WWDC 2022 งานเปิดตัวเทคโนโลยีของทาง Apple ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยในครั้งนี้นั้นมีการเผยถึงระบบปฏิบัติการณ์รุ่นใหม่อย่าง iOS 16, iPadOS 16 และ watchOS 9 จะน่าสนใจมากแค่ไหนและใครจะได้ไปต่อบ้างนั้นไปติดตามกัน
จัดขึ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับงานเปิดตัวทางด้านเทคโนโลยีงานใหญ่ของทาง Apple เองอย่าง WWDC ประจำปี 2022 ที่ในปีนี้นั้นสำหรับฝั่งผู้ใช้สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ตและ Apple Watch ได้เหกันไปเต็มๆ เพราะทาง Apple ได้ทำการเปิดตัวระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่มาให้ครบทุกแพลตฟอร์มอย่าง iOS 16, iPadOS 16 และ watchOS 9 แต่ละระบบปฏิบัติการณ์จะมีอะไรเพิ่มเข้ามาใหม่ให้ผู้ใช้ได้ใช้งานและเครื่องรุ่นไหนที่จะได้ไปต่อกับระบบปฏิบัติการณ์ใหม่นี้บ้างนั้น ไปติดตามกันได้เลย
- iOS 16 ระบบปฏิบัติการณ์เวอร์ชันใหม่สำหรับผู้ใช้ iPhone
- iPadOS 16 ระบบปฏิบัติการณ์เวอร์ชันใหม่สำหรับผู้ใช้ iPad
- watchOS 9 ระบบปฏิบัติการณ์เวอร์ชันใหม่สำหรับผู้ใช้ Apple Watch
iOS 16 ระบบปฏิบัติการณ์เวอร์ชันใหม่สำหรับผู้ใช้ iPhone
Lock screen ที่ปรับแต่งได้ตามใจผู้ใช้
เริ่มต้นเอาใจผู้ใช้ iPhone กันก่อนกับ iOS 16 ที่ในครั้งนี้นั้นนอกเหนือไปจากเรื่องของการอัปเดทเสถียรภาพและความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการณ์แล้ว ทาง Apple ได้เอาใจผู้ใช้ด้วยการตอบสนองต่อสิ่งที่ผู้ใช้เรียกร้องกันมาหลายยุคหลายสมัยด้วยการเปิดให้ผู้ใช้สามารถทำการปรับแต่งหน้าจอ Lock screen ได้มากขึ้นกว่าเดิมแบบยกเครื่องมาเลยทีเดียว
จุดเด่นใหญ่ที่สุดก็คือบน iOS 16 นั้นผู้ใช้สามารถที่จะทำการปรับแต่งพื้นหลังของหน้าจอ Lock screen ได้เองแล้วตามใจชอบโดยสามารถที่จะตั้งให้เป็นภาพนิ่งต่างๆ จากคลังรูปภาพที่เก็บไว้ หรือจะใช้งานเป็นภาพเคลื่อนไหว(Live wallpaper) ก็ได้อีกเช่นเดียวกัน งานนี้ก็ไม่ต้องเบื่อกับหน้าจอ Lock screen เดิมๆ กันอีกต่อไป
หมายเหตุ – ผู้ใช้ยังสามารถที่จะนำเอาภาพนิ่งในคลังภาพของตัวเองมาทำเป็นรูปภาพบนหน้าจอล๊อคแบบที่ให้เปลี่ยนรูปภาพไปเรื่อยๆ ได้ด้วยอีกต่างหากผ่านทางฟีเจอร์ Photo Shuffle ซึ่งจุดนี้เรียกได้ว่าเยี่ยมเอามากๆ เพราะไม่จำเป็นต้องใช้แอปพลิเคชันนอกมาเพิ่มเติมอีกต่อไป(แต่ผู้พัฒนาแอปพลิเคชันอาจจะไม่ชอบใจเท่าไรเพราะ Apple เล่นทำมาให้ผู้ใช้ได้ใช้งานกันเองเลย)
