หนึ่งในสมาร์ทโฟนที่มีคนรอที่สุดของปีนี้ ก็คือ Samsung Galaxy S6 ซึ่งที่พิเศษขึ้นไปอีกก็คือในปีนี้มีการเปิดตัว Samsung Galaxy S6 edge ที่มีความโดดเด่นตรงขอบจอโค้งเพิ่มเข้ามา นับเป็นการพัฒนาต่อขึ้นจาก Note edge ที่ประสบความสำเร็จพอสมควรไปเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งเราก็ไม่พลาดที่จะเสาะหาเครื่องมารีวิวให้ชมกัน โดยเฉพาะส่วนของขอบจอโค้ง เอาเป็นว่าเรามาเริ่มจากตัวสเปคก่อนแล้วกันครับ
และถ้าเอาจริงๆ จะมองว่ามันเป็นรีวิว Samsung Galaxy S6 ตัวปกติด้วยเลยก็ได้นะ เพราะอย่างอื่นมันก็เหมือนกันหมด ยกเว้นเรื่องขอบจอโค้งเท่านั้นเอง
สเปค Samsung Galaxy S6 edge
- ชิปประมวลผล Samsung Exynos 7420 (8 คอร์) ความเร็ว 1.5 GHz (คอร์ชุด Cortex-A53) กับ 2.1 GHz (คอร์ชุด Cortex-A57)
- ชิปกราฟิก Mali-T760 MP8
- หน้าจอ Super AMOLED HD ขนาด 5.1 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1440 (2K)
- มีขอบจอโค้งด้านข้าง (Edge screen) ทั้งฝั่งซ้ายขวา
- แรม 3 GB
- รอม 32 GB (มี 64 และ 128 GB ให้เลือกด้วย) ไม่มีช่องใส่ MicroSD
- กล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/1.9 มีระบบกันสั่น Smart OIS รองรับ Auto-HDR แบบเรียลไทม์
- กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล f/1.9 รองรับ Auto-HDR แบบเรียลไทม์
- มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
- แบตเตอรี่ 2600 mAh
- Android 5.0.2 Lollipop พร้อม TouchWiz UI
- ใช้ได้ 1 ซิม (นาโนซิม) ใช้ 4G และ 3G ได้ทุกเครือข่าย
- วัดอัตราการเต้นของหัวใจได้
- ราคา 27,900 บาท
- สเปค Samsung Galaxy S6 edge
ด้านสเปค ความแรงก็ถือว่าจัดเต็มกันไปเลยกับ S6 edge ตัวนี้ ด้วยชิปประมวลผลรุ่นล่าสุดอย่าง Exynos 7420 ที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ จาก Samsung ที่ทำให้สามารถพัฒนาชิปที่มีความเร็วสูงขึ้น แต่ความร้อนน้อยลง ทั้งยังพัฒนาให้สามารถใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชันส่วนใหญ่ได้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย ส่วนสเปคอื่นๆ ก็ยังคงออกมาสมกับความเป็นระดับท็อปอยู่เช่นเดิมครับ แถมเพิ่มกิมมิคตรงขอบจอโค้งทั้งสองด้านเข้ามา ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นแค่ขอบจอธรรมดา แต่ยังเสริมฟีเจอร์อื่นเข้ามาให้สามารถใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย ซึ่งตรงนี้ผมจะขอเอาไว้พูดตรงด้านฟีเจอร์แล้วกันนะ
