นับตั้งแต่ขึ้นศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา เทคโนโลยีก็ก้าวหน้าขึ้นไปมาก โดยเฉพาะด้านไอทีที่แทบจะมีเรื่องก้าวกระโดดมาให้เราเห็นกันทุกปี จนบางเรื่อง อุปกรณ์บางอย่างนี่เราก็แทบจะนึกว่ามันเก่ามากๆๆๆ ทั้งที่บางครั้งมันก็เพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง และแน่นอนครับ มีเรื่องที่สำเร็จ แล้วก็ต้องมีเรื่องที่ผิดพลาด เรื่องที่เฟลกันบ้างเป็นธรรมดา ในบทความนี้ก็ขอนำเสนอ 10 เรื่องพลาดครั้งใหญ่แห่งวงการไอที ในช่วง 15 ปีหลังสุดให้ได้ชมกัน โดยบทความนี้ก็เรียบเรียงมาจากต้นฉบับของต่างประเทศอีกที เลยอาจจะมีบางเรื่องที่ไม่ค่อยคุ้นกันเท่าไหร่ เพราะเป็นของที่มีในต่างประเทศ บางเรื่องก็ไม่เกี่ยวกับมือถือโดยตรง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องใหญ่ๆ ระดับโลกกันแทบทั้งนั้นครับ มีอะไรบ้าง มาชมกันเลย
ปล. ไม่ได้เรียงลำดับความผิดพลาดนะ
1. Steve Ballmer ซีอีโอ Microsoft ในขณะนั้น สบประมาท iPhone ว่าขายไม่ได้หรอก
หลังจากปี 2007 ที่ Ballmer ประกาศนั้นเป็นอย่างไร ทุกคนคงทราบกันดีนะครับ ก็คือ Windows Mobile ตอนนั้นค่อยๆ ล้มหายตายจากไปเลย และกลายเป็นยุคของสมาร์ทโฟนจอสัมผัสที่ใช้นิ้วสั่งงานได้ โดยที่มี iPhone เป็นผู้นำเข้าสู่ตลาดอย่างจริงจังเป็นรายแรก ส่วนสาเหตุที่ Ballmer สบประมาทไว้ตอนนั้น ว่า iPhone คงขายไม่ได้ เขาให้ความเห็นไว้ว่า เพราะมันไม่มีคีย์บอร์ดไงล่ะ แถมด้วยเครื่องแค่นี้ คงใช้รับส่งอีเมลไม่สะดวกหรอก ส่วนอีกประเด็นหนึ่งก็คือ เพราะมันเป็นมือถือที่โคตรแพงเลยน่ะสิ
ส่วนตอนนี้ สถานการณ์กลับกันอย่างสิ้นเชิง และมือถือของ Microsoft ก็มาเป็นจอสัมผัส (ที่ไม่มีคีย์บอร์ด) รับส่งอีเมลก็ลักษณะเดียวกัน แถมราคา (ถ้านับรุ่นตัวท็อป) ก็ถูกกว่า iPhone รุ่นปัจจุบันอยู่นิดนึง แต่ยอดขาย ส่วนแบ่งตลาดนี่คนละเรื่องไปเลย
2. Apple Maps สุดเบี้ยว แถมพาหลงทางเข้าป่าไปซะ
ช่วงปี 2012 นั้นมีกระแสข่าวแรงมากถึงการแตกหักกันระหว่าง Apple กับ Google ทำให้หลายคนเป็นห่วงว่า แล้วพวกแอพ iOS ที่ใช้ของ Google อยู่ โดยเฉพาะ Google Maps ล่ะ จะยังใช้บนอุปกรณ์ iOS ได้หรือเปล่า แล้วทีนี้จะไปใช้อะไรแทน?
