vivo V25 Pro 5G มือถือระดับกลางตัวท๊อปในซีรี่ส์ V25 ที่พึ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน ซึ่งความน่าสนใจของตัวเครื่องนี้คือสเปคที่ให้มาแบบสุดมากทั้งหน้าจอ AMOLED 120Hz, ชิปประมวลผล Dimensity 1300, ความจุที่มากถึง 256GB กล้องหลังความละเอียดสูงถึง 64MP และมาพร้อมระบบชาร์จเร็ว 66W เรียกได้ว่าเป็นสเปคน้องๆ เรือธงเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังมาพร้อมดีไซน์ที่เรียกได้ว่าเรียบหรูดูแพงโดยที่ไม่ต้องไปตกแต่งอะไรเพิ่มเติมเลย แถมด้วยราคาไม่เกิน 20,000 บาท ทำให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายว่ามือถือระดับเรือธงพอสมควร อีกทั้งก่อนหน้านี้เรายังได้ทำการรีวิว vivo V25 5G ที่เป็นรุ่นเริ่มต่นของซีรี่ส์นี้วไว้ สามารถเข้าไปดูได้เลยที่ รีวิว vivo V25 5G ส่วนการใช้งาน vivo V25 Pro 5G จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นเราไปดูกันได้เลย
vivo V25 Pro 5G
สเปคของ vivo V25 Pro 5G
- หน้าจอ : AMOLED, ขนาด 6.56 นิ้ว, ความละเอียด 2376 x 1080 พิกเซล (Full-HD+), Refresh Rate 120Hz, Touch Sampling Rate 300Hz, รองรับการแสดงผลแบบ HDR10+
- ชิปประมวลผล : MediaTek Dimensity 1300
- แรม : 12 GB แบบ LPDDR4X รองรับ RAM Extended 8 GB
- ความจุ : 256 GB แบบ UFS 3.1
- กล้องหลัง :
- ตัวที่ 1: 64 MP, f/1.89, OIS (wide)
- ตัวที่ 2: 8 MP, f/2.2, 120˚ (ultrawide)
- ตัวที่ 3: 2 MP, f/2.4 (macro)
- กล้องหน้า : 32 MP, f/2.45, AF
- แบตเตอรี่ : 4,830 mAh รองรับระบบชาร์จเร็ว 66W FlashCharge
- ระบบปฏิบัติการ : Android 12 ครอบทับด้วย FuntouchOS 12
- การเชื่อมต่อ :
- 5G (SA/NSA)
- Wi-Fi 6, Dual-band
- Bluetooth 5.2
- GPS, GLONASS, BDS, GALILEO, QZSS, NavIC
- USB Type-C
- เซ็นเซอร์ :
- Fingerprint (ใต้หน้าจอ)
- Accelerometer
- Ambient light sensor
- Proximity Sensor
- E-compass
- Gyroscope
- ขนาด : 158.9 x 73.52 x 8.62 มม.
