จะซื้อมือถือรุ่นไหนดี? ผมเชื่อว่าเพื่อนๆต้องเคยได้ยินคำถามนี้อย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยก็ต้องเคยเห็นคำถามนี้ผ่านสายตาเวลาเปิด Browser ขึ้นมาเพื่อค้นหาข้อมูลต่างๆ ซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามสุดฮิตที่มีคนตั้งขึ้นมาทั่วโลกไม่ใช่แค่ในบ้านเราเท่านั้น ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วมันก็คือการขอคำปรึกษานี่แหละครับ และส่วนใหญ่แล้วคำตอบที่ได้นั่นก็คือซื้อในสิ่งที่เราชอบ เรียกว่าชอบรุ่นไหนก็ซื้อรุ่นนั้นง่ายๆ แบบนั้นเลย โดยอาจจะตัดสินจากปัจจัยหลายๆ อย่าง
ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็ง่ายสำหรับคนที่ชอบศึกษาหรือติดตามอยู่เป็นประจำ แต่สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานหรือความรู้เรื่องเกี่ยวกับมือถือมาก่อนเลย การจะซื้อมือถือสักเครื่องอาจกลายเป็นเรื่องที่ยากต่อการตัดสินใจ เพราะตัวเลือกในทุกวันนี้มีเยอะแยะมากมาย ซึ่งแต่ละเครื่องนั้นก็มีจุดขายที่ไม่เหมือนกัน ราคาของตัวเครื่องนั้นก็มีหลายระดับอีกด้วย
และบทความในวันนี้ผมได้เขียนขึ้นมาเพื่อช่วยให้การเลือกซื้อมือถือใหม่สักเครื่องนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายต่อการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น จะมีวิธีการเลือกซื้ออย่างไรบ้าง และมือถือแบบไหนที่จะเข้ากับการใช้งานในชีวิตประจำวันของเรามากที่สุด ส่วนวิธีในการเลือกซื้อนั้นก็ติดตามได้จากบทความนี้เลย ซึ่งผมได้แปลข้อมูลบางส่วนมาจากเว็บไซต์ Cnet.com เนื่องจากผมเห็นว่ามีประโยชน์กับการใช้เป็นแนวทางในการเลือกซื้อมือถือ ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับมือถือเพื่อให้สามารถตัดสินสินใจซื้อได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ส่วนจะเลือกซื้อมือถือยังไง และมีวิธีไหนบ้างไปติดตามกันได้เลย
1.อย่าขี้เหนียว
ใช่แล้วครับอ่านไม่ผิดอย่างแน่นอน เพราะในทุกวันนี้จะเห็นได้ว่ามือถือระดับเรือธงนั้นมีราคาค่อนข้างสูงเสมอ หากเราอยากได้มือถือดีๆ มาใช้งานจริงๆ ซึ่งคำว่าดีของผมในที่่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่สเปคของตัวเครื่องนั้นดูดีเท่านั้นนะ แต่การใช้งานจริงก็จะต้องดีตามไปด้วย และเราจะรู้ได้ยังไงว่าเครื่องไหนดีไม่ดีล่ะเนี่ยในเมื่อมันมีมือถือเยอะแยะเต็มไปหมด ซึ่งมันง่ายมากครับก็แค่เราอ่านรีวิวตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือจะเป็นเว็บไซต์ของทางเราก็ได้
การอ่านรีวิวจะทำให้เราได้ความรู้ในมือถือรุ่นที่เราสนใจมากยิ่งขึ้น บางทีอ่านรีวิวจนจับได้เลยว่าเซลส์ขายมือถือพูดผิดในบางเรื่องก็มี ดังนั้นการศึกษาเบื้องต้นนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญหากเราอยากได้มือถือใหม่สักเครื่อง แต่การอ่านรีวิวมันยังไม่ใช่ประสบการณ์จริงนะ เพราะว่าตัวเครื่องก็ยังไม่ได้จับ กล้องถ่ายภาพหรือส่วนอื่นๆเราก็ยังไม่ได้ลองเล่นเลย ดังนั้นการไปลองตัวเครื่องจริงตามหน้าร้านจะช่วยเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจได้มากกว่า เนื่องจากเราเคยอ่านรีวิวมาแล้วเราก็จะพอเล่นเป็น รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน และควรลองเทสอะไรดี นี่แหละครับคือประโยชน์ของการอ่านรีวิวมาก่อน
