Xiaomi Pad 6 แท็บเล็ตรุ่นใหม่จากทาง Xiaomi ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Xiaomi Pad 5 ให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น และยังมีอุปกรณ์เสริมให้ใช้แบบครบครันไม่ว่าจะเป็น Cover, Keyboard และ Smart Pen ซึ่งจากที่ได้เอาไปลองใช้มานั้นบอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา สมกับสโลแกนที่ว่า “ดีไซน์เพื่อการทำงานเต็มประสิทธิภาพ” ยิ่งด้วยราคาแค่หมื่นต้น ๆ แล้ว ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ถึงจะมีข้อสังเกตอยู่บ้าง แต่เมื่อมองสเปคที่ให้มา และราคาที่ขายแล้วก็พอจะยอมรับได้อยู่ แล้วที่ว่าไม่ธรรมดานั้นเป็นอย่างไร เราจะมาบอกเล่าแก่ทุกคนเอง
สเปคของ Xiaomi Pad 6
- หน้าจอ : IPS-LCD, ขนาด 11 นิ้ว, ความละเอียด 2880 x 1800 พิกเซล (WQHD+), Refresh Rate สูงสุด 144Hz (30Hz – 144Hz), ความลึกสี 1.07 พันล้านสี, 99% DCI-P3, รองรับการแสดงผล Dolby Vision, ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 3
- ชิปประมวลผล : Qualcomm Snapdragon 870
- แรม : 8GB ชนิด LPDDR5
- หน่อยความจำ : 128GB / 256GB ชนิด UFS 3.1
- กล้องหลัง : 13MP, f/2.2, PDAF
- กล้องหน้า : 8MP, f/2.2 (ultrawide)
- แบตเตอรี่ : 8840mAh รองรับ 33W Mi Turbo Charging
- ระบบปฏิบัติการ : MIUI Pad 14 บน Android 13
- การเชื่อมต่อ :
- Wi-Fi 6
- Bluetooth 5.2
- USB Type-C 3.2 Gen 1
- Smart Connector
- เซ็นเซอร์ :
- Accelerometer
- Gyroscope
- Ambient Light Sensor
- ลำโพง : 4 ตัว รองรับระบบเสียง Dolby Atmos
- ขนาด : 253.95 x 165.18 x 6.51 มม.
- น้ำหนัก : 490 กรัม
- สี : Gravity Gray, Gold, Mist Blue
- ราคา :
- 128GB : 10,990 บาท
- 256GB : 12,990 บาท
ดีไซน์ตัวเครื่อง
สำหรับดีไซน์ตัวเครื่อง ในส่วนของหน้าจอจะเน้นใช้งานแนวนอน มีหน้าจอขนาด 11 นิ้ว ใช้พาแนลเป็น LCD ซึ่งมีความละเอียดอยู่ที่ 2880 x 1800 พิกเซล หรือระดับ WQHD+ พร้อมรองรับอัตรารีเฟรชสูงสุดที่ 144Hz (ปรับอัตโนมัติ 30/48/50/60/90/120/144Hz แต่ถ้ากำหนดเองจะได้แค่ 60/90/144Hz) และรองรับการแสดงผลแบบ Dolby Vision โดยที่บอกว่าเน้นการใช้งานแนวนอนนั้นก็เนื่องมาจากการวางตำแหน่งกล้องที่วางไว้สำหรับใช้ในแนวนอนเป็นหลักนั่นเอง นอกจากนี้ตัวขอบเองก็นับว่าไม่ได้กว้างจนเกินไป ยังพอมีพื้นที่ให้วางมือได้โดยที่มือจะไม่ลั่นไปสัมผัสส่วนของหน้าจออีกด้วย
