รวมข้อมูล AirPods มีกี่รุ่นราคาเท่าไหร่บ้าง และข้อมูล AirPods Pro 2 รุ่นใหม่
AirPods เป็นอุปกรณ์ประเภทหูฟัง True Wireless ที่ได้รับความนิยมค่อนข้างสูงจาก Apple ด้วยการดีไซน์รูปทรงออกมาสวยงาม ฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย และยิ่งในรุ่นใหม่ๆ ที่สามารถชาร์จแบบไร้สายได้ ก็ยิ่งทำให้การใช้งานหูฟัง True Wireless ตัวนี้ใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น สำหรับใครที่มองหาหูฟังใช้งานดีๆ และยังไม่รู้ว่ามีข้อมูล และสเปคการใช้งานอย่างไรบ้าง มีอยู่กี่รุ่นในตอนนี้ และแต่ละรุ่นราคาเท่าไหร่บ้าง วันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน
อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับคนที่ใช้มือถือสมาร์ทโฟนทั่วไป หรือแม้แต่คนที่ไม่ได้ใช้มือถือสมาร์ทโฟนก็ตาม นั่นก็คือหูฟัง ตั้งแต่ในสมัยก่อนที่ใช้สายในการเชื่อมต่อแบบ 3.5 mm. จนได้เริ่มพัฒนาตัวใหม่ๆ ออกมา เพื่อรองรับการใช้งานทุกรูปแบบ ทั้งสายกลม สายแบน สายยาว จนในที่สุดก็ได้เกิดหูฟังแบบ True Wireless ที่สามารถใช้กับ Bluetooth 4.1 ได้อย่างลงตัวในปี 2013 และหูฟัง True Wireless หนึ่งตัวที่ได้รับชื่อเสียง และความนิยมมากๆ ก็คงจะหนีไม่พ้น AirPods ของ Apple ที่ได้เปิดตัวมาในปี 2016 พร้อมๆ กับ iPhone 7 และ 7 Plus จากในตอนแรกที่ใครๆ ต่างก็บอกว่าแบบมีสายดีกว่า จนมาถึงปัจจุบันนี้ก็กลายมาเป็นรูปแบบหูฟังที่ดีที่สุดตัวนึงเลยก็ว่าได้ ซึ่งตอนนี้หูฟังของ Apple ก็ได้พัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง และทำออกมาอยู่หลายรุ่นด้วยกัน สามารถใช้งานได้กับมือถือสมาร์ทโฟนทุกรุ่น เดี๋ยววันนี้ทาง Specphone จะมาบอกข้อมูลของหูฟังเหล่านี้กัน ว่าเป็นยังไงบ้าง และตอนนี้มีอยู่กี่รุ่น พร้อมราคาของทุกรุ่นที่มีอยู่ตอนนี้ ไปดูกันได้เลย
- ข้อมูล AirPods (รุ่นแรก 2016)
- ข้อมูล AirPods 2 ทั้งแบบชาร์จไร้สาย และชาร์จแบบมีสาย (2019)
- ข้อมูล AirPods Pro
- ข้อมูล AirPods Max
- ข้อมูล AirPods 3
- ข้อมูล AirPods Pro 2 (ใหม่)
ตารางเปรียบเทียบราคา AirPods ล่าสุดทุกรุ่นที่วางขายในตอนนี้
ข้อมูล AirPods ของแต่ละรุ่น
สำหรับข้อมูลของแต่ละรุ่น ที่เราจะเอามาบอกกันนี้ จะเป็นการบอกข้อมูลสเปค และราคาของทุกรุ่นที่มีอยู่ในตอนนี้ รวมไปถึงข่าวลือของตัวรุ่นที่ 3 ด้วยเล็กน้อย ไม่ได้เอาข้อมูลมาเปรียบเทียบ เนื่องจากเป็นหูฟัง True Wireless ที่ทำขึ้นโดย Apple เหมือนกันหมด จึงขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคน ที่จะซื้อมาใช้งานด้วย ทั้งราคาและสเปคของแต่ละตัวที่ไม่เหมือนกัน ส่วนใครอยากรู้ว่าหูฟัง True Wireless