 12MP | Ultrawide 12MP | Ultrawide TrueDepth 12MP | Ultrawide TrueDepth 12MP |
กล้องหลัง | 8MP ƒ/2.4 | 12MP ƒ/1.8 | 12MP ƒ/1.8 | 12MP ƒ/1.8 | 12MP + 10MP LiDAR scanner | 12MP + 10MP LiDAR scanner |
Apple Pencil | Apple Pencil (รุ่นที่ 1) | Apple Pencil (รุ่นที่ 1) | Apple Pencil (รุ่นที่ 2) | Apple Pencil (รุ่นที่ 2) | Apple Pencil (รุ่นที่ 2) คุณสมบัติการยกปลาย | Apple Pencil (รุ่นที่ 2) คุณสมบัติการยกปลาย |
Keyboard | Smart Keyboard | Magic Keyboard Folio | Keyboard Bluetooth | Magic Keyboard, Smart Keyboard Folio | Magic Keyboard, Smart Keyboard Folio | Magic Keyboard, Smart Keyboard Folio |
แบตเตอรี่ | ดูวิดีโอ 10 ชม. ท่องเน็ต 9 ชม. พอร์ต Lightning | ดูวิดีโอ 10 ชม. ท่องเน็ต 9 ชม. พอร์ต USB C | ดูวิดีโอ 10 ชม. ท่องเน็ต 9 ชม. พอร์ต USB C | ดูวิดีโอ 10 ชม. ท่องเน็ต 9 ชม. พอร์ต USB C | ดูวิดีโอ 10 ชม. ท่องเน็ต 9 ชม. พอร์ต USB C Thunderbolt / USB 4 | ดูวิดีโอ 10 ชม. ท่องเน็ต 9 ชม. พอร์ต USB C Thunderbolt / USB 4 |
การเชื่อมต่อ | 4G, WiFi | 5G, WiFi 6 | 5G, WiFi 6 | 5G, WiFi 6 | 5G, WiFi 6E | 5G, WiFi 6E |
iPad 9th
เริ่มต้นกันด้วยการเปรียบเทียบ iPad รุ่นเริ่มต้นด้วย iPad Gen 9 กันก่อนเลย ซึ่งรุ่นนี้จะบอกว่าเป็นรุ่นเริ่มต้นสำหรับการใช้งาน iPad เลยก็ว่าได้ ด้วยราคาที่มาแบบเบาๆ กับสเปคที่ใช้งานได้แบบทั่วไป ไม่ได้เน้นการใช้งานหนักมากเท่าไหร่นัก โดยรุ่นนี้จะเหมาะกับคนที่ต้องการใช้งาน iPad ในการเรียนออนไลน์ จดบันทึกต่างๆ รวมไปถึงการใช้งานประชุม หรือว่าดูหนังฟังเพลงได้หมดเลย แต่จะยังไม่ถึงขั้นออกแบบกราฟิกสูงๆ หรือว่าใช้ตัวต่อวิดีโอ ไม่ก็ตัดต่อภาพได้แบบโปรเท่าไหร่นัก อาจจะใช้งานแอพตัดต่อที่ไม่กินสเปคได้พอสมควร แต่จะยังไม่ถึงขั้นรุ่นที่สูงกว่านี้ ด้วยความแรงของตัวเครื่องที่ได้ชิป Apple A13 Bionic ที่มีความแรงอยู่แล้วจึงทำงานต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล บวกกับหน้าจอ Retina ที่แสดงผลได้แบบ True Tone กว้าง 10.2 นิ้วพร้อม และรุ่นนี้ก็ยังมีปุ่ม Touch ID เอาไว้สแกนนิ้วมืออยู่เหมือนเดิมด้วย ซึ่งรุ่นอื่นๆ จะไม่มีแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้งาน Apple Pencil (รุ่นที่ 1) และ Smart Keyboard ได้อยู่เหมือนกันนะ