สำหรับด้านหลังเครื่องใช้วัสดุแบบ Aluminum Alloy Unibody โดยจะมีดีไซน์โมดูลกล้องแบบเดียวกับ Xiaomi 13 Series ภายในจะมีเลนส์กล้องความละเอียด 13MP ไฟแฟลชแบบ LED และรูไมโครโฟน มีโลโก้ Xiaomi และจุดเชื่อมต่อ Smart Connector อยู่ที่มุมเครื่อง นอกนั้นจะเป็นแบบเรียบ ๆ ไม่มีลวดลายอะไร แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่ไม่มีอะไรนี้ก็ช่วยขับความรู้สึกพรีเมี่ยมและความแข็งแรงให้ออกมาได้เด่นชัดขึ้น สำหรับสีตัวเครื่องนั้นจะมีมห้เลือกทั้งหมด 3 คือ Gravity Grey, Gold หรือ Mist Blue ซึ่งเราได้สี Mist Blue มารีวิวนั่นเอง
สำหรับรอบตัวเครื่อง ตัวขอบเครื่องจะมาด้วยดีไซน์ขอบเหลี่ยม โดยที่เมื่อวางแนวนอน ด้านบนจะมีปุ่มปรับระดับเสียง, รูไมโครโฟนจำนวน 2 ตัว และแถบแม่เหล็กสำหรับใช้ชาร์จปากกา Smart Pen ส่วนด้านล่างจะไม่มีอะไรเลย สำหรับปุ่มเปิด-ปิดนั้นจะอยู่ที่ฝั่งซ้าย ส่วนพอร์ต USB-C และไมโครโฟนตัวสุดท้าย (รูไมโครโฟนทั้งเครื่องจะมีทั้งหมด 4 รู หรือก็คือมีไมโครโฟน 4 ตัวนั่นเอง) จะอยู่ที่ฝั่งขวา และที่เป็นจุดเด่นเลยก็คือลำโพงที่จะมีฝั่งละ 2 ตัว รวมแล้วจะมีทั้งหมด 4 ตัว โดยที่ฝั่งซ้าย ตรงพท้นที่ระหว่างลำโพงจะมีข้อความบอกเอาไว้เลยว่าระบบเสียงเป็น Dolby Vision Atmos
ในส่วนของอุปกรณ์เสริมที่เอาไว้ใช้กับ Xiaomi Pad 6 นั้นจะมีด้วยกันทั้งหมด 3 ชิ้นคือ
- Xiaomi Smart Pen (2nd generation)
- Xiaomi Pad 6 Keyboard
- Xiaomi Pad 6 Cover
ซึ่งทั้ง 3 ชิ้นนี้จะเชื่อมต่อกับตัวเครื่องด้วยแม่เหล็ก ซึ่งบอกเลยว่าตัวแม่เหล็กที่เอาไว้ยึดกับตัวเคสนั้นแน่นใช้ได้เลย
ระบบปฏิบัติการ
ตัวระบบปฏิบัติการจะเป็น MIUI Pad 14 บนพื้นฐาน Android 13 ซึ่ง MIUI Pad นี้เป็น MIUI ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับแท็บเล็ตโดยเฉพาะ ตัวหน้าตา UI นั้นโดยพื้นฐานจะไม่ได้แตกต่างจาก MIUI ในมือถือมากนัก เพียงแต่ที่ด้านล่างจะมีแถว Dock อยู่ โดยในตัว Dock นี้จะทำหน้าที่เป็นจุดเก็บแอปฯ ที่เราต้องการใช้บ่อย ๆ เอาไว้ เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเรียกใช้
นอกจากจะใช้งานสะดวกแล้ว MIUI Pad 14 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ Connect to phone สำหรับใช้เชื่อมต่อมือถือ Xiaomi มาแสดงบนหน้าจอ Xiaomi Pad 6 ได้อีกด้วย โดยในการเชื่อมต่อนี้นอกจากจะแสดงภาพบนจอมือถือแล้วยังสามารถใช้รับส่งไฟล์ต่าง ๆ ระหว่างกันได้ด้วย เพียงแต่ในการจะเชื่อมต่อนั้นต้องเปิดทั้ง Wi-Fi และ Bluetooth อีกทั้งยังต้องล็อคอินบัญชี Xiaomi เดียวกันอีกด้วย ซึ่งตอนนี้เครื่องที่รองรับจะมีเพียง Xiaomi 13 Series และ Xiaomi Pad 6 เท่านั้น
