พรีเมียมไปให้สุดกับรีวิว vivo X60 Pro 5G สมาร์ตโฟนเรือธงกล้อง ZEISS กันสั่น Gimbal 2.0 พร้อม RAM 12GB และชิป Snapdragon 870
เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ vivo X60 Pro 5G สมาร์ตโฟนที่เรียกได้ว่าพรีเมียมที่สุดของทาง vivo ในปี 2021 และแน่นอนว่า SpecPhone.com เราก็จัดให้กับรีวิว vivo X60 Pro 5G แบบจัดเต็ม โดยรอบนี้ทาง vivo เน้นกล้องหนักกว่าเดิม ด้วยการ Co-Engineer กับ ZEISS แบรนด์ดังในวงการเลนส์กล้องถ่ายภาพ โดยกล้องหลังของ vivo X60 Pro 5G เป็นกล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียด 48 + 13 + 13 ล้านพิกเซล โดยความพิเศษอยู่ที่กล้องตัวหลัก 48 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX598 ขนาดรูรับแสง f/1.48 พร้อมโหมด ZEISS Biotar Portrait Style
สเปค vivo X60 Pro 5G
- หน้าจอ Ultra O Screen ขนาด 6.56 นิ้ว พาเนล AMOLED ความละเอียด FHD+(2376 x 1080 pixels) มี refresh rate อยู่ที่ 120Hz รองรับ HDR10+
- ดีไซน์หน้าจออยู่ในรูปแบบของ Punch-Hole โดยกล้องหน้าจะเป็นแบบรูปวงกลมอยู่ทางด้านมุมซ้ายของตัวเครื่อง
- ชิปเซ็ท Qualcomm Snapdragon 870
- RAM 12 GB
- แหล่งเก็บข้อมูลแบบ UFS 3.1 ความจุ 256 GB ไม่สามารถเพิ่มผ่าน microSD Card ได้
- รองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบ 5G (n41, N78)
- รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 802.11 a/b/g/n/ac/ax และ Bluetooth 5.1
- มาพร้อมกับ NFC (Near Field Communication)
- พอร์ตชาร์จเป็น USB 2.0 Type-C
- กล้องหลังมี 3 เซ็นเซอร์ Vivo ZEISS Co-Engineered Imaging System
- กล้องหลัก 48MP IMX598 ƒ/1.48 พร้อม Gimbal Stabilization 2.0
- กล้อง Ultrawide ความละเอียด 13 MP ƒ/2.2 รองรับการถ่ายมาโคร 2.5 เซนติเมตร
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 13 MP ƒ/2.46 รองรับการซูม 2x Optical Zoom
- กล้องหน้าความละเอียด 32 MP รูปรับแสงขนาด ƒ/2.45 และรองรับ HDR
- แบตเตอรี่ความจุ 4,200 mAh รองรับการชาร์จไวสูงสุดที่ 33W
- มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย Funtouch OS 11.1
- ขนาดตัวเครื่องบางเพียง 7.69มม. และน้ำหนัก 179 กรัม
- ราคาเปิดตัว 24,999 บาท
- สเปคเต็ม ๆ vivo X60 Pro 5G
กล้องหลัก 48MP Vivo ZEISS Co-Engineered Imaging System
หัวข้อแรกในการรีวิว vivo X60 Pro 5G ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องกล้องล่ะครับ รอบนี้ Vivo จับมือถือกับ ZEISS เพื่อพัฒนาชุดกล้องของ vivo X60 Pro 5G ที่ประกอบไปด้วย
- กล้องหลัก 48MP IMX598 ƒ/1.48 พร้อม Gimbal Stabilization 2.0
- กล้อง Ultrawide ความละเอียด 13 MP ƒ/2.2 รองรับการถ่ายมาโคร 2.5 เซนติเมตร
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 13 MP ƒ/2.46 รองรับการซูม 2x Optical Zoom
