หูฟังไอโฟนคือหนึ่งในไอเทมที่ขาดไม่ได้สำหรับคนใช้ไอโฟน โดยเฉพาะหลังจากที่ Apple เปิดตัว iPhone 12 Series แล้วได้ทำการตัดหูฟังออกไปจากกล่องของทุกเครื่องที่ยังวางขายอยู่ ทำให้ไม่ว่ายังไงก็ต้องหาหูฟังมาใช้ ซึ่งในปัจจุบันหูฟังไอโฟนนั้นมีให้เลือกมากมายทั้งแบบมีสายเดิม ๆ และแบบไร้สาย โดยที่แบบมีสายนั้นมีผู้ผลิตหลายรายที่ได้ผลิตหูฟังที่มีหัวเชื่อมต่อเป็น Lightning มาวางขาย ทำให้สามารถใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งหัวแปลง วันนี้ทีมงาน Specphone เราจะมาแนะนำหูฟังไอโฟน เสียงดี ๆ สำหรับใช้กับ iPhone ให้กับเพื่อน ๆ กัน ซึ่งจะมีตัวไหนบ้างนั้นไปชมกันได้เลย
วิธีการเลือกหูฟังแบบง่าย ๆ
เวลาจะเลือกหูฟังมาใช้สักตัว โดยทั่วไปแล้วหากไปถามใครให้ช่วยแนะนำก็จะได้คำแนะนำเดิม ๆ มาเหมือนกันหมดนั่นก็คือให้ไปลองฟังของจริงที่ร้านขายหูฟังก่อนว่าเป็นเสียงแบบที่ชอบหรือไม่ และทรงของหูฟังนั้นเข้ากับรูปทรงหูของเราหรือเปล่า เนื่องจากแต่ละคนนั้นจะมีรสนิบมความชอบที่แตกต่างกันจนไม่อาจฟันธงได้ว่าหูฟังนี้ที่เราใช้แล้วดีจะเหมาะกับคนที่มาขอคำแนะนำหรือเปล่า ทำให้ไม่ว่าจะอ่านรีวิวเยอะแค่ไหน โฆษณาเยอะแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะเข้ากันคนทุกคนได้ ดังนั้นควรหาโอกาสไปทดลองฟังดูสักครั้งให้ได้
สำหรับการเลือกหูฟังมาใช้ให้ได้คุณภาพเสียงดี ๆ เข้ากันได้กับหูเรา ไม่ว่าจะเป็นคนที่ซื้อครั้งแรกหรือคนที่ต้องการหูฟังเพิ่มก็สามารถใช้เช็คลิสท์นี้ได้เช่นกันโดยวิธีการเลือกซื้อจะมีดังนี้
1. หาแบรนด์ที่ตัวเองสนใจ
ในปัจจุบันนี้หูฟังนั้นมีหลายแบรนด์หลายรุ่นเอามาก ๆ ซึ่งทั้งดีไซน์, เทคโนโลยีที่ใช้และโทนเสียงของแต่ละแบรนด์ก็แตกต่างกันไป ดังนั้นถ้าเราเริ่มด้วยการเลือกแบรนด์ก่อนจะช่วยตัดตัวเลือกให้เราไปได้อย่างมาก อีกทั้งอาจจะเลือกจากแบรนด์เดียวกับมือถือที่เราใช้ได้อีกด้วย อย่างเช่นในบทความนี้เป็นการเลือกซื้อหูฟังให้ iPhone ก็อาจจะเลือกหูฟังอย่าง Earpods หรือ Airpods ก็ได้ โดยให้เราตั้งหูฟังแบรนด์นั้นเอาไว้เป็นตัวเลือกแรกก่อน แล้วค่อยเลือกเพิ่มมาอีกสัก 1-2 รุ่น เผื่อไว้ก็ได้
2. อ่านรีวิวของรุ่นนั้นเพื่อดูข้อดีข้อเสีย
การหารีวิวมาอ่านจะช่วยประหยัดเวลาไปทดลองใช้งานและฟังลงไปได้ส่วนหนึ่ง ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาทดลองทุกรุ่นรวมทั้งยังได้รู้ทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวหูฟังเมื่อได้ทดลองใช้เป็นระยะยาว ๆ อีกด้วย อีกทั้งเรายังได้เก็บข้อมูลของบางรุ่นที่น่าสนใจแต่ไม่มีโอกาสได้ทดลองฟังได้อีกด้วย
3. เลือกรุ่นที่มีฟีเจอร์ตอบโจทย์เรา
สำหรับหูฟังไร้สายนั้นมักมีฟีเจอร์ต่าง ๆ อัดแน่นมาให้ผู้ใช้ได้เลือกใช้งานไม่ว่าจะเป็นระบบตัดเสียงรบกวร, ระบบสั่งการด้วยการสัมผัส ฯลฯ ซึ่งถึงแม้หูฟังเหล่านี้จะมีฟีเจอร์มากมาย แต่หากเราไปโฟสกัสที่ฟีเจอร์ที่เราต้องใช้งานแน่ ๆ อย่างฟีเจอร์กันน้ำ, ระบบเสียง, ระยะเวลาใช้งานต่อครั้งและระยะเวลาใช้งานเมื่อรวมกับการชาร์จด้วยเคส ซึ่งนั่นเป็นสิ่งแรก ๆ ที่ควรโฟกัสหากต้องการหูฟังไร้สายดี ๆ สักตัว
4. ไปทดลองใช้และฟังที่หน้าร้าน