จะมีจุดที่ดรอปลงไปจาก Galaxy S5 บ้างก็คือการตัดช่องใส่ MicroSD ออก แต่ก็ชดเชยด้วยการใส่รอมความจุสูงๆ เริ่มต้นที่ 32 GB มาให้เลย หรือจะยอมบวกเงินไปซื้อเป็นตัวความจุ 64 GB เลยก็จบๆ กันไป อีกจุดหนึ่งก็คือความจุแบตเตอรี่ที่ลดลงมาเหลือเพียง 2600 mAh (S5 ความจุ 2800 mAh) แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรครับ เพราะทาง Samsung ให้ข้อมูลว่าระบบรวมๆ โดยเฉพาะส่วนของฮาร์ดแวร์มีการกินพลังงานที่น้อยลง ส่งผลให้สามารถใช้งานได้นานขึ้น แถมยังมีฟังก์ชันการชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้นอีก ซึ่งก็ช่วยกลบจุดที่ด้อยลงมาจากรุ่นก่อนหน้าได้ดีพอสมควรเลย
ข้อดี
ข้อสังเกต
บทสรุป
BEST HI-END
Design
ด้านของดีไซน์ เป็นหนึ่งในจุดที่ Samsung พลิกโฉมมากๆ ในปีนี้เลยทีเดียวกับสมาร์ทโฟนเรือธงพรีเมียมของตนเอง หลังจากที่ทำให้หลายท่านเฟลมาต่อเนื่องถึงสองปี นับจากดีไซน์ของ Galaxy S3 ที่ถูกนำมาปรับนิดปรับหน่อยใน Galaxy S4 และก็ยกโครงเดิมแต่มาปรับรายละเอียดให้ดูแตกต่างไปใน Galaxy S5 ซึ่งถ้ามองผ่านๆ ต้องบอกเลยว่าแทบจะแยกความแตกต่างของแต่ละรุ่นไม่ออกกันบ้างแน่ๆ แถมยิ่งพอมาเทียบกับมือถือรุ่นต่ำกว่าลงมาของ Samsung เอง ก็พบว่าดีไซน์มันดูคล้ายคลึงกันไปหมด จนมีหลายท่านแซวกันไปว่า แค่ซื้อ Galaxy GRAND มาใช้ ก็เหมือนว่าได้ใช้ Galaxy S5 แล้วก็มี (เพราะหน้าตามันค่อนข้างคล้ายกันจริงๆ)
แต่พอมาใน Galaxy S6 และ Galaxy S6 edge ต้องบอกเลยว่า Samsung ตีโจทย์ในการสร้างความพรีเมียมให้กับผลิตภัณฑ์ไฮเอนด์ของตนแตกอย่างสวยงามเลยแหละครับ ด้วยการเลือกใช้วัสดุภายนอกเป็นกระจก Gorilla Glass 4 ที่ให้ทั้งความคงทนและความสวยงาม เวลาใช้งานก็สะท้อนแสงเป็นประกายตามมุมที่แสงตกกระทบ และตามมุมมองของแต่ละคน ซึ่งต่างจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่ออกมาของ Samsung ที่ยังใช้เป็นพลาสติก เป็นวัสดุคล้ายหนังกันอยู่ เรียกว่ายกระดับตระกูล S ออกมาได้อย่างชัดเจนจริงๆ
ซึ่งตัวของ S6 edge ก็ยิ่งแตกต่างออกไปอีกครับ เพราะหน้าจอของมันจะมีขอบโค้งที่เรียกว่า Edge Screen ออกมาทั้งด้านซ้ายและขวาของจอหลัก ทำให้ส่วนหน้าดูโค้งมน ต่างจาก S6 ปกติที่จะมีขอบจอเหมือนมือถือปกติอยู่ โดยขอบจอ Edge Screen นี้จัดว่าได้รับการพัฒนาขึ้นมาจาก Galaxy Note Edge ที่ออกมาเมื่อปลายปีก่อนอยู่เหมือนกันครับ คือทำออกมาได้โค้งมนกว่า ต่างจากใน Note Edge ที่ตัดออกมาชัดกว่า จนแทบจะเหมือนเป็นจอที่สอง แต่ของ S6 edge นี่จับแล้วรู้สึกว่า เออ มันเป็นลักษณะของขอบจอมากกว่า (สำหรับเรื่องฟีเจอร์การทำงาน ขอยกไปไว้ตรงหัวข้อฟีเจอร์นะครับ)