โดยเซ็นเซอร์หลักของ vivo X60 Pro 5G มีความละเอียดสูงถึง 48MP ใช้เซ็นเซอร์ IMX598 มีค่ารูรับแสง ƒ/1.48 มาพร้อมกับระบบกันสั่นแบบ Gimbal Stabilization 2.0 ให้ผลลัพธ์ในการป้องกันภาพสั่นไหวได้ดีกว่า ช่วยทั้งในเรื่องของการถ่ายภาพนิ่ง ไปจนถึงการถ่ายวิดีโอด้วย VIS 5-Axis Video Stabilization โดยเฉพาะการถ่ายภาพนิ่งตอนกลางคืนจะเห็นประโยชน์ของ Gimbal Stabilization 2.0 ได้ชัดเจน
ข้อดีอีกอย่างของกล้องที่มาพร้อมกับ Gimbal Stabilization 2.0 ก็คือภาพถ่ายส่วนใหญ่ จะเป็นภาพถ่ายที่มี ISO ต่ำ ด้วยความที่กันสั่นดี ใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำได้ อย่างในสถานการณ์ที่มีแสงเพียงพอ ตอนกลางวัน ภาพถ่ายส่วนมากจะถ่ายที่ ISO 50 – 100 ทำให้รายละเอียดภาพออกมาคมชัด ส่วนการถ่ายในที่แสงน้อย หรือการถ่ายภาพกลางคืน หากมีแสงไฟอย่างการถ่ายภาพในเมืองก็จะใช้ ISO ประมาณ 800 – 1000 ทำให้ภาพถ่ายกลางคืน แม้จะไม่ได้เปิดใช้ Superb Night Camera 2.0 ก็ยังให้ความคมชัดในระดับที่ดี
การใช้งาน Gimbal Stabilization 2.0 ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แนะนำว่าควรเปิดฟีเจอร์ Stabilization ในโหมดการตั้งค่ากล้องถ่ายรูปเอาไว้ (แต่ถ้าเปิด Stabilization จะไม่สามารถเปิด Portrait framing ได้) เมื่อเปิดแล้วในหน้ากล้องถ่ายรูปจะมีวงกลม ๆ โผล่ขึ้นมา เวลาถ่ายภาพก็ให้จุดเล็ก ๆ อยู่ตรงกึ่งกลางวงกลมด้านในมากที่สุด จะเป็นจุดที่กล้องทำงานได้เต็มที่ มีความนิ่ง และจับโฟกัสได้ดีที่สุด
Portrait Mode + ZEISS Biotar
ในการถ่ายภาพบุคคลด้วย vivo X60 Pro 5G รุ่นนี้นอกจากจะได้ ZEISS มาร่วมพัฒนาเลนส์กล้อง ยังรวมถึงระบบการถ่ายภาพที่ ZEISS มีส่วนในการพัฒนาด้วยเช่นกัน จึงเป็นที่มาของอีกหนึ่งทีเด็ดอย่าง ZEISS Biotar portrait style ด้วยวิธีการสร้างภาพ bokeh และ facula ในระดับลึก ให้ Bokeh ที่เป็นเอกลักษณ์แบบเลนส์ ZEISS Biotar และสมจริงมากยิ่งขึ้น
ส่วนการถ่าย Portrait ในรูปแบบอื่น ๆ ก็มีตัวเลือกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Vintage film, French impression, Flash portrait และรองรับ HDR ขณะถ่าย Portrait
Pro sport mode
ในสถานการณ์ที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว Pro Sports Mode ก็สามารถจับภาพได้อย่างแม่นยำ โดยโหมดดังกล่าว ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กับการถ่ายภาพกีฬาเสมอไปครับ แต่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย เช่น ถ่ายภาพตอนกระโดด หรืออาจจะปรับมาใช้ถ่ายภาพสัตว์เลี้ยงที่อยู่ไม่นิ่ง รวมถึงมีฟีเจอร์ Kids Snapshot ช่วยในการถ่ายภาพเด็ก ๆ ได้อีกด้วย
Superb Night Camera 2.0 + Extreme Night Vision 2.0 + Panorama Night + Ultra wide Night