การใช้งานทั่วไปและการชาร์จ
ในเรื่องของการใช้งานในด้านต่าง ๆ นั้น ก่อนอื่นเรามาพูดถึงเรื่องหน้าจอกันก่อนดีกว่า โดยหน้าจอ LCD ที่ใส่มาใน Xiaomi Pad 6 นั้นสามารถบอกได้เลยว่าเป็นหน้าจอ LCD เกรดสูง เพราะสีสันนั้นนับว่าสวยสดแทบไม่ต่างจากจอพาแนล OLED เลยล่ะครับ
ทีนี้เรามาพูดถึงตอนใช้งานกันบ้าง โดยถ้าพูดถึงความลื่นไหลนั้นเรียกได้ว่าหายห่วง เพราะได้ชิปประมวลผลเป็น Snapdragon 870 แถมยังได้ Winevine ระดับ L1 และลำโพง 4 ตัวระบบเสียง Dolby Atmos ทำให้ได้อรรถรสแบบจัดเต็มอย่างถึงที่สุด และด้วยความบางที่ไม่ถึง 7 มม. กับน้ำหนักตัวเพียง 490 กรัม ทำให้สามารถพกพาได้ง่ายในระดับหนึ่ง
เราจะมาพูดถึงเรื่องการใช้งานควบคู่กับอุปกรณ์เสริมอย่าง Xiaomi Smart Pen (2nd generation), Xiaomi Pad 6 Keyboard และ Xiaomi Pad 6 Cover บ้าง โดยสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อมาเพื่อความบันเทิงอย่างเดียว การซื้อแค่ Cover มาก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะตัวเคสนอกจากจะใช้ปกป้องหน้าจอเครื่องแล้วยังสามารถใช้เป็นที่ตั้งเครื่องได้อีกด้วย แต่หากเอาไปใช้เรียนหรือทำงานการซื้อใช้คู่กับ Xiaomi Pad 6 Keyboard จะอะไรที่คุ้มกว่าเยอะเลย แถมฟีลลิ่งในการกดปุ่มก็ถือว่าทำได้ดี เพียงแต่ในการตั้งจอจะตั้งได้แค่ระดับเดียวเท่านั้น
นอกจากนี้หากต้องการใช้จด-ใช้วาด ปากกา Smart Pen (2nd generation) เองก็นับว่าเป็นปากกาที่ดี เพราะตัวปากการองรับแรงกดถึง 4096 ระดับ แถมยังใช้งานได้ยาวนานถึง 150 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ทำให้สามารถใช้งานได้ยาว ๆ โดยไม่ต้องกลัวหมดกลางคัน และถึงจะหมดก็เพียงแค่เอาตัวปากกาไปต่อกับตัว Xiaomi Pad 6 เท่านั้นไม่นานก็ใช้ต่อได้แล้ว
ในเรื่องของแบตเตอรี่นั้นตัวเครื่องให้แบตเตอรี่ขนาด 8840mAh มา ซึ่งจากที่ได้เอาไปใช้งานตามสไตล์คนทำงานด้านการเขียนบทความและดูแลสื่อโซเชียลต่าง ๆ แล้วบอกเลยว่าแบตเตอรี่ที่ให้มานั้นอึด ถึก ทน แบบสุด ๆ เพราะตอนที่ใช้งานนั้นเป็นการใช้งานแบบ 3 จอ แถมมีการเปิดแอปฯ ซ้อนอีกหลายตัว แต่แบตเตอรี่ก็สามารถอยู่จนพ้นวันได้ และยิ่งถ้าไม่ได้ใช้อะไรมากมาย มีดูคลิปหรือเล่นเกมนิด ๆ หน่อย ๆ ตัวแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้เกือบครบอาทิตย์หนึ่งเลยทีเดียว