- น้ำหนัก : 190 กรัม
- สี : Surfing Blue, Starlight Black
- ราคา : 19,999 บาท
ดีไซน์ตัวเครื่อง
สำหรับดีไซน์ในส่วนของหน้าจอนั้นจะเป็นหน้าจอ Punch Hole พาแนล AMOLED แบบขอบโค้ง 2.5D มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ถึง 6.56 นิ้ว มีความละเอียดระดับ Full-HD+ ซึ่งมาพร้อมอัตรารีเฟรชที่สูงถึง 120Hz เนื่องจากเป็นหน้าจอแบบ Punch Hole และเป็นหน้าจอแบบขอบโค้ง ทำให้ขอบหน้าจอมีน้อยเอามากๆ เลยทีเดียว ช่วยให้สามารถแสดงผลได้อย่างเต็มที่ ส่วนลำโพงสำหรับสนทนานั้นอยู่ที่ขอบบนของหน้าจอเหนือรูกล้องหน้าเล็กน้อย ซึ่งภายในรูกล้องนั้นจะมีกล้องหน้าความละเอียด 32MP อยู่
ที่ด้านหลังของตัวเครื่องนั้นจะมาด้วยดีไซน์ที่เรียกว่า Fluorite AG โดยจะมีให้เลือกทั้งหมด 2 สีคือ Starlight Black และ Surfing Blue (ซึ่งทาง Specphone เราได้สี Starlight Black มา) พร้อมด้วยดีไซน์โมดูลกล้องที่ชื่อว่า Cloud Window ซึ่งดีไซน์ทั้งสองส่วนให้ความสวยงามแบบเรียบหรูในตัวเอง อีกทั้งฝาหลังยังมีพื้นผิวแบบด้านทำให้ไม่เกิดรอยนิ้วมือเวลาจับโดน แถมด้วยการที่ขอบหลังยังเป็นแบบโค้ง 2.5D ทำให้เวลาจับถือแล้วจะสบายมือขึ้นด้วย
สำหรับรอบตัวเครื่องนั้นที่ด้านบนจะมีรูไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนอยู่ ด้านซ้ายจะไม่มีอะไร ส่วนปุ่มทั้งหมดจะรวมกันอยู่ที่ด้านขวาทั้งปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มเปิด-ปิด ส่วนด้านล่างจะมีช่องใส่ซิมแบบ Dual-slot, รูไมโครโฟน, พอร์ต USB Type-C และลำโพงตัวเครื่อง
ระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการของ vivo V25 Pro 5G คือ FuntouchOS 12 ซึ่งพัฒนาขึ้นมาบน Android 12 มีการออกแบบ UI ให้มีความเรียบง่ายแต่ก็สวยงาม เข้าใจง่าย แอปฯ ทั้งหมดจะรวมกันอยู่บนหน้าจอ และมาพร้อมแอปฯ ที่ช่วยจัดการเครื่องในแบบต่างๆ เพื่อความสะดวกของผู้ใช้งาน นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งระบบต่างๆ ในตัวเครื่องได้ตามที่ชอบอีกด้วย
การใช้งานต่างๆ
การใช้งานทั่วไปและการชาร์จ
ในส่วนของการใช้งานต่างๆ นั้นในเรื่องของการเล่นโซเชียลนั้นเรียกได้ว่าลื่นไหลเนี่ยนตา ด้วยอัตรารีเฟรช 120Hz และมีอัตราการตอบสนองที่สูงถึง 300Hz ส่วนการดูคลิปหรือดูหนังนั้นด้วยหน้าจอที่เป็นหน้าจอ AMOLED ก็ช่วยให้ภาพที่ได้มีสีสันที่สวยสด อีกทั้งยังได้ Widevine ระดับ L1 ทำให้สามารถดูหนัง/ละครแบบสตรีมมิ่งได้เต็มความละเอียดอีกด้วย ส่วนเรื่องลำโพงตัวเครื่องนั้นนับว่าน่าเสียดายที่มีลำโพงแค่ตัวเดียว แต่เสียงที่ได้ก็นับว่าใช้ได้เลยทีเดียว แถมยังดังพอควรอีกด้วย ซึ่งก็พอจะช่วยทดแทนเรื่องที่มีลำโพงตัวเดียวได้ในระดับหนึ่ง แต่ที่น่าสนใจคือทาง vivo ได้ให้สายแปลง USB Type-C to 3.5 มม. มาด้วย ช่วยให้คนที่ไม่มีหูฟังแบบ Type-C สามารถใช้งานได้ด้วยเช่นกัน (เดี๋ยวนี้มือถือที่ไม่มีพอร์ต 3.5 มม. เริ่มไม่แถมหัวแปลงมาให้กันแล้ว)