แม้ว่าในโหมด Auto ของกล้อง vivo X60 Pro 5G จะถ่ายภาพกลางคืนได้ดีมากอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการความสว่างที่มากกว่า และต้องการรายละเอียดที่คมชัดขึ้นไปอีกระดับ โหมดกลางคืนอย่าง Superb night camera 2.0 จะทำให้ภาพถ่ายในที่แสงน้อยดีขึ้นอย่างชัดเจน สามารถเลือกได้ด้วยว่าจะถ่าย Superb night camera 2.0 ด้วยมือเปล่า หรือใช้ขาตั้งกล้อง
Superb Night Camera 2.0 สามารถใช้งานได้กับกล้องทุกระยะ ไม่ว่าจะเป็นระยะกล้องหลัก, กล้องซูม หรือกล้อง Ultra wide-angle ส่วนใครที่รู้สึกว่าถ่ายกลางคืนด้วยเลนส์ Ultra wide-angle แล้วก็ยังกว้างไม่สะใจ รุ่นนี้สามารถถ่าย Panorama Night เพื่อให้ได้ภาพมุมกว้างมาก ๆ ได้ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟิลเตอร์กลางคืน เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับการถ่ายภาพ
ในกรณีที่ถ่ายภาพในที่แสงน้อยมาก ๆ เช่น คืนที่มืดสนิท vivo X60 Pro 5G ก็จะมีฟังก์ชั่น Extreme Night Vision 2.0 ที่อัปเกรดใหม่ และอัลกอริธึมการลดนอยส์โดย AI ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ทำให้สามารถเก็บภาพได้ แม้ว่าสภาวะแสงโดยรอบจะมืดสนิทก็ตาม
การถ่ายวิดีโอ
ในการถ่ายวิดีโอ รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K 60fps และแน่นอนว่ามีโหมดกันสั่น Ultra Stable ให้เลือกใช้งาน โดยข้อแตกต่างของโหมดกันสั่น Ultra Stable ของ Vivo X60 Pro 5G กับสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น ๆ คือในโหมด Ultra Stable ก็ยังคงใช้เลนส์หลักในการบันทึกวิดีโอ แตกต่างจากรุ่นอื่นที่โหมดกันสั่นแบบพิเศษจะเปลี่ยนไปใช้เลนส์มุมกว้าง ทำให้คุณภาพของวิดีโอยังคงให้คุณภาพสูงทั้งการเปิด และปิดโหมด Ultra Stable
นอกจากวิดีโอกันสั่นที่บอกไปตอนต้นว่าทำได้ดีมาก vivo X60 Pro 5G ยังมี Cinematic Master ที่ถ่ายวิดีโอออกมาในอัตราส่วน 2.35:1 มุมมองเดียวกับภาพยนตร์ รวมถึงยังมีไมโครโฟน 3 ตัวที่เก็บเสียงได้อย่างชาญฉลาด รองรับการซูมเสียง ฟีเจอร์อื่น ๆ ในการถ่ายวิดีโอก็มีให้เลือกใช้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโหมด Beauty หน้าสวยในวิดีโอ (รองรับ 1080p/ 30fps)
กล้องหน้า 32MP
กล้องหน้าของ vivo X60 Pro 5G มีความละเอียดสูงถึง 32MP ถูกฝังไว้ตรงกึ่งกลางหน้าจอด้านบน รองรับ HDR และมาพร้อมกับ Portrait mode ที่ปรับแต่งความเบลอของโบเก้, ปรับแสงของโหมด Portrait หรือจะเป็นการปรับระดับ Beauty ที่ทำได้ละเอียด แม้กระทั่งการแต่งหน้าด้วย Make Up Beauty mode สามารถเลือกสีลิปสติกที่ต้องการ ไปจนถึงเลือกเครื่องสำอางค์แบบต่าง ๆ โดยที่ไม่ต้องแต่งหน้าจริง ๆ
ส่วนการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้า รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 1080p/ 30fps และแน่นอนว่ามีโหมด Beauty Video ให้เลือกใช้งานเช่นเดียวกับกล้องหลังครับ
ประสิทธิภาพ การประมวลผล และการรองรับ 5G