ไม่เพียงแค่จะปรับพื้นหลังได้ตามใจชอบเพราะบน iOS 16 นั้นยังปล่อยให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มลด Widget ไว้บนหน้าจอ Lock screen ได้ด้วยตัวเองอีกด้วยต่างหาก โดยการเพิ่มเติม Widget ขึ้นไปบนหน้าจอ Lock screen นั้นก็สามารถที่จะทำได้อย่างง่ายดายเหมือนกับการเพิ่ม Widget บนหน้าจอการใช้งานหลักอีกด้วย
ยังไม่หมดแค่เพียงเท่านั้นเพราะ Apple ได้ใส่ใจกับการใช้งานจริงด้วยการเพิ่ม Live Activities API เข้ามาโดยเจ้า Live Activities API นี้นั้นจะเข้ามาช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะนำเอา Widget และ notifications ที่แสดงผลแบบ real-time มาขึ้นโชว์ไว้บนหน้าจอ Lock screen ได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่นท่านสามารถที่จะนำเอา Widget แสดงผลฟุตบอลมาโชว์ไว้ที่หน้าจอ Lock screen ได้เลย งานนี้ก็สามารถดูผลบอลได้โดยไม่จำเป็นต้องปลดล๊อคหน้าจออีกต่อไป
อีกจุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั้นก็คือทาง Apple ได้ให้อิสระกับผู้ใช้ในการจัดวางตำแหน่ง Widget บนหน้าจอ Lock screen ได้ด้วยตัวเองอีกต่างหาก งานนี้จะช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนรูปแบบหน้าจอ Lock screen ของคุณได้หลายรูปแบบโดยไม่ต้องห่วงว่าตำแหน่งการจัดวางของ Widget ต่างๆ นั้นจะมาตัดกับภาพพื้นหลังที่แสดงผลบนหน้าจอ Lock screen อยู่จนทำให้คุณไม่สามารถอ่านข้อมูลบน Widget ได้ เรียกได้ว่า Apple ใส่ใจผู้ใช้งานจริงๆ
Focus
อัปเดทต่อมานั้นจะเป็นในส่วนของฟีเจอร์ Focus หรือการเลือกโปรไฟล์การแจ้งเตือนต่างๆ ของระบบของ iOS ให้เข้ากันกับระบบ Lock screen แบบใหม่ที่คุณสามารถทำการเลือก Focus นั้นๆ ได้บนหน้าจอ Lock screen ได้โดยตรงไม่จำเป็นต้องปลดล๊อคหน้าจอก่อน นอกไปจากนั้นแล้วหลังจากที่คุณเลือกโปรไฟล์แล้วนั้น หากคุณปลดล๊อคหน้าจอโปรไฟล์ที่คุณเลือกไว้ก็จะทำงานต่อในหน้าจอการทำงานปกติของตัวระบบปฏิบัติการณ์ด้วย งานนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะแอบดูแชทตอนช่วงประชุมแล้วลืมตัวไปว่าเปิดเสียงเอาไว้อยู่อีกต่อไป(แต่ทางที่ดีตอนประชุมก็วางสมาร์ทโฟนของคุณไว้ก่อนจะดีกว่านะ)
Messages
ฟีเจอร์ต่อมาที่ได้รับการอัปเดทด้วยบน iOS 16 ก็คือแอปพิลเคชัน Messages ซึ่งได้รับการอัปเกรดใหญ่ๆ 4 อย่างด้วยกันดังต่อไปนี้
- คุณสามารถที่จะแก้ไขข้อความได้แล้ว โดยการแก้ไขข้อความนี้นั้นนอกเหนือไปจากแก้ไขข้อความที่ส่งไปแล้วคุณยังสามารถที่จะทำการยกเลิกการส่งข้อความ(Undo Send) และตั้งค่าให้ข้อความนั้นยังคงไม่ถูกอ่านได้อีกด้วย(เหมือนกับการตั้งค่าอีเมลว่ายังคงไม่ถูกเปิดอ่านทั้งๆ ที่ได้มีการเปิดอ่านไปแล้ว)