ในเรื่องของกล้องหลังของ iPad 9th นั้นจะยังคงเป็นกล้องตัวเดียว ที่เป็นกล้องไวด์ความละเอียด 8MP พร้อมกับการถ่าย HDR และสแกนเอกสารได้ หรือว่าจะถ่ายวิดีโอก็สามารถถ่ายได้ถึงระดับ HD ส่วนกล้องหน้าจะได้เป็นกล้อง FaceTime HD แบบอัลตร้าไวด์ความละเอียด 12MP เท่ากับรุ่นอื่นที่สูงกว่านี้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง” ที่ทำให้การประชุมหรือว่า FaceTime นั้นจะมีการจัดตัวเราให้อยู่ตรงกลางหน้าจอเสมอ นอกจากนี้ยังได้ลำโพงสเตอริโอ 2 ตัว และไมโครโฟนคู่ กับการใช้งานที่ค่อนข้างอึดเอาเรื่อง แต่ว่ารุ่นนี้จะยังคงใช้พอร์ตแบบ Lightning และยังมีช่องต่อหูฟัง 3.5 อยู่ด้วย ใครที่มองหา iPad ใช้งานแบบทั่วไป จะเอาไว้เรียนหรือดูหนัง ฟังเพลง ก็สามารถทำได้ดีไหลลื่น อาจจะยังไม่ได้เน้นการตัดต่อหรือออกแบบหนักๆ ได้เท่าไหร่นัก แต่ก็คุ้มค่ากับราคาแน่นอน
- จุดเด่น
- ราคาถูกกว่าทุกรุ่น
- ใช้งาน Apple Pencil (รุ่นที่ 1) และ Smart Keyboard ได้
- มีกล้องหน้าแบบ UltraWide พร้อมคุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง”
- ได้ชิป A13 Bionic
- อะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 20W ได้แล้ว
- จุดที่ต่างจากรุ่นอื่น
- หน้าจอยังเป็น Retina ขอบเขตสี sRGB
- ใช้งานได้แค่ 4G กับ WiFi ทั่วไป
- น้ำหนักเยอะหน่อย โดยเบากว่า iPad Pro 12.9 นิ้วรุ่นเดียว
- ระบบเสียง 2 ลำโพงแบบทั่วไป
- ยังใช้พอร์ตแบบ Lightning อยู่เหมือนเดิม
เปรียบเทียบ iPad ราคา iPad 9th
- Wi-Fi
- 64GB ราคา 12,900 บาท
- 256GB ราคา 18,900 บาท
- Wi-Fi + Cellular
- 64GB ราคา 18,400 บาท
- 256GB ราคา 24,400 บาท
iPad 10th
iPad รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งมีการเปิดตัวออกมา และเป็นรุ่นที่น่าใช้งานมากๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นเริ่มต้นแต่ก็สามารถใช้งานได้หลากหลาย และมีสเปคที่น่าสนใจมากเลยทีเดียวถ้าเปรียบเทียบ iPad กับรุ่นก่อนหน้าแล้วรุ่นนี้ก็ถือว่าดีกว่าแน่นอน เหมาะกับการพกพาไปเรียนเพื่อจดบันทึก จดโน๊ต วาดเขียนสิ่งที่ต้องการ หรือใช้งานทั่วไปได้เป็นอย่างดี โดยรุ่นนี้ได้ออกแบบตัวเครื่องมาใหม่หมดทั้งสีสันตัวเครื่อง และหน้าจอเต็มที่เป็นแบบจอภาพ Liquid Retina กว้าง 10.9 นิ้วให้ความคมชัดมากขึ้นพร้อมเทคโนโลยี True Tone อีกทั้งยังเป็นจอเต็มและเอาปุ่ม Touch ID ด้านล่างขึ้นมาอยู่ด้านบนตัวเครื่องแล้ว ส่วนการรองรับปากกาและคีย์บอร์ดรุ่นนี้ก็รองรับทั้ง Apple Pencil รุ่นที่ 1 และ Magic Keyboard Folio ที่แปะติดตัวเครื่องใช้งานได้เลย