รีวิว vivo X60 Pro 5G ในด้านประสิทธิภาพกันบ้าง รุ่นนี้มาพร้อมกับชิปประมวลผลที่ให้ประสิทธิภาพสูงอย่าง Qualcomm Snapdragon 870 5G พร้อมกับ RAM 12GB กับความจุในตัวเครื่อง 256GB (UFS 3.1) แม้จะไม่รองรับการเพิ่ม microSD Card แต่ความจุระดับนี้ การันตีว่าเพียงพอต่อการใช้งานอย่างแน่นอน และยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Extended ที่จะดึงพื้นที่ในรอมบางส่วน มาเพิ่มเป็น RAM ได้อีก 3GB เท่ากับว่าในการใช้งานหนัก ๆ vivo X60 Pro 5G เมื่อรวม RAM เสมือนเข้ากับที่มีอยู่ จะเทียบเท่าได้กับการมี RAM 15GB เลยทีเดียว
เช่นเดียวกับประสิทธิภาพในการประมวลผล ชิปเซ็ตระดับ Snapdragon 870 + RAM 12GB นั้นให้ความแรงในระดับที่ใช้งานได้อย่างลื่นไหล รวมถึงการเล่นเกมที่สามารถปรับการตั้งค่าในระดับสูง – สูงสุดได้แทบจะทุกเกมที่มีให้ดาวน์โหลดบน Google Play Store ผมทดสอบกับหลาย ๆ เกมยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็น PUBG Mobile, RoV, Genshin Impact, Call of Duty Mobile หรือจะเป็นเกมออฟไลน์อย่าง Asphalt 9 ก็สามารถปรับตั้งค่าสูงสุด และเล่นได้อย่างลื่นไหลที่เฟรมเรตสูง
ตัวช่วยในการเล่นเกมอย่าง Ultra Game Mode มีโหมดทางเลือกอย่าง Esport Mode (รองรับ PUBG Mobile, Free Fire, RoV) ที่จะปิดทุกการแจ้งเตือนในคลิกเดียว และทำการปิดแอปที่ทำงานเบื้องหลังทั้งหมด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการเล่นเกม หรือจะเป็น Bot Mode หรือโหมดบอทที่จะทำให้เกมเล่นต่อเนื่องแม้จะปิดหน้าจออยู่ เหมาะกับเกมที่สามารถเปิดบอทเพื่อฟาร์มของ ฟาร์มเลเวลได้ และประหยัดพลังงานมากกว่าตอนที่เปิดหน้าจอ
นอกจากนี้ Ultra Game Mode ยังมีฟังก์ชั่นอย่างการเลือกให้ความสำคัญกับเฟรมเรตเป็นอันดับแรก หากตัวเครื่องเกิดความร้อนขึ้นระหว่างเล่น จะทำการลดความละเอียดของเกมลง เพื่อให้เฟรมเรตนิ่ง เล่นได้อย่างลื่นไหล หรือจะเป็นระบบสั่น 4 มิติ ที่ตัวเครื่องจะมีการสั่นระหว่างเล่นเกม โดยเกมที่รองรับในตอนนี้จะเป็น PUBG Mobile ที่ตัวเครื่องจะสั่นเมื่อมีการยิงปืน เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้สมจริงมากขึ้น
ด้านการเชื่อมต่อของ vivo X60 Pro 5G ก็ตามชื่อรุ่นเลยครับ สมาร์ตโฟนรุ่นนี้รองรับ 5G ในประเทศไทยทันทีที่วางจำหน่าย ในคลื่นความถี่ n28 (700 MHz) และ n41 (2500 MHz) ผมทดสอบกับทั้ง AIS และ TrueMove H พบว่าตัวเครื่องจับสัญญาณ 5G ได้ดี และทำความเร็วได้ในระดับที่ประทับใจ ส่วนการเชื่อมต่อ 4G นั้นรองรับทั้ง FDD-LTE และ TDD-LTE แถมยังรองรับการรวมคลื่น (Carrier Aggregation) อีกด้วย
ส่วนการเชื่อมต่ออื่น ๆ รุ่นนี้มาพร้อมกับ Bluetooth 5.1 และรองรับ Wi-Fi 6 (2.4 GHz + 5 GHz) ระบบนำทาง GPS, BEIDOU, GLONASS, GALILEO, QZSS, NAVIC พอร์ตเชื่อมต่อเป็น USB Type-C 2.0 รองรับ OTG และ NFC อีกด้วย