เพราะบางครั้งอ่านรีวิวในเว็บแล้วรู้สึกว่าตัวเครื่องเนี่ยดีมากเลย แต่พอไปลองเล่นของจริงตามหน้าร้านแล้วกลับรู้สึกไม่ตรงกับทางเว็บไซต์ต่างๆ นั้นรีวิว ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละคนนะ ไม่ใช่ว่าเว็บเขียนมั่วแต่อย่างใด บางทีผู้เขียนนั้นเห็นว่ามือถือรุ่นนั้นๆมันถูกจริตของคนไทย ที่เน้นคุ้มไว้ก่อนเสมอเท่านั้นเอง และเมื่อเราลองเล่นเครื่องจริงแล้วคิดว่าสอบผ่านสำหรับเรา ทีนี้เรื่องต่อไปนั่นก็คือราคาของตัวเครื่อง ซึ่งบางคนนี่เห็นว่าถึงหลัก 1-2 หมื่นก็เดินหนี หรือไปซื้อมือถือรุ่นอื่นๆที่ราคาย่อมเยาว์กว่า ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ทำให้เราพลาดของดีๆ เพราะความขี้เหนียวนี่แหละ
2.รู้จักฟีเจอร์หรือลูกเล่นก่อนซื้อ
เมื่อเราโอเคกับราคาตัวเครื่องกล้าแลกกับราคาที่สูงแล้ว เรื่องต่อมานั่นก็คือเรื่องของฟีเจอร์ที่เราจะต้องรู้ว่ามือถือเครื่องนี้มีลูกเล่นอะไรบ้างที่น่าสนใจ ซึ่งอาจจะใช้วิธีการอ่านรีวิวมาช่วยในการตัดสินใจ เพราะอย่างที่ผมได้บอกเอาไว้ในหัวข้อที่ผ่านมาว่าการอ่านรีวิวจะทำให้เรารู้จักมือถือเครื่องที่เราจะซื้อมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงลูกเล่นของมันด้วย เพราะมือถือแต่ละเครื่องนั้นมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ไม่เหมือนกัน บางเครื่องนั้นกันน้ำ,บางเครื่องแบตอึด,บางเครื่องชาร์จแบตได้ไว หรือบางเครื่องมาพร้อมกล้องคุณภาพระดับพระกาฬอะไรแบบนี้ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีเยอะแยะมากมายให้เราซื้อไปใช้งาน
ดังนั้นการรู้จักจุดเด่นก่อนที่เราจะซื้อมือถือเครื่องนั้นๆจึงเป็นอะไรที่สำคัญมาก ยกตัวอย่างเช่นบางคนคิดว่ามือถือ Sony ต้องกันน้ำทุกรุ่นแน่ๆ พอซื้อมาโยนลงไปในสระว่ายน้ำโชว์เพื่อนเลย เป็นยังไงล่ะ?ก็พังสิครับ และจะไปโทษใครไม่ได้นะ เพราะคุณไม่รู้จักฟีเจอร์ในมือถือของตัวเอง นี่แหละครับการจะซื้ัอมือถือให้เข้ากับการใช้งานที่สุดเรื่องของฟีเจอร์ต่างๆ ก็ต้องให้ความสนใจเช่นกัน หรืออย่างเช่นภาพตัวอย่างด้านบนที่จะเห็นได้ว่ามือถือเครื่องนี้ส่งภาพเข้าไปใน Smart TV ได้นี่ก็เป็นลูกเล่นหรือฟีเจอร์ของมือถือทั้งสิ้น ซึ่งเราควรศึกษาก่อนที่จะไปซื้อ
3.หาดีไซน์ที่ใช่
การซื้อมือถือนั้นก็เหมือนกับการเลือกซื้อเสื้อผ้าสำหรับหลายๆคน ซึ่งบางคนแค่เห็นว่าดีไซน์ของตัวเครื่องไม่โดนใจก็ไม่เอามันซะเลยเหมือนกับเสื้อผ้าที่ไม่สวยเราก็ไม่อยากใส่ ซึ่งจุดนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัวของแต่คนด้วย และเมื่อขึ้นชื่อว่าส่วนตัวแล้วนั่นหมายถึงไม่ควรถามหรือปรึกษากันคนอื่นไม่ว่าใครก็ตาม เพราะว่าเขาอาจจะไม่ได้ชอบเหมือนกันเราและการทักท้วงเล็กๆ น้อยๆ อาจจะทำให้เราพลาดโอกาสที่จะได้มือถือดีๆมาใช้งานไปในที่สุด
ซึ่งดีไซน์ของมือถือในทุกวันนี้นั้นมีหลายแบบให้เลือกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นขอบตัวเครื่องเหลี่ยม,หน้าจอขอบโค้ง,ตัวเครื่องครอบด้วยกระจก หรือโลหะ ก็ลช้วนเป็นดีไซน์ของมือถือในทุกวันนี้ ซึ่งตรงเรื่องวัสดุหรือดีไซน์ตัวเครื่องนี่แหละที่จะเป็นตัวกำหนดราคาส่วนหนึ่งของมือถือ เพราะยิ่งใช้วัสดุคุณภาพสูงหรือเกรดพรีเมี่ยมมากเท่าไร ราคามือถือก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง แต่ทุกวันนี้ก็ยังพอหามือถือที่ราคาไม่สูงเกินไปและมาพร้อมกับวัสดุคุณภาพดีได้อยู่
มือถือมีกี่ประเภท?