ในส่วนของการชาร์จนั้นตัวเครื่องจะรองรับระบบชาร์จเร็ว Mi Turbo Charging ขนาด 33W แต่ทว่าในกล่องนั้นจะไม่ได้มีการพ่วงชุดชาร์จมาให้ต้องซื้อแยกต่างหาก เราจึงได้ทำการทดลองชาร์จโดยชุดชาร์จแบบ PD ขนาด 60W ดู ทว่าดูเหมือนจะได้แค่ชาร์จด่วนเท่านั้น ซึ่งนั่นจะทำให้ใช้เวลาชาร์จนานกว่าการใช้ชุดชาร์จที่รองรับ Mi Turbo Charging
โดยตอนที่เราทดลองชาร์จนั้นแบตเตอรี่หมดเกลี้ยงเลย และไม่มีการเปิดเครื่องขึ้นมาระหว่างชาร์จด้วย สำหรับผลนั้นจะต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมง 23 นาทีถึงจะชาร์จแบตเตอรี่ขึ้นมาเป็น 50% ได้ (เริ่มนับจาก 0%) และจะเต็ม 100% นั้นต้องใช้เวลารวมทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง 51 นาที บอกเลยว่าใช้เวลาชาร์จได้นานมากทีเดียว ถึงจะแลกมาด้วยระยะเวลาใช้งานที่ยาวนานก็ตาม ดังนั้นจึงอยากแนะนำให้ชาร์จตอนนอนไม่ก็พยายามชาร์จตอนแบตเตอรี่เหลือมากกว่า 50% เพื่อที่เวลาที่จะต้องใช้งานจะได้หยิบไปใช้ได้เลย
การเล่นเกม
ในด้านการเบ่นเกมนั้นบอกเลยว่าหายห่วง เล่นได้ทุกเกมแน่นอน เพราะชิปประมวลผล Snapdragon 870 นั้นเรียกได้ว่าแรงเกินพอสำหรับทุกเกม เพียงแต่ด้วยน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างมาก ทำให้การถือเล่นนาน ๆ จะทำให้ปวดข้อมือได้เลย สำหรับเกมที่เราได้ลองเล่นนั้นจะมีทั้ง RoV, Genshin Impact, PUBG Mobile, Asphalt 9 บอกเลยว่าลื่นทุกเกม แถมความร้อนก็ขึ้นมาไม่เยอะด้วยเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่เสียไปในการเล่นเกม แต่จุดที่ผู้เขียนงง ๆ หน่อยก็คือตอนเล่นเกม Genshin Impact นั้นเมื่อตั้งใจเชื่อมต่อจอยคอนโทรลเลอร์ไม่ว่าจะเป็น PS5 Dual Sense หรือ XBox ก็ตาม ตัวเกมจะตรวจหาไม่เจอ ทำให้ไม่สามารถใช้จอยเล่นเกมได้ (ทั้ง ๆ ที่เชื่อมต่อ Bluetooth สำเร็จแล้ว) ไม่แน่ว่าอาจจะต้องพึ่งแอปฯ เสริมเพื่อให้สามารถใช้งานได้ก็ได้
การถ่ายภาพ
ในด้านการถ่ายภาพนั้นตัวเครื่องจะมาพร้อมกล้องหน้าและหลังอย่างละตัว โดยจะมีความละเอียด 8MP และ 13MP ตามลำดับ ซึ่งตัวกล้องหน้านั้นจะเป็รกล้องแบบ Ultrawide ที่มีฟีเจอร์ FocusFrame ที่จะปรับภาพให้ตัวเราอยู่ตรงกลางจอเสมอ โดยหลังจากที่ได้ลองเอาไปถ่ายในหลาย ๆ สภาพแสงแล้วบอกเลยว่ากล้องหลังไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะความคมชัดหรือสีสันก็ทำออกมาได้ดี ถ่ายภาพในระยะใกล้ก็สามารถทำได้ แถมยังมีโหมดถ่ายภาพกลางคืนมาให้ด้วย ส่วนกล้องหน้านั้นเรียกได้ว่าธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือ AI ที่ประมวลผลภาพ เพราะตอนที่ถ่ายมีหลายครั้งที่แสงด้านหลังจะโอเวอร์ ทว่าพอประมวลผลเสร็จแล้วแสงพื้นหลังลดลงมาจนเห็นรายละเอียดในระดับหนึ่งเลยทีเดียว (ตอนก่อนถ่ายนี่คือพื้นหลังขาวจั๊วเลย) ต้องยอมรับเลยนะว่ากล้องของ Xiaomi Pad 6 โดยเฉพาะกล้องหลังนั้นไม่ธรรมดา ดูดีกว่าแท็บเล็ตในเรทราคาเดียวกันมากโขเลย
