จัดให้แบบด่วน ๆ หลังงานเปิดตัวกันเลยทีเดียวสำหรับรีวิว Vivo X50 Pro 5G สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดของทาง Vivo ที่มาพร้อมกับคอนเส็ปที่ว่า Photography Redefined เปิดนิยามใหม่แห่งการถ่ายภาพ ด้วยชุดกล้องพร้อมระบบกันสั่นระดับ Gimbal ที่ให้คุณภาพในการป้องกันภาพสั่นไหวได้ดีกว่า OIS แบบเดิม ๆ ถึง 3 เท่า รวมถึงความสามารถในการรองรับ 5G และสเปคที่ให้มาแรงเพียงพอต่อการเล่นเกม
สเปค Vivo X50 Pro 5G
- หน้าจอ Ultra O Screen ขนาด 6.56 นิ้ว พาเนล AMOLED ความละเอียด FHD+(2376 x 1080 pixels) มี refresh rate อยู่ที่ 90 Hz รองรับ HDR10+
- ดีไซน์หน้าจออยู่ในรูปแบบของ Punch-Hole โดยกล้องหน้าจะเป็นแบบรูปวงกลมอยู่ทางด้านมุมซ้ายของตัวเครื่อง
- ชิปเซ็ท Qualcomm Snapdragon 765G
- RAM 8 GB
- แหล่งเก็บข้อมูลแบบ UFS 2.1 ความจุ 256 GB ไม่สามารถเพิ่มผ่าน microSD Card ได้
- รองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบ 5G (n41, N78)
- รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 802.11 a/b/g/n/ac และ Bluetooth 5.1
- มาพร้อมกับ NFC (Near Field Communication)
- พอร์ตชาร์จเป็น USB 2.0 Type-C
- กล้องหลังมี 4 เซ็นเซอร์ซึ่งจะแบ่งออกเป็น
- กล้องหลัก 48MP IMX598 f/1.6 พร้อม Gimbal photography system
- กล้อง Portrait ความละเอียด 13 MP f/2.0
- กล้อง Ultrawide ความละเอียด 8 MP รองรับการถ่ายมาโคร 2.5 เซนติเมตร
- Periscope telephoto ซูม 5x Optical Zoom ความละเอียด 8MP
- กล้องหลังมาพร้อมฟีเจอร์ Dual-LED dual-tone flash, 5x Optical Zoom, Phase Detection Auto Focus (PDAF), Electronic Image Stabilization (EIS), Optical Image Stabilization (OIS) และรองรับ HDR
- กล้องหน้าความละเอียด 32 MP รูปรับแสงขนาด ƒ/2.5 และรองรับ HDR
- แบตเตอรี่ความจุ 4,315 mAh รองรับการชาร์จไวสูงสุดที่ 33W
- มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย Funtouch OS 10.5
- ราคาเปิดตัว 24,999 บาท
- สเปคเต็ม ๆ Vivo X50 Pro 5G
กล้องหลัก 48MP + Gimbal photography system
หัวข้อแรกในการรีวิว Vivo X50 Pro 5G ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องกล้องล่ะครับ โดยเซ็นเซอร์หลักของ Vivo X50 Pro 5G มีความละเอียดสูงถึง 48MP ใช้เซ็นเซอร์ IMX598 มีค่ารูรับแสง f/1.6 มาพร้อมกับระบบกันสั่นแบบ Gimbal ให้ผลลัพธ์ในการป้องกันภาพสั่นไหวได้ดีกว่า OIS แบบปกติถึง 3 เท่า ช่วยทั้งในเรื่องของการถ่ายภาพนิ่ง ไปจนถึงการถ่ายวิดีโอ โดยเฉพาะการถ่ายภาพนิ่งตอนกลางคืนจะเห็นประโยชน์ของ Gimbal photography system ได้ชัดเจน ในโหมดปกติ ตัวกล้องสามารถใช้ความเร็วชัตเตอร์ระดับ 1/14 วินาที ได้ด้วยมือเปล่า หากระบบกันสั่นไม่ดีจริง ไม่น่าจะถ่ายออกมานิ่งได้แบบนี้