และสำหรับคนที่แยกไม่ออกเลยว่ามือถือนั้นมีกี่ประเภท ผมได้นำตัวอย่างของมือถือประเภทต่างมาให้ชมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งจะแบ่งเป็น 3 ประเภทหลักดังนี้
1.Smartphones
มือถือประเภทแรกนั้นได้แก่ Smartphone ซึ่งเป็นมือถือที่เราพบเห็นได้มากที่สุดในทุกวันนี้ เนื่องจากความนิยมของผู้ใช้งาน เพราะมือถือแบบ Smartphone นั้นรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำงานต่างๆ หรือจะเป็นเรื่องของความบันเทิงซึ่งมือถือแบบ Smartphone นั้นสามารถตอบโจทย์ตรงนีั้ได้ เนื่องจาก Smartphone จะมาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ หรือ OS ที่ทำให้เรานั้นสามารถติดตั้งแอปลิเคชั่นเพิ่มเติมได้ และถ้าจะว่าไปแล้ว Smartphone นั้นจัดกว่าเป็นมือถือประเภทที่ให้อิสระกับผู้ใช้งานมากที่สุด ราคาของตัวเครื่องนั้นก็มีตั้งแต่ 2,000 – 30,000 บาทขึ้นไปเลยทีเดียว เช่นเดียวกับสเปคของตัวเครื่องที่มีให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย
2.Feature Phones
เป็นประเภทของมือถือที่มีความสามารถรองลงมาจาก Smartphone แต่ก็ยังมาพร้อมกับความสามารถต่างๆ ที่ใกล้เคียงกัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ Feature Phone นั้นจะไม่ได้ใช้ OS หรือระบบปฎิบัติการ อย่างเช่น Android หรือ iOS แต่จะมาพร้อมกับซอฟท์แวร์ที่ทางค่ายมือถือสร้างขึ้นมาเอง และที่สังเกตได้อย่างชัดเจนนั่นคือโดยส่วนมากตัวเครื่องจะมาพร้อมปุ่มกดตัวเลข หรือแป้นพิมพ์ QWERTY อย่างชัดเจน และความสามารถโดยส่วนใหญ่ก็จะมุ่งเน้นไปที่การส่ง E-mail หรือข้อความต่างๆ เป็นหลัก จึงทำให้มือถือประเภทนี้นั้นไม่ต้องการการใช้งานอินเตอร์เน็ตมากเหมือนกับมือถือแบบ Smartphone
3.Basic Phones
เห็นภาพแล้วนึกถึงตอนเด็กๆ ขึ้นมาทันทีเลย เพราะนี่แหละคือ Basic Phones มือถือสมัยคุณแม่ยังสาวๆ ที่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากโทรเข้า-ออก เท่านั้น ในเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่องจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีขนาดใหญ่และราคาตัวเครื่องนั้นเริ่มต้นที่หลักร้อยเท่านั้นเอง แต่ที่น่าสนใจนั่นก็คือความทนทานของตัวเครื่องที่จะเห็นได้ว่ามือถือ Basic Phones ส่วนใหญ่นั้นมาพร้อมกับความทนทานระดับคนเหล็ก อึดไม่ยอมตาย แม้จะหล่นกระแทกพื้นจนชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ปุ่มกดไปทาง แบตเตอรี่ไปอีกทาง ก็ยังเก็บมาประกอบใหม่ได้ และบางครั้งตกน้ำก็ยังไม่เป็นไรเลย ซึ่งมือถือประเภทนี้คนมักจะใช้เป็นเครื่องสำรอง ไว้โทรเข้า-ออกอย่างเดียวเสียมากกว่า เพราะด้วยข้อจำกัดที่เยอะมากนั่นเอง
ขนาดหน้าจอเท่าไหร่ดี!!
