การเช็คความเร็วเน็ต เป็นวิธีที่หลายคนมักจะใช้กันอยู่เสมอ เพื่อตรวจเช็คว่าเน็ตที่ใช้อยู่นั้น มีความเร็วมากน้อยแค่ไหน และตรงกับแพ็กเกจที่เลือกซื้อไปจริงหรือไม่ ทั้งบนมือถือ และแบบเน็ตบ้าน แล้วค่าต่างๆ ที่ปรากฏนั้น ทำงานอย่างไร และบอกอะไรเราบ้าง? วันนี้เราจะมาหาคำตอบให้
พูดถึงการเล่นอินเทอร์เน็ต หลายคนก็ต้องอยากได้เน็ตที่เร็ว และแรง เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง ดูวิดีโอ เล่นโซเชียลเพลินๆ ทั้งบนมือถือ และการเล่นเน็ตในบ้าน จึงต้องซื้อแพ็กเกจที่มีราคาสูง เพื่อให้ได้ความเร็วเน็ตตามต้องการ แต่เมื่อซื้อแพ็กเกจมาแล้ว ก็ต้องอยากได้ความมั่นใจมากที่สุด ว่าแพ็กเกจนั้น มีความเร็วใกล้เคียง หรือได้ตามราคาที่ซื้อไปจริงๆ มากที่สุด จึงได้มีการทำเว็บ ที่สามารถเช็คความเร็วเน็ตได้ ทั้งบนหน้าเว็บเอง และบนมือถือที่เป็นแอพ เพื่อการเช็คที่สะดวก และง่ายมากยิ่งขึ้น วันนี้ Specphone จะมาแนะนำวิธีการดูค่าต่างๆ พร้อมกับแนะนำแอพที่สามารถเช็คเน็ตได้ตรงมากที่สุด และเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้างว่าสามารถเช็คได้ดีจริง ส่วนจะใกล้เคียงหรือตรงมากแค่ไหนนั้น แนะนำว่าควรเช็คมากกว่า 1 แอพขึ้นไป เพื่อเทียบความเร็วของเน็ตไปด้วย ไปดูกันเลยว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
การเช็คความเร็วเน็ต ทำงานอย่างไร
การทดสอบความเร็วเน็ตนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการดึงค่าข้อมูล จากทั้งตัวเครื่องของเราเอง และจากเครือข่ายที่ใช้งานทั้งหมด รวมไปถึงพื้นที่ที่ใช้งาน ที่สามารถทำให้ความเร็วที่ได้มานั้น มีความเร็วมากน้อยแค่ไหน ซึ่งปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เน็ตมีความเร็วต่ำได้ นั้นเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่องที่ใช้อยู่ การทำงานของระบบในคอมฯ ชนิดของบราวเซอร์ที่ใช้ (IE, Safari, Google Chrome, Firefox) และการเชื่อมต่อจากตัว Modem, ADSL, Wifi หรือต่อสาย LAN นั้น ส่งผลต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั้งหมด
ส่วนการเช็คความเร็วเน็ตนั้น เมื่อเราเข้าไปยังหน้าเว็บ หรือในแอพ จะมีการตรวจสอบ ดึงข้อมูล IPv4 และ IPv6 กับ TCP ของเราไปก่อน ซึ่งตัว IPv4 และ IPv6 นั้นจะเป็น Internet Protocol Version 4 และ Version 6 ที่เป็นตัวบอกหมายเลข IP Address ซึ่งทั้งสองตัวนี้ จะมีความต่างกันที่การเลือกเส้นทาง (Routing) ของความปลอดภัย และการรองรับการใช้งานสำหรับมือถือ (Mobile Devices) ส่วน TCP คือ Transmission Control Protocol จะเป็นชุดโปรโตคอลคอยคุมการสื่อสาร ระหว่างเครื่องคอมฯ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดของเครื่อง และเครือข่ายของเราไปแล้ว ก็จะทำการใช้เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ตามจุดต่างๆ ทั่วโลก และตามพื้นที่ที่ใช้งาน เพื่อการวัดบิทเรทที่ถูกต้องที่สุด โดยจะนำข้อมูลการรับส่งอินเทอร์เน็ต และส่งบิตเรทกลับมา เป็นค่าบิตเรท Download ค่าบิตเรท Upload และสุดท้ายคือค่าความหน่วง Latency หรือที่รู้กันดีในชื่อ Ping หรือในบางเว็บ ก็จะมีค่า Jitter อยู่ด้วย นอกจากนี้ ยังมีการบอกถึงข้อมูลบราวเซอร์ และข้อมูลระบบปฏิบัติการของเครื่องที่ใช้อยู่ด้วยในหน้านั้น ส่วนรายละเอียดค่าต่างๆ มีดังนี้