ข้อดีอีกอย่างของกล้องที่มาพร้อมกับ Gimbal photography system ก็คือภาพถ่ายส่วนใหญ่ จะเป็นภาพถ่ายที่มี ISO ต่ำ ด้วยความที่กันสั่นดี ใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำได้ อย่างในสถานการณ์ที่มีแสงเพียงพอ ตอนกลางวัน ภาพถ่ายส่วนมากจะถ่ายที่ ISO 50 – 100 ทำให้รายละเอียดภาพออกมาคมชัด ส่วนการถ่ายในที่แสงน้อย หรือการถ่ายภาพกลางคืน หากมีแสงไฟอย่างการถ่ายภาพในเมืองก็จะใช้ ISO ประมาณ 800 – 1000 ทำให้ภาพถ่ายกลางคืน แม้จะไม่ได้เปิดใช้ Super Night Mode ก็ยังให้ความคมชัดในระดับที่ดี
การใช้งาน Gimbal photography system ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แนะนำว่าควรเปิดฟีเจอร์ Stabilization ในโหมดการตั้งค่ากล้องถ่ายรูปเอาไว้ เมื่อเปิดแล้วในหน้ากล้องถ่ายรูปจะมีวงกลม ๆ โผล่ขึ้นมา เวลาถ่ายภาพก็ให้จุดเล็ก ๆ อยู่ตรงกึ่งกลางวงกลมด้านในมากที่สุด จะเป็นจุดที่กล้องทำงานได้เต็มที่ มีความนิ่ง และจับโฟกัสได้ดีที่สุด
Pro sport mode
ในสถานการณ์ที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว Pro Sports Mode ก็สามารถจับภาพได้อย่างแม่นยำ โดยโหมดดังกล่าว ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กับการถ่ายภาพกีฬาเสมอไปครับ แต่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย เช่น ถ่ายภาพตอนกระโดด หรืออาจจะปรับมาใช้ถ่ายภาพสัตว์เลี้ยงที่อยู่ไม่นิ่ง เป็นต้น
Astro Mode
สำหรับ Astro Mode ในสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ก็เป็นอีกผลพวงจากการที่ใช้กล้องถ่ายรูปที่มาพร้อมกับ Gimbal photography system โดย Astro Mode จะประกอบไปด้วย Super Moon ที่ออกแบบมาสำหรับการถ่ายพระจันทร์ดวงโต ๆ โดยเฉพาะ เวลาถ่ายให้ใช้การซูม 10 เท่า แล้วจับตำแหน่งที่พระจันทร์อยู่ในกรอบวงกลม หรือถ้าต้องการถ่ายภาพพระจันทร์ พร้อมกับบรรยากาศตอนกลางคืนด้วย ให้ใช้ระยะของกล้องหลัก แต่ต้องเลือกวันที่พระจันทร์เต็มดวง และไม่มีเมฆบังนะครับ
ตอนถ่ายจะใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากมีการลากความเร็วชัตเตอร์ และมีการใช้ AI เข้าไปช่วยปรับแต่งพระจันทร์ในภาพถ่าย แนะนำให้ถือสมาร์ตโฟนให้นิ่ง จะใช้เวลาประมาณ 3 – 5 วินาทีในการถ่ายภาพ Super Moon
อีกโหมดจะมีชื่อว่า Starry Sky ไว้สำหรับถ่ายดาวโดยเฉพาะ โหมดนี้จำเป็นจะต้องใช้ขาตั้งกล้องช่วยในการถ่ายภาพ และต้องเป็นท้องฟ้าที่ปราศจากแสงไฟในเมืองรบกวน
Super night mode
แม้ว่าในโหมด Auto ของกล้อง Vivo X50 Pro 5G จะถ่ายภาพกลางคืนได้ดีมากอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการความสว่างที่มากกว่า และต้องการรายละเอียดที่คมชัดขึ้นไปอีกระดับ โหมดกลางคืนอย่าง Super night mode จะทำให้ภาพถ่ายในที่แสงน้อยดีขึ้นอย่างชัดเจน สามารถเลือกได้ด้วยว่าจะถ่าย Super night mode ด้วยมือเปล่า หรือใช้ขาตั้งกล้อง และสามารถใช้งานโหมดนี้ได้กับกล้องทุกระยะ ไม่ว่าจะเป็นระยะกล้องหลัก, กล้องซูม หรือกล้อง Ultra wide angle