ทุกวันนี้เรื่องของขนาดหน้าจอนั้นกลายเป็นเรื่องสำคัญอันดันต้นๆ โดยเฉพาะผู้ใช้งานที่เป็นผู้หญิงที่จะชอบมือถือที่หน้าจอใหญ่ๆ มองเห็นได้ถนัดมากกว่ามือถือหน้าจอเล็กๆ โดนเฉพาะเวลาเล่น Facebook มือถือจอใหญ่จะเห็นได้เต็มตามากกว่า และการดู YouTube ก็เช่นเดียวกัน สำหรับขนาดหน้าจอที่คนส่วนใหญ่นิยมซื้อไปใช้งานนั้นแบ่งออกเป็น 3 ช่วงดังนี้
1.หน้าจอใหญ่ (5.5 นิ้วขึ้นไป)
เริ่มกันที่ขนาดแรกได้แก่หน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่ามือถือรุ่นใหม่ๆ ในตอนนี้เริ่มมาพร้อมกับขนาดหน้าจอที่ใหญ่แบบนี้ โดยมีการจัดกลุ่มมือถือทีมีขนาดหน้าจอใหญ่ตั้งแต่ 5.5 นิ้วขึ้นไปว่าเป็น Phablet ที่เกิดจากการนำคำว่า Phone ผลมกับ Tablet จนออกมาเป็น Phablet นั่นเอง ซึ่งข้อดีของหน้าจอขนาดนี้นั่นคือเราสามารถมองได้เต็มตา ไม่ต้องเพ่งสายตามากนัก แต่ก้มีข้อเสียนั่นก็คือการพกพาอย่างเช่นการใส่กระเป๋ากางเกงที่ทำได้ลำบากกว่าเพราะหน้าจอนั้นมีขนาดใหญ่ รวมไปถึงกินพลังงานจากแบตเตอรี่มากว่ารุ่นที่มีหน้าจอขนาดเล็ก และมือถือที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้วนั้นก็อย่างเช่น Huawei GR5 , ASUS Zenfone 2 ,iPhone 6s Plus และอื่นๆอีกมากมาย
2.หน้าจอขนาดกลาง (5.0-5.4 นิ้ว)
และขนาดต่อไปนั้นได้แก่หน้าจอขนาดกลาง ซึ่งมีความใหญ่โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5.0-5.4 นิ้ว ซึ่งส่วนตัวแล้วผมชอบหน้าจอประมาณนี้มากที่สุดเพราะขนาดของหน้าจอนั้นกำลังดี และการพกพานั้นก็สะดวกกว่าหน้าจอขนาดใหญ่ จะเห็นได้ว่าแม้แต่มือถือเรือธงอย่าง Samsung Galaxy S7 ก็มาพร้อมกับหน้าจอขนาดเพียง 5.1 นิ้วเช่นกัน ในแง่ของการใช้งานนั้นก็ทำได้สะดวกกว่ามากกว่าเพราะยังสามารถใช้งานมือเดียวได้ และมือถือที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาดกลางนั้นได้แก่ Samsung Galaxy S7 , LG G5 , OPPO F1 , Xiaomi Mi 5 เป็นต้น
3.หน้าจอขนาดเล็ก (4.5-4.9 นิ้ว)
จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ขนาดหน้าจอขั้นต่ำของมือถือโดยเฉลี่ยนั้นอยู่ที่ 4.5 นิ้วขึ้นไป ซึ่งหากผู้ใช้งานเป็นผู้หญิงก็อาจจะชอบขนาดประมาณนี้ เพราะมือผู้หญิงนั้นเล็กกว่ามือของผู้ชาย แต่ก็มีข้อเสียเปรียบเพราะมือถือที่มาพร้อมกัยหน้าจอขนาดประมาณ 4.5 นิ้วโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นมือถือระดับ Entry-Level หรือระดับเริ่มต้นนั่นเอง ในเรื่องของการใช้งานมือถือระดับ Entry Level นั้นยังมีข้อจำกัดหลายอย่างอยู่เหมือนกัน แต่ข้อดีของมือถือหน้าจอเล็กนั่นก็คือเราจะพกไปไหนมาไหนได้สะดวกกว่าพวกมือถือหน้าจอใหญ่่ๆ แต่ก็ไม่เชิงว่าจะไม่มีมือถือดีๆ ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาดเล็กเพราะยังเห็นได้ว่ามือถือชั้นนำอย่าง iPhone 6 และ 6s นั้นยังมาพร้อมกับขนาดหน้าจอที่ 4.7 นิ้ว
เลือกจากเทคโนโลยีหน้าจอ!!