และด้วยการที่ขอบจอมันแตกต่างไปจากมือถือทั่วไป ทำให้การจับถือก็ค่อนข้างแตกต่างไปจากปกติเหมือนกัน จะว่าไปมันก็จริงที่ทำให้เวลาถือมันกระชับมือขึ้น รู้สึกว่ามันโค้งมน เนียนไปหมด แต่พอตอนใช้งาน ส่วนตัวผมพบปัญหาว่ามีบางส่วนของมือไปสัมผัสกับขอบจอส่วนที่สั่งงานได้อยู่ ทีนี้เวลาใช้นิ้วกดปุ่ม หรือจิ้มส่วนต่างๆ ของจอ แอพมันก็ไม่ทำงานต่อ เพราะถือว่าผมกำลังจิ้มสั่งงานอยู่ที่ขอบจอ Edge screen อยู่ด้วยเหมือนกัน อันนี้ผมเจอปัญหาขัดใจหนักหน่อยก็ตอนถ่ายรูปครับ ก็สงสัย เอ๊ะ! ทำไมกดถ่ายแล้วมันไม่ถ่ายรูปล่ะ ปรากฏว่ามือผมไปแตะอยู่ตรงขอบจอ เสมือนว่ากำลังแตะเลือกจุดโฟกัสอยู่ด้วยนั่นเอง ซึ่งปัญหานี้ มีผู้ให้ข้อมูลมาว่า ถ้าใส่เคสของ Samsung เองก็น่าจะช่วยลดปัญหาลงได้ ตรงข้อนี้ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ เพราะเครื่องที่รีวิว ผมไม่มีเคสมาด้วย
ด้านของจอภาพ Samsung Galaxy S6 edge บอกได้เลยว่าอยู่ในระดับท็อปของสมาร์ทโฟนประจำปีนี้ได้สบายๆ ด้วยความละเอียดที่สูงถึง 2K บนจอขนาด 5.1 นิ้ว ทำให้ภาพที่ออกมาคมชัดทุกรายละเอียด สีสันก็สวยสดด้วยพาเนลจอแบบ Super AMOLED ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วของ Samsung ผสมกับการปรับสีสันมาให้แต่แรก ทำให้สีออกมาค่อนข้างสด สดกว่า iPhone 6 และ 6 Plus อย่างเห็นได้ชัด โทนภาพโดยรวมจะติดโทนเขียวฟ้านิดๆ ใช้งานกลางแจ้งได้ดี แถมไม่กินไฟมากด้วย
ส่วนล่างของจอลงมาก็เป็นแถบของปุ่มกดทั้งหลายเช่นเดิม เริ่มจากซ้ายสุดเป็นปุ่ม Recent apps สำหรับเรียกดูและเคลียร์แอพที่ใช้งานก่อนหน้านี้ ขวาสุดเป็นปุ่มย้อนกลับ ซึ่งทั้งสองปุ่มนี้จะมีไฟ LED อยู่ใต้ปุ่มนะครับ แต่ไฟนั้นจะติดไม่นานเท่าไหร่ ส่วนปุ่มตรงกลางก็เป็นปุ่มโฮมหน้าตาแบบเดิม แต่ฟังก์ชันการทำงานนั้นแตกต่างไปจาก Galaxy S5 และส่งผลให้มันใช้งานได้สะดวกกว่าเดิมมากๆ อีกด้วย นั่นคือการสแกนลายนิ้วมือ ที่เปลี่ยนไปเป็นแบบแตะนิ้ว ไม่ต้องรูดนิ้วแบบเก่าอีกแล้ว ถ้าให้เข้าใจวิธีใช้งานง่ายๆ ก็คือมันเหมือนกับใน iPhone 5s, 6, 6 Plus, Huawei Ascend Mate7, HTC One M9+ อะไรแบบนี้ เวลาจะเปิดเครื่องก็กดปุ่มโฮม แล้วแตะนิ้วค้างไว้เพื่อให้สแกนลายนิ้วมือได้เลย ไม่ต้องมารูดนิ้วลงให้ลำบากอีกต่อไป ซึ่งเท่าที่ผมรีวิว Samsung Galaxy S6 edge มา การสแกนเพื่อปลดล็อคหน้าจอก็ทำได้แม่นพอๆ กับ iPhone 6 ที่ใช้ประจำเลย (คือแม่นก็เหมือนกัน ช่วงที่ไม่แม่นก็มีเยอะพอๆ กัน) ถ้าสแกนไม่ผ่าน 3 ครั้ง ก็จะมีให้กรอกรหัสผ่านที่เราตั้งไว้ครับ