Apple กับ Google ก็เลือกเดินเกมแบบครึ่งๆ กลางๆ ครับ ด้วยการยังมี Google Maps อยู่ แต่มาในรูปแบบของแอพที่ต้องดาวน์โหลดมาลงเอง พร้อมกับการเปิดตัว Apple Maps ของตนเอง ซึ่งดูจากการนำเสนอแล้วดูดีมาก โดยเฉพาะเรื่องสีสัน เรื่องแผนที่ 3 มิติ แต่พอเปิดให้ใช้จริง ปรากฏว่าข้อมูลยังมีน้อยเกินไป (หาสถานที่ในไทยแทบไม่ค่อยจะเจอ) แถมที่แย่กว่านั้นคือ ขนาดเป็นแผนที่สถานที่ในอเมริกาเอง ยังพบปัญหาเรื่องภาพเบี้ยวเลย อย่างในภาพก็เป็นสะพานเบี้ยวซะอย่างนั้น แสดงให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของตัวแผนที่ แถมที่แย่ที่สุด คือข้อมูลแผนที่ไม่ตรงกับสถานที่จริง ทำให้ช่วงนั้นเราได้เห็นคนขับรถหลงทาง เข้าป่าบ้าง ผิดทางบ้าง เนื่องจากใช้งาน Apple Maps เป็นหลักอยู่บ่อยๆ จนช่วงหลังที่แอพ Google Maps เปิดให้โหลดบน App Store ปัญหาดังกล่าวจึงหายไป
ซึ่งผมว่าก็คงเป็นเพราะคนหันกลับไปใช้ Google Maps กันหมดนั่นแหละ (ฮา) ส่วนตัวของ Apple Maps ก็ยังมีการพัฒนา มีการนำเสนออยู่เรื่อยๆ นะครับ แต่คนคงไม่ค่อยใช้กันเท่าไหร่มั้ง เล่นสร้างชื่อไว้ซะเยอะเลย
3. บั๊ก Y2K สุดสะพรึง
อันนี้จัดว่าดักแก่พอสมควรเลย กับปัญหาเรื่องบั๊ก Y2K ที่เป็นกระแสใหญ่กันไปทั่วโลก เอาเป็นว่าผมขอย้อนรำลึกความจำในช่วงนั้นให้ฟังแล้วกัน เผื่อมีบางท่านไม่เคยทราบ หรือลืมๆ ไปแล้ว
สำหรับเจ้า Y2K เนี่ย จะมีอีกชื่อที่พอเข้าใจง่ายกว่า (หรือเปล่า) ก็คือ The Millenium Bug แปลเป็นไทยง่ายๆ ก็ บั๊กที่เกิดเมื่อขึ้นสหัสวรรษใหม่ สาเหตุก็เกิดมาจาก โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 2000 มักจะใช้การแสดงและเก็บข้อมูลปี ค.ศ. แค่เลขสองตัวหลังเท่านั้น เช่น ปี 1904 ก็เก็บแค่ 04 ปี 1999 ก็เก็บแค่ 99 แล้วทีนี้พอถึงปี 2000 มันก็ต้องเก็บว่าเป็นปี 00 ใช่มั้ยครับ ก็เท่ากับว่ามันไปชนกับปี 1900 ซะ คราวนี้ก็กลายเป็นว่าระบบจะพัง เพราะเลขปีเพี้ยน การนับระยะเวลาก็เพี้ยน ระบบก็คงงงว่าเอ๊ะ เมื่อวานยังเป็น 31/12/99 อยู่เลย มาวันนี้ทำไมมันเป็น 01/01/00 ล่ะ เวลามันย้อนไปตั้ง 100 ปีเลยนะนายจ๋า สำหรับโปรแกรมใหม่ๆ ที่โปรแกรมเมอร์เขียนป้องกันเรื่องนี้ หรือใช้การเก็บปีเป็นเลข 4 หลักไปแล้วก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่กับพวกโปรแกรมเก่าๆ ที่โปรแกรมเมอร์ไม่ได้คิดเรื่องนี้ หรือคิดว่าคงไม่มีใครใช้โปรแกรมของตนเองมาถึงปี 2000 หรอก ก็น่าจะได้รับผลกระทบกันเต็มๆ