นอกจากเรื่องของขนาดหน้าจอแล้วเรื่องของเทคโนโลยีหน้าจอนั้นก็เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสนใจเหมือนกันนะ เพราะทุกวันนี้เทคโนโลยีหน้าจอนั้นมีหลากหลายประเภทให้เราเลือกใช้งาน และประเภทของหน้าจอนั้นมีดังต่อไปนี้
หน้าจอ LCD
เป็นหน้าจอที่ใช้งานในมือถือมาอย่างนานสำหรับหน้าจอแบบ LCD (Liquid Crystal Display) ซึ่งทุกวันนี้หน้าจอ LCD ในมือถือนั้นรองรับความละเอียดสุงสุดที่ 2,560 x 1,440 พิกเซล (มีเพียง Sony Xperia Z5 Premium ที่มีหน้าจอความละเอียด 4K) ซึ่งจุดเด่นของหน้าจอ LCD นั่นก็คือสีสันที่ออกมาอย่างธรรมชาติมากกว่าหน้าจอแบบ เอาเป็นว่าใช้งานทั่วไปหน้าจอ LCD นั้นก็ตอบโจทย์เป็นอย่างดีแล้ว
หน้าจอ Retina
และเทคโนโลยีหน้าจอแบบที่สองนั้นได้แก่ Retina Display จาก Apple ซึ่ง Apple ได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้งานใน iPhone ตั้งแต่ iPhone 4 ขึ้นไป และหน้าจอของ iPhone นั้นมีความละเอียดขั้นต่ำอยู่ที่ 326 ppi ซึ่งก็ถือว่าความคมชัดนั้นกำลังดี ข้อสังเกตของ Retina Display ก็คือมันเป็นชื่อเรียกของหน้าจอที่มีความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลที่เหมาะสมกับขนาดหน้าจอ โดยอิงจากขนาดหน้าจอเป็นหลัก เพราะฉะนั้นมือถือแอนดรอย แม้จะไม่เรียกว่า Retina Display แต่ในแง่ของการใช้งานจริง ที่ความละเอียดระดับ Full HD บนหน้าจอขนาด 5 นิ้วขึ้นไป หรือความละเอียด HD บนหน้าจอที่ขนาดต่ำกว่า 4.7 นิ้วลงไป ก็จะมีความคมชัดพอๆ กับหน้าจอ Retina Display ของ Apple ครับ เพราะค่าความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลนั้นสูงกว่าที่สายตาของเราจะมองเห็นเป็นเม็ดเหลี่ยมๆ นั่นเอง
หน้าจอ AMOLED
และก็มาถึงเทคโนโลยีที่คาดว่าจะมาแทนหน้าจอแบบ LCD นั้นก็คือหน้าจอแบบ AMOLED (Active Matrix Organic Light-Emitting Diode Displays) ที่แสดงสีสันออกมาได้สดใสกว่า เนื่องหน้าจากจอประเภทนี้ไม่ต้องการแสงจากพื้นหลังเนื่องจากทุกพิกเซลนั้นสามารถผลิตแสงออกมาได้ด้วยตัวเอง ทำให้โดยรวมแล้วหน้าจอแบบ AMOLED จะมีคอนทราสที่สูงกว่าหน้าจอ LCD ซึ่งผลดีก็คือจะแสดงผลได้แม่นยำกว่าอย่างเช่นสีดำที่ดำมืดสนิทนั่นเอง
ฟันธงจากแบรนด์และความเร็ว CPU!!