สำหรับรุ่นนี้ก็ได้ใช้ชิปใหม่คือ A14 Bionic ที่เร็วแรงพร้อมใช้งานตัดต่อหรือทำงานกราฟิกได้สบายๆ รองรับทั้ง 5G และ WiFi6 นอกจากนี้ยังมีไมโครโฟนและลำโพงสเตอริโอ 2 ตัวในแนวนอนให้เสียงที่ดีเยี่ยมอีกด้วย ในส่วนของกล้องหน้ารุ่นนี้จะเป็นกล้องอัลตร้าไวด์ในแนวนอน 12MP พร้อมคุณสมบัติจัดให้อยู่ตรงกลางที่จัดให้เราอยู่ตรงกลางเสมอเมื่อ Facetime หรือถ่ายวิดีโอเซลฟี่ ส่วนกล้องหลังยังคงมีตัวเดียวที่เป็นกล้องหลังไวด์ความละเอียด 12MP ถ่ายรูปและตัดต่อวิดีโอระดับ 4K และรุ่นนี้ก็สามารถถ่ายแบบสแกนและทำเครื่องหมายบนเอกสารได้ทันที ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือรุ่นนี้รองรับพอร์ตชาร์จแบบ USB-C เรียบร้อยแล้วด้วย ถือว่าเป็น iPad รุ่นที่น่าสนใจมากๆ ในตอนนี้เพราะใช้งานได้ครบเครื่องในราคาเบาๆ ของจริง
- จุดเด่น
- ราคาถูกรองจากรุ่นก่อนหน้า และยังถูกกว่ารุ่นอื่นๆ
- จอกว้างขึ้นแบบเต็มจอ เปลี่ยนปุ่ม Touch ID ไว้ด้านบนแทน
- ใช้งาน Apple Pencil (รุ่นที่ 1) และ Magic Keyboard Folio ได้แล้ว
- มีกล้องหน้าแบบ UltraWide พร้อมคุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง”
- ได้ชิป A14 Bionic ตัวใหม่
- สามารถใช้พอร์ต USB-C ได้แล้ว
- ใช้ 5G และ WiFi6 ได้
- จุดที่ต่างจากรุ่นอื่น
- ยังคงรองรับ Apple Pencil แค่รุ่นที่ 1
- น้ำหนักยังคงถือว่าหนักอยู่ ถ้าเทียบกับรุ่นอื่นๆ
- ระบบเสียง 2 ลำโพงแบบทั่วไป
เปรียบเทียบ iPad ราคา iPad 10th
- Wi-Fi
- 64GB ราคา 17,900 บาท
- 256GB ราคา 23,900 บาท
- Wi-Fi + Cellular
- 64GB ราคา 23,900 บาท
- 256GB ราคา 29,900 บาท
iPad mini 6
เปรียบเทียบ iPad รุ่นต่อมานี้เป็น iPad ที่เรียกได้ว่ารุ่นเล็กแต่สเปคแรงเหลือจะเชื่อ สำหรับ iPad mini 6 รุ่นนี้จะเหมาะกับคนที่ต้องการ iPad ที่พกพาสะดวก สามารถใส่กระเป๋าถือไปได้แบบสบายๆ ไม่ต้องใช้พื้นที่เยอะ จะใช้งานวาดเขียนหรือจดบันทึกแบบง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้พื้นที่หน้าจอเยอะ หรือจะออกแบบตัดต่อก็ยังทำได้ แต่ว่ารุ่นนี้ก็จะมีข้อจำกัดตรงที่หน้าจอมีขนาดที่เล็ก จึงอาจจะไม่เหมาะกับการพิมพ์งานเยอะๆ หรือว่าการประชุมหลายคนที่จำเป็นต้องใช้หน้าจอเป็นหลัก โดยทั่วไปแล้วก็จะใช้งานเพื่อดูหนัง เรียนออนไลน์ทั่วไป ทำงานนอกสถานที่ และเน้นการพกพาสะดวกเป็นหลักเลย