Portrait mode
หนึ่งในกล้อง 4 ตัวของ Vivo X50 Pro 5G เป็นกล้องที่เกิดมาเพื่อการถ่าย Portrait หรือถ่ายภาพบุคคลโดยเฉพาะ ซึ่งไม่ค่อยพบเจอในสมาร์ตโฟนรุ่นปกติสักเท่าไหร่ เต็มที่ก็จะเป็นเลนส์ซูม 2 เท่า แต่ความพิเศษของกล้อง Portrait ความละเอียด 13MP ก็คือมีระยะเทียบเท่า 50mm. ซึ่งเป็นระยะที่ถ่ายภาพบุคคลแล้วสัดส่วนดีที่สุด และยังมาพร้อมกับรูรับแสง f/2.0 แบบเดียวกับในเลนส์ Prime ของกล้อง DSLR
การมีกล้องเฉพาะสำหรับถ่าย Portrait จึงทำให้การถ่ายภาพบุคคลของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้มีความสมจริงทั้งในเรื่องสัดส่วนภาพ และโบเก้ที่ให้ความเนียนไม่แพ้กล้อง DSLR นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งความเบลอของโบเก้ได้ตั้งแต่ f/0.95 รวมถึงฟิลเตอร์, รูปแบบแสง หรือแม้แต่สไตล์ของภาพถ่ายพอร์ตเทรต และสามารถปรับแต่งระดับความสวยของใบหน้า, รูปร่าง ไปจนถึงแนะนำการโพสต์ท่าถ่ายรูป ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของ Portrait mode ในสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ คือมาพร้อมกับการโฟกัสที่ดวงตา (Eye Autofocus) ให้ความแม่นยำในการโฟกัสสูงมาก
ตัวช่วยอื่น ๆ ในการถ่าย Portrait mode ของรุ่นนี้ ประกอบไปด้วย Portrait Framing ที่จัดองค์ประกอบในการถ่ายภาพบุคคลให้โดยอัตโนมัติ และฟีเจอร์ที่น่าจะถูกใจหนุ่ม ๆ อย่าง Male friendly makeup ที่ปรับแต่งใบหน้าให้สวยในแบบของผู้ชาย ไม่ทำตาแป๋วจนเกินไป มีความเป็นธรรมชาติมากกว่า
Night portrait
ส่วนการถ่ายภาพบุคคลยามค่ำคืนก็ไม่ใช่ปัญหาของรุ่นนี้ ด้วยโหมด Night portrait ที่ปรับแต่งใบหน้าบุคคล รวมถึงฉากหลังให้มีความสว่าง ให้รายละเอียดคมชัด การเบลอฉากหลังที่เป็นโบเก้สามารถเลือกได้ด้วยว่าอยากได้โบเก้รูปแบบไหน
Hyper zoom 60X
ส่วนเรื่องการซูมภาพ สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มาพร้อมกับกล้องเทเลความละเอียด 8MP ซูมได้ 5x Optical Zoom แบบ Periscope พร้อมระบบกันสั่น OIS และอัลกอริทึมแบบพิเศษ ทำให้การซูมในระยะหวังผลที่ 10x ก็ยังคงให้คุณภาพของรูปถ่ายที่เก็บรายละเอียดได้ดี ส่วนการซูมไกลสุด ทำได้ถึง 60x Digital Zoom แต่ก็แลกมากับรายละเอียดของภาพถ่ายที่ลดลง
การถ่ายวิดีโอ
ส่วนการถ่ายวิดีโอ รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K 60fps และแน่นอนว่ามีโหมดกันสั่น Ultra Stable ให้เลือกใช้งาน โดยข้อแตกต่างของโหมดกันสั่น Ultra Stable ของ Vivo X50 Pro 5G กับสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น ๆ คือในโหมด Ultra Stable ก็ยังคงใช้เลนส์หลักในการบันทึกวิดีโอ แตกต่างจากรุ่นอื่นที่โหมดกันสั่นแบบพิเศษจะเปลี่ยนไปใช้เลนส์มุมกว้าง ทำให้คุณภาพของวิดีโอยังคงให้คุณภาพสูงทั้งการเปิด และปิดโหมด Ultra Stable