ตัวไหนน่าสนใจสามารถเข้าไปอ่านได้ที่นี่เลย (10 หูฟังไร้สาย True Wireless เสียงดี ฟังสบาย น่าใช้งานในปี 2020) หรือ (แนะนำ 10 หูฟังไอโฟน เสียงดี น่าใช้ ต้นปี 2021 เพื่อเหล่าผู้ที่ซื้อไอโฟนยุคใหม่) และสำหรับคนที่อยากจะรู้ราคาเปรียบเทียบของแต่ละรุ่น ว่าซื้อที่ไหนคุ้มและถูกที่สุด สามารถกดเข้าไปดูได้ที่ (อัพเดตราคา Air Pods 2 และ Air Pods Pro ซื้อที่ไหนราคาถูกสุด) ส่วนใครอยากดูรุ่นเปรียบเทียบตัวท็อปอย่างการเปรียบเทียบหูฟัง Galaxy Buds Pro vs Air Pods Pro vs Galaxy Buds Live และ Galaxy Buds+ ก็กดดูคลิปด้านล่างนี้ได้เลย
ข้อมูล AirPods (รุ่นแรก 2016)
มาเริ่มกันตัวแรกกันก่อนเลย สำหรับรุ่นที่เปิดตัวออกมาครั้งแรกในปี 2016 ใกล้เคียงกับ iPhone 7 และ 7 Plus อย่างแรกที่ต้องพูดถึงสำหรับตัวนี้เลย ก็คือเรื่องของหน้าตาการออกแบบ ที่ตัดขาดสายออกไปเลย จะใช้การเชื่อมต่อแบบ True Wireless แทนทั้งหมด โดยการเชื่อมต่อนั้นจะเชื่อมต่อให้ทันทีกับมือถือ iPhone, Apple Watch, iPad หรือ Mac ที่หยิบออกมาจากเคสชาร์จ และจะเริ่มเล่นให้ทันทีที่นำหูงฟังเสียบเข้าไปในหู ถ้าถอดออก เสียงก็จะดับตามไปด้วย ถ้าอยากจะปรับเสียง เปลี่ยนเพลง หรือโทรออกก็เพียงแค่แตะสองครั้งที่ตัวหูฟัง เพื่อเปิดการใช้งาน Siri เรียกได้ว่าเป็นหูฟัง True Wireless ที่ทำออกมาได้เทพมากตัวนึงเลยในตอนนั้น
ด้วยความที่รุ่นนี้เป็นรุ่นแรก ก็เลยยังไม่ได้มีการพัฒนาให้ใช้งานได้แบบเต็มที่เท่าไหร่นัก แถมตอนออกมาใหม่ๆ คนที่ใช้งานก็กลัวจะหลุดร่วงออกจากหูด้วย ทั้งขนาดที่เล็ก และการใส่หูที่ไม่ค่อยพอดีด้วย จึงทำให้รุ่นนี้ยังไม่ค่อยเป็นรุ่นที่คนใช้งานกันเยอะ ถึงแม้ว่าชิปตัวนี้จะเป็นชิปตัวแรงในตอนนั้นอย่างชิป W1 ปุที่สามารถรับรู้ได้ทันทีที่หูฟังอยู่ในหู ไม่ว่าจะใส่ข้างเดียวหรือสองข้าง ก็ยังทำให้การเล่นเสียงนั้นเล่นได้อย่างต่อเนื่อง มีการกรองเสียงรบกวนรอบข้าง และแบตที่สามารถฟังได้นานสูงสุด 5 ชั่วโมง และถ้าใช้ร่วมกับการใส่ในเคสจะใช้งานได้นานสุดถึง 24 ชั่วโมง ถ้ารีบๆ หน่อยใส่เคสชาร์จไว้ 15 นาทีก็ใช้งานได้ 3 ชั่วโมงแล้ว แต่สิ่งที่ขาดไปสำหรับรุ่นนี้เลย ก็คือเรื่องของเคสที่ไม่สามารถชาร์จไร้สายได้ และยังสั่งการด้วยเสียงแบบ “Hey Siri” ไม่ได้ด้วยเช่นกัน
ราคาของรุ่นแรกนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่ง ที่ทำให้คนตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะมีราคาสูงถึง 6,900 บาทในตอนเปิดตัว ซึ่งตอนนี้ทาง Apple ก็ได้เลิกขายอย่างเป็นทางการไปแล้ว จะหาซื้อได้ก็คงเป็นร้านตามตู้ หรือร้านค้าออนไลน์จากต่างประเทศ อย่างเช่น Ebay หรือ Amazon ที่มีราคาเริ่มต้นเพียง 1,000 – 3,000 