ก็เลยเกิดความกังวลกันว่า ด้วยปัญหาดังกล่าว จะส่งผลกระทบกับระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานกันอยู่มั้ย เลยเกิดการอัพเกรดโปรแกรมขนานใหญ่ คนก็แห่ถอนเงินจากธนาคารออกมา เพราะกลัวว่าระบบการเงินของธนาคารจะมีปัญหา ช่วงนั้นผมจำได้ว่ามีการไล่อัพเดต พร้อมทั้งการการันตีว่าระบบของตนได้รับการป้องกันปัญหา Y2K แล้วกันชุดใหญ่เลย
สุดท้าย ปรากฏว่าปัญหาดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบมากอย่างที่คิดครับ แถมเราก็ผ่านมาถึงปี 2015 แล้ว แต่ต้องยอมรับเลยว่าตอนนั้นมันดูเป็นปัญหาใหญ่มากจริงๆ ถึงขั้นออกข่าวทีวีกันแทบทุกวันเลย
4. กองทัพภาพหลุดดาราจาก iCloud
ขึ้นชื่อว่าระบบการเก็บข้อมูลออนไลน์อย่างพวก cloud ย่อมมีความเสี่ยงต่อการถูกแฮค ถูกขโมยข้อมูลกันอยู่แล้ว สำหรับทาง Apple ที่มีระบบ iCloud ของตนเอง ก่อนหน้านี้ก็การันตีว่าระบบของตนปลอดภัย 100% ไม่มีทางแฮคได้อย่างแน่นอน แต่แล้ววันนั้นก็มาถึงครับ เมื่อมีแฮคเกอร์ไปพบรหัสผ่านผู้ใช้งานเข้าระบบ iCloud ของดาราดังหลายๆ คนเข้า (ซึ่งตรงนี้ไม่มีการเปิดเผยว่าพบรหัสผ่านได้ยังไง แฮคแบบไหน) แล้วก็ทำการล็อกอินเข้าไปดาวน์โหลดภาพส่วนตัวของดาราดังมา และแน่นอนครับ ที่มันดังไปทั่วโลก เพราะมันเป็นภาพนู้ดแบบส่วนตัวสุดๆ นั่นเอง เรียกว่าเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบกับ Apple และระบบ cloud หลายแห่งเต็มๆ เลยทีเดียว
จากเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้หลายๆ คนระมัดระวังเรื่องการใช้ระบบการซิงค์กับแหล่งเก็บข้อมูลออนไลน์มากขึ้น ซึ่งผมว่า ทางที่ดี ก็อย่าถ่ายรูปแนวนี้ไว้ดีกว่า ปลอดภัยสุดละ เห็นด้วยตาเนื้อก็พอ อย่าใช้ตากล้องเก็บภาพไว้เลย อันตรายยยย
5. Yahoo ปฏิเสธการซื้อกิจการ Facebook
ในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ โซเชียลเน็ตเวิร์คที่ดังทั่วโลก หนึ่งในนั้นก็คือ Yahoo ที่มีกิจการในมือของตนเองมากมาย ส่วนในขณะนั้น Facebook เองยังอยู่ในช่วงที่ยังไม่ดังเป็นพลุแตกเหมือนในตอนนี้ที่แทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของบางคนไปแล้ว โดยในตอนนั้น Yahoo เองมีโอกาสเข้าซื้อ Facebook เข้ามาเป็นหนึ่งในกิจการของตนเองในมูลค่าเพียงแค่ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ซึ่งถือว่าถูกมาก เมื่อดูจากการเติบโตของ Facebook ในปัจจุบัน ที่มีการตีมูลค่าว่าสูงถึงกว่า 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าไปแล้ว คิดง่ายๆ ก็คือโตกว่าเดิมถึง 250 เท่า !!
นี่ถ้า Yahoo ฮุบ Facebook ไปซะตั้งแต่ตอนนั้น ผมนี่นึกไม่ออกเลยว่าโลกไอทียุคปัจจุบันจะเป็นยังไง เผลอๆ เราอาจจะไม่ได้เห็นชื่อ Facebook อีกเลยก็ได้ (เปลี่ยนเป็น Yahoo แทน)