เคยได้ยินไหมครับว่า CPU คือหัวใจของมือถือ และนั่นคือความจริงที่สุด โดยหลักการทำงานของซีพียูนั่นคือการประมวลผลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ประมวลผลอะไรบ้าง? พูดง่ายๆ ก็คือทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับการประมวลผล เช่นติดตั้งแอปพลิเคชั่น รันแอปพลิเคชั่น ซึ่งทุกวันนี้ตัดสินกันที่ความเร็วของซีพียูที่ใช้หน่วยเป็นกิกกะเฮิร์ทซ (GHz) เรียกว่าใครเร็วกว่า ก็เหนือกว่า ซึ่งสิ่งที่จะชี้วัดได้นั่นก็คือคะแนนที่ได้จากการทดสอบประสิทธิภาพนั่นเอง จะเห็นว่ายิ่งเป็นซีพียูรุ่นเก่าๆ คะแนนที่ได้ก็จะน้อยลงไปตามลำดับ ซึ่งซีพียูที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานในมือถือได้แก่ซีพียูจาก 4 แบรนด์ดังต่อไปนี้
Qualcomm Snapdragon
เรียกว่าเป็นราชาของซีพียูทั้งหมดในตอนนี้ ซีพียูจาก Qualcomm จำนวนมหาศาลถูกใช้ในมือถือ Android และ Windows phones ทั่วโลกแต่กปัญหาเรื่องความร้อนที่เกินขึ้นกับ Snapdragon 810 ทำให้ Qualcomm พบกับช่วงเวลาลำบาก แต่การเปิดตัวของ Snapdragon 820 เมื่อไม่นานมานี้ทำให้ Qualcomm กลับมาทวงบัลลังค์ของตัวเองคืนได้อีกครั้ง
Apple A9
ซีพียูรุ่นล่าสุดจาก Apple ที่ปรากฎอยู่ใน iPhone 6S and 6S Plus ด้วยระบบประมวลผลแบบ 64-bit ที่ทาง Apple ได้ยืนยันว่าชิปเซ็ทรุ่นใหม่นี้เร็วกว่าชิป Apple A8 ถึง 70% และเป็นชิปที่เร็วที่สุดของ Apple ในตอนนี้อีกด้วย
Samsung Exynos
ข้ามมาที่ฝั่ง Asia ของเรากันบ้าง Samsung ก็เป็นอีกหนึ่งผู้ผลิตที่มีซีพียูเป็นของตัวเอง และในทุกวันนี้ได้มีการพัฒนาชิป Exynos เพิ่มมากขึ้น อย่างเช่นล่าสุดที่ Samsung ใช้ชิปเซ็ท Exynos 8890 ใน Samsung Galaxy S7 ซึ่งซีพียูรุ่นดังกล่าวนั้นเคยได้รับกระแสความสนใจด้วยคะแนน Benchmark ทะลุ 100,000 คะแนนเลยทีเดียว
MediaTek
MediaTek จัดได้ว่าเป็นคู่แข่งตัวฉกาจกับทาง Qualcomm ซึ่งเราจะพบเห็นชิปจาก MediaTek ได้ในมือถือ่ที่วางจำหน่ายในทวีปเอเชียเป็นส่วนใหญ่ แต่ซีพียูจาก MediaTek นั้นประมวลผลด้านกราฟฟิกได้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก จึงทำให้ยังเป็นรองผู้ผลิตเจ้าอื่นๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าชิปจาก MediaTek นั้นจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้หรือเปล่า?
แบตอึดไว้ก่อน!!
เรื่องของแบตเตอรี่นั้นก็มองข้ามไปไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะปัญหาที่น่าเบื่อมากๆ สำหรับคนใช้มือถือนั่นก็คือแบตเตอรี่หมดในช่วงเวลาคับขัน หรือในช่วงเวลาที่ไม่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ ซึ่งวิธีแก้เบื้องต้นก็คือการซื้อ Power Bank มาใช้งาน ซึ่งก็แก้ปัญหาได้แค่เพียงชั่วคราว และต้องคอยมานั่งชาร์จ Power Bank อีก ทางออกง่ายๆ ที่ดีกว่านั่นคือซื้อมือที่มีความจุแบตเตอรี่เยอะๆ มาใช้งาน
ซึ่งในทุกวันนี้มีมือถือหลายรุ่นที่มาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่มีความจุมากกว่ามือถือทั่วๆไปที่เราใช้งาน เช่น Huawei Mate 8 ที่มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh หรือ ASUS Zenfone Max มือถือราคาเบาๆ ที่มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh และมือถือเรือธงอย่าง Samsung Galaxy S7 Edge ก็มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 3,700 mAh อีกด้วย
ถ่ายรูปสวยไว้ก่อน!!