บาท แต่ถ้าเป็นราคามือสอง ตอนนี้จะมีราคาประมาณ 2,500 – 3,000 บาทเท่านั้น แต่ก็อาจจะต้องเสี่ยงการเจอของปลอมด้วยนะ ไม่ว่าจะซื้อมือสองหรือว่าจะสั่งมาจากต่างประเทศ เพราะตรวจสอบได้ยากมาก ถ้าไม่ได้ซื้อด้วยตัวเอง โดยรวมแล้วรุ่นแรกนี้ ถึงแม้ว่าจะยังมีฟังก์ชันได้ไม่สุดเท่าไหร่ แต่ถ้าซื้อมาใช้งานแบบทั่วไป กับราคาในตอนนี้ก็ยังพอไหวอยู่ ถึงแม้ว่าจะหายากแล้วก็ตาม ส่วนใครแยกไม่ออกว่าอันไหนรุ่นแรก หรือรุ่นที่สองให้ดูที่เลขโมเดลของตัวหูฟัง โดยรุ่นแรกจะมีรหัสเป็น A1722, A1523 และรหัสเคสคือ A1602
ข้อมูล AirPods 2 ทั้งแบบชาร์จไร้สาย และชาร์จแบบมีสาย (2019)
มาถึงรุ่นที่ 2 กันบ้าง ที่เป็นรุ่นฮิตและมีคนนิยมใช้กันเยอะมาก เนื่องจากมีราคาที่ลดลงมา จากตัวแรกค่อนข้างเยอะ (ในรุ่นที่เคสชาร์จแบบมีสาย) และแน่นอนว่าตัวที่คนใช้งานเยอะนั้น เป็นตัวที่มีเคสแบบชาร์จไร้สายได้ ช่วยให้การชาร์จนั้นสะดวกสบาย ใช้งานง่ายขึ้นเยอะ ถ้ามีตัวชาร์จไร้สายด้วยนะ ถึงแม้ว่าในรุ่นที่ 2 นี้จะมีหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับรุ่นที่ 1 เป็นอย่างมาก แต่ความจริงแล้วข้างในต่างกันมากๆ อย่างแรกเลยก็คือการปรับเรื่องของแบต ให้มีการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้นกว่าตัวก่อน อย่างการสนทนาที่ใช้ร่วมกับเคส ก็ใช้คุยได้นานขึ้นถึง 18 ชั่วโมงเลยทีเดียว สามารถเชื่อมต่อกับมือถือ iPhone ได้เลยในทันทีเช่นกัน พร้อมกับการรองรับ Bluetooth 5.0 และเหนือขึ้นไปอีกขั้นที่รุ่นนี้ สามารถใช้ “Hey Siri” หรือ “หวัดดี Siri” ได้แล้ว โดยไม่ต้องกดอะไรจากตัวหูฟังเลย ส่วนการเล่นเพลง ข้าม หรือรับสายโทรศัพท์ยังคงต้องแตะสองครั้งอยู่
สเปคภายในตัวของรุ่นที่ 2 นี้ก็ไม่ธรรมดาเลย เพราะเปลี่ยนชิปไปเป็นชิป H1 แทนตัวเก่า ที่ทำให้การเชื่อมต่อนั้นไวขึ้นกว่าเดิม สลับอุปกรณ์ก็ไวขึ้น แถมใช้พร้อมกันทีเดียว 2 อันกับมือถือเครื่องเดียวก็ได้ ความน่าสนใจของรุ่นที่ 2 นี้ก็คงจะเป็นเรื่องของตัวเคส ที่ทาง Apple ทำออกมา 2 แบบด้วยกัน คือแบบที่ชาร์จด้วยสาย Lightning แบบรุ่นที่ 1 และแบบไร้สายที่ใช้แท่นชาร์จที่รองรับมาตรฐาน Qi ได้ทันที (หรือจะใช้สายก็ได้ ใช้ได้ 2 แบบ) ข้อสังเกตของตัวเคสชาร์จไร้สายก็คือ จะมีไฟ LED อยู่หน้าเคสเพื่อบอกสถานะแบตด้วย ถึงแม้จะมีข้อดีที่เยอะมากๆ แต่ก็ยังมีข้อที่คนส่วนใหญ่พูดถึงกันอยู่ นั่นก็คือการที่ตัวหูฟังไม่สามารถใส่ให้พอดีหูได้ จึงทำให้หลุดง่าย (ถ้ามือไปโดน) และตัวเคสค่อนข้างเป็นรอยง่าย แนะนำให้ใส่เคสอีกชั้น เพื่อป้องกันรอยขีดข่วนด้วยก็ดี