ไม่ว่าจะซื้อสินค้าชิ้นไหน การไปทดลองฟังหูฟังรุ่นนั้น ๆ ที่หน้าร้านก็เป็นเรื่องที่ควรทำเสมอ เพราะเราไม่รู้ว่าดีไซน์และจุกหูฟังของรุ่นนั้น ๆ เข้ากับหูเราดีแค่ไหน โทนเสียงของหูฟังนั้นโดนใจเราหรือเปล่า ดังนั้นเมื่อเราได้ลองฟังแล้วเปิดเพลงโปรดของเราฟังดูสัก 1-2 เพลง ก็น่าจะพอตอบได้ว่าหูฟังรุ่นนั้นใช่สำหรับเราหรือเปล่า
5. ซื้อที่ร้านไปเลยหรือจะรอโปรโมชั่นลดราคาก็ได้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ใครหลาย ๆ คนก็ไปเลือกดูของจากหน้าร้าน ทดลองเล่นจนพอใจแล้วก็จบกับโปรโมชั่นมากมายในแอพ ร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ แต่ไม่ว่าจะตัดสินใจซื้อจากหน้าร้านเลยเพราะอยากได้มานานแล้วและได้ของไปใช้ทันที หรือจะรอโปรโมชั่นลดราคาบวกกับของแถมของร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ ก็เป็นวิธีที่ดีทั้งคู่
10 หูฟังไอโฟน เสียงดี น่าใช้ ต้นปี 2021
สำหรับหูฟังที่ใช้กับไอโฟนได้นั้นนอกจากหูฟังแบบ True Wireless แล้ว หูฟังแบบมีสายก็มีเช่นกัน แต่ก็จำเป็นต้องเป็นรุ่นที่ผลิตขึ้นมาใช้เฉพาะเท่านั้น โดยหูฟังในกลุ่มนี้หัวต่อจะเป็น Lightning แทน 3.5 มม. ทำให้สามารถใช้กับไอโฟนได้โดยไม่ต้องไปหาหัวแปลง (หรือที่เราเรียกว่าหางหนู) มาต่อพ่วง โดยในที่นี้เราจะแนะนำหูฟังทั้งแบบ True Wireless และแบบสายให้เพื่อน ๆ กัน โดยที่แนะนำจะมีดังนี้
1. Apple AirPods Pro
Apple AirPods Pro หูฟังไร้สายตัวแรกเลยที่ต้องนึกถึงเลยสำหรับคนใช้ไอโฟน เพราะ AirPods Pro นี้เป็นหูฟังที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับไอโฟน ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอย่างถึงที่สุด (Android ก็ใช้ได้นะ แต่ใช้ได้ไม่ครบทุกฟีเจอร์)
โดยจุดเด่นของ AirPods Pro คือระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation ที่ใช้งานชิป Apple H1 ร่วมกับไมโครโฟนภายนอกเพื่อจับและตัดเสียงรบกวนออกไป ไดรเวอร์เป็นแบบ High-excursion เฉพาะของ Apple ส่วน Equalizer เป็นแบบ Adaptive คือตัวหูฟังจะปรับเสียงให้เข้ากับรูปหูของเราโดยอัตโนมัติ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 และตัวเคสรองรับการชาร์จไร้สายด้วยมาตรฐาน Qi หรือสาย Lightning ที่ก้านหูฟังรองรับการใช้ Touch control เพื่อควบคุมการเปลี่ยนเพลง, เปลี่ยนโหมดการตัดเสียงหรือปล่อยให้เสียงเข้าได้ ผ่านมาตรฐานการกันน้ำระดับ IPX4
แบตเตอรี่ใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานสุด 4.5 ชั่วโมง นานสุด 5 ชั่วโมงถ้าปิดระบบตัดเสียงรบกวน ใช้คุยโทรศัพท์ได้ 3.5 ชั่วโมง ใช้โทรศัพท์ต่อเนื่องได้นานสุด 18 ชั่วโมง ถ้าใช้ฟังเสียงอย่างเดียวโดยปรับเสียงให้อยู่ 50% และปิดระบบตัดเสียงรบกวนทิ้งไปจะใช้งานได้นานสุด 24 ชั่วโมง ชาร์จหูฟังในเคสแบบเร่งด่วน 5 นาที ใช้งานได้ 1 ชั่วโมง
สเปคของ Apple AirPods Pro
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0
- ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพอร์ต Lightning หรือชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi
- ไดรเวอร์ High-excursion ทำงานกับชิป Apple H1
- มีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ทำงานกับชิป Apple H1
- รองรับ Touch control เมื่อใช้งานกับ iPhone รองรับ Hey Siri
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 5 ชั่วโมง รวมการชาร์จแบตเตอรี่กับเคสจะใช้ได้นานสุด 24 ชั่วโมง
- ชาร์จไว 5 นาทีใช้ฟังเพลงได้ 1 ชั่วโมงชาร์จแบตเตอรี่
- กันน้ำระดับ IPX4
ราคา : 8,992 บาท
2. Apple AirPods 2
AirPods 2 หูฟังไร้สายตัวรองจาก Apple อีกตัวที่คนใช้ไอโฟนต้องนึกถึง เป็นรุ่นที่ใส่แล้วสบายหู สามารถใช้ได้ตลอดทั้งวัน เหมาะกับการใช้งานทั่ว ๆ ไปทั้งฟังเพลง ดูหนัง เล่นเกมส์ คุยโทรศัพท์
จุดเด่นของ AirPods 2 คือการใช้งานที่ง่ายและเข้ากันได้กับการใช้งานทุกประเภท และสามารถใช้ฟังเเพลงได้ทุกแนวด้วยชิปเสียง Apple H1 พร้อมด้วยเซ็นเซอร์ตรวจจับการสวมใส่ที่จะหยุดเล่นเพลงทันทีเมื่อถอดหูฟัง และจะเล่นเพลงต่อทันทีเมื่อสวมกลับเข้าไปใหม่ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 และตัวเคสรองรับการชาร์จไร้สายด้วยมาตรฐาน Qi หรือสาย Lightning (เคสชาร์จต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง) ที่ก้านหูฟังรองรับการใช้ Touch control เพื่อควบคุมการเปลี่ยนเพลง
แบตเตอรี่ใช้ในการฟังเพลงได้นานสูงสุด 5 ชั่วโมง และจะสามารถใช้ได้นานสูงสุด 24 ชั่วโมงเมื่อรวมกับเคสชาร์จ อีกทั้งยังใช้สนทนาได้นานสูงสุด 3 ชั่วโมงและจะสนทนาได้นานสูงสุด 18 ชั่วโฒงเมื่อรวมกับเคสชาร์จ อีกทั้งหากใส่เคสชาร์จไว้ 15 นาทีก็สามารถเอาไปใช้ฟังเพลงต่อได้อีกนานสูงสุด 3 ชั่วโมง และสนทนาต่อได้อีก 2 ชั่วโมง
สเปคของ Apple AirPods 2
- การเชื่อมต่อแบบ Bluetooth 5.0
- ชิปประมวลผล H1 ที่มีความสามารถมากขึ้น
- ตัวหูฟัง ใช้ฟังได้นาน 5 ชั่วโมง / สนทนาได้ 3 ชั่วโมง
- สามารถใช้เคสชาร์จหูฟังได้ ทำให้สามารถใช้ฟังได้นานกว่า 24 ชั่วโมง
- ชาร์จแบตเตอรี่ให้กับเคสผ่านพอร์ต Lightning และการชาร์จแบบไร้สาย (เฉพาะเคสชาร์จไร้สาย)
- รองรับการสั่งงาน Siri ด้วยเสียง โดยพูดคำว่า “หวัดดี Siri” (“Hey Siri)
- สามารถแตะที่หูฟังสองครั้ง เพื่อเปลี่ยนเพลง เรียก Siri หรือหยุด/เล่นเพลงได้
- ไมโครโฟนแยกแต่ละข้าง
- ใช้งานได้กับอุปกรณ์แทบทุกชนิดที่สามารถส่งสัญญาณเสียงผ่าน Bluetooth ได้
ราคา : 5,684 บาท (เคสชาร์จ) / 7,151 บาท (เคสชาร์จแบบไร้สาย)
3. Beat Powerbeats Pro
Beat Powerbeats Pro หูฟังสายออกกำลังกายของ Beat ที่มีการออกแบบตัวหูฟังที่มาพร้อม Earhooks ที่สามารถปรับให้โค้งเอียงรับใบหูได้ จึงทำให้สวมใส่กระชับใบหูได้พอดี ให้เสียงดี ฟังสนุก มีน้ำหนักที่เบา ช่วยเพิ่มอรรถรสในการออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีมาตรฐานการกันน้ำแบบ Sweatproof สามารถกันเหงื่อ กันน้ำได้
จุดเด่นของ Beat Powerbeats Pro ก็คือการที่ใช้ชิปเสียง Apple H1 ที่เป็นชิปตัวเดียวกับที่อยู่ใน AirPods ของ Apple ทำให้เพียงแค่เปิดฝาขึ้นมาก็สามารถเชื่อมต่อกับไอโฟนได้ในทันที นอกจากนี้ด้วยการที่ใช้ Bluetooth Class 1 ทำให้มีความเสถียรในการเชื่อมต่อที่สูงขึ้น สามารถเชื่อมต่อได้ไกลถึง 100 เมตร ลดโอกาสที่สัญยาณจะขาดหายในขณะที่เชื่อมต่ออยู่ได้ อีกทั้งยังมีระบบ Sensor Voice Accelerometer ที่จะทำงานความคู่กับไมค์โครโฟนในตัวหูฟังทั้ง 2 ข้าง ไว้สำหรับจับสัญญาณเสียงในขณะที่พูดทำให้เสียงไมค์โครโฟนมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