นอกจากเรื่องของแบตเตอรี่แล้ว เรื่องของกล้องถ่ายภาพนั้นก็เป็นจุดเด่นของมือถือยุคนี้ด้วยเช่นกัน และมีผู้ใช้งานจำนวนไม่น้อยที่เลือกซื้อมือถือที่สามารถถ่ายภาพแบบความละเอียดสูงได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ไม่ว่ามือถือแบรนด์ใดก็มักจะมาพร้อมกับกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซลกันหมด ซึ่งในบางครั้งภาพที่ถ่ายออกมาจากกล้องความละเอียดขนาด 13 ล้านพิกเซลนั้นกลับดูดีกว่าภาพที่ถ่ายออกมาจากกล้องความละเอียด 20 ล้านพิกเซลก็มี
นอกจากเรื่องของความละเอียดแล้ว คุณภาพของเลนส์หรือเซนเซอร์ที่ใช้เราก็ควรจะศึกษาเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน เพื่อให้ได้มือถือที่ดีที่สุดมาใช้งานนั่นเอง และที่สำคัญคือเราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของโฆษณาชวนเชื่อ ดังนั้นถ้าจะเลือกซื้อมือถือที่มาพร้อมกล้องความละเอียดสูงๆ ก็ต้องดูภาพรวมของประสิทธิภาพการทำงานในส่วนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เพราะหากซีพียูทำงานช้าโอกาสที่เราจะได้ภาพสวยๆ ก็น้อยถึงแม้ว่ากล้องจะมีคุณภาพขนาดไหนก็ตาม แถมเดี๋ยวนี้ยังมีเทคโนโลยีเกี่ยวกับกล้องมือถือที่แต่ละค่ายยัดเข้ามาอีก ไม่ว่าจะเป็นกันสั่น OIS, ระบบโฟกัสด้วยเลเซอร์, ระบบโฟกัสแบบ PDAF, ระบบโฟกัสแบบไฮบริด เป็นต้น
เลือกที่ผู้ให้บริการ!!
หลายคนอาจจะงงว่าการซื้อมือถือใหม่มันเกี่ยวอะไรกับผู้ให้บริการเครือข่ายในบ้านเรา ถ้าคุณไม่เคยคิดถึงตรงจุดนี้เลยแสดงว่าคุณพลาดโอกาสดีๆ มานานแล้ว ก่อนอื่นให้ลองสังเกตว่าเวลามีมือถือระดับเรือธง หรืออาจจะเป็นรุ่นที่น่าสนใจมาเปิดตัวในบ้านเรา ผู้ให้บริการเครือข่ายทั้งสามเจ้านี่แหละครับที่จะทำให้เราเป็นฝ่ายได้เปรียบ เนื่องจากทางเครือข่ายจะต้องจัดโปรโมชั่นมาดึงลูกค้ากันอยู่เรื่อยๆ ผู้ใช้งานอย่างเราๆ ก็แค่รอจังหวะให้รู้สึกว่ามันคุ้มพอที่จะเสียเงิน
ซึ่งความคุ้มนี่ก็แล้วแต่คนมองว่าจุดไหนที่เรียกว่าคุ้ม ยกตัวอย่างเช่น ได้ของแถมดีๆ โปรโมชั่นรายเดือนถูก หรืออาจจะเป็นรุ่นใหม่ออกเอารุ่นเก่าไปเทิร์นได้ อะไรแบบนี้ ซึ่งก็แล้วแต่ทางผู้ให้บริการเครือข่ายว่าจะจัดโปรโมชั่นออกมาในลักษณะใด และท้ายที่สุดนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราว่าจะซื้อยังไงให้คุ้มที่สุด และผมเชื่อว่าการนำวิธีเหล่านี้ไปซื้อมือถือเครื่องใหม่ จะทำให้คุณได้มือถือที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด
ภาพตัวอย่างโปรโมชั่น
อ้างอิง Cnet