ส่วนราคาของรุ่นนี้ จะมีเพียงรุ่นชาร์จแบบมีสายที่ได้ลดราคาลงมาเหลือ 4,990 บาท สามารถหาซื้อได้ที่ศูนย์ Apple หรือร้านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งในตอนนี้ก็ยังมีการสลักอิโมจิลงเคสให้ฟรีด้วย (ต้องซื้อที่ Apple เท่านั้น) ส่วนรุ่นที่เป็นเคสชาร์จแบบไร้สาย ตอนนี้จะไม่มีให้เลือกบนหน้าเว็บอีกแล้ว ถ้าอยากได้จริงๆ อาจจะต้องหาซื้อที่ร้านตัวแทนจำหน่ายที่ยังมีขายอยู่บ้าง ส่วนมือสองในร้านค้าออนไลน์ จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 3,000 – 4,000 บาท ถ้าถูกมากๆ ก็ควรตรวจสอบให้ดีก่อนทุกครั้ง เผื่อว่าจะเจอของปลอม โดยรวมแล้วรุ่นนี้ทำออกมาได้ดีกว่าในรุ่นแรกเยอะมาก ทั้งการใช้งานที่ลื่นไหลขึ้น และฟีเจอร์ต่างๆ ที่รองรับการใช้งานได้ดีกว่าเก่า รุ่นนี้จึงเป็นรุ่นที่คนนิยมใช้งานกันเยอะมากๆ ส่วนรหัสของตัวหูฟังรุ่นที่สองจะเป็น A2031, A2032 และ A1602 (รุ่นชาร์จแบบใช้สาย), A1938 (รุ่นชาร์จแบบไร้สาย)
ข้อมูล AirPods Pro
สุดยอดแห่งหูฟัง True Wireless ของ Apple ในตอนนี้เลยก็ว่าได้ แถมยังเป็นรุ่นที่ฮิตมากพอๆ กับรุ่นที่ 2 ตัวข้างบนเลยด้วย ยิ่งถ้าได้ใช้งานร่วมกับ iPhone, iPad หรือเครื่อง Mac ก็จะยิ่งได้รับประสิทธิภาพการใช้งานที่มากขึ้นด้วย การดีไซน์ของรุ่นนี้ได้แตกต่างออกไปจากทั้ง 2 รุ่นก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงเลย แม้กระทั่งตัวเคส ที่มีความสั้นกว่าเยอะพอสมควรเลย แน่นอนว่าตัวหูฟังก็จะมีขนาดที่สั่นกว่าด้วย ที่สำคัญเลยก็คือ รุ่นตัวโปรนี้ สามารถเปลี่ยนยางเพื่อให้เข้ากับหูมากที่สุด รับรองว่าหลุดยากแน่นอน สำหรับรุ่นนี้ นอกจากนี้ยังมีโหมดฟังเสียงจากภายนอก และตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ พร้อมไมค์แบบ beamforming และการปรับ EQ ได้เองโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เข้ากับการฟังของเรามากที่สุด
ตัวเทพอีกอย่างก็ต้องเป็นชิป H1 ที่เป็นแบบ SiP หรือการรวมทั้งระบบไว้ในชิปตัวเดียว ทำให้การทำงาน และการเชื่อมต่อสามารถทำได้ไวขึ้น รวมไปถึงการมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการใช้งาน ที่สามารถเล่น หรือหยุดเล่นได้เองเหมือนกับรุ่นก่อนๆ และสิ่งที่ทำให้รุ่นโปรตัวนี้น่าใช้งานเป็นอย่างมากเลยก็คือ ระบบที่เรียกว่า Spatial Audio ทำจะจำลองทิศทางของเสียงตามจริง ไม่ว่าเราจะหันหน้าไปทางไหน เสียงที่ออกมาก็จะไปตามทิศเหมือนกับหนัง และทิศของเสียงที่ได้ยินอยู่เลย (จากการลองใช้จริงคือดีมากๆ) ส่วนการชาร์จของตัวโปร เคสจะเป็นแบบชาร์จไร้สายตามมาตรฐาน Qi หรือใช้สายชาร์จ Lightning มาให้เลย ไม่ได้แบ่งมาให้เลือก ชาร์จเต็มทีนึงก็ใช้ได้ประมาณ 3-5 ชั่วโมง ถือว่ากำลังดีไม่ได้น้อยเกินไป จะใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป หรือจะเอาไว้ดูหนังฟังเพลง ก็สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีเลย รุ่นนี้ทนเหงื่อและน้ำระดับ IPX4 ด้วย