แบตเตอรี่สามารถใช่ฟังเพลงได้นานต่อเนื่องสูงสุด 9 ชั่วโมง และสามารถใช้ฟังเพพลงต่อได้อีกนานสูงสุด 24 ชั่วโมงเมื่อรวมกับแบตเตอรี่ในเคส และยังมีระบบ Fast Charge ที่ชาร์จเพียงแค่ 5 นาทีแต่ใช้งานได้ถึง 1.5 ชม. โดยการชาร์จตัวเคสจะใช้เป็นสายสัญญาณแบบ Lightning
สเปคของ Beat Powerbeats Pro
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth Class 1 ได้ไกล 100 เมตร
- เชื่อมต่อกับ iPhone และ iPad ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยชิพ Apple H1
- กันเหงื่อและกันน้ำได้ตลอดการออกกำลังกายที่หนักหน่วง
- สั่งการ หวัดดี Siri ได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องหยิบหรือจับตัวสินค้า
- ควบคุมระดับเสียงและเพลงได้ที่หูฟังแต่ละข้าง
- เปิด-ปิดอัตโนมัติ เมื่อนำหูฟังออกจากหู
- แบตเตอรี่ทนนานฟังต่อเนื่องได้ถึง 9 ชม. รวมกับการชาร์จในตัวเคสได้ถึง 24 ชม.
- เคสชาร์จด้วยสาย Lightning
ราคา : 8,900 บาท
4. Samsung Galaxy Buds Pro
Samsung Galaxy Buds Pro หูฟังไร้สายตัวล่าสุดของ Samsung ที่อออกมาพร้อมฟีเจอร์ระดับโปร หนึ่งในคู่แข่งของ AirPods Pro ที่ออกมาเพื่อใช้กับมือถือตระกูล Galaxy ของ Samsung แต่ก็ใช่ว่าไอโฟนจะใช้ไม่ได้ เพราะในไอโฟนก็มีแอพสำหรับใช้งาน Galaxy Buds Pro นี้เหมือนกัน ซึ่งฟีเจอร์ที่ Galaxy Buds Pro มีก็เยอะไม่แพ้ AirPods Pro เช่นกัน ทั้งไดรเวอร์หูฟังได้รับการจูนเสียงจาก AKG พร้อมกับลำโพงไดนามิค 2 ทิศทางมี Dolby ATOMS ให้เสียง 360 องศา รวมทั้งผ่านมาตรฐานการกันน้ำ IPX7 อีกด้วย
สำหรับจุดเด่นของ Samsung Galaxy Buds Pro จะโดดเด่นเรื่อง Active Noise Canceling ที่ได้รับการรับรองจาก UL Verification ว่าตัดเสียงได้กว่า 99% ช่วยจัดการเสียงรบกวนได้ดีมากรุ่นหนึ่งและยังมีการปรับเสียงเพลงให้เบาลงเมื่อมีการพูดคุยกันอีกด้วย โดยตัวลำโพงมีสองตัวคือ Subwoofer 11 มม. กับทวีตเตอร์ 6.5 มม. ทำงานกับชิป BCM 43015 รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 และรองรับไฟล์เสียงแบบ Scalable ของ Samsung, AAC, SBC รองรับการใช้ Touch control โดยแตะที่ตัวหูฟังเช่นเดียวกับหูฟัง True Wireless รุ่นอื่น ๆ และสลับไปมาระหว่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต Samsung ได้อย่างอิสระอีกด้วย
แบตเตอรี่ถ้าปิดระบบตัดเสียงรบกวนสามารถใช้ฟังเพลงได้ 8 ชั่วโมง รวมการชาร์จในเคสได้สูงสุด 28 ชั่วโมง ใช้โทรศัพท์ได้ต่อเนื่อง 5 ชั่วโมง และใช้ชาร์จในเคสได้ 17.5 ชั่วโมง ถ้าใช้งานแบบเปิดระบบตัดเสียงรบกวนจะใช้ฟังเพลงได้ 5 ชั่วโมงต่อเนื่อง รวมชาร์จในเคสได้ 18 ชั่วโมง โทรศัพท์ได้ 4 ชั่วโมง รวมชาร์จในเคสได้ 14.5 ชั่วโมง รองรับการชาร์จไวโดยชาร์จหูฟังในเคส 5 นาที จะใช้งานได้ 1 ชั่วโมง
สเปคของ Samsung Galaxy Buds Pro
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0
- ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพอร์ต USB หรือชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi
- ไดรเวอร์สองตัวปรับแต่งด้วย AKG มี Subwoofer ขนาด 11 มม. กับทวีตเตอร์ขนาด 6.5 มม. ทำงานกับชิป BCM 43015
- มีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนได้ 99% ได้รับการรับรอง UL Verification
- รองรับ Touch control และรองรับการสลับไปมาระหว่างอุปกรณ์ Galaxy ด้วยกัน
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 8 ชั่วโมง รวมการชาร์จแบตเตอรี่กับเคสจะใช้ได้นานสุด 28 ชั่วโมง
- ชาร์จไว 5 นาทีใช้ฟังเพลงได้ 1 ชั่วโมงชาร์จแบตเตอรี่
- รองรับ Google Assistant, Samsung Bixby
- กันน้ำระดับ IPX7
ราคา : 6,990 บาท
5. Sony WF-1000XM3
Sony WF-1000XM3 เป็นสุดยอดหูฟังไร้สายด้านการตัดเสียงรบกวนขึ้นชื่อของ Sony ที่ให้เสียงเวลาฟังเพลงโดดเด่นไม่แพ้ใคร โดยชิปที่ฝังอยู่ภายในอย่าง DSEE HX จะทำให้เสียงไฟล์เพลงดิจิตอลมีคุณภาพสูงขึ้น ขับเสียงผ่านไดรเวอร์ขนาด 6 มม. พร้อมชิปกันเสียงรบกวน Sony QN1e ซึ่งเว็บไซต์ต่างประเทศที่ได้รีวิวหูฟังรุ่นนี้แล้ว ต่างพากันลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ว่า WF-1000XM3 เป็นหูฟัง True Wireless ที่มีระบบ Noise Cancellation ดีสุดในโลกรุ่นหนึ่ง
สเปคส่วนอื่น ๆ คือตัวหูฟังจะตอบสนองที่คลื่น 20Hz – 20,000Hz รองรับไฟล์เสียงแบบ SBC, AAC สามารถปรับ Equalizer ได้ด้วยแอพ Sony Headphones Connect มีฟีเจอร์ Touch Control แตะหูฟังเพื่อคุมการฟังเพลงและเชื่อมต่อกับ Google Assistant, Amazon Alexa ได้ เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 โดยเชื่อมหูฟังสองข้างพร้อมกัน ไม่ใช้วิธีการเชื่อมแบบใช้ตัวหลักแล้วส่งสัญญาณไปหูฟังตัวรอง มี NFC ใช้จับคู่ระหว่างมือถือที่มี NFC กับหูฟังแบบ One-touch connection มีพอร์ต USB-C สำหรับใช้ชาร์จแบตเตอรี่ให้ตัวเคส
ส่วนการใช้งานถ้าเปิดระบบตัดเสียงรบกวนจะใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานสุด 6 ชั่วโมง, โทรต่อเนื่องได้นานสุด 4 ชั่วโมงและสแตนด์บายได้ 9 ชั่วโมง ถ้าปิดระบบตัดเสียงรบกวนจะใช้งานได้นานขึ้น เพิ่มเวลาฟังเพลงเป็น 8 ชั่วโมง, โทรต่อเนื่องได้ 4.5 ชั่วโมงและสแตนด์บายได้ 15 ชั่วโมง การชาร์จแบตเตอรี่ใช้เวลา 1.5 ชั่วโมงถ้าชาร์จจาก 0% จนเต็ม สามารถชาร์จหูฟังกับกล่องเพียง 10 นาทีแล้วใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้อีก 90 นาที ส่วนตัวหูฟังรวมกล่องชาร์จหนัก 77 กรัม
สเปคของ Sony WF-1000XM3
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 แบบเชื่อมทั้งสองข้างพร้อมกัน ระยะห่างสุด 10 เมตร
- มี NFC สำหรับจับคู่มือถือและหูฟังแบบรวดเร็ว
- ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพอร์ต USB-C บนตัวเคส
- ไดรเวอร์ขนาด 6 มม. กับชิปเสียง DSEE HX รองรับไฟล์เสียงแบบ SBC, AAC
- มีชิป Sony QN1e ใช้ตัดเสียงรบกวนได้ดีมาก
- ตอบสนองที่คลื่น 20Hz – 20,000Hz
- ปรับ Equalizer ได้ด้วยแอพ Sony Headphones Connect
- รองรับ Touch control รองรับการใช้งานร่วมกับ Google Assistant, Amazon Alexa