ซึ่งรุ่นนี้จะมีหน้าจอเป็น Liquid Retina กว้าง 8.3 นิ้วระดับเดียวกับ iPad Air 5 และ iPad Pro 11 นิ้วเลย และมีปุ่ม Touch ID ด้านบนเหมือน iPad Air 5 แถมยังได้ชิป A15 Bionic ตัวแรงที่สามารถใช้งานกราฟิก หรือเล่นเกมได้แบบไหลลื่นแน่นอน แต่ทั้งนี้ iPad mini 6 จะใช้งานได้กับคีย์บอร์ด Bluetooth เท่านั้น แต่ก็ยังใช้งาน Apple Pencil (รุ่นที่ 2) ไว้ขีดเขียนได้แบบโปรเลยทีเดียว นอกจากนี้กล้องหลังของรุ่นนี้ยังเป็นกล้องไวด์ 12MP และยังมีแฟลช True Tone แบบ LED ด้วย ถ่ายตอนกลางคืนได้สบายหายห่วง ส่วนกล้องหน้าก็เป็น FaceTime HD แบบอัลตร้าไวด์ 12MP พร้อมคุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง” ไม่ต่างจากรุ่นใหญ่รุ่นอื่นๆ ที่สำคัญคือรุ่นนี้มีพอร์ต USB C และใช้งาน 5G ได้แล้วด้วย
- จุดเด่น
- เครื่องเล็ก น้ำหนักเบาพกพาสะดวก
- ใช้งาน Apple Pencil (รุ่นที่ 2) ได้
- ได้ชิป A15 Bionic ตัวแรงแบบเดียวกับ iPhone 13
- กล้องหลังมีแฟลช True Tone แบบ LED
- จุดที่ต่างจากรุ่นอื่น
- หน้าจอเล็กกว่าทุกรุ่น
- รองรับคีย์บอร์ดแค่แบบ Bluetooth
- ไม่รองรับ Smart Keyboard
เปรียบเทียบ iPad ราคา iPad mini 6
- Wi-Fi
- 64GB ราคา 19,900 บาท
- 256GB ราคา 25,900 บาท
- Wi-Fi + Cellular
- 64GB ราคา 25,900 บาท
- 256GB ราคา 31,900 บาท
iPad Air 5
สำหรับการเปรียบเทียบ iPad รุ่นต่อมานี้เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่ได้มีการเปิดตัวออกมาได้ไม่นาน และรุ่นนี้ก็ยังทำสเปคออกมาได้ดีงามสุดๆ เหมาะกับคนที่ต้องการใช้งาน iPad ที่เกือบเทียบเท่าระดับโปร แต่ว่าจะเน้นไปที่ความเบาบางของ iPad และยังสามารถใช้ตัดต่อวิดีโอ ตัดต่อภาพ ทำกราฟิกต่างๆ ได้เป็นอย่างดี หรือว่าสายคอนเทนต์ที่เน้นพิมพ์รุ่นนี้ก็สามารถแปะ Apple Pencil (รุ่นที่ 2) เอาไว้จดบันทึกหรือวาดเขียนได้แบบสะดวกๆ เพราะมีหน้าจอที่เกือบเท่า iPad Pro 11 นิ้วแล้ว และยังสามารถใช้งานกับ Magic Keyboard และ Smart Keyboard Folio พร้อมกับการเชื่อมต่อ 5G ได้แล้วในรุ่นใหม่นี้ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นรุ่นที่เกือบจะเท่ารุ่นโปร แต่เป็นรองกว่านิดหน่อย เน้นความเบาในการพกพาไปที่ต่างๆ ใช้พิมพ์งานหรือออกแบบได้สบาย และใช้งานได้ครบทุกรูปแบบ