Download
จะเป็นค่าที่แสดงถึง ประสิทธิภาพการเชื่อมต่อ และความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่ใช้งานอยู่ โดยค่าที่ออกมานั้น จะเป็นความเร็วหน่วย Mbps หรือ Mb/s (Mega bit per sec) ที่บอกว่าใน 1 วินาทีนั้น อินเทอร์เน็ตของเรารับข้อมูลไฟล์ได้มากแค่ไหน ยิ่งตัวเลขเยอะ ก็หมายถึงรับข้อมูลได้เยอะ และเร็วนั่นเอง
Upload
เป็นค่าที่แสดง ประสิทธิภาพของการเชื่อมต่อ โดยจะเป็นการส่งข้อมูล ต่างจาก Download ที่รับข้อมูลนะ และค่าที่ออกมาจะใช้เป็นความเร็วหน่วย Mbps หรือ Mb/s (Mega bit per sec) เช่นกัน โดยจะเป็นการบอกว่าใน 1 วินาทีนั้น อินเทอร์เน็ตสามารถส่งข้อมูลไฟล์ได้มากแค่ไหน ยิ่งตัวเลขเยอะ ก็หมายถึงสามารถส่งข้อมูลได้เยอะ และเร็วขึ้น อย่างเช่นการอัพไฟล์งาน หรืออัพโหลดวิดีโอลงเว็บต่างๆ
Latency (Ping)
คือค่าที่บอกเวลาในการส่งข้อมูลขนาดเล็ก จากเครื่องที่ใช้งานอินเทอร์เน็ต ไปยัง Server และจาก Server ส่งกลับมาหาเครื่องของเราอีกที และถ้าหากข้อมูลที่ส่งกลับมาจาก Server เร็วมากเท่าไหร่ ก็หมายถึงประสิทธิภาพของอินเทอร์เน็ตนั้นดีมากตามไปด้วย จะใช้ค่าในความเร็วหน่วย ms (milli-second) ยิ่งมีค่าน้อย ประสิทธิภาพในการใช้งาน ก็จะดีตามไปด้วย
Jitter
Jitter จะเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับค่า Latency (Ping) เนื่องจากเป็นชุดข้อมูลขนาดเล็ก ที่ถูกส่งไปมาหากันระหว่างเครื่องคอมฯ หรือ Sever กับเครือข่ายที่ใช้งาน ซึ่งมีรูปแบบเป็น Packets และเมื่อ Packets เดินทางไปถึงที่หมาย จึงจะเรียกว่า Latency (Ping) อีกที ถึงแม้ว่าค่าความผันผวนของ Jitter นั้นจะขึ้นสูง แต่ถ้าหากใช้งานประเภทโหลดไฟล์ธรรมดา อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่ถ้าหากเล่นเกมอยู่ แล้วค่า Jitter สูงขึ้น ตัว Latency (Ping) ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้เกิดการกระตุก หรือเกมแล็คได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นยิ่งค่า Jitter น้อยมากเท่าไหร่ จะยิ่งทำให้ประสิทธิภาพเน็ตนั้นดีไปด้วย
เว็บเช็คความเร็วเน็ต