มาที่ราคาของตัวโปรนี้กันบ้าง ตอนนี้ราคาที่ศูนย์ Apple โดยตรงมีราคาขายอยู่ที่ 8,992 บาท พร้อมกับการสลักชื่อเป็นอิโมจิให้ฟรี ก็ถือว่าเป็นราคาที่สูงขึ้นมาอีกหน่อย ถ้านับจากรุ่นชาร์จไร้สายของตัวที่ 2 แต่ถ้าลองดูประสิทธิภาพ และฟีเจอร์ของหูฟังตัวโปรนี้ ทั้งการตัดเสียงรบกวน หรือโหมดฟังเสียงภายนอกที่ทำออกมาได้ดีมาก รวมไปถึงระบบ Spatial Audio ที่ถ้าได้ลองต้องบอกเลยว่าของเขาดีจริงๆ และถือว่าคุ้มมากๆ สำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ แต่อาจจะไม่ถูกใจคนที่ไม่ชอบแบบ In-Ear เท่าไหร่นัก เพราะตัวนี้ต้องใช้แบบมีจุกยางเท่านั้น ไม่เหมือนกับสองรุ่นก่อนหน้านี้ รุ่นนี้มีราคามือสองอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 6,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพของสินค้า และระวังเจอของปลอมด้วย โดยรวมแล้วรุ่นนี้คุ้มค่าต่อการใช้งานที่สุดแล้ว (อ่านรีวิวได้ที่นี่)
ข้อมูล Airpods Max
มาถึงรุ่นสุดท้ายของซีรีส์ที่มีอยู่ในตอนนี้กันแล้ว กับรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อเอาใจสายคนชอบ Headphone โดยเฉพาะ ซึ่งข้อดีของตัวนี้ก็ไม่ได้มีดีแค่การเป็นหูฟังแบบ Headphone เพียงอย่างเดียว แต่ได้รวมฟีเจอร์ที่รุ่นเล็กมีทั้งหมด มารวมอยู่ในตัวใหญ่ตัวนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ และโหมดฟังเสียงภายนอกที่ทำออกมาได้เป็นอย่างดีเช่นกัน ตัวนี้สามารถปรับ EQ ได้เองอัตโนมัติเพื่อให้เข้ากับการฟัง โดยจะเป็นการแต่งเสียงให้พอดีกับหูเรามากที่สุดแบบ Realtime ทำให้เสียงที่ได้ยินนั้นได้มาครบทุกเสียงแน่นอน จุดเทพอีกอย่างของตัวก็คือ การที่มีระบบปรับเสียงแบบไดนามิก ที่จะเปลี่ยนตามตำแหน่งของการหันของเรา ทำให้ได้รับเสียงอย่างสมจริงทุกทิศทาง จะออกแนวคล้ายๆ กับการดูหนังในโรงหนัง ที่หันไปทางไหนก็จะได้รับการปรับเสียงให้เหมาะที่สุด
ส่วนทางด้านชิปตัวนี้จะใช้เหมือนกับรุ่นตัวเล็ก ที่เป็นชิป H1 แต่ใส่มาให้ข้างละ 1 ตัว พร้อมกับไมโครโฟนที่มาให้มากถึง 9 ตัว โดยจะแบ่งเป็นไมค์ตัดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟ 8 ตัว และสำหรับการพูดอีก 3 ตัว (2 ตัวใช้ร่วมกับไมค์ตัดเสียงรบกวน) แต่รุ่นนี้ต้องกดเพื่อคุยกับ Siri นะยังไม่สามารถพูด “Hey Siri” ได้เหมือนรุ่นที่สองกับรุ่นโปร และใช้วิธีชาร์จด้วยสาย Lightning แบบ USB-C สามารถเก็บไว้ใน Smart Case เพื่อเป็นการประหยัดแบตได้ด้วย เมื่อชาร์จแบตเต็มสามารถฟัง หรือดูหนังได้ยาวนานสูงสุด 