อีกหนึ่งคำถามโลกแตกสำหรับผู้ที่มีไอโฟนรุ่นเก่าแล้วอยากอัพเกรดมาใช้ iPhone รุ่นใหม่อย่าง iPhone 6 Plus แต่ Apple ก็ดันเปิดตัวเจ้า iPad Air 2 ที่ค่อนข้างตอบโจทย์การใช้งานซะเหลือเกิน เพราะนอกจาก CPU Apple A8x ของ iPad Air 2 จะแรงขึ้นกว่าเดิมแล้ว ยังได้ในเรื่องของ TouchID และกล้องที่ได้รับการปรับปรุงมาเป็น 8 ล้านพิกเซลที่สามารถถ่าย Slo-Mo ได้อีกต่างหาก ส่วนตัวผมเชื่อว่ามีผู้ใช้ไม่น้อยที่เกิดอาการลังเลขึ้นมาอย่างมากเลยหล่ะครับ ว่าสรุปแล้ว จะขาย ไปซื้อ iPhone 6 Plus เลยดีไหม หรือจะเปลี่ยนมาโดน iPad Air 2 แล้วใช้ iPhone 5s เหมือนเดิมดี เพราะค่าเสียหายในการอัพเกรดก็พอๆ กันเลยครับ ผมจะแจงค่าเสียหายให้ตามนี้เลย
กรณีที่ขาย iPhone 5s แล้วไปซื้อ iPhone 6 Plus
- ราคามือสองของ iPhone 5s ที่รุ่นความจุ 16 GB จะอยู่ที่ประมาณ 13,000 – 16,000 บาท ตีเป็นราคากลางๆ ที่ปล่อยออกเร็วสุดก็จะอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท
- ราคาของ iPhone 6 Plus ที่รุ่นความจุ 16 GB อยู่ที่ 28,900 บาท (ขาดเงินอีก 13,900 บาท) ถ้าเป็นรุ่น 64 GB ก็จะอยู่ที่ 32,900 บาท (ขาดอีก 17,900 บาท)
กรณีที่ซื้อ iPad Air 2 Wifi ความจุ 64 GB
- iPad Air 2 Wifi 64 GB มีราคาอยู่ที่ 20,400 บาท เท่ากับว่าเพิ่มเงินอีก 20,400 บาทนั่นแหละ (จะบอกทำไม)
จะเห็นว่าการซื้อ iPad Air 2 Wifi ความจุ 64 GB จะมีราคาแพงกว่าการขาย iPhone 5s แล้วไปซื้อ iPhone 6 Plus ความจุ 64 GB อยู่ 2,500 บาท แต่สิ่งที่ได้ขึ้นมาคือเราได้แท็บเล็ตเพิ่มขึ้นมาอีกเครื่องหนึ่งครับ โดยเป็นแท็บเล็ตที่มีสเปคแรงกว่ามือถือเครื่องเดิมเยอะ หน้าจอก็ใหญ่กว่า ใช้งานได้สบายตาและใกล้เคียงกับโน้ตบุ๊คพอสมควร เล่นเกม, ฟังเพลงก็ทำได้อย่างเต็มที่มากกว่า iPhone 5s รวมถึง iPhone 6 Plus อยู่แล้ว เพราะมีหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 9.7 นิ้ว และที่สำคัญคือ iPad Air 2 มีน้ำหนักค่อนข้างเบาและตัวเครื่องทีบางเดียวครับ เรียกว่าพกพาได้สะดวกเลยหล่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรามาดูเหตุผลอื่นๆ ประกอบกันไปดีกว่า ว่าสรุปแล้วเลือกทางไหนดี ระหว่างขาย iPhone 5s แล้วไปซื้อ iPhone 6 Plus กับใช้ iPhone 5s ต่อไปแล้วซื้อ iPad Air 2 มาใช้คู่กันแทน
เป็นคนชอบพกอะไรเยอะๆ หรือเปล่า
ด่านแรกสำหรับคนที่อยากซื้อ iPad Air 2 มาใช้เลยหล่ะครับ ว่าคุณชอบพกอะไรหลายเครื่องหรือไม่ จริงอยู่ครับที่ iPad Air 2 ทำอะไรได้สะดวกกว่า iPhone 6 Plus เพราะมันมีหน้าจอขนาดใหญ่ แต่ปัญหาหลักของมันคือในเรื่องการพกพาครับ อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องมีกระเป๋าสะพายเอาไว้ใส่ไอแพด หรือจะเลือกซื้อเคสฝาพับมาใส่ iPad Air 2 แล้วถือไปมาอันนี้ก็แล้วแต่จะถนัด แต่ก็จะเสียเรื่องความคล่องตัวไปครับ เพราะถ้าเลือกใช้เป็น iPhone 6 Plus มันจะค่อนข้าง All in one มากกว่า คือไม่ได้มีประสบการณ์ใช้งานดีในระดับ iPad Air 2 แต่ก็ถือว่าได้เรื่องความสะดวกครับ เครื่องเดียวจบ
แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบพกพาและไม่ได้ซีเรียสกับการพกอุปกรณ์ติดตัวหลายชิ้น หรือชอบพกกระเป๋าสะพายเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว การเลือกซื้อ iPad Air 2 มาใช้คู่กับ iPhone 5s นี่ถือว่าค่อนข้างลงตัวเลยครับ และเดี๋ยวนี้ระบบ Handoff บน iOS 8.1.1 นี่ตอบโจทย์การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ใน Apple ID เดียวกันได้ค่อนข้างดีทีเดียว เพราะตัว iPhone เองจะพร้อมเป็น Personal Hotspot ให้กับอุปกรณ์อื่นๆ ที่เชื่อมต่อด้วย Apple ID เดียวกันได้ตลอดเวลา ไม่ต้องมาเสียเวลาเปิด Hotspot จากไอโฟน แล้วก็ไปตั้งค่าในไอแพดให้เสียเวลาเหมือนแต่ก่อนแล้วครับ เดี๋ยวนี้อยากใช้อินเทอร์เน็ตบน iPad ถ้ามี iPhone อยู่ใกล้ๆ ก็แค่เปิด Wifi จากบน iPad Air 2 แล้วมันจะมีให้เลือกเชื่อมต่อ Hotspot กับ iPhone โดยอัตโนมัติ?รวมถึงการใช้งานที่บ้านด้วยนะครับ เวลาที่เราใช้งาน iPad Air 2 กับ iPhone 5s บน Wifi วงเดียวกัน ฟีเจอร์ Handoff จะยิ่งแสดงความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ อย่างเวลาที่เราอยู่บ้าน ตรงนี้แทบไม่ต้องคอยมาดูมือถือเลยครับ เพราะ iPad Air 2 สามารถใช้งานแทน iPhone ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นการโทรออก, รับสาย, ส่ง SMS เป็นต้น
โดยรวมแล้ว iPhone 5s ยังตอบโจทย์ของคุณอยู่หรือไม่
ถ้าหากว่าโดยรวมแล้ว iPhone 5s ยังถือว่าโอเคอยู่ เพราะปกติสเปคของอุปกรณ์ Apple จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 2 ปีครับ ผมเชื่อว่าหลายคนก็ยังมองว่า iPhone 5s นั้นยังใช้งานได้ดีอยู่ เพราะชิปเซ็ต Apple A7 ในตอนนี้ก็ยังถือว่าแรงพอตัวเลย และเจ้า Apple A8 ก็ไม่ได้ถือว่าแรงกว่ามากนัก และถ้าหากว่า iPhone 5s ยังคงตอบโจทย์อยู่แล้วหล่ะก็ การเลือกไปซื้อ iPad Air 2 มาใช้ควบคู่กับไอโฟนเครื่องเก่าดูจะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่าครับ เพราะอยากได้จอใหญ่ขึ้นใช่มั้ย จัดไปเลยครับ iPad Air 2 กับขนาดจอที่ 9.7 นิ้ว เล่นเกม, ดูหนัง, ท่องเน็ต, อ่าน E-Book สบายตากว่าเห็นๆ
แต่ถ้ารู้สึกว่า iPhone 5s เริ่มไม่ตอบโจทย์แล้ว หรืออยากได้มือถือที่กล้องหลังคุณภาพดีกว่าที่เป็นอยู่ แบบนี้แนะนำให้ขาย iPhone 5s แล้วไปจัด iPhone 6 Plus เลยครับ เพราะกล้องหลังของ iPhone 6 Plus มีการพัฒนาและคุณภาพของรูปถ่ายที่ดีกว่า iPhone 5s พอสมควรเลยหล่ะ
สรุป
ท้ายที่สุดแล้วมันก็วนมาอยู่ที่ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนครับ ว่าสรุปแล้วชอบพกพาอะไรเยอะๆ หรือไม่ เพราะส่วนตัวผมมองว่าถ้าไม่ได้ซีเรียสเรื่องการพกพาอยู่แล้ว การซื้อ iPad Air 2 มาใช้งานควบคู่ไปกับ iPhone 5s หรือไอโฟนเครื่องเก่าอยู่ดูจะเป็นทางออกที่ค่อนข้างดีทีเดียวครับ เพราะเราได้ใช้ iPhone 5s จนคุ้มค่าตัวของมัน และยังได้รับประสบการณ์ใช้งานที่ดีจาก iPad Air 2 ในเรื่องของการเอนเตอร์เทน รวมถึงการทำงานควบคู่ไปด้วย เพราะเท่าที่ผมลองเล่นๆ เจ้า iPad Air 2 ดูก็พบว่ามันสามารถใช้งานแทนคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องเล็กๆ อย่างเช่นพวก Netbook ได้ดีเลยครับ และถ้าใช้ควบคู่ไปกับ Bluetooth Keyboard ก็จะสามารถใช้ iPad Air 2 สร้างสรรค์งานได้ค่อนข้างหลากหลาย และยังอยู่ในระดับที่ถือว่าพกพาสะดวกอยู่ครับ แต่สำหรับใครที่ไม่ชอบพกพาอะไรเยอะๆ อยากได้เครื่องเดียวจบ ตรงนี้ก็คงต้องบอกว่า iPhone 6 Plus ตอบโจทย์การใช้งานของคุณมากกว่าพกทั้ง iPhone และ iPad ครับ