สำหรับเว็บที่ใช้เช็คความเร็วเน็ตได้นั้น จะมีอยู่หลากหลายเว็บมาก ไม่ว่าจะเป็นเว็บจากเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็น 3BB, true online, TOT หรือว่าเว็บที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายใช้งานอินเทอร์เน็ต เช่น adslthailand, Thaiware, The Global Standard in Internet Metrics แต่โดยหลักๆ แล้ว จะอิงมาจากเว็บใหญ่ๆ 2 เว็บเท่านั้น โดย 2 เว็บนี้จะเป็นเว็บที่ก่อตั้งมานาน กับอีกเว็บที่มาทีหลัง แต่การใช้งาน และความแม่นยำนั้น รับรองได้เลยว่า ตรงตามความเร็วจริงแน่นอน วิธีการเช็คของทั้งสองเว็บนี้ และเว็บอื่นๆ จะมีวิธีที่เหมือนกันคือ เมื่อเข้าไปยังหน้าเว็บ แล้วกด Start เพื่อเริ่มทำการทดสอบได้เลย เว็บจะทำการเช็คให้โดยอัตโนมัติ รอข้อมูลขึ้นมาครบทุกอย่าง ก็หมายถึงทดสอบเสร็จแล้ว มีข้อมูลเว็บทั้ง 2 เว็บดังนี้
1. OOKLA
OOKLA เป็นผู้ให้บริการ กำทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต ที่คนยอมรับกันในระดับสากล มากที่สุดในโลก และคนไทยก็นิยมใช้เว็บนี้เหมือนกัน โดยมีผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านครั้งต่อวันทั่วโลก นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของเว็บชื่อดังอย่าง Speedtest.net ที่หลายๆ คนต้องเคยใช้กันมาแล้วแน่นอน เนื่องจากเป็นเว็บเก่าแก่ และมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานมาก รวมไปถึงค่ายเครือข่ายโอเปอร์เรเตอร์ใหญ่ๆ หลากหลายที่ก็ใช้ของ OOKLA เช่นเดียวกัน จึงมั่นใจได้ว่าเว็บ OOKLA นั้น มีความแม่นยำสูงจริงๆ
2. nPerf
เว็บเช็คความเร็วเน็ตที่ตามหลังมาจากพี่ใหญ่อย่าง OOKLA โดยบริษัทของ nRerf นั้นมาจากประเทศฝรั่งเศส ในช่วงปี 2003 และถึงแม้จะมาทีหลัง แต่ก็ได้รับการยอมรับว่า สามารถวัดความเร็วของอินเทอร์เน็ตได้อย่างแม่นยำ และละเอียดมาก เช็คได้ตั้งแต่ความเร็วเน็ตทั่วไป 2G – 5G และสามารถเช็คได้ทั่วทั้งประเทศไทย แถมยังได้มาตรฐานในการวัดความเร็ว จากค่ายโอเปอร์เรเตอร์ต่างๆ ในประเทศไทยด้วย
แอพเช็คความเร็วเน็ต
สำหรับแอพ ที่เอาไว้เช็คความเร็วของเน็ตนั้น โดยหลักๆ แล้วจะคล้ายกับตัว Test บนหน้าเว็บเลย แต่จะมีข้อมูลที่ดูง่ายกว่าบนบราวเซอร์หน่อย เนื่องจากบนแอพนั้น ออกแบบมาเพื่อให้สามารถอ่านค่าได้ง่าย และแยกดูได้หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นค่า Download, Upload, Latency (Ping) หรือ Jitter รวมไปถึงแอพบางตัว ที่สามารถเก็บค่าที่เคยเช็คไปแล้วให้ได้ด้วย จะได้รู้ว่าความเร็วที่ใช้อยู่นั้น เร็วขึ้น หรือช้าลงกว่าเดิม มีแอพที่น่าสนใจ และน่าใช้งานดังนี้
1. Speedtest by OOKLA
แน่นอนว่า เมื่อเป็นเว็บชื่อดัง และมีคนนิยมใช้งานอย่าง OOKLA นั้น ก็ได้ทำแอพเอาไว้ให้ได้ใช้งานกัน ทั้งบนระบบ Android และ iOS เลย ซึ่งความแม่นยำนั้น แน่นอนว่ามีความแม่นยำสูงอยู่แล้ว แต่นอกจากความแม่นยำแล้ว ยังมีหน้าตาของแอพ ที่ใช้งานง่าย สามารถอ่านค่าต่างๆ ได้โดยไม่ต้องค้นหามากนัก แถมยังเก็บ History การเช็คความเร็วเน็ตให้ด้วย สำหรับแอพนี้ ควรมีติดเครื่องไว้เลย รับรองว่าได้ใช้ชัวร์
- Android : ดาวน์โหลดแอพ Speedtest by OOKLA
- iOS : ดาวน์โหลดแอพ Speedtest by OOKLA
2. nPerf