20 ชั่วโมง ถ้ารีบมากๆ ชาร์จแค่ 5 นาทีก็ใช้ต่อได้ 1.30 ชั่วโมงแล้ว เยอะมากนะสำหรับการใช้งานหนึ่งครั้งเต็มๆ อีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือวัสดุของตัวหูฟัง ที่เป็นโฟนออกแบบมาเพื่อให้ใส่ได้อย่างสบายหู และกระชับมากที่สุด ช่วยระบายอากาศได้เป็นอย่างดี ปรับได้หลายรูปแบบ และทำให้เสียงที่ออกมาครบทุกเสียงที่มีเลย มี Digital Crown เพื่อเอาไว้ปรับเสียง หรือกดเพื่อใช้งานฟีเจอร์อื่นๆ ได้ด้วย
ราคาของรุ่นนี้ก็สมกับความใหญ่ของตัวเครื่องเลย ซึ่งมีราคาขายอยู่ในศูนย์ของ Apple ที่ 19,900 บาท สามารถเพิ่ม AppleCare+ ได้ด้วย มีสีให้เลือกอยู่ทั้งหมด 5 สีคือ สเปซเกรย์, สีเงิน, สีสกายบลู, สีเขียว และ สีชมพู โดยรวมๆ แล้วรุ่นนี้ทำออกมาแบบพรีเมียม และสามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน หรือจะใช้ในด้านการงาน หรือดูหนังฟังเพลงก็ได้ แต่คิดว่าจะเหมาะกับคนที่ชอบหูฟังแบบ Headphone มากกว่า ถ้าจะซื้อมาใช้แบบทั่วไปแนะนำเป็นตัวโปรก่อนก็ได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบ และความพึงพอใจของแต่ละคนได้เลย รุ่นนี้มีราคามือสองอยู่เหมือนกัน แต่ต่างกันแค่หลัก 1,000 บาทเท่านั้น
ข้อมูล AirPods 3
สำหรับในรุ่นที่ 3 ของตัวซีรีส์นี้ ที่ได้เปิดตัวพร้อมกับ MacBook Pro อีกสองรุ่น ซึ่งในรุ่นนี้ก็เป็นไปตามคาดตามข่าวลือที่ออกมา อย่างแรกคือตัวดีไซน์ของรุ่นที่ 3 จะคล้ายๆ กับตัวโปรเลย แต่ยังคงมีความเป็นรุ่นเดิมคือเป็นแบบ Earbuds ที่ใส่กระชับเข้ากับหูได้มากขึ้น พร้อมกับปรับก้านให้สั้นลงกว่าเดิม และเคสที่เล็กกว่าเดิมเพื่อความสะดวกในการพกพาด้วย ส่วนชิปจะยังเป็นชิป H1 แต่ได้จัดเต็มฟีเจอร์มาให้ครบถ้วนจนแทบจะแตะรุ่นโปรอยู่แล้ว อย่างระบบเสียงตามตำแหน่ง (Spatial Audio) ที่เปิดใช้งานแล้วเราจะสามารถได้ยินเสียงเบาและดังต่างกันไปตามการหันหัวของเรา หรือพูดง่ายๆ ก็คือมันติดตามศีรษะแบบไดนามิกคล้ายกับอยู่ในโรงหนังเลย และก็ยังมี Adaptive EQ ที่สามารถปรับเสียงได้อัตโนมัติตามหูของเรา โดยตัวเครื่องจะจับเสียงและปรับความถี่ได้แบบเรีบลไทม์ ให้เหมาะกับตัวเรามากขึ้นนั่นเอง
นอกจากนี้ยังได้มีการใส่ Force Censor หรือเซ็นเซอร์แรงกดที่เราสามารถกดปรับเสียง หรือใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ด้วยการกดไปที่ตัวเครื่องได้เลย (คล้ายรุ่นโปร) พร้อมกับ High-excursion ที่ช่วยขยายสัญญาณช่วงไดนามิกสูงแบบเฉพาะ ทำให้เราได้ยินเสียงครบทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นที่หนักแน่น หรือว่าจะเสียงอื่นๆ ได้อย่างชัดเจนสมจริงมากขึ้น ซึ่งการดีไซน์ของตัวเครื่องที่มีผ้าตาข่ายอะคูสติกชนิดพิเศษ จึงทำให้เสียงรบกวนต่างๆ ลดลงไปได้เยอะเลยด้วย แถมตัวเคสก็สามารถชาร์จผ่าน MagSafe แบบไร้สายได้แล้ว กับการใช้งานที่ยาวนานขั้นกว่าเดิมเยอะมากๆ