ฟีเจอร์อื่น ๆ ในการถ่ายวิดีโอก็มีให้เลือกใช้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโหมด Beauty หน้าสวยในวิดีโอ (รองรับ 1080p/ 30fps) หรือจะเป็นโหมด Movie Camera ที่ล็อกซูมเข้าวัตถุแบบอัตโนมัติ (Smart Zoom) เมื่อกล้องล็อกวัตถุที่ต้องการซูมได้แล้ว ไม่ว่าจะขยับกล้องไปมุมไหน ก็จะโฟกัสไปที่วัตถุนั้น ๆ เสมอ รวมถึงฟีเจอร์อย่าง Motion Autofocus ที่ใช้งานได้ทั้งการล็อกโฟกัสที่ดวงตา หรือวัตถุต่าง ๆ ก็ทำได้อย่างแม่นยำ และยังมาพร้อมกับ 3D Sound Tracking ที่เน้นเสียงตัวละครหลักของวิดีโอเสมอ
กล้องหน้า 32MP
กล้องหน้าของ Vivo X50 Pro 5G มีความละเอียดสูงถึง 32MP ถูกฝังไว้ในหน้าจอแบบ Punch-hole บริเวณมุมซ้ายบน รองรับ HDR และมาพร้อมกับ Portrait mode ที่ปรับแต่งความเบลอของโบเก้, ปรับแสงของโหมด Portrait หรือจะเป็นการปรับระดับ Beauty ที่ทำได้ละเอียด แม้กระทั่งการแต่งหน้าด้วย Make Up Beauty mode สามารถเลือกสีลิปสติกที่ต้องการ ไปจนถึงเลือกเครื่องสำอางค์แบบต่าง ๆ โดยที่ไม่ต้องแต่งหน้าจริง ๆ
ส่วนการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้า รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 1080p/ 30fps และแน่นอนว่ามีโหมด Beauty Video ให้เลือกใช้งานเช่นเดียวกับกล้องหลังครับ
เปรียบเทียบระหว่างการถ่ายกลางคืนด้วยกล้องหน้า ในโหมด Auto (ซ้าย) กับโหมดกลางคืน (ขวา)
ประสิทธิภาพ การประมวลผล และการรองรับ 5G
รีวิว Vivo X50 Pro 5G ในด้านประสิทธิภาพกันบ้าง รุ่นนี้มาพร้อมกับชิปประมวลผลที่ให้ประสิทธิภาพดีอย่าง Qualcomm Snapdragon 765G พร้อมกับ RAM 8GB และความจุในตัวเครื่อง 256GB (UFS 2.1) แม้จะไม่รองรับการเพิ่ม microSD Card แต่ความจุระดับนี้ การันตีว่าเพียงพอต่อการใช้งานอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับประสิทธิภาพในการประมวลผล ชิปเซ็ตระดับ Snapdragon 765G นั้นให้ความแรงในระดับที่ใช้งานได้อย่างลื่นไหล รวมถึงการเล่นเกมที่สามารถปรับการตั้งค่าในระดับสูง – สูงสุดได้แทบจะทุกเกมที่มีให้ดาวน์โหลดบน Google Play Store ผมทดสอบกับหลาย ๆ เกมยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็น PUBG Mobile, RoV, Free Fire, Call of Duty Mobile หรือจะเป็นเกมออฟไลน์อย่าง Asphalt 9 ก็สามารถปรับตั้งค่าสูงสุด และเล่นได้อย่างลื่นไหลที่เฟรมเรตสูง จะว่าไป ผมเองก็เซอร์ไพรส์เหมือนกัน ตอนที่รีวิว Vivo X50 Pro 5G ก็ไม่คิดว่ารุ่นนี้จะเล่นเกมได้ดีขนาดนี้
ตัวช่วยในการเล่นเกมอย่าง Ultra Game Mode ก็ถูกปรับปรุงใน Funtouch OS 10.5 มีโหมดทางเลือกอย่าง Esport Mode (รองรับ PUBG Mobile, Free Fire) ที่จะปิดทุกการแจ้งเตือนในคลิกเดียว และทำการปิดแอปที่ทำงานเบื้องหลังทั้งหมด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการเล่นเกม หรือจะเป็น Bot Mode หรือโหมดบอทที่จะทำให้เกมเล่นต่อเนื่องแม้จะปิดหน้าจออยู่ เหมาะกับเกมที่สามารถเปิดบอทเพื่อฟาร์มของ ฟาร์มเลเวลได้ และประหยัดพลังงานมากกว่าตอนที่เปิดหน้าจอ