6. Gizmondo สุดยอดเครื่องเกมพกพา ที่ยอดขายทั่วโลกสูงถึงกว่า 25,000 เครื่อง !!
ถ้าพูดถึงเครื่องเกมพกพาในช่วงยุคปี 2000 ต้นๆ เราคงคุ้นเคยกับ PSP ของ Sony และ Nintendo DS กันแน่ๆ ส่วนในกลุ่มของมือถือก็เป็น Nokia N-Gage ที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่อยากบอกว่าที่จริงยังมีเครื่องเกมพกพาอีกเครื่องที่ออกมาในช่วงนั้นนะครับ นั่นก็คือเจ้า Gizmondo แต่ที่เราคงไม่ค่อยคุ้นหูกันเท่าไหร่ เพราะมันวางจำหน่ายในปี 2005 แบบค่อนข้างอินดี้ แถมมีแค่ในสวีเดน, เครือสหราชอาณาจักร (แทบจะเฉพาะในอังกฤษด้วย) และในอเมริกาเท่านั้นเอง จากนั้นก็เลิกจำหน่ายไปในปี 2006 ด้วยยอดขายรวมทั่วโลกเพียงแค่ 25,000 เครื่องเท่านั้น
ถ้าพูดถึงในเรื่องของสเปคและฟีเจอร์ ก็จัดว่าน่าสนใจพอสมควรครับ เพราะมันมีหลายๆ ฟีเจอร์ที่เครื่องเล่นเกมพกพาในขณะนั้นไม่มี เช่น สามารถเชื่อมต่อเน็ตมือถือ GPRS ได้ในตัว รับส่ง SMS/MMS ได้ มี Bluetooth มีกล้องความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซล เรียกว่าล้ำหน้ากว่า PSP กว่า NDS อย่างเห็นได้ชัด แต่เรื่องของเกม กลับมีออกมาแค่ราวๆ 30 เกมเท่านั้น
ส่วนสาเหตุที่เลิกขายอย่างรวดเร็ว ก็เพราะว่าบริษัทถูกฟ้องล้มละลาย เนื่องจากเจ้าของร่วมของบริษัทโดนฟ้องเกี่ยวกับคดีทุจริตทางการเงินครับ
7. การตกต่ำของ BlackBerry
เรื่องนี้เอาจริงๆ ก็เพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่ปีเองครับ กับกระแสความนิยมของ BlackBerry ที่พุ่งกระฉูด อย่างในต่างประเทศนี่ BlackBerry เป็นสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงมานานแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มของคนทำงาน เพราะมันมีคีย์บอร์ดเป็นปุ่มกดจริงๆ ระบบการใช้งานพวกอีเมล ระบบการสื่อสารในองค์กรก็เป็นเบอร์ต้นๆ ที่สำคัญก็คือระบบ BBM ที่ทำงานได้ดี ความน่าเชื่อถือสูง ส่วนในไทยก็เริ่มได้รับความนิยมช้ากว่าต่างประเทศพอสมควร แต่บอกเลยว่าพีคมากๆ ทุกคนแทบอยากจะหา BlackBerry มาเป็นมือถือเครื่องหลัก หรือถ้ามีสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นอยู่แล้วก็อยากได้บีบีมาเป็นเครื่องสำหรับแชท BBM กับเพื่อน ยุคนั้นใครมัวขอเมล ขอเบอร์โทรอยู่ จัดว่าเชยสุดๆ เขาต้องขอพินบีบีกันแล้ววววว
แต่พอผ่านมาซักระยะหนึ่ง สำหรับในไทย ถ้าผมจำไม่ผิด มันเริ่มตั้งแต่แอพแชท Whatsapp เริ่มดัง คนที่ใช้มือถือแพลตฟอร์มอื่นๆ อยู่ เช่น iPhone หรือ Android ก็หันมาใช้ Whatsapp แชทคุยกันมากขึ้น ความจำเป็นที่ต้องใช้ BBM ก็น้อยลง ซึ่งยังดีที่บีบีใช้ Whatsapp ได้ เลยไม่กระทบมาก แต่พอ LINE เริ่มเข้ามา พร้อมกับฟีเจอร์เด็ดอย่างการส่งสติ๊กเกอร์น่ารักๆ ได้ ทีนี้กลายเป็นตีตลาดแตกเลยครับ เพราะใครๆ ก็อยากแชทแบบมีสติ๊กเกอร์น่ารักมากกว่า ความนิยมการใช้บีบีก็ลดลง เพราะใช้มือถืออื่นก็แชท LINE ได้ แถมมือถือทั้ง iPhone และมือถือ Android ก็เปิดตัวออกมาได้น่าสนใจกว่า แอพเยอะกว่า เกมมากมาย