ส่วนราคาที่เปิดตัวออกมานั้น จะมีราคาที่เท่ากับตอน AirPods 2 เปิดตัวใหม่ๆ เลยนั่นก็คือ 6,790 บาท และราคาของรุ่นเก่าก็ได้ลดราคาลงไปเป็นที่เรียบร้อย และรุ่นที่รองรับการใช้งานก็คือ iPhone 6s ขึ้นมาถึง iPhone 13, iPod touch และ iPad mini 4 ถึงรุ่นปัจจุบันที่ใช้ iOS เวอร์ชั่นล่าสุด ใครที่กำลังมองหาหูฟังดีๆ จาก Apple เพื่อมาใช้งาน ลองดูรุ่นใหม่นี้ไว้เป็นตัวเลือกก็ถือว่าดีและคุ้มค่ามากๆ ด้วยฟีเจอร์และฟังก์ชันต่างๆ ที่ทำออกมาเกือบจะเทียบได้กับรุ่นโปรอยู่แล้ว แถมยังมีราคาที่ไม่ได้แรงมากไปกว่าเดิมเท่าไหร่นัก ที่ตอนนี้มีราคาเพียง 6,790 บาทเท่านั้น
ข้อมูล AirPods Pro 2 (ใหม่)
สำหรับรุ่นโปรรุ่นใหม่ล่าสุดที่ได้เปิดตัวออกมาพร้อมกับ iPhone 14 Series และ Apple Watch รุ่นใหม่ ซึ่งการเปิดตัวในครั้งนี้ส่วนใหญ่แล้วก็จะมุ่งเน้นไปที่ด้านของ iPhone กันมากหน่อย แต่ว่าหูฟังอย่างรุ่น Pro 2 ที่ได้เปิดตัวออกมาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยรุ่นนี้ก็ได้ทำออกมาแบบใหม่หมดเลย ทั้งดีไซน์ที่เปลี่ยนไปและการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น แน่นอนว่ารูปแบบของตัวนี้ก็ยังเป็นแบบ In-Ear เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมาพร้อมชิป H2 ใหม่ที่มีอัลกอริทึมการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ทำให้รุ่นนี้ตัดเสียงได้ดีขึ้น ประหยัดพลังงาน และให้เสียงอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งรุ่นนี้ก็ได้ปรับเปลี่ยนให้ไมโครโฟนหันเข้าด้านใน ทำให้การจับเสียงพูดดีกว่าเดิมและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
โดยรุ่นนี้ก็ได้เน้นฟีเจอร์เด่นๆ อย่างการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟที่ทำออกมาได้ดีกว่าเดิมถึง 2 เท่า อีกทั้งยังมีโหมดฟังเสียงภายนอกที่ปรับตามสภาวะ ที่ช่วยลดความเข้มของเสียงอย่างเสียงที่ดังเกินไปเช่น เสียงซ่อมทาง เสียงไซเรนที่ดังกว่าปกติ ทำให้การฟังเสียงรอบตัวยังปกติอยู่ แต่เสียงที่ดังมากๆ จะลดลงไปแทน นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมตัวหูฟังได้ง่ายๆ ด้วยการเลื่อนขึ้น-ลงเพื่อปรับระดับเสียง บีบเพื่อเล่น-หยุดเพลง หรือรับ-วางสาย หรือถ้าบีบค้างก็จะสลับไปมาระหว่างการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ และโหมดฟังเสียงภายนอกที่ปรับตามสภาวะ