นอกจากนี้ Ultra Game Mode ยังมีฟังก์ชั่นอย่างการเลือกให้ความสำคัญกับเฟรมเรตเป็นอันดับแรก หากตัวเครื่องเกิดความร้อนขึ้นระหว่างเล่น จะทำการลดความละเอียดของเกมลง เพื่อให้เฟรมเรตนิ่ง เล่นได้อย่างลื่นไหล หรือจะเป็นระบบสั่น 4 มิติ ที่ตัวเครื่องจะมีการสั่นระหว่างเล่นเกม โดยเกมที่รองรับในตอนนี้จะเป็น PUBG Mobile ที่ตัวเครื่องจะสั่นเมื่อมีการยิงปืน เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้สมจริงมากขึ้น
ด้านการเชื่อมต่อของ Vivo X50 Pro 5G ก็ตามชื่อรุ่นเลยครับ สมาร์ตโฟนรุ่นนี้รองรับ 5G ในประเทศไทยทันทีที่วางจำหน่าย ในคลื่นความถี่ N41 (2600 MHz) และ N78 (3500 MHz) ผมทดสอบกับทั้ง AIS และ TrueMove H พบว่าตัวเครื่องจับสัญญาณ 5G ได้ดี และทำความเร็วได้ในระดับที่ประทับใจ ส่วนการเชื่อมต่อ 4G นั้นรองรับทั้ง FDD-LTE และ TDD-LTE แถมยังรองรับการรวมคลื่น (Carrier Aggregation) อีกด้วย
ส่วนการเชื่อมต่ออื่น ๆ รุ่นนี้มาพร้อมกับ Bluetooth 5.1 และรองรับ Wi-Fi 5 (2.4 GHz + 5 GHz) ระบบนำทาง GPS, BeiDou, GLONASS, Galileo พอร์ตเชื่อมต่อเป็น USB Type-C 2.0
Design การออกแบบตัวเครื่อง
Vivo X50 Pro 5G มีขนาดตัวเครื่องที่ไม่ใหญ่จนเกินไป แม้จะมาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.56 นิ้ว แต่ด้วยการออกแบบให้หน้าจอมีความโค้ง 3D รวมถึงขอบหน้าจอที่บางมาก เลยทำให้ใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า การวางตำแหน่งของจุดต่าง ๆ ทำได้อย่างสมดุล น้ำหนักตัวเครื่องไม่ทิ้งไปด้านใดด้านหนึ่งมากจนเกินไป อีกทั้งฝาหลังมีความโค้ง รับกับมือได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้จับถือตัวเครื่องสะดวก น้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 181.5 กรัม
รายละเอียดต่าง ๆ ของตัวเครื่อง Vivo X50 Pro 5G บริเวณด้านล่างประกอบไปด้วยพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Dual Slot (nano SIM) ไม่รองรับ microSD Card, ลำโพงหลักของตัวเครื่องที่เป็นลำโพงเดี่ยว และไมโครโฟนตัวที่ 1 สำหรับสนทนาโทรศัพท์
ด้านบนตัวเครื่องมีตัวอักษรระบุจุดเด่นของรุ่นนี้อย่าง 5G Professional Photography และไมโครโฟนตัวที่ 2 ส่วนปุ่มกดต่าง ๆ จะอยู่บริเวณด้านซ้ายมือทั้งหมด ประกอบไปด้วยปุ่มเปิดปิดหน้าจอ และปุ่มปรับระดับเสียง
ด้านหลังตัวเครื่องรีวิว Vivo X50 Pro 5G ที่ได้รับมาเป็นสี Alpha Grey พื้นผิววัสดุฝาหลังเป็นแบบด้าน ไม่เก็บรอยนิ้วมือ และมีการไล่เฉดสีเมื่อตัวเครื่องโดนแสงตกกระทบ ให้ความรู้สึกหรูหรา และเข้ากันกับโมดูลกล้องหลัง Quad Camera ได้เป็นอย่างดี