ในเรื่องของแบตเตอรี่นั้น V25 Pro 5G ให้แบตเตอรี่มา 4,830 mAh พร้อมด้วยระบบชาร์จเร็ว 66W FlashCharge ซึ่งในเรื่องของการใช้งานนั้นถ้าจัดการดีๆ ก็สามารถใช้งานจนหมดวันได้สบายๆ และที่น่าสนใจคือถึงแม้จะเปิด 5G เอาไว้ตลอดก็ไม่ได้กินแบตเตอรี่เท่าไร ส่วนระยะเวลาชาร์จนั้นได้ทดสอบด้วยการเริ่มชาร์จจาก 0% ใน 10 นาทีแรกนั้นขึ้นมาเป็น 24% หากต้องการแบตเตอรี่ 50% นั้นใช้เวลาไปเพียง 23 นาที และถ้ารอจนครบ 30 นาทีก็จะได้แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมาเป็น 63% ส่วนการชาร์จจาก 0% – 100% นั้นใช้เวลารวม 60 นาที โดยในระกว่างการชาร์จนั้นไม่ได้เปิดเครื่องขึ้นมาเลยสักนิด เพียงแต่ถึงจะเปิดเครื่องขึ้นมาก็น่าจะใช้เวลามากขึ้นตามการใช้งานระหว่างชาร์จไม่มากเท่าไร
การเล่นเกม
ในด้านการเล่นเกมนั้นก็เรียกได้ว่าลื่นทีเดียว โดย V25 Pro 5G นั้นมาพร้อมชิปประมวลผล Dimensity 1300 ซึ่งเป็นชิปที่เรียกได้ว่าแรงพอๆ กับ Snapdragon 870 เลยทีเดียว ทำให้สามารถใช้เล่นเกมได้ทุกเกมที่มีในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน แต่เรื่องการปรับกราฟิกนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละเกมด้วย โดยที่ได้ลองเล่นจะมี RoV, PUBG Mobile, PUBG New State, Genshin Impact, APEX Legends และ Kart Rider Rush+ ซึ่งทุกเกมสามารถเล่นได้แบบลื่นๆ ต่อให้ปรับกราฟิกสูงสุดเท่าที่สามารถปรับได้แล้วก็ตาม และที่น่าตกใจคือ Genshin Impact ปรับทุกอย่างสุดก็ยังลื่น ถึงความร้อนจะขึ้นเร็วมากก็ตาม แถมการตอบสนองต่อการสัมผัสก็เรียกได้ว่ารวดเร็วมากๆ อีกด้วย แต่ที่น่าแปลกใจคือ PUBG Mobile นั้นไม่สามาถเปิดโหมด 90fps ได้ ทั้งๆ ที่ New State มีโหมด 90fps ซึ่งทั้งนี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่าทาง PUBG ยังไม่ได้อัพเดตโหมด 90fps ให้กับตัวชิป Dimensity 1300 ก็เป็นได้
การถ่ายภาพ
ในด้านการถ่ายภาพนั้น V25 Pro 5G มาพร้อมกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัวที่ประกอบไปด้วยกล้องหลักความละเอียด 64MP, กล้อง Ultrawide ความละเอียด 8MP และกล้อง Macro ความละเอียด 2MP ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 32MP ซึ่งตัวกล้องนั้นมาพร้อมฟีเจอร์ Eye AutoFocus ที่สามารถจับโฟกัสที่ดวงตาได้อย่างแม่นยำ และระบบกันสั่น OIS Ultra-Sensing ที่ช่วยให้ถ่ายภาพและวิดีโอได้นิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้การถ่ายภาพมีความสนุกและหลายหลายขึ้นไม่ว่าจะเป็น Night Portrait, Multi-Style Portrait, Vlog Movie, Dual-View Video และ Double Exposure อีกด้วย ซึ่งจากการที่ได้เอาไปลงถ่ายภาพมานั้นต้องบอกเลยว่า