- ระบบเขียนตามคำบอก(Dictation) ได้รับการอัปเดทใหญ่ด้วยการใส่ระบบการเขียนตามคำบอกมาไว้ในเครื่องเลยไม่ต้องต่อเน็ทให้เปลืองการใช้ข้อมูลเครือข่ายอีกต่อไป(แต่ว่าข้อมูลการติดตั้งระบบปฏิบัติการณ์จะกินพื้นที่แหล่งเก็บข้อมูลมากขึ้น) ที่สำคัญคุณยังสามารถเปลี่ยนไปมาระหว่างระบบเขียนตามคำบอกกับการพิมพ์ได้อย่างไหลลื่นด้วยอีกต่างหาก
- ระบบช่วยเหลือการพิมพ์ได้รับการอัปเกรดเพิ่มเติมเช่นตัวช่วยจำ emoji ที่สามารถเลือก emoji ที่คุณต้องการได้อย่างชาญฉลาด, ระบบการใส่เครื่องหมายวรรคตอนต่างๆ และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือรองรับการใช้งานกับ Siri อย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย
- ฟีเจอร์ SharePlay สามารถใช้งานได้โดยตรงผ่านทาง Messages ได้แล้ว
Live Text
ใน iOS 16 นี้นั้นทาง Apple ได้ใส่ฟีเจอร์การคัดลอกข้อความที่ปรากฎอยู่บนรูปภาพหรือคลิปวีดีโอในชื่อว่า Live Text ออกมาด้วย(คล้ายๆ ฟีเจอร์ Lens ของทาง Google) งานนี้ผู้ใช้งานสายออฟฟิศต้องชื่นชอบมากๆ อย่างแน่นอน
Apple Wallet
Apple Wallet ได้รับการอัปเกรดใหญ่ๆ เช่นเดียวกันโดยคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม ตัวอย่างเช่นบน iOS 16 นี้นั้น Apple Wallet จะทำการแสดงผลเฉพาะอายุของคุณไม่แสดงผล วัน/เดือน/ปี เกิด ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นส่วนตัวมากกว่าของคุณให้กับคู่ค้าอีกต่อไป นอกไปจากนั้นแล้วคุณยังสามารถแชร์คีย์เสมือนผ่าน Wallet ไปยัง Messages หรือแอปพลิเคชันอื่นๆ เพื่อให้ทำการตัดเงินผ่านทาง Apple Wallet ได้อีกด้วย
มาถึงฟีเจอร์ที่สายผ่อนต้คงต้องปลื้มกันแบบสุดๆ (แต่คนไทยเรานั้นคงได้แต่รอกันต่อไปก่อนเพราะ Apple Wallet ยังใช้งานในบ้านเราไม่ได้) ก็คือฟีเจอร์ Apple Pay Later ที่จะช่วยให้คุณใช้เงินก่อนแล้วจ่ายทีหลัง(คล้ายๆ สิ้นเชื่อดิจิทัล) โดยสามารถที่จะเลือกระยะเวลาชำระได้สูงสุดถึง 6 เดือนด้วยกัน
iCloud Shared Photo Library
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ Apple สามารถที่จะทำมาได้ดีโดยตลอดกับการแชร์รูปภาพขึ้นบน iCloud ที่ในครั้งนี้นั้นผู้ใช้สามารถที่จะสร้าง iCloud library แยกได้เองต่างหากตามความต้องการโดยใน iCloud library หนึ่งๆ นั้นสามารถที่จะเลือกผู้ร่วมแชร์ภาพให้เข้ามาใช้รูปภาพในนั้นได้สูงสุดถึง 6 คนอีกด้วย