โดยตัวกล้องหลังประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์หลักขนาดใหญ่ 48MP IMX598 ที่ปรับแต่งมาเป็นพิเศษ, กล้อง Portrait 50มม. 13MP f/2.0, กล้องมุมกว้าง + มาโคร 8MP และกล้องซูม 8MP แบบ Periscope 5x Optical Zoom ทั้งหมดวางอยู่บนโมดูลสี่เหลี่ยมตามสมัยนิยม ตัวโมดูลกล้องนูนขึ้นมาจากฝาหลังเพียงเล็กน้อย เมื่อใส่เคสที่แถมมาให้ ขอบเคสก็จะป้องกันกล้องที่นูนขึ้นมาได้อย่างพอดี
หน้าจอ 90Hz Refresh Rate + 180Hz Response Rate
ไฮไลต์ของรุ่นนี้อย่างหน้าจอ Ultra O Screen แบบโค้ง 3D ขนาด 6.56 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ พาแนล AMOLED ให้สีสันหน้าจอที่สด เหมาะกับการรับชมคอนเทนต์ รองรับ HDR10 และมาพร้อมกับอัตรารีเฟรชหน้าจอที่สูงถึง 90Hz และมีอัตราการตอบสนองหน้าจอ 180Hz Response Rate เพราะฉะนั้นในการปัดหน้าจอไปมา หรือในการเล่นโซเชียลมีเดีย เวลาเลื่อน Feed จะให้ความสมูทมากเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม หากกังวลว่าอัตรารีเฟรชหน้าจอสูง ๆ จะกินแบตเตอรี่ ก็สามารถเลือกปรับเป็น 60Hz หรือถ้าให้แนะนำก็ควรเลือกเป็นแบบ Dynamic ที่ตัวเครื่องจะทำการปรับอัตรารีเฟรชหน้าจอให้โดยอัตโนมัติ ตามความเหมาะสมในการใช้งาน หากแอปไหนไม่รองรับ 90Hz ก็จะปรับเป็น 60Hz โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีระบบปลดล็อกตัวเครื่องด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ การปลดล็อกก็ทำได้รวดเร็วทีเดียว หรือถ้าจะให้สะดวกขึ้นอีก แนะนำเป็นการปลดล็อกด้วยใบหน้าก็ได้เช่นกันครับ
ความบันเทิง และระบบเสียง Hi- Fi
หนึ่งนจุดแข็งของ Vivo Smartphone เมื่อตอนที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยใหม่ ๆ ก็คงเป็นเรื่องของการเป็นสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมกับชิปเสียงระดับ Hi-Fi และใน Vivo X50 Pro 5G รุ่นนี้ก็กลับมาพร้อมกับชิปเสียง Hi-Fi AK4377A ซึ่งเป็นชิปเสียงตัวเดียวกับใน Vivo NEX3 มีคุณสมบัติในการเล่นไฟล์เสียงคุณภาพสูง Hi-Res ส่วนหูฟังในกล่องเป็นรุ่น XE710 ที่เป็นพอร์ตแบบ 3.5 มิลลิเมตร แต่ก็ให้ตัวแปลง USB Type-C to 3.5 มิลลิเมตรมาด้วย เนื่องจากรุ่นนี้ไม่มีพอร์ตหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรนั่นเอง
แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ 33W Vivo FlashCharge 2.0
สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 4,315 mAh ภายใต้ตัวเครื่องที่มีน้ำหนักเบา และมีความบางทีเดียวครับ ในด้านการใช้งาน ผมอ้างอิงจากตอนที่รีวิว Vivo X50 Pro 5G รุ่นนี้ถือเป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นที่สามารถใช้งานต่อเนื่องหมดวันโดยที่ไม่ต้องชาร์จไฟระหว่างวันได้สบาย ๆ อย่างไรก็ตาม หากมีการใช้งานอย่างหนักหน่วง เช่น เล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมง หรือรับชมภาพยนตร์ต่อเนื่องยาวนาน กรณีแบบนั้นก็ไม่น่าจะมีแบตเตอรี่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นไหนก็ตาม