พลิกมาดูฝาหลัง Samsung Galaxy S6 edge กันบ้าง อย่างที่บอกไปข้างต้นแล้วว่า Samsung เลือกใช้วัสดุภายนอกเป็นกระจก Gorilla Glass 4 ทั้งหมด ทำให้ฝาหลังมันออกมาดูดี พรีเมียมจริงๆ ถ้าพลิกเครื่องไปมา ก็จะพบว่ามีแสงสะท้อนออกมาดูสวยงาม ซึ่งถ้าจะให้นึกออกง่ายๆ ก็คือคล้ายกับ Sony Xperia ทั้งหลายครับ และก็แน่นอนว่ามันมีจุดที่เป็นข้อสังเกตอยู่ด้วยเหมือนกัน นั่นคือการที่มันเป็นกระจก และมันสะท้อนแสงได้นี่แหละ ทำให้เวลาเราจับเครื่อง แล้วลายนิ้วมือเราติดไปกับฝาหลัง ทำให้มันสะท้อนออกมาและเห็นได้ชัดกว่าปกติมากๆ เรียกว่าถ้าใครที่อยากใช้แบบไม่ใส่เคส คงต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดกันหน่อย ถ้าอยากให้เครื่องดูสวยงามล้อประกายแสงอยู่ตลอดเวลา แต่ยอมรับเลยว่ามันสวยจริง ทำซะ iPhone 6 กลายเป็นมือถือธรรมดาดูตุ่นๆ ไปเลย
การจัดวางตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ ก็ยังคงเป็นไปตามคอนเซ็ปท์เดิมของ Samsung ครับ คือยึดแกนกลางเป็นหลัก โดยมีกล้องหลังอยู่บนสุด ซึ่งตัวกล้องหลังนี้ ถ้าสาวก Samsung คนไหนที่เคยล้อ iPhone 6 และ 6 Plus มาก่อน คงจะรู้สึกสะอึกไปบ้างเหมือนกัน เพราะกล้องหลังของ S6/S6 edge มันนูนขึ้นมาจากแผ่นฝาหลังอย่างชัดเจน แถมดูเหมือนจะนูนขึ้นมากว่า iPhone นิดนึงด้วย แต่ยังดีที่มีขอบอลูมเนียมออกมาช่วยกันกระจกปิดหน้าเลนส์อยู่ ส่วนข้างๆ ก็จะเป็นไฟแฟลช LED และเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งการใช้งานก็ไม่ยากครับ แค่เปิดแอพวัดอัตราการเต้นหัวใจ เช่น S Health ของ Samsung เอง แล้วก็แปะนิ้วทับลงไปบนแถบเซ็นเซอร์ได้เลย ระหว่างวัดก็จะมีไฟสีแดงขึ้นมาตามปกติ
อ้อ!! ฝาหลังของ Samsung Galaxy S6 และ S6 edge ไม่สามารถแกะได้นะ อย่าเผลอไปงัดขึ้นมาล่ะ
ขอบด้านข้างแต่ละฝั่งของ Samsung Galaxy S6 edge ก็เป็นอลูมเนียมอะโนไดซ์สีเงิน ทั้งเนื้อสัมผัส และหน้าตา ต้องบอกเลยว่าคลับคล้ายคลับคลากับ iPhone 6 และ 6 Plus ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก็ทำออกมาได้ดีครับ เวลาจับเครื่องแล้วดูแน่น งานประกอบทำออกมาสมราคาจริง เผลอๆ จับไปจับมา รู้สึกว่างานมันดีกว่า iPhone ซะด้วยซ้ำ นับว่าเป็นมือถือที่ Samsung ทำออกมาได้สมเป็นรุ่นท็อปจริงๆ ซะทีในปีนี้