และที่เหนือไปกว่านั้นก็คือ iCloud library ที่คุณแชร์นั้นตัวระบบยังสามารถที่จะแยกแยะการแชร์รูปภาพไปยังคนที่ปรากฎอยู่บนรูปภาพบน iCloud library ได้ด้วยอีกต่างหากแบบอัตโนมัติ งานนี้เรียกได้ว่าทำให้ผู้ใช้งานสายแชร์สะดวกสบายมากขึ้นจริงๆ
Apple Maps
สำหรับผู้ที่ใช้งาน iPhone ช่วยในการนำทางนั้น งานนี้ Apple Maps เองก็ได้รับการอัปเกรดด้วยเช่นเดียวกันโดยในครั้งนี้นั้นจะมีอีก 11 ประเทศเพิ่มเติมที่สามารถใช้งาน Apple Maps ได้อย่างเต็มรูปแบบ มีการเพิ่มฟีเจอร์การกำหนดเส้นทางแบบหลายจุด(ได้สูงสุดถึง 15 จุดแวะพัก) นอกไปจากนั้นยังมีอีก 5 หัวเมืองใหญ่ที่ผู้ใช้จะสามารถใช้ฟีเจอร์การแสดงผลภาพแบบ 3D เต็มรูปแบบได้อีกด้วย
CarPlay
ฟีเจอร์สุดท้ายสำหรับ iOS 16 ที่ยังคงไม่มีการเผยข้อมูลออกมามากนักก็คือการใช้งาน iOS ร่วมกับ CarPlay ที่ได้รับการออกแบบหน้าจอบน CarPlay แบบยกเครื่อง ทว่ามีการคาดการณ์เอาไว้ว่าผู้ใช้งาน iOS 16 จะสามารถทำการปรับแต่งหน้าจอ CarPlay ได้ตามใจชอบด้วย
สำหรับผู้ใช้ที่ iPhone ที่จะสามารถอัปเกรดมาใช้งาน iOS 16 ได้นั้นจะต้องเป็นผู้ใช้งาน iPhone 8 เป็นต้นไป ดังนั้นแล้ว iPhone 7 ก็ถือว่าตกรุ่นแล้วอย่างเป็นทางการในปี 2022 ด้วยประการฉะนี้เอง
iPadOS 16 ระบบปฏิบัติการณ์เวอร์ชันใหม่สำหรับผู้ใช้ iPad
มาที่ฝั่งผู้ใช้งาน iPad กันบ้างกับ iPadOS 16 ที่ฟีเจอร์ใหญ่ๆ นั้นยังคงได้รับผลพวงมาจาก iOS 16 ทว่าแน่นอนว่าเมื่อเป็น iPadOS แล้วนั้นก็ต้องมีการอัปเดทฟีเจอร์ของตัวเองเฉพาะออกมาด้วยต่างหาก สำหรับฟีเจอร์แรกที่เพิ่มขึ้นมานั้นก็คือฟีเจอร์ Stage Manager ที่ได้ถูกเพิ่มขึ้นมาเพื่อให้การใช้งานแอปพลิเคชันหลายๆ แอปในเวลาเดียวกันทำได้สะดวกมากขึ้นโดยการนำเอาแอปพลิเคชันที่เราใช้งานในปัจจุบันมาไว้กลางหน้าจอและแอปพลิเคชันที่เปิดเป็นพื้นหลังวางไว้อยู่ตรงด้านข้างซ้ายซึ่งจะช่วยให้การสลับแอปพลิเคชันนั้นทำได้ง่ายขึ้น(ซึ่งเป็นการรองรับการใช้งานร่วมกับหน้าจอที่ 2)
นอกไปจากนั้นแล้วผู้ใช้ที่ iPad ที่มีหน่วยประมวลผลรุ่น Apple M1 ยังสามารถที่จะต่อหน้าจอแยกได้ที่ความละเอียดสูงสุดมากถึงระดับ 6K ด้วยอีกต่างหาก ทั้งนี้ในการใช้งานแอปพลิเคชันร่วมกันมากสุดในหนึ่งหน้าจอนั้นจะอยู่ที่ 4 แอปพลิเคชัน(โดยหากเครื่องที่ใช้หน่วยประมวลผล Apple M1 เมื่อต่อหน้าจอที่ 2 จะสามารถใช้งานแอปพลิเคชันพร้อมๆ กันได้มากสุดถึง 8 แอปพลิเคชัน)