V25 Pro 5G เป็นกล้องที่ถ่ายได้ค่อนข้างสนุกตัวหนึ่งเลย โดยเฉพสะเวลาถ่ายภาพบุคคล แถม AI ยังนับว่าใช้ได้เลยไม่ว่าจะเป็นการตัดขอบพื้นหลังหรือการประมวลผลแสงสีต่างๆ ในภาพถ่าย แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ Long Exposure โหมดถ่ายไฟรถที่ไฟรถไม่ได้ออกมาเป็นเส้นลากยาว แต่ไฟรถออกมาเป็นจุดต่อเนื่องแทน ประมาณว่าถ่านภาพหลายๆช็อตแล้วเอามาต่อกันมากกว่า ถ้าต้องการถ่ายภาพไฟรถให้เป็นเส้นยาวจริงๆ ก็ยังต้องพึ่งโหมด Pro อยู่เช่นเดิม เรียกได้ว่าน่าจะเป็นจุดที่น่าเสียดายเล็กๆ ของกล้องถ่ายภาพบน V25 Pro 5G นี้เลยก็ได้
ตัวอย่างภาพถ่าย
สรุปการรีวิว vivo V25 Pro 5G
สรุปจากการที่ได้ลองเอา vivo V25 Pro 5G ไปใช้งานมาระยะหนึ่งนั้นต้องบอกเลยว่าเป็นเครื่องรุ่นหนึ่งที่น่าสนใจมาหสำหรับมือถือในราคาไม่เกิน 20,000 บาท เพราะนอกจากดีไซน์ที่สวยงามแล้วสเปคยังเรียกได้ว่าแรง แถมยังชาร์จเร็วอีกด้วย ซึ่งจุดเด่นของเครื่องนี้ก็คือความครบครันนี่เลย ทำให้คนที่ต้องการมือถือที่ต้องทำได้ทุกอย่างแต่ก็ไม่อยากไปจับพวกเรือธง vivo V25 Pro 5G ก็นับว่าเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียว แถมราคาก็ยังนับว่าอยู่ในเรทที่พอจะจ่ายไหวด้วย โดยตัว vivo V25 Pro 5G จะมีราคาค่าตัวอยู่ที่ 19,999 บาท ใครที่กำลังสนใจตอนนี้สามารถไปลองและสั่งจองได้ที่ vivo Brand Shop ทุกสาขา และถ้าอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูได้ที่ vivo.com/th
จุดเด่น
- ดีไซน์ตัวเครื่องมีความสวยงาม เรียบหรู
- ขอบหลังมีความโค้งช่วยให้การจับถือสบายมือขึ้นเยอะ
- ได้หน้าจอ AMOLED 120Hz
- ใช้ชิปประมวลผล Dimensity 1300 ที่ทั้งแรงและจัดการพลังงานได้ดี
- ให้พื้นที่เก็บข้อมูลมามากถึง 256GB
- มาพร้อมโหมดถ่ายภาพมากมายให้เลือกสรรค์
- มาพร้อมฟีเจอร์ Eye Autofocus และ OIS Ultra-Sensing ช่วยให้การถ่ายภาพบุคคลมีความสวยงามในทุกสภาพแสง
- ได้ระบบชาร์จเร็ว 66W FlashCharge ที่ใช้เวลาชาร์จแบตเตอรี่ 50% ได้ภายในเวลาเพียง 23 นาทีเท่านั้น
- มีการแถมเคสและสายแปลงหูฟังมาให้พร้อมสรรพ
ข้อสังเกต
- หน้าจอขอบโค้งแบบ 2.5D ทำให้มีโอกาสมือลั่นโดยไม่ได้ตั้งใจได้
- โหมดถ่ายภาพไฟรถยนต์ไม่ใช่การถ่ายแบบเปิดรูรับแสงนานแต่ให้ความรู้สึกเหมือนถ่ายเป็นชุดๆ แล้วเอาภาพมาซ้อนกัน
- ได้ลำโพงเดี่ยว
vivo TWS Air
vivo TWS Air หูฟังไร้สายรุ่นใหม่ล่าสุดของ vivo ที่เปิดตัวมาพร้อมกับ vivo V25 Series ซึ่งใน vivo TWS Air ตัวนี้มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “เพลินกว่า กับดีไซน์ที่เบากว่า” และจากการที่ได้ลองใช้มานั้นเรียกได้ว่าเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงได้อย่างเต็มที่จริงๆ
สเปคของ vivo TWS Air
- ขนาดตัวเคส : 56 x 52 x 24 มม.