สำหรับด้านบนก็จะมีช่องรับเสียงของไมค์ช่วยตัดเสียงรบกวน ตรงกลางเป็นช่องรับส่งคลื่นอินฟราเรด สำหรับใช้งานร่วมกับแอพรีโมทคอนโทรลทั้งหลาย ริมๆ ก็จะเป็นช่องใส่นาโนซิม ซึ่งต้องใช้เข็มจิ้มในช่อง เพื่อให้ถาดซิมเด้งออกมา ส่วนด้านล่างก็จะมีช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรตามปกติ ตรงกลางเป็นช่อง Micro USB สำหรับชาร์จไฟ ใกล้ๆ กันนั้นก็เป็นช่องรับเสียงของไมค์สนทนา และช่องลำโพงอยู่ใกล้ๆ กัน สำหรับเสียงที่ได้จากลำโพงก็อยู่ในระดับปกติ ไม่ถือเป็นจุดเด่นเท่าไหร่
มาดูด้านข้างกันบ้าง เริ่มที่ด้านซ้ายก็จะมีแค่ปุ่มเพิ่มและปุ่มลดเสียงเท่านั้น ส่วนด้านขวาก็มีแค่ปุ่ม Power ซึ่งถ้าดูในภาพ ก็จะเห็นว่าพื้นที่ระหว่างขอบจอ Edge screen กับขอบอลูมิเนียมของเครื่องนั้นแทบจะเท่าๆ กันเลยทีเดียว
ส่วนแกลเลอรี่ด้านล่างนี้ ก็เป็นการเทียบระหว่าง iPhone 6 กับ Samsung Galaxy S6 edge ครับ จะเห็นว่าตัวเครื่องแทบจะเท่ากันเลย ทั้งที่ iPhone มีจอแค่ 4.7 นิ้ว แต่ S6 edge นี่จอใหญ่ถึง 5.1 นิ้วเลย ทั้งนี้ก็เป็นเพราะขอบจอด้านบนและล่างของ S6 edge บางกว่า iPhone 6 มากๆ ส่วนขอบจอด้านข้างไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะ S6 edge มันมีส่วนที่จอโค้งลงไปอีกนั่นเอง เห็นแล้วชอบเครื่องไหนมากกว่ากันเอ่ย??
ด้านล่างนี้ก็เป็นรวมภาพตัวเครื่อง Samsung Galaxy S6 edge แบบเต็มๆ นะครับ รับชมกันได้เลย
Software
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการของ Samsung Galaxy S6 edge ก็เป็น Android 5.0.2 Lollipop ติดมาให้ในเครื่องเลย ครอบมาด้วย TouchWiz ตามปกติของ Samsung แต่รอบนี้บอกเลยว่า TouchWiz มันดูบางเบาลงกว่าเดิมมากๆ มองว่ามันเป็นอินเตอร์เฟสแบบฉบับของ Android เอง ที่ได้รับการจัดหน้าตาให้เป็นแนวของ Samsung จะดีกว่า ทำให้ธีมโดยรวมดูโล่ง สะอาดตา โทนสีก็เป็นโทนของ Android 5.x Lollipop ซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็ดีครับทำให้รู้สึกว่ามันไม่รกเหมือนแต่ก่อน แอพที่ติดเครื่องมาให้ก็ลดลงเยอะ เปลี่ยนไปเป็นแบบสร้าง Store เพื่อให้ไปโหลดมาใช้เองตามที่แต่ละท่านต้องการซะมากกว่า จุดนี้เลยทำให้ไม่กินพื้นที่รอม และไม่กินแรมระหว่างทำงานเบื้องหลังมากนัก