Design การออกแบบตัวเครื่อง
vivo X60 Pro 5G มีขนาดตัวเครื่องที่ไม่ใหญ่จนเกินไป แม้จะมาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.56 นิ้ว แต่ด้วยการออกแบบให้หน้าจอมีความโค้ง 3D รวมถึงขอบหน้าจอที่บางมาก เลยทำให้ใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า การวางตำแหน่งของจุดต่าง ๆ ทำได้อย่างสมดุล น้ำหนักตัวเครื่องไม่ทิ้งไปด้านใดด้านหนึ่งมากจนเกินไป อีกทั้งฝาหลังมีความโค้ง รับกับมือได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้จับถือตัวเครื่องสะดวก น้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 179 กรัม
รายละเอียดต่าง ๆ ของตัวเครื่อง vivo X60 Pro 5G บริเวณด้านล่างประกอบไปด้วยพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Dual Slot (nano SIM) ไม่รองรับ microSD Card, ลำโพงหลักของตัวเครื่องที่เป็นลำโพงเดี่ยว และไมโครโฟนตัวที่ 1 สำหรับสนทนาโทรศัพท์
ด้านบนตัวเครื่องมีตัวอักษรระบุจุดเด่นของรุ่นนี้อย่าง Professional Photography และไมโครโฟนตัวที่ 2 ส่วนปุ่มกดต่าง ๆ จะอยู่บริเวณด้านขวามือทั้งหมด ประกอบไปด้วยปุ่มเปิดปิดหน้าจอ และปุ่มปรับระดับเสียง
ด้านหลังตัวเครื่องรีวิว vivo X60 Pro 5G ที่ได้รับมาเป็นสี Shimmer Blue พื้นผิววัสดุฝาหลังเป็นแบบด้าน ไม่เก็บรอยนิ้วมือ และมีการไล่เฉดสีเมื่อตัวเครื่องโดนแสงตกกระทบ ให้ความรู้สึกหรูหรา เข้ากันกับโมดูลกล้องหลัง Triple Camera และโลโก้ ZEISS ตรงมุมกล้องได้เป็นอย่างดี
โดยตัวกล้องหลังประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์หลัก 48MP IMX598 ที่ปรับแต่งมาเป็นพิเศษ รูรับแสง f/1.48, กล้อง Ultrawide ความละเอียด 13 MP ƒ/2.2 ,กล้อง Telephoto ความละเอียด 13 MP ƒ/2.46 ทั้งหมดวางอยู่บนโมดูลสี่เหลี่ยมตามสมัยนิยม ตัวโมดูลกล้องนูนขึ้นมาจากฝาหลังเพียงเล็กน้อย เมื่อใส่เคสที่แถมมาให้ ขอบเคสก็จะป้องกันกล้องที่นูนขึ้นมาได้อย่างพอดี
หน้าจอ 120Hz Refresh Rate + 240Hz Response Rate
ไฮไลต์ของรุ่นนี้อย่างหน้าจอ Ultra O Screen แบบโค้ง 3D ขนาด 6.56 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ พาแนล AMOLED ให้สีสันหน้าจอที่สด เหมาะกับการรับชมคอนเทนต์ รองรับ HDR10 และมาพร้อมกับอัตรารีเฟรชหน้าจอที่สูงถึง 120Hz และมีอัตราการตอบสนองหน้าจอ 240Hz Response Rate เพราะฉะนั้นในการปัดหน้าจอไปมา หรือในการเล่นโซเชียลมีเดีย เวลาเลื่อน Feed จะให้ความสมูทมากเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม หากกังวลว่าอัตรารีเฟรชหน้าจอสูง ๆ จะกินแบตเตอรี่ ก็สามารถเลือกปรับเป็น 60Hz หรือถ้าให้แนะนำก็ควรเลือกเป็นแบบ Smart Switch ที่ตัวเครื่องจะทำการปรับอัตรารีเฟรชหน้าจอให้โดยอัตโนมัติ ตามความเหมาะสมในการใช้งาน หากแอปไหนไม่รองรับ 120Hz ก็จะปรับเป็น 60Hz โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีระบบปลดล็อกตัวเครื่องด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ การปลดล็อกก็ทำได้รวดเร็วทีเดียว หรือถ้าจะให้สะดวกขึ้นอีก แนะนำเป็นการปลดล็อกด้วยใบหน้าก็ได้เช่นกันครับ
แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ 33W Vivo FlashCharge 2.0
สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 4,200 mAh ภายใต้ตัวเครื่องที่มีน้ำหนักเบา และมีความบางทีเดียวครับ ในด้านการใช้งาน ผมอ้างอิงจากตอนที่รีวิว vivo X60 Pro 5G รุ่นนี้ถือเป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นที่สามารถใช้งานต่อเนื่องหมดวันโดยที่ไม่ต้องชาร์จไฟระหว่างวันได้สบาย ๆ อย่างไรก็ตาม หากมีการใช้งานอย่างหนักหน่วง เช่น เล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมง หรือรับชมภาพยนตร์ต่อเนื่องยาวนาน กรณีแบบนั้นก็ไม่น่าจะมีแบตเตอรี่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นไหนก็ตาม
ส่วนเรื่องการชาร์จไฟ รุ่นนี้มาพร้อมกับระบบชาร์จ 33W Vivo FlashCharge 2.0 สามารถชาร์จไฟกลับได้อย่างรวดเร็ว ด้วยอะแดปเตอร์ที่แถมมาให้ในกล่อง ไม่ต้องซื้อเพิ่ม ใช้เวลาชาร์จ 30 นาที ได้แบตเตอรี่คืนมามากกว่า 50% และใช้เวลาชาร์จไฟเต็ม 100% ประมาณ 1 ชั่วโมงนิด ๆ ถือว่าเป็นอีกรุ่นที่แบตอึด และชาร์จเร็วครับ
สรุปภาพรวม รีวิว vivo X60 Pro 5G ราคา 24,999 บาท
ภาพรวมสำหรับรีวิว vivo X60 Pro 5G กับราคาค่าตัว 24,999 บาท ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับสิ่งที่ได้รับกลับมา โดยเฉพาะในเรื่องของกล้องถ่ายภาพที่ต้องบอกเลยว่า “มาเต็ม” และเป็นสมาร์ตโฟนที่ส่วนตัวผมมองว่าถ่ายรูปได้สนุกมากรุ่นหนึ่ง ตัวกล้องที่เป็น Gimbal photography system 2.0 ให้ผลลัพธ์การถ่ายภาพได้ดีกว่าที่ผมคิดไว้เยอะมาก ทำให้การถ่ายภาพ “ง่าย” ได้ในทุกสถานการณ์ รวมถึงโทนสีของภาพถ่าย กับโบเก้แบบ ZEISS Biotar นั้นเรียกได้ว่าสุดยอดจริง ๆ
โหมดกล้องที่มีให้เลือกใช้ในสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ สามารถใช้งานได้จริงในทุกโหมด โดยเฉพาะไฮไลต์อย่าง ZEISS Biotar Style Portrait Mode ที่สามารถถ่ายออกมาได้สมจริง ให้โบเก้ที่เป็นเอกลักษณ์ ด้านเลนส์มุมกว้างก็ถ่ายออกมาได้กว้างสะใจ สีสันที่ได้ใกล้เคียงกับเลนส์หลัก และมี Autofocus ที่เลนส์มุมกว้างอีกด้วย ส่วนการซูมก็ทำได้ตามมาตรฐานที่ 2x Optical Zoom และ 20x Digital Zoom
ส่วนเรื่องสเปคตัวเครื่อง Snapdragon 870G แม้จะไม่ใช่ชิปเซ็ตระดับท็อปสุดของ Qualcomm แต่ก็เป็นรุ่นเกือบท็อป ทำให้ในภาพรวมก็ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้ส่วนมากแทบจะ 100% ต่อให้ใช้ในการเล่นเกม รุ่นนี้ก็สามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล อันที่จริง Vivo ในช่วงหลัง ๆ มานี้ก็ปรับแต่งซอฟต์แวร์ Funtouch OS ได้ดีมาโดยตลอด