ส่วนทางฝั่ง BlackBerry ก็พยายามแก้เกมด้วยการส่งมือถือจอสัมผัสมา โดยมี BlackBerry Z10 ที่เป็นมือถือจอสัมผัสเต็มตัวออกมาในปี 2013 (ตามหลัง iPhone ตั้ง 6 ปี) แต่ก็จัดว่าช้าไปแล้ว เนื่องด้วยแอพมีน้อย การใช้งานก็ไม่หลากหลายเท่า Android ที่เติบโตอย่างรวดเร็วมากๆ สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นว่า BlackBerry ค่อยๆ ตกต่ำลงอย่างในปัจจุบันครับ ถึงแม้จะแก้เกมด้วยรุ่นใหม่ๆ ออกมาเท่าไหร่ หลังจากเปิดตัวไม่นาน กระแสก็เงียบเหมือนแทบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งก็มีหลายๆ คนให้คำแนะนำไว้ว่า ถ้า BlackBerry จับมือเอา Android มาลง คงจะกลับมาเกิดอีกครั้งได้แน่ๆ ก็รอดูละกันนะ
8. ระบบ PlayStation Netwok ของ Sony ถูกแฮค จนต้องปิดระบบกว่า 23 วัน
ข้อนี้ ถ้าใครที่เล่นเกมจากเครื่อง Sony อย่าง PlayStation 3 และ PSP ในช่วงปี 2011 น่าจะทราบกันดี ถึงการปิดระบบเน็ตเวิร์ค PSN ลงถึง 23 วัน ทำให้ไม่สามารถเล่นเกมออนไลน์ รวมถึงยังเข้าซื้อเกมจากระบบขายเกมแบบออนไลน์ไม่ได้ด้วย โดยมีสาเหตุเนื่องมาจากระบบ PSN ถูกแฮค และมีรายงานว่าข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานกว่า 77 ล้านรายหลุดออกไป ซึ่งก็มีข้อมูลซะครบเลย โดยเฉพาะข้อมูลบัตรเครดิตและรหัสผ่านต่างๆ
หลังจาก Sony แก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว ระบบได้กลับมาเปิดอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทาง Sony ได้มอบของขวัญเป็นการขอโทษและปลอบใจลูกค้าด้วยการแจกเกม PS3 และ PSP ให้กับลูกค้า ส่วนเรื่องความเสียหายนั้น ประมาณกันว่า Sony เสียหายไปกว่า 1.71 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว
9. ระบบแท็กหน้าอัตโนมัติของ Google Photos แท็กว่าหน้าของผู้ใช้งานผิวสีเป็นหน้าลิงกอริลล่า
อันนี้จัดเป็นประเด็นใหญ่ถึงระดับเชื้อชาติเลยล่ะครับ เมื่อ Google Photos บริการฝากรูป เก็บรูปออนไลน์ของ Google ที่มีระบบแท็กหน้า และจัดหมวดหมู่ภาพอัตโนมัติเกิดข้อผิดพลาดในด้านของอัลกอริธึมการตรวจจับภาพ โดยจัดให้ภาพของผู้ใช้งานผิวสี อยู่ในหมวดหมู่ของภาพลิงกอริลล่าไปซะ งานนี้ Google โดนด่า และเกิดดราม่ากันไปพอสมควร ซึ่งในเวลาต่อมา Google ได้ประกาศขอโทษ และทำการปรับปรุงแก้ไขระบบขนานใหญ่เลย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก
10. Nexus Q …เอ๊ะ มันคืออะไรนะ ..อ้อ !!! นึกออกละ ลืมสนิทเลยนะเนี่ย
หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ถูกลืมของ Google ครับ กับ Nexus Q อุปกรณ์เล่นมีเดีย สตรีมมิ่งจากมือถือไปยังจอทีวีอะไรประมาณนี้ นับเป็นอุปกรณ์ในเครือ Nexus ชิ้นแรกเลยที่ไม่ใช่มือถือ ซึ่ง Google เองได้มอบเป็นของขวัญให้กับนักพัฒนาที่เข้าร่วมในงาน Google I/O 2012 กันฟรีๆ และตั้งราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ $299 หรือประมาณเกือบหมื่นบาทเลยทีเดียว ซึ่งตอนนำเสนอ ก็ดูน่าสนใจดีครับ
แต่พอนักพัฒนาได้ลองนำไปใช้งานจริง ปรากฏว่าฟีเจอร์ที่มันทำได้ กลับไม่สมราคาที่มองว่าค่อนข้างแพงเกินไป เกิดเป็นกระแสรีวิวในแง่ลบเกินคาด จนทำให้ Google ไม่ได้นำออกมาวางขายแบบจริงจัง ส่วนใครที่สั่งพรีออเดอร์ไปแล้ว ก็กลายเป็นว่า Google แจก Nexus Q ไปให้ใช้กันฟรีๆ ไปเลย ถือว่าเป็นการซื้อใจลูกค้าไปแล้วกันนะ
ภายหลัง Google ก็ทำ Chromecast ออกมาขายแทน ซึ่งฟีเจอร์การทำงานก็ใกล้เคียงกับ Nexus Q ครับ แต่มีเพิ่มมาหลายจุดอยู่เหมือนกัน ที่สำคัญคือราคาถูกกว่ามากกกก ก็เลยกลายเป็นว่าขายดีไปเลย ไม่แน่ ถ้า Nexus Q เปิดราคามาเท่ากับ Chromecast ตอนนี้ อาจจะเกิดไปแล้วก็ได้นะ
เรียบเรียงจาก: Quandly