- น้ำหนักตัวเคส : 38.04 กรัม
- ขนาดหูฟัง : 30.09 × 18.54 × 16.52 มม. / ข้าง
- น้ำหนักหูฟัง : 3.5 กรัม / ข้าง
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.2
- ระยะการเชื่อมต่อ : สูงสุด 10 เมตร
- รูปแบบหูฟัง : Half in-ear
- ขนาดไดเวอร์ไดนามิก : 14.2 มม.
- โหมดตัดการรบกวน : ลดเสียงรบกวนแบบ Dual-mic
- กันน้ำกันฝุ่น : IP54
- แบตเตอรี่ : 29mAh / ข้าง
- แบตเตอรี่ (เคส) : 430mAh
อุปกรณ์ภายในกล่อง
- เคสพร้อมหูฟัง vivo TWS Air
- สาย USB Type-A to Type-C
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
- ใบรับประกันสินค้า
ดีไซน์
มาเริ่มกันที่ตัวเคสกันก่อนเลย โดยตัวเคสนั้นจะมาในดีไซน์ที่เรียกได้ว่าโค้งมน และด้วยขนาดที่ค่อนข้างกระทัดรัด ทำให้ดูมีความเรียบหรูในตัว ซึ่งตัวเคสจะมีให้เลือกทั้งหมด 2 สีคือสี Bubble White และ Pebble Blue ซึ่งทาง Specphone เราได้สี Pebble Blue มารีวิว ซึ่งตัวพื้นผิวนั้นมีการเคลือบผิวแบบสามชั้น ทำให้มีผิวสัมผัสแบบแมททนทานต่อรอยนิ้วมือ
ที่ด้านหน้าของตัวเคสจะมีไฟ LED แสดงสถานะอยู่ ถัดลงมาเล้กน้อยจะเป็นโลโก้ vivo
ที่ด้านล่างตัวเคสจะมีพอร์ตชาร์จ USB Type-C อยู่
เมื่อเปิดฝาขึ้นมาจะเจอหูฟัง TWS Air เสียบอยู่ ซึ่งตัวหูฟังนี้จะถูกเสียบอยู่ภายในเคสตั้งแต่แกะกล่องเลย
ตัวหูฟังจะเป็นแบบ Half In-Ear ที่ออกแบบมาให้สามารถสวมใส่ได้สบายตลอดวันด้วยน้ำหนักที่หนักเพียง 3.5 กรัมเท่านั้น นอกจากนี้ตัวก้านยังมีความยาวพอสมควร ช่วยให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น สามารถสั่งการต่างๆ ได้ง่ายขึ้นด้วย แถมตัวหุฟังยังได้มาตราฐาน IP54 อีกด้วย ทำให้สามารถใส่ไปออกกำลังกายได้สบายๆ เลย
การเชื่อมต่อและการควบคุม
ในด้านการเชื่อมต่อนั้นตัวหูฟังมาพร้อม Bluetooth 5.2 และรองรับ Google Fast Pair ทำให้สามารถเชื่อมต่อได้กับทุกอุปกรณ์ แต่ถ้าจะใช้ให้ได้อย่างเต็มที่ก็จำเป็นต้องใช้งานคู่ปับแอปฯ vivo TWS ด้วย เพื่อให้สามารถปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ ของตัวหูฟังได้ และยังสามารถแสดงผสถานะแบตเตอรี่ของทั้งหูฟังและเคสได้อีกด้วย
ปล. ผู้ที่ใช้มือถือ vivo อยู่แล้วแค่เปิดฝาเคสและหยิบตัวหูฟังขึ้นมาก็จะมีป๊อปอัพเด้งขึ้นมาแจ้งให้ทำการเชื่อมต่อทันทีด้วย