โดย iPad Air 5 รุ่นนี้ก็ได้อัพเกรดจากรุ่นเดิมมาเป็นชิป M1 ที่มีอยู่ในรุ่น Pro และ Mac จึงทำให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่สูงมากกว่ารุ่นก่อนหน้าเยอะมาก จะทำกราฟิกหรือตัดต่อ รวมไปถึงการเช่นเกมก็ทำได้แบบไหลลื่น แถมยังได้หน้าจอแบบ Liquid Retina กว้าง 10.9 นิ้วเกือบเท่ารุ่นโปรอยู่แล้ว และยังมีปุ่ม Touch ID อยู่บนตัวเครื่องเหมือนเดิม รุ่นนี้มีสีใหม่ออกมาด้วย ส่วนกล้องหลังจะเป็นกล้องตัวเดียวที่ความละเอียด 12MP ถ่ายวิดีโอ 4K ได้แต่ยังไม่มีแฟลช มาพร้อมกับกล้องหน้า FaceTime HD อัลตร้าไวด์ 12MP ที่มีคุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง” เหมือนกับรุ่นอื่นๆ แล้วด้วย จะประชุมหรือสร้างสรรค์คอนเทนต์นอกสถานที่ก็ทำได้หมดเลย แถมยังมีน้ำหนักเบากว่าทุกรุ่นอีกด้วย (ถ้าไม่รวมรุ่นเล็กอย่าง iPad mini 6) ดูเปรียบเทียบ iPad Air 5 กับ iPad Air 4 ที่นี่ หรือเทียบกับ iPad Pro 11 นิ้วที่นี่
- จุดเด่น
- ตัวเครื่องบาง น้ำหนักเบาพกพาได้ไม่หนักมือ
- ได้ชิป M1 เท่ารุ่นโปรและ Mac
- แปะ Apple Pencil (รุ่นที่ 2) บนตัวเครื่องได้ พร้อมรองรับ Magic Keyboard และ Smart Keyboard Folio
- สเปคเป็นรองแค่รุ่นโปรเท่านั้น
- จุดที่ต่างจากรุ่นอื่น
- ความจุเครื่องรุ่นเริ่มต้นน้อยไปหน่อย
- หน้าจอยังไม่มีเทคโนโลยี ProMotion
- มีลำโพงเพียง 2 ตัว
- กล้องหลังยังไม่มีแฟลช
เปรียบเทียบ iPad ราคา iPad Air 5
- Wi-Fi
- 64GB ราคา 23,900 บาท
- 256GB ราคา 29,900 บาท
- Wi-Fi + Cellular
- 64GB ราคา 29,900 บาท
- 256GB ราคา 35,900 บาท
iPad Pro 11 นิ้ว และ iPad Pro 12.9 นิ้ว
ปิดท้ายกันด้วยการเปรียบเทียบ iPad รุ่นโปรทั้งสองรุ่นที่ต้องบอกเลยว่าแรงจัดจนแทบจะเป็นโน๊ตบุ๊คอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะมีหน้าจอให้เลือกทั้ง 11 นิ้วหรือ 12.9 นิ้ว แต่ทั้งสองรุ่นนี้ก็มีสเปคที่ไม่ห่างกันมากนัก จะต่างกันก็เพียงเรื่องของหน้าจอ และน้ำหนักตัวเครื่องนั่นแหละ โดยรุ่นนี้จะเหมาะกับคนที่ต้องการทำงานแบบโปรมากกว่าทุกรุ่น ไม่ว่าจะเน้นตัดต่อ ออกแบบกราฟิก แต่งรูป หรือว่าจะเป็นสายคอนเทนต์ต่างๆ ก็สามารถพกพา iPad Pro 2022 ไปทำงานได้แบบสบายๆ อีกทั้งยังสามารถแปะ Apple Pencil (รุ่นที่ 2) ไปได้ทุกที่ แถมรุ่นนี้ยังรองรับคุณสมบัติการยกปลาย Apple Pencil ได้ไกลสูงสุด 12 มม. สะดวกต่อการใช้งานไปอีกขั้น หรือจะพกเคสคีย์บอร์ดที่เป็น Magic Keyboard และ Smart Keyboard Folio ก็ได้เหมือนกัน ที่สำคัญคือ iPad Pro 2022 ทั้งสองรุ่นมีความจุสูงสุดถึง 2TB พร้อมกับ RAM 16GB เลยทีเดียว แต่ถ้ารุ่นเริ่มต้นถึง 512GB จะได้เป็น 8GB แทน ใครที่ต้องการใช้พื้นที่เยอะๆ ก็จัดสเปคสูงไปเลยคุ้มกว่าเยอะ
iPad Pro 11 นิ้วและ iPad Pro 12.9 นิ้วไม่ได้มีความต่างกันแค่ขนาดหน้าจอเท่านั้น แต่รุ่น 11 นิ้วจะมีหน้าจอเป็นแบบ Liquid Retina พร้อมแบ็คไลท์แบบ LED กับความสว่างทั่วไปสูงสุด 600 นิต แต่ว่ารุ่น 12.9 นิ้วนั้นจะมีหน้าจอแบบ Liquid Retina XDR พร้อมแบ็คไลท์แบบ Mini-LED และได้ความสว่างสูงสุด 1,000 นิตแบบเต็มหน้าจอ และ 1,600 นิตสำหรับ HDR อีกด้วย อีกทั้งยังมีระบบแบ็คไลท์ 2D ที่หรี่แสงได้เฉพาะที่กว่า 2,500 โซนทำให้รุ่น 12.9 นิ้วจะมีหน้าจอที่คมชัดและสว่างได้มากกว่าเยอะมากๆ แถมดูได้ถึง 6K เลยด้วย แต่ทั้งสองรุ่นก็มีเทคโนโลยี ProMotion 120Hz หน้าจอไหลลื่น และชิป M2 ที่เร็วแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าเยอะมากทีเดียว รองรับทั้ง 5G และ WiFi6E และยังปลดล็อคด้วย Face ID ได้เหมือนกันด้วย รวมไปถึงกล้องหลังที่มีทั้งเลนส์ไวด์ 12MP และอัลตร้าไวด์ 10MP ที่มีเซ็นเซอร์ LiDAR กับแฟลช True Tone ที่ถ่ายได้สว่างกว่าทุกรุ่น พร้อมกับการถ่ายวิดีโอแบบ ProRes ได้ที่ระดับ 4K แล้ว ส่วนกล้องหน้าจะเป็น TrueDepth 12MP พร้อมคุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง” กับเอฟเฟกต์ 6 แบบเหมือนกันทั้งหมด
- จุดเด่น
- ได้ชิป M2 ตัวแรงเท่า Mac
- รุ่น 12.9 นิ้วมีหน้าจอแบบ Liquid Retina XDR และสว่างกว่าทุกรุ่น
- หน้าจอมีเทคโนโลยี ProMotion 120Hz
- ความจุสูงสุด 2TB พร้อม RAM 16GB
- ปลดล็อคด้วย Face ID
- มีระบบเสียง 4 ลำโพงกระจายรอบทิศทาง
- จุดต่างจากรุ่นอื่น
- ราคาแรงมาก รุ่นท็อปสุดเกือบแสน
เปรียบเทียบ iPad ราคา iPad Pro 2021
เปรียบเทียบ iPad Pro 2021 รุ่น 11 นิ้ว
- Wi-Fi
- 128GB ราคา 32,900 บาท
- 256GB ราคา 36,900 บาท