- ใช้งานแบบเปิด Noise Cancellation : ฟังเพลงได้ 6 ชั่วโมง, โทรศัพท์ได้ 4 ชั่วโมง, สแตนด์บายได้ 9 ชั่วโมง
- ใช้งานแบบปิด Noise Cancellation : ฟังเพลงได้ 8 ชั่วโมง, โทรศัพท์ได้ 4.5 ชั่วโมง, สแตนด์บายได้ 15 ชั่วโมง
- ชาร์จไว 10 นาทีใช้ฟังเพลงได้ 90 นาที ส่วนชาร์จแบตเตอรี่จาก 0% จนเต็มใช้เวลา 1.5 ชั่วโมง
- น้ำหนักรวมเคสอยู่ที่ 77 กรัม
ราคา : 5,990 บาท
6. Fender Tour
Fender Tour เป็นหูฟังไร้สายแรกของทางแบรนด์ Fender ที่เป็นผู้ผลิตกีตาร์และแอมป์ชั้นนำของโลก โดย Fender Tour นี้เป็นหูฟังแบบมอนิเตอร์ที่เกิดมาเพื่อคนรักการฟังเพลงโดยเฉพาะ สามารถปรับแต่งเสียงใน Equalizer ได้และเสียงในหูฟังจะเทียบเท่ากับระดับ Sound Engineer ได้ยินในห้องอัดเสียงทีเดียว
สเปคของตัวหูฟังติดตั้งไดรเวอร์ไดนามิคขนาด 7 มม. แบบ Full-range ทำงานกับชิป DSP Engine ใช้ควบคุมเสียงของหูฟังพร้อมกับปรับแต่งเสียงและ Equalizer ในแอพได้ละเอียดมาก มีไมโครโฟนติดตั้งอยู่ 2 ตัว ช่วยให้คุยโทรศัพท์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 รองรับ SBC, aptX ด้วย ตัวเคสชาร์จผ่านพอร์ต USB-C กันน้ำระดับ IPX4 ส่วนแบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องได้ 5 ชั่วโมง และรวมชาร์จกับเคสจะได้นานสุด 17 ชั่วโมง รองรับการชาร์จเร็ว 15 นาที จะใช้งานได้ 1 ชั่วโมง
สเปคของ Fender Tour
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 รองรับ SBC, aptX
- ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพอร์ต USB-C
- ไดรเวอร์ไดนามิค 7 มม. Full-range ทำงานกับชิป DSP Engine เป็นหูฟัง True Wireless ให้เสียงระดับมอนิเตอร์
- ปรับแต่งเสียงและ Equalizer ได้ในแอพฯ Fender Tour
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 5 ชั่วโมง รวมการชาร์จแบตเตอรี่กับเคสจะใช้ได้นานสุด 17 ชั่วโมง
- ชาร์จไว 15 นาทีใช้ฟังเพลงได้ 1 ชั่วโมง
- กันน้ำระดับ IPX4
ราคา : 6,990 บาท
7. Apple EarPods
Apple EarPods หูฟังแบบสายมาตราฐานที่แต่เดิมแถมมาให้ในกล่องไอโฟนทุกรุ่น แต่หลังจาก Apple เปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ปุ๊บ EarPods ก็ถูกตัดออกจากทุกกล่องทันที แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถหาซื้อได้ในราคา 690 บาท ตามร้านค้าต่าง ๆ ที่ขายอุปกรณ์ Apple
จุดเด่นของ EarPods ก็คือการสวมใส่ที่สบายและคุณภาพเสียงที่ดี มีคุณภาพเสียงระดับสูงสุด และเพราะเป็นแบบต่อสายด้วยหัวแบบ Lightning ทำให้ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องระยะเวลาใช้งาน แถมไม่ต้องกลัวเรื่องการเปียกด้วย นอกจากนี้ตัวหูฟังยังสามารถควบคุมการทำงานทั้งรับ-วางสาย เล่น-หยุดเพลง และยังสามารถปรับระดับเสียงได้อีกด้วย
ราคา : 690 บาท
8. JBL Reflect Aware
JBL Reflect Aware เป็นหูฟังแบบ In-Ear ที่ JBL เปิดตัวในงาน Keynote ของ Apple พร้อม ๆ กับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus โดยทาง JBL นั้นได้ออกแบบให้ Reflect Aware ตัวนี้สามารถใช้งานร่วมกับ iDevice ได้ผ่านทางช่อง Lightning