มาต่อกันที่ฟีเจอร์ที่มีชื่อว่า Freeform ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถที่จะปรับย่อขยายขนาดแอปพลิเคชันที่เปิดใช้งานอยู่รวมทั้งยังสามารถที่จะเลื่อนหน้าจอแอปพลิเคชันนั้นๆ ไปมาได้ตามความต้องการได้อีกด้วยต่างหาก(คล้ายๆ การใช้งานโปรแกรมหลายๆ โปรแกรมบนระบบปฏิบัติการ Windows) งานนี้คุณก็สามารถที่จะ Facetime ไปดูแอปพลิเคชันอื่นๆ ไปด้วยในเวลาเดียวกันได้
แอปพลิเคชัน Mail บน iPadOS 16 เองนั้นก็ได้รับการอัปเกรดในส่วนของฟีเจอร์การค้นหาที่จะช่วยให้คุณสามารถค้นหาเมลที่ต้องการได้รวดเร็วมากขึ้น จุดที่น่าสนใจก็คือคุณสามารถที่จะค้นหารายชื่อผู้ส่งเมลแล้วดูสิ่งที่คุณร่วมแชร์กับผู้ส่งเมลนั้นๆ ได้อีก นอกไปจากนั้นเองแล้วผู้ใช้ยังสามารถที่จะทำการ unsent เมลได้อีกต่างหากโดยหากทำได้ภายในช่วงเวลาที่กำหนดเมลที่เผลอกดส่งไปนั้นก็จะไม่ไปปรากฎที่ผู้รับอีกด้วย
ในส่วนของแอปพลิเคชันท่องเว็บอย่าง Safari เองนั้นบน iPadOS 16 ก็ได้รับการอัปเกรดแบบยกใหญ่ด้วยเช่นกัน โดยจุดใหญ่ๆ เลยนั้นก็คือเรื่องของการแชร์ Tab groups ของเราไปยังผู้ใช้คนอื่นแบบทันทีทันใด(รวมถึง Bookmarks ก็สามารถที่จะแชร์ได้ด้วย) นอกไปจากนั้นแล้วหน้าจอเริ่มต้นของ Tab groups ที่คุณแชร์ไปนั้นยังสามารถทำการปรับเปลี่ยนแก้ไขพื้นหลัง, รูปภาพและข้อมูลบางส่วนได้ด้วยตัวเองอีกต่างหาก
สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั้นก็คือการอัปเกรดระบบรหัสการเข้าถึงเว็บไซต์(passkeys) ใน Safari บน iPadOS 16 ที่ได้อัปเกรดการเข้าถึงเว็บไซต์ต่างๆ (ที่รองรับ) โดยไม่ต้องมานั่งจำรหัสให้เปลืองพื้นที่ในสมองอีกต่อไปเพราะคุณสามารถใช้ Touch ID หรือ Face ID เข้าถึงเว็บไซต์ต่างๆ เหล่านั้นได้โดยตรง แน่นอนว่าเมื่อเปลี่ยนมาใช้ระบบนี้แล้วนั้นข้อมูลส่วนตัวของคุณก็ปลอดภัยมากขึ้นเพราะไม่จำเป็นต้องไปเก็บข้อมูลชื่อผู้ใช้และรหัสบนเครื่อง Server ของเว็บไซต์ต่างๆ เหล่านั้นนั่นเอง(แต่เว็บไซต์ต่างๆ เหล่านั้นต้องรองรับฟีเจอร์ดังกล่าวนี้เท่านั้น)
สุุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุดก็คือบน iPadOS 16 นั้นได้มีการเพิ่มแอปพลิเคชัน Weather เข้ามาให้คุณได้ใใช้งานแล้ว นอกไปจากนั้นแล้ว Siri ยังสามารถที่จะรัน shortcuts ของแอปพลิเคชันต่างๆ ได้แบบอัตโนมัติได้อีกต่างหาก แล้วแอปพลิเคชัน Notes ก็ยังสามารถที่จะปรับการเขียนบนหน้าจอของคุณให้เป็นตัวอักษรแบบตรงๆ อ่านง่ายได้โดยอัตโนมัติด้วย(งานนี้ใครรายมือไม่สวยก็ไม่ต้องกลัวอีกต่อไป)