ตัวอย่างภาพถ่าย
สรุปการรีวิว Xiaomi Pad 6
สรุปการรีวิวจากการที่ได้เอาไปใช้งานมาระยะหนึ่งนั้นต้องยอมรับเลยว่า Xiaomi Pad 6 นั้นเป็นแท็บเล็ตที่น่าใช้ตัวหนึ่งเลย ไม่ว่าจะสเปคที่แรงจัด ๆ แบตเตอรี่ที่อึดสุด ๆ และคีย์บอร์ดเสริมที่ใช้งานได้จริง ถึงจะมีจุดที่น่าเสียดายไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ไม่รองรับการใส่ซิม (ไม่รองรับการเพิ่มความจุด้วย MicroSD Card ด้วย) ทำให้เวลาหิ้วไปใช้งานข้างนอกต้องพึ่ง Wi-Fi ทุกครั้งไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi สาธารณะหรือไม่ก็ Hotspot จากมือถือที่ใช้ แต่นั่นแลกมาด้วยแบตเตอรี่อึดกว่ารุ่นที่ใส่ซิมได้นั่นเอง หากสงสัยว่าเครื่องนี้เหมาะกับใครแล้วก็คงต้องตอบว่าเหมาะกับคนที่ต้องการแท็บเล็ตจอใหญ่ในระดับที่พกพาได้ มีราคาที่ไม่แพงแต่ใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านความบันเทิง, ใช้เรียน หรือใช้ทำงาน หรือจะบอกว่าเป็นคนที่ต้องการแท็บเล็ตราคาประหยัดแต่มากความสามารถก็ยังได้
จุดเด่น
- หน้าจอใหญ่ มีความละเอียดสูง
- ได้ชิปประมวลผล Snapdragon 870 ที่ทั้งแรงและประหยัดพลังงาน แถมไม่ร้อนด้วย
- กล้องหลังมีคุณภาพสูง มาพร้อมโหมดกลางคืน
- แบตเตอรี่ขนาด 8840mAh ที่อึด ถึก ทน อย่างมาก
- มีอุปกรณ์เสริมครบทุกรูปแบบ
- ราคาไม่แรงจนเกินไป ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้
ข้อสังเกต
- ใส่ซิมไม่ได้ เพิ่ม MicroSD Card ไม่ได้
- ตัวระบบยังมีจุดเอ๋อ ๆ อยู่นิด ๆ หน่อย ๆ
- ไม่มีการแถมชุดชาร์จมาให้ ต้องซื้อเพิ่มเอา
สำหรับคนที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ mi.com/th และสามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee และ Lazada ได้เลย โดยจะมีโปรโมชั่นพรีออเดอร์สำหรับคนที่สั่งซื้อตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. 66 – 18 ส.ค. 66 รับฟรี!! เคส, ฟิล์มกันรอย และอะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 33W รวมมูลค่า 2,979 บาท และที่ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อซื้อ Xiaomi Pad 6 Keyboard หรือ Xiaomi Smart Pen (2nd generation) จะได้ส่วนลดพิเศษ 50% ไปด้วยเลย