สำหรับพื้นที่รอม 32 GB ในตัวเริ่มต้น (ที่ขายในไทย) ก็จะเหลือพื้นที่ให้ใช้งานได้อีกประมาณ 24.5 GB ก็จัดว่าพอกับการใช้งานของหลายท่านได้สบาย แต่ถ้าเป็นคนถ่ายรูปหนักๆ เยอะๆ ลงเพลงไว้เผื่อฟัง ลงหนังไว้ดูระหว่างเดินทาง ก็คงต้องคอยลบๆ อยู่บ้างเหมือนกัน เพราะตัว S6 และ S6 edge มันไม่มีช่องใส่ MicroSD มาให้ในตัวนะครับ ก็ระวังกันหน่อย แต่ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้เราก็ใช้การอัพโหลดไฟล์ขึ้นไปสำรองบน cloud กันอยู่แล้ว โดยเฉพาะพวกรูปภาพ ที่ล่าสุด Google Photos เปิดให้อัพโหลดภาพได้ไม่จำกัดพื้นที่แล้วด้วย ก็แนะนำว่าถ่ายไป ปล่อยอัพไป แล้วรูปเก่าๆ ก็อาจมีลบทิ้งบ้างเป็นช่วงๆ ก็ดี พื้นที่จะได้ไม่เต็ม
ส่วนของแรมนั้น เบื้องต้น S6 edge ให้แรมมา 3 GB เมื่อเปิดเครื่องมาใหม่ๆ จะเหลือว่างราว 1.2 GB โดยตัวระบบกินไปแล้ว 1 GB เต็มๆ ก็จัดว่าเหลือเฟือสำหรับการใช้งานทั่วไปแน่นอน ไม่ต้องกลัวแรมเต็ม แรมหมด ใช้งานได้แบบไม่ต้องเคลียร์แอพเลยก็ยังไหว
อีกหนึ่งซอฟท์แวร์ที่น่าสนใจใน Samsung Galaxy S6 edge ก็คือส่วนของแบตเตอรี่และการประหยัดพลังงานครับ เพราะได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานได้ดีขึ้นกว่าของ Android เดิมๆ โดยมันจะมีการคำนวณระยะเวลาที่ใช้งานได้ของแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ จากรูปแบบการใช้งานจริงของเรา ซึ่งจากในภาพด้านซ้ายสุด จะเห็นว่าในการใช้งานปกติ การใช้งานในโหมดประหยัดพลังงาน และในโหมดประหยัดพลังงานแบบสุดๆ จะมีการแสดงระยะเวลาเป็นจำนวนชั่วโมงและนาทีที่ใช้งานได้โดยประมาณ ซึ่งถ้าเราซื้อเครื่องมาใหม่ แล้วเปิดดูเลย ตรงนี้จะยังไม่มีบอกนะครับ มันจะแจ้งเป็นประมาณว่า กำลังศึกษารูปแบบการใช้งานอยู่ อันนี้ต้องรอซักวันสองวัน ระบบก็จะเรียนรู้รูปแบบการใช้งานของเรา และคำนวณให้คร่าวๆ ได้แล้ว
สำหรับโหมดประหยัดพลังงานแบบสุดๆ (Ultra power saving mode) อันนี้ก็เป็นแบบเดียวกับที่เราเคยเห็นกันมาในมือถือ Samsung หลายรุ่นเลย นั่นคือการปรับจอเป็นโทนขาวเทาดำ เพื่อลดการใช้พลังงานของหน้าจอลง เพราะจอแบบ AMOLED เมื่อมีการแสดงสี ก็จะกินไฟเพิ่มขึ้น ส่วนถ้าแสดงเป็นสีดำ อัตราการกินไฟก็จะลดลงตามมา ทำให้ระบบการประหยัดพลังงานแบบเปลี่ยนจอเป็นสีขาวดำของ S6/S6 edge สามารถใช้งานได้จริงๆ ใช้งานเครื่องได้นานขึ้นจริง แบบไม่จำเป็นต้องตัดการเชื่อมต่อทั้งหมดไปตลอดก็ยังไง จะเห็นได้ว่าผมสามารถใช้งาน Facebook, Twitter หรือจะคุยไลน์เหมือนเดิมก็ได้สบายๆ แค่หน้าจอมันกลายเป็นโทนขาวดำเท่านั้นเอง ส่วนพวกจะประหยัดพลังงานอะไรยัง ปิดระบบไหนบ้าง เดี๋ยวระบบมันก็จัดการให้เองครับ ถือว่าทำออกมาได้ดี และฉลาดใช้ได้เลย
Feature
นี่ก็คือส่วนที่น่าสนใจสุดของ Samsung Galaxy S6 edge เลยก็ว่าได้ครับ กับขอบจอโค้ง Edge screen ที่ได้รับการพัฒนาต่อมาจาก Galaxy Note edge ที่