สุดท้ายท้ายสุดกับฟีเจอร์ Reference Mode ในส่วนของความแม่นยำของสี(color accuracy) สำหรับผู้ใช้งานทางด้านกราฟิกที่จะมีให้ใช้สำหรับผู้ใช้งาน 12.9″ iPad Pro เท่านั้น งานนี้เรื่องงานสีๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แถมสำหรับผู้ใช้งาน 12.9″ iPad Pro ยังสามารถใช้ฟีเจอร์ Virtual Memory Swap หรือเพิ่มหน่วยความจำเสมือนโดยใช้แปล่งเก็บข้อมูลมาแปลงเป็นหน่วยความจำได้สูงสุดถึง 16GB อีกต่างหาก
ทั้งนี้ iPadOS 16 นั้นจะใช้งานได้กับเครื่องดังต่อไปนี้เท่านั้น
- iPad Pro ทุกรุ่น
- iPad ตั้งแต่ Gen 5 ขึ้นไป
- iPad mini ตั้งแต่ Gen 5 ขึ้นไป
- iPad Air ตั้งแต่ Gen 3 ขึ้นไป
watchOS 9 ระบบปฏิบัติการณ์เวอร์ชันใหม่สำหรับผู้ใช้ Apple Watch
ปิดท้ายกันด้วยระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ทวอทช์ของทาง Apple อย่าง watchOS 9 กับเริ่มต้นอัปเดทหน้าปัดนาฬิกาแบบใหม่ 4 แบบซึ่งประกอบไปด้วย Lunar, Playtime, Metropolitan และ Astronomy ช่วยให้การใช้งานของคุณจำเจน้อยลง นอกไปจากนั้นแล้วการแสดงผลบนหน้าปัดนาฬิกาหลักยังมาพร้อมกับ depth effect หรือเอฟเฟคแสดงความลำสำหรับหน้าปัดนาฬิกาที่เป็นสิ่งมีชีวิตและสถานที่
ต่อเนื่องด้วยแอปพลิเคชัน Workout ที่ได้รับการอัปเกรดให้สามารถแสดงผลข้อมูลต่างๆ ได้มากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งผู้ใช้ยังคงสามารถที่จะเพิ่มการวัดค่าต่างๆ แล้วนำมาแสดงผลบนหน้าจอได้มากขึ้นอีกด้วยต่างหาก นอกไปจากนั้นแล้วคุณยังสามารถที่จะทำการสร้างการออกกำลังกายที่มีโครงสร้างพร้อมการทำงานและช่วงเวลาพักที่กำหนดเองได้ อีกทั้งยังสามารถทำการเพิ่มการเตือนใหม่ ทั้งเพซ, พลัง, อัตราการเต้นของหัวใจและจังหวะได้อีกด้วย
สำหรับนักไตรกีฬานั้นแอปพลิเคชัน watchOS 9 ก็ได้เพิ่มความสามารถในการสนับสนุนรูปแบบของการการออกกำลังกายแบบมัลติสปอร์ตที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบกีฬาได้เองโดยอัตโนมัติอีกด้วยต่างหาก ซึ่งคุณสามารถตั้งลำดับของกีฬาไว้ได้ด้วยตัวเองจาก 3 กีฬาอย่างว่ายน้ำ, ปั่นจักรยานและวิ่ง ในส่วนของนักวิ่งนั้นบนแอปพลิเคชัน Workout ก็ได้มีการเพิ่มการวัดค่าระยะก้าว, เวลาสัมผัสพื้นและการแกว่งในแนวดิ่ง เพิ่มเข้ามาให้คุณได้ใช้งานอีกด้วย
มาต่อกันที่การติดตามการนอนหลับของผู้ใช้งานที่ในครั้งนี้นั้นผู้ใช้ Apple Watch สามารถดูรูปแบบการนอนหลับ(REM, Core และ Deep sleep) ได้ด้วยแล้วผ่านทางหน้าจอ Apple Watch เลย