โดยจุดเด่นของ Reflect Aware มาพร้อมกับ Active-Noise Cancelling ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดี พร้อมทั้งยังให้การสวมใส่ที่สบาย และมี 3-Button Remote สำหรับใช้งานกับ iDevice ได้อย่างสะดวก สามารถป้องกันเหงื่อได้ดีสามารถนำไปออกกำลังกายได้ และยังเคลือบด้วยสารสะท้อนแสงที่ช่วยสะท้อนแสงไฟจากหน้ารถทำให้ผู้ขับขี่รถนั้นสามารถมองเห็นผู้สวมใส่ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งเมื่อใช้งานร่วมกับแอพ My JBL Headphones จะทำให้เราสามารถปรับ EQ ให้เหมาะกับแนวเพลงที่เราฟังได้และยังเลือกปรับระดับของการตัดเสียงรบกวนได้ถึง 3 ระดับตามแต่สภาพแวดล้อมที่เราอยู่ในขณะนั้นได้
ราคา : 6,990 บาท
9. Apple AirPods Max
AirPods Max เป็นหูฟังทรง Headphone ไร้สายตัวแรกของทาง Apple ที่ถึงแม้จะไม่มีโลโก้ Apple ให้เห็น แต่ก็ยังสามารถรู้ได้ว่านี่คืออุปกรณ์ Apple ด้วยปุ่ม Digital Crown แบบเดียวกับที่อยู่บน Apple Watch และการดีไซน์แบบไร้ปุ่มปิด-ปิดเครื่องที่ส่อให้เห็นถึงความพรีเมี่ยมในตัว นอกจากนี้หากได้ลองฟังเสียงดูก็จะพบกับเอกลักษณ์หูฟัง Apple ด้วยเสียงที่เป็นกลาง ทำให้สามารถฟังเพลงได้หลากหลายแนว
จุดเด่นของ AirPods Max คือตัวบอดีที่ทำมาจากสเตนเลสสตีลที่แข็งแรง ทนทาน ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยม ด้านบนที่เป็นสายคาดหุ้มด้วยวัสดุคล้ายยางหรือซิลิโคนนุ่มมือ ผสมผ้าถักตาข่ายที่มีน้ำหนักเบา ยืดหยุ่น ไม่กดทับศีรษะ ในด้านของเสียงนั้นด้วยชิปเสียง H1 กับซอร์ฟแวร์คุณภาพทำให้เสียงที่ได้นั้นสามารถเข้าได้กับหลากหลายแนวเพลง อีกทั้งยังสามารถปรับแต่ง EQ ได้เองตามใจนึก และยังมีเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนอัตโนมัติ (Active Noise Cancellation), โหมดฟังเสียงภายนอก (Transparency Mode) ที่ทำให้เรายังคงได้ยินเสียงจากภายนอก เช่น เสียงรถ เสียงแตร เสียงคนเรียก ฯลฯ ขณะเปิดฟังเพลง รวมถึงระบบเสียงตามตำแหน่ง (Spatial Audio) ที่เหมาะกับการรับชมภาพยนตร์อีกด้วย
ตัวหูฟังของ AirPods Max มาพร้อมไมโครโฟน 9 ตัว แบ่งเป็น 8 ตัวสำหรับเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนแบบ Active และอีก 3 ตัวสำหรับรับเสียงพูด (ไมโครโฟนสองชุดนี้ใช้งานร่วมกัน) สำหรับแบตเตอรี่นั้นสามารถใช้งานได้นานสูงสุด 20 ชั่วโมงต่อเนื่อง เมื่อเก็บเข้าเคสหูฟังจะเข้าสู่โหมดใช้พลังงานต่ำโดยอัตโนมัติ และเมื่อใดที่แบตเตอรี่หมด เพียงแค่หยิบมาชาร์จเพียง 5 นาทีก็สามารถใช้งานต่อได้นานถึง 90 นาทีเลยทีเดียว
สเปคของ Apple AirPods Max
- วัสดุเป็นสเตนเลส
- น้ำหนัก 384.8 กรัม (แอบหนัก)
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0
- ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพอร์ต Lightning
- มีไมโครโฟน 9 ตัว สำหรับใช้กับ ANC 8 ตัว และใช้สำหรับพูด 3 ตัว
- ปุ่ม Digital Crown ควบคุมทุกอย่าง
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 20 ชั่วโมง พร้อมด้วยการเข้าสู่โหมดพลังงานต่ำโดยอัตโนมัติเมื่อไม่ใช้งาน
- ชาร์จไว 5 นาทีใช้ฟังเพลงได้ 90 นาที
- มีเซ็นเซอร์
- เซ็นเซอร์แบบออปติคอล (ที่ครอบหูแต่ละข้าง)
- เซ็นเซอร์ระบุตำแหน่ง (ที่ครอบหูแต่ละข้าง)