ส่วนในเรื่องของเสียงนั้นก็ได้ปรับการใช้งานเฉพาะบุคคลได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบเสียงตามตำแหน่ง หรือจะปรับเสียง EQ ให้เข้ากับตัวเองมากที่สุดแบบเรียลไทม์ โดยจะปรับตามรูปทรงหูของเราเองจากการทำงานร่วมกับกล้อง TrueDepth บน iPhone เพื่อให้เสียงออกมาดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีระบบเสียงสามมิติเมื่อ FaceTime แบบกลุ่มทำให้เหมือนเข้าไปนั่งอยู่ในห้องนั้นจริงๆ ที่สำคัญคือรุ่นนี้ก็มีเคสชาร์จ MagSafe ได้ด้วย ส่วนแบตก็อึดขึ้นเยอะ โดยสามารถฟังได้สูงสุด 6 ชั่วโมง และใช้งานร่วมกับเคสได้สูงสุด 30 ชั่วโมงเลยทีเดียว อีกทั้งเคสยังมีชิป U1 ที่ระบุตำแหน่งได้ว่าอยู่ที่ไหน พร้อมกับลำโพงและช่องคล้องสายในตัว และจุกหูฟังซิลิโคน 4 คู่ กันน้ำกันฝุ่นระดับ IPX4 ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยสำหรับรุ่นใหม่นี้ รุ่นนี้มีราคาเปิดตัวออกมาที่ 8,990 บาท และพร้อมวางขายในเร็วๆ นี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่
ตารางเปรียบเทียบราคา AirPods ล่าสุดทุกรุ่นที่วางขายในตอนนี้
รุ่น\ ข้อมูล | ราคา |
แอร์พอด (รุ่นที่ 2) | 5,290 บาท |
แอร์พอด (รุ่นที่ 3) แบบเคสชาร์จ Lightning | 6,790 บาท |
แอร์พอด (รุ่นที่ 3) แบบเคสชาร์จ MagSafe | 6,990 บาท |
AirPods Max | 19,900 บาท |
แอร์พอด โปร (รุ่นที่ 2) | 8,990 บาท |
แล้วทั้งหมดนี้ ก็เป็นข้อมูลของ AirPods ทุกรุ่นทั้ง 7 รุ่นที่มีอยู่ในตอนนี้ (รวมรุ่นแยกของรุ่นที่ 2 ด้วย) กับรุ่นใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวออกมาได้ไม่นานนี้ ส่วนรุ่นที่มีอยู่ในตอนนี้ ถ้าใครยังเลือกไม่ถูกว่าจะซื้อรุ่นไหนดี จะรอรุ่นใหม่เลย หรือว่าซื้อรุ่นเก่าที่มีอยู่แล้ว แนะนำว่าให้ตัดรุ่นแรกออกไปก่อนเลย เพราะว่าหาซื้อยากมากๆ ให้มาเลือกดูในรุ่นที่ 2 กับรุ่นโปรแทนได้เลย ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้เกือบจะคล้ายกันอยู่บ้าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนด้วย ถ้าอยากใช้งานแบบเต็มที่เต็มระบบ และได้เสียงที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง แนะนำว่าเพิ่มเงินอีกนิดซื้อรุ่นโปรรุ่นใหม่ไปเลยดีกว่า แต่ถ้าไม่ชอบแบบ In-Ear และอยากได้แบบการใช้งานทั่วไปจะใช้รุ่นที่ 2 หรือตัวใหม่คือรุ่นที่ 3 ก็ได้เช่นกัน สุดท้ายคือรุ่น Max ที่เป็น Headphone ตัวนี้ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับงบประมาณ และความชอบของการใช้หูฟังล้วนๆ หรือใครยังตัดสินใจไม่ได้ จะรอดูตัวใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวออกมาเร็วๆ นี้ก็ได้เหมือนกันนะ น่าจะถูกใจใครหลายคนเลย แล้วถ้ามีเรื่องไหนน่าสนใจอีก เราก็จะนำมาฝากกันเรื่อยๆ เลยนะครับ