watchOS 9 ยังได้มีการเพิ่มฟีเจอร์อย่าง AFib history สำหรับการตรวจสอบภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วเข้ามาให้ผู้ใช้ได้ดูเพิ่มด้วยผ่านทางการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งหากตัว Apple Watch ตรวจพบว่าคุณมีภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วล่ะก็คุณจะได้รับการแจ้งเตือนขึ้นมาที่บนหน้าจอของ Apple Watch ทำให้คุณสามารถเข้าตัดสินใจไปเข้าทำการรักษาอย่างถูกต้องได้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย(และที่สำคัญก็คือคุณยังสามารถโหลดไฟล์ข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจที่ Apple Watch ตรวจจับออกมาในรูปแบบ pdf เพื่อที่จะเอาไปให้คุณหมอได้ดูได้เลยด้วยอีกต่างหาก)
ท้ายสุดกับฟีเจอร์ Medications หรือฟีเจอร์ทำการแจ้งเตือนการทานยาสำหรับผู้ที่เป็นโรคที่ต้องการรับประทานยาต่อเนื่อง โดยนอกเหนือไปจากที่จะเตือนให้คุณทานยาได้ด้วยแล้วนั้นยังสามารถเตือนคุณได้อีกด้วยต่างหากว่ายาที่คุณมีเหลืออยู่นั้นเหลืออยู่กี่เม็ก อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นผู้ใช้จะต้องเข้าไปกรอกข้อมูลในส่วนของการแจ้งเตือนการรับประทานยานี้ผ่านทางแอปพลิเคชัน Health บนสมาร์ทโฟนก่อน
นอกเหนือไปจากฟีเจอร์ที่ได้มีการพูดถึงไปแล้วนั้น watchOS 9 ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาอีกในหลายๆ ส่วนไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม kickboard detection และ SWOLF score สำหรับกีฬาว่ายน้ำ, Home apps ที่สนับสนุนการตั้งค่าครอบครัว(ให้คุณผู้ปกครองได้ตั้งค่าการใช้งานต่างๆ ให้ลูกหลานได้สะดวกมากขึ้น), Quick Actions รูปแบบใหม่, Apple Watch Mirroring สำหรับการควบคุม Apple Watch ผ่านทางอุปกรณ์ที่รองรับ, ดีไซน์การแจ้งเตือนแบบใหม่และคุณสมบัติอำนวยความสะดวกที่นำมาจาก iPhone
อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นเป็นที่น่าเสียดายว่า watchOS 9 นั้นจะไม่รองรับกับ Apple Watch รุ่นที่มีวางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันทั้งหมด หากคุณต้องการใช้ฟีเจอร์ใหม่ๆ บน watchOS 9 แล้วล่ะก็จะต้องทำการรอซื้อ Apple Watch รุ่นใหม่ที่จะออกวางจำหน่ายในปีนี้เป็นต้นไปเท่านั้น
จริงๆ แล้วในงาน WWDC 2022 ทาง Apple ยังคงมีการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ๆ อื่นๆ อีก แต่สำหรับผู้ใช้ iPhone, iPad และ Apple Watch นั้นก็จะมีส่วนที่เกี่ยวข้ออยู่เท่านั้น อย่างไรก็ตามแล้วหากมีข่าวคืบหน้าอย่างไรทาง specphone จะรีบนำรายงานที่ถึงลูกถึงคนมานำเสนอให้ทุกท่านได้รับทราบกันต่อไปอย่าลืมติดตามกันด้วยนะ
ที่มา : gsmarena 1, gsmarena 2, gsmarena 3, gsmarena 4, cnet