ในส่วนของการควบคุมต่างๆ นั้นจะเป็นการแตะไปที่ตัวหูฟังโดยการควบคุมหลักๆ จะมีดังนี้
- แตะ 2 ครั้ง
- เล่น / หยุด เพลง
- รับ / วาง สาย
- กดค้าง
- ปฏิเสธสายเรียกเข้า
การใช้งานและคุณภาพเสียง
ในด้านการใช้งานนั้นตัวหุฟังที่มารพ้อมไดรเวอร์แบบไดนามิกขนาด 14.2 มม. ที่ให้เสียงได้มีมิติ เบสเน่น ช่วยให้สามารถดูหนังหรือฟังเพลงได้เต็มอรรถรสมาก นอกจากนี้ยังมาพร้อมวอยซ์คอยล์ทองแดงจาก Daikoku ที่ช่วยเพิ่มความนุ่มลึกของเบสและไดอะแฟรมคอมโพสิตไบโอคาร์บอนไฟเบอร์ที่ช่วยให้รายละเอียดความถี่ระดับกลางและสูงชัดเจนมากขึ้น นอกจากเรื่องลำโพงจะดีแล้วไมโครโฟนเองก็เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา เนื่องจากใน vivo TWS Air มีเทคโนโลยี AI Dual-Mic ที่ใช้ AI มาช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอกลงได้อีก 45% ทำให้ปลายสายได้ยินเสียงเราชัดเจนมากขึ้น
สำหรับในเรื่องระยะเวลาในการใช้งานนั้นทาง vivo เคลมเอาไว้ว่าในการชาร์จ 1 ครั้งจะสามารถใช้หูฟังได้นานต่อเนื่องสูงสุด 4.5 ชม. และเมื่อรวมกับเคสชาร์จด้วยแล้วจะสามารถใช้หูฟังได้นานสูงสุดถึง 25 ชม. อีกทั้งการชาร์จตัวหูฟังยังเป็นแบบชาร์จเร็วด้วย หากใช้จนแบตเตอรี่ใกล้หมด เมื่อทำการชาร์จสั้นๆ เพียง 10 นาทีก็จะสามารถใช้ฟังเพลงต่อได้อีก 1.5 ชม. เลยทีเดียว แต่ๆ ในด้านการใช้งานจริงนั้นระยะที่ทาง vivo เคลมเอาไว้นั้นบางคนอาจจะไม่ถึงหรือบางคนอาจจะใช้เกินได้ ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับการใช้งานของเพื่อนๆ เอง
สรุปการรีวิว vivo TWS Air
สรุปการรีวิว vivo TWS Air จากการที่ได้เอามาลองใช้งานในระยะสั้นๆ นั้น ต้องบอกเลยว่าครั้งนี้ทาง vivo ทำออกมาได้ดีทีเดียวเมื่อเทียบสเปคที่ให้กับราคาแล้วนับว่าเป็นหูฟังไร้สายที่ค่อนข้างคุ้มค่าเลย เพราะนอกจากจะพกพาง่ายแล้วระบบเสียงก็ถือว่าไม่ธรรมดา ใช้ทั้งฟังเพลงหรือดูหนังก็ดีทั้งนั้น แต่ที่น่าพิจารณามากที่สุดคือความใส่สบายที่ทาง vivo ใส่ใจออกแบบสุดๆ สำหรับคนที่สนใจนั้น vivo TWS Air จะมีราคาอยู่ที่ 1,999 บาท สามารถหาซื้อได้เลยทาง vivo.com/th, vivo Brand Shop หรือร้านค้าออนไลน์ต่างๆ