ส่วนเรื่องการชาร์จไฟ รุ่นนี้มาพร้อมกับระบบชาร์จ 33W Vivo FlashCharge 2.0 สามารถชาร์จไฟกลับได้อย่างรวดเร็ว ด้วยอะแดปเตอร์ที่แถมมาให้ในกล่อง ไม่ต้องซื้อเพิ่ม ใช้เวลาชาร์จ 30 นาที ได้แบตเตอรี่คืนมามากกว่า 50% และใช้เวลาชาร์จไฟเต็ม 100% ประมาณ 1 ชั่วโมงนิด ๆ ถือว่าเป็นอีกรุ่นที่แบตอึด และชาร์จเร็วครับ
สรุปภาพรวม รีวิว Vivo X50 Pro 5G ราคา 24,999 บาท
ภาพรวมสำหรับรีวิว Vivo X50 Pro 5G กับราคาค่าตัว 24,999 บาท ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับสิ่งที่ได้รับกลับมา โดยเฉพาะในเรื่องของกล้องถ่ายภาพที่ต้องบอกเลยว่า “มาเต็ม” และเป็นสมาร์ตโฟนที่ส่วนตัวผมมองว่าถ่ายรูปได้สนุกมากรุ่นหนึ่ง ตัวกล้องที่เป็น Gimbal photography system ให้ผลลัพธ์การถ่ายภาพได้ดีกว่าที่ผมคิดไว้เยอะมาก ทำให้การถ่ายภาพ “ง่าย” ได้ในทุกสถานการณ์ รวมถึงโทนสีของภาพถ่าย ที่รอบนี้ต้องยอมรับว่า Vivo ทำการบ้านมาดีจริง ๆ
โหมดกล้องที่มีให้เลือกใช้ในสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ สามารถใช้งานได้จริงในทุกโหมด โดยเฉพาะไฮไลต์อย่าง Portrait Mode ที่สามารถถ่ายออกมาได้สมจริง เนื่องจากกระบวนการคิดที่อิงกับหลักความเป็นจริง ทั้งเรื่องของรูรับแสง ไปจนถึงระยะของเลนส์ที่เป็น 50 มม. ด้านเลนส์มุมกว้างก็ถ่ายออกมาได้กว้างสะใจ สีสันที่ได้ใกล้เคียงกับเลนส์หลัก และมี Autofocus ที่เลนส์มุมกว้างอีกด้วย ส่วนเลนส์ซูมก็ให้มาในระยะที่สู้กับคู่แข่งได้สบาย ๆ 5x Optical Zoom และซูมได้ไกลสุดที่ 60x Digital Zoom
ส่วนเรื่องสเปคตัวเครื่อง Snapdragon 765G แม้จะไม่ใช่ชิปเซ็ตระดับท็อปสุดของ Qualcomm แต่ในภาพรวมก็ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้ส่วนมากแทบจะ 100% ต่อให้ใช้ในการเล่นเกม รุ่นนี้ก็สามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล อันที่จริง Vivo ในช่วงหลัง ๆ มานี้ก็ปรับแต่งซอฟต์แวร์ Funtouch OS ได้ดีมาโดยตลอด
ข้อสังเกตของ Vivo X50 Pro 5G หากตัดประเด็นเรื่องราคาที่ถือว่าเปิดมาสูงสำหรับสมาร์ตโฟน Vivo ออกไป ในเรื่องของภาครับสัญญาณ 5G รุ่นนี้รองรับแค่เพียงคลื่น 2600 และ 3500 MHz ไม่รองรับคลื่น 700 MHz ที่จะเปิดให้บริการในอนาคต แล้วก็ด้วยราคาที่ทะลุ 20,000 บาท ส่วนตัวผมมองว่าควรจะรองรับ Wi-Fi 6 และเรื่องสุดท้ายก็คือ รุ่นนี้ไม่มีพอร์ตหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร จะว่าไปก็ดูย้อนแย้งกับการมีชิปเสียง Hi-Fi อยู่เหมือนกันครับ กลายเป็นว่าหากต้องการดึงประสิทธิภาพเต็ม ๆ ของชิปเสียง จะต้องใช้ตัวแปลง USB Type-C to 3.5mm หรือไม่ก็ต้องใช้หูฟังที่เป็นพอร์ต USB Type-C แทน