สำหรับเว็บเช็คความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่ตามมาติดๆ จากบนเว็บ ก็ได้ทำลงมาบนแพลทฟอร์ม ของมือถือด้วยเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าอาจจะยังไม่เป็นที่นิยมมากนักบนมือถือ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องประสิทธิภาพการใช้งาน ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ยังมีความแม่นยำอยู่ สามารถเช็คได้ทั้งความเร็วเน็ตทั่วไป ทั้ง Download, Upload และค่าอื่นๆ รวมไปถึงการดูวิดีโอ และค่าการสตรีมมิ่งด้วย
- Android : ดาวน์โหลดแอพ nPerf
- iOS : ดาวน์โหลดแอพ nPerf
3. 5GMARK
แอพเช็คความเร็วอินเทอร์เน็ตอีก 1 ตัวที่สามารถเช็คได้อย่างแม่นยำอยู่เหมือนกัน โดยจะสามารถเช็คได้เหมือนกับเว็บเช็คทั่วไปเลย ใช้งานได้ทั้งบน iOS และ Android สามารถวัดค่าความเร็วได้หลายระดับ ตั้งแต่ 2G, 3G, 4G ไปจนถึงระดับ 5G ได้เลย นอกจากจะสามารถวัดความเร็วเน็ตได้แล้ว ยังสามารถจัดระดับการเช็คความเร็วได้ด้วย เพื่อนำข้อมูลต่างๆ มาเปรียบเทียบกัน เหมือนกับ Benchmark ที่เปรียบเทียบสมรรถนะของมือถือเลย จึงเป็นที่มาของชื่อ 5GMARK นั่นเอง
- Android : ดาวน์โหลดแอพ 5GMARK
- iOS : ดาวน์โหลดแอพ 5GMARK
4. Internet Broadband Speed Test
แอพเช็คความเร็วเน็ต ตัวสุดท้ายที่จะมาแนะนำกันในวันนี้ เป็นแอพที่มียอดดาวน์โหลดบน Android มากถึง 10 ล้านคนเลยทีเดียว แต่บน iOS ยังไม่ได้เปิดให้ใช้บริการนะ โดยแอพนี้ จะสามารถเช็คได้ทั้งความเร็ว Download, Upload ค่า Ping รวมไปถึงความเร็วของการ Download เพื่อดูวิดีโอ ดูค่า Signal Strength บน Wi-Fi และเช็คค่า Ping แยกได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีการเก็บ History ไว้เพื่อเปรียบเทียบความเร็วที่เคยเช็คได้ด้วย
- Android : ดาวน์โหลดแอพ Internet Broadband Speed Test
- iOS : ยังไม่เปิดให้บริการ
แล้วทั้งหมดนี้ ก็เป็นข้อมูลการเช็คความเร็วเน็ต ที่จะมีการบอกค่าต่างๆ บนหน้าเว็บ ว่ามีอะไรน่าสนใจ และควรรู้เอาไว้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ก็จะเป็นข้อมูลพื้นฐาน ที่เราต้องการเช็คกันอยู่แล้ว ส่วนค่าอื่นๆ นอกจากการ Download และ Upload นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาไปใช้งานทางด้านไหน จึงต้องดูค่าอย่างอื่นร่วมด้วย อย่างการสตรีมมิ่งเกม หรือการเล่นเกม ที่ต้องดูค่า Ping อยู่บ่อยๆ และที่สำคัญสำหรับการเช็คความเร็วเลย ก็คือ ควรที่จะต้องเช็คหลายๆ รอบ อย่างน้อย 2 รอบขึ้นไป เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำมากที่สุด หรือจะโหลดแอพไว้ดู 2 แอพเลยก็ได้ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ส่วนความช้าหรือเร็วนั้น อย่าลืมว่าขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้งาน และพื้นที่ที่ให้บริการด้วย แล้วถ้ามีเรื่องอะไรน่าสนใจอีก เราก็จะนำมาฝากกันอีกเรื่อยๆ เลยนะครับ