- 512GB ราคา 44,900 บาท
- 1TB ราคา 60,900 บาท
- 2TB ราคา 76,900 บาท
- Wi-Fi + Cellular
- 128GB ราคา 38,900 บาท
- 256GB ราคา 42,900 บาท
- 512GB ราคา 50,900 บาท
- 1TB ราคา 66,900 บาท
- 2TB ราคา 82,900 บาท
เปรียบเทียบ iPad Pro 2021 รุ่น 12.9 นิ้ว
- Wi-Fi
- 128GB ราคา 44,900 บาท
- 256GB ราคา 48,900 บาท
- 512GB ราคา 56,900 บาท
- 1TB ราคา 72,900 บาท
- 2TB ราคา 88,900 บาท
- Wi-Fi + Cellular
- 128GB ราคา 50,900 บาท
- 256GB ราคา 54,900 บาท
- 512GB ราคา 62,900 บาท
- 1TB ราคา 78,900 บาท
- 2TB ราคา 94,900 บาท
สรุปเปรียบเทียบ iPad แต่ละรุ่น
จากข้อมูลการเปรียบเทียบ iPad ทุกรุ่นทั้งจากตารางและจากสเปคที่เราได้บอกไปนั้น หลายๆ คนที่เล็งรุ่นไหนไว้ก็น่าจะพอรู้กันแล้ว ว่ารุ่นนั้นเหมาะกับตัวเองมากน้อยแค่ไหน สิ่งสำคัญในการเลือกซื้อ iPad ก็คือจุดประสงค์ในการใช้งาน กับงบประมาณในการซื้อของแต่ละรุ่น ถ้าใครต้องการใช้งานแบบหนักๆ จัดเต็มทั้งการออกแบบผลงาน วาดเขียน และตัดต่อวิดีโอในระดับสูง และมีงบประมาณถึง แนะนำว่าให้ซื้อ iPad Pro 12.9 นิ้วที่มีชิป M2 ไปเลยจะคุ้มที่สุดในการใช้งานแล้ว แต่ถ้าคิดว่าหน้าจอมันใหญ่เกินไป และพกพาไม่ค่อยสะดวกก็อาจจะลดหน้าจอลงมาเหลือ 11 นิ้วก็ยังทำงานได้ดีไม่แพ้กันเลย แถมมีน้ำหนักเบาเกือบเท่า iPad Air เลยด้วย
ส่วนใครที่ต้องการใช้งาน iPad แบบทั่วไปจนถึงการจดบันทึก ตัดต่อได้ดี หรือจะเอาไว้เขียนคอนเทนต์กับการใช้ Magic Keyboard และ Smart Keyboard Folio ไปด้วย และชอบเครื่องที่มีขนาดกำลังดีพกพาหรือถือได้แบบไม่หนักมาก แนะนำว่าให้ซื้อ iPad Air 5 ที่สเปคครบจบในตัวไปเลยจะคุ้มมากๆ แต่ถ้าอยากได้แบบใช้งานทั่วไป ไม่ได้เน้นตัดต่อหรืองานกราฟิกสูงๆ เช่นดูหนัง เรียนออนไลน์ หรือเอาไว้ประชุมงานแบบง่ายๆ ในราคาประหยัด แนะนำว่าให้ซื้อ iPad 10th ที่มีสเปครองลงมานิดหน่อยแต่ราคาถูกกว่าและใช้งานได้หลากหลาย หรือจะเป็น iPad 9th ก็ถือว่ายังพอใช้งานได้ดีเลย ถ้าไม่ได้จะใช้งานหนักขนาดต้องใช้ชิปตัวแรงมากๆ ส่วนใครที่ชอบเครื่องขนาดเล็ก พกพาใส่กระเป๋าไปได้ทุกที่ แถมยังได้สเปคเครื่องที่เร็วแรงด้วย ก็เลือกซื้อเป็นตัว iPad mini 6 ได้เลย เพราะรุ่นนี้ก็ครบเครื่องเหมือนกัน แต่ไม่เหมาะกับการประชุมที่คนเยอะ หรือว่าพิมพ์งานนะ เพราะหน้าจอมันเล็กเกินไปนั่นเอง