- เซ็นเซอร์ตรวจจับเคส (ที่ครอบหูแต่ละข้าง)
- อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว (ที่ครอบหูแต่ละข้าง)
- ไจโรสโคป (ที่ครอบหูข้างซ้าย)
ราคา : 19,900 บาท
10. Sony WH-1000XM4
Sony WH-1000XM4 เป็นหูฟังไร้สายแรกของทางแบรนด์ Fender ที่เป็นผู้ผลิตกีตาร์และแอมป์ชั้นนำของโลก โดย Fender Tour นี้เป็นหูฟังแบบมอนิเตอร์ที่เกิดมาเพื่อคนรักการฟังเพลงโดยเฉพาะ สามารถปรับแต่งเสียงใน Equalizer ได้และเสียงในหูฟังจะเทียบเท่ากับระดับ Sound Engineer ได้ยินในห้องอัดเสียงทีเดียว
จุดเด่นของ AirPods Max คือรด้วยการดีไซน์ที่มีการปรับแต่งมาเป็นอย่างดี พร้อมเพิ่มคุณสมบัติทางด้านเสียงให้ดีขึ้นโดยการจัดวางไดร์เวอร์ ให้แกนอยู่ในแนวเดียวกัน ช่วยในเรื่องเสียงเพื่อมอบประสบการณ์การฟังเพลงที่ดียิ่งขึ้นไปอีกขั้น แถมยังได้รับการปรับจูนเสียงมาให้เป็น Universal ทำให้รองรับได้หลากหลายแนวเพลงมากขึ้นอีกด้วย อีกทั้งยังแก้ไขจุดอ่อนเรื่องเสียงเบสด้วยช่องระบายเบสที่ผ่านการตัดอย่างแม่นยำด้วยเลเซอร์ช่วยให้เสียงเบสมีความสมดุลมากเท่าที่หูฟังตัวหนึ่งจะให้ได้
สเปคของ Fender Tour
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 รองรับ SBC, aptX
- ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพอร์ต USB-C
- ไดรเวอร์ไดนามิค 7 มม. Full-range ทำงานกับชิป DSP Engine เป็นหูฟัง True Wireless ให้เสียงระดับมอนิเตอร์
- ปรับแต่งเสียงและ Equalizer ได้ในแอพฯ Fender Tour
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 5 ชั่วโมง รวมการชาร์จแบตเตอรี่กับเคสจะใช้ได้นานสุด 17 ชั่วโมง
- ชาร์จไว 15 นาทีใช้ฟังเพลงได้ 1 ชั่วโมง
- กันน้ำระดับ IPX4
ราคา : 6,990 บาท
สรุปหูฟังไอโฟนตัวไหนดี
ให้ให้ต้องตัดสินใจแบบเจาะจงเลยว่าหูฟังไอโฟนตัวไหนน่าซื้อที่สุด ในที่นี้ผมขอยกให้ Airpods Pro มาเป็นที่ 1 เลย เพราะด้วยระบบที่ออกแบบมาให้ใช้กับไอโฟนได้เต็มที่ ทำให้เป็นตัวที่น่าซื้อที่สุดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นผู้ใช้ที่มี iDevice มากกว่า 1 เครื่องจะยิ่งเห็นผลมาก และสำหรับใครที่ต้องการประหยัดแบบสุดตัว EarPods ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ด้วยราคาไม่ถึง 1,000 บาท แถมยังได้เสียงดี ไม่มีดีเลย์ จะใช้ต่อเนื่องนานเท่าไรก็ได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยสายที่จะเกะกะเวลาถือ
สำหรับใครที่อยากได้หูฟังมาไว้เล่นเกมเป็นหลักการเลือก Razer Hammerhead คือตัวเลือกที่ดีที่สุด ด้วยระบบ Low Latency ที่ช่วยให้เสียงไม่มีดีเลย์เหมือน AirPods Pro แต่สามารถหาซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่ามาก ๆ ทำให้เหมาะกับเหล่าเกมเมอร์ที่สุดแล้ว
และหากใครที่อยากได้หูฟังเทพ ๆ สำหรับเอาไว้ฟังเพลงอย่างเดียว Sony WF-1000XM4 นี่แหละคือที่สุดแล้วในด้านการฟังเพลง ด้วยระบบตัดเสียงรบกวนที่ดีที่สุดในโลก ทำให้เราสามารถฟังเพลงได้เหมือนอยู่ในโลกส่วนตัวเลยทีเดียว แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่แพงในระดับหนึ่ง ทำให้หากไม่ใช่คนที่ชอบการรฟังเพลงจริง ๆ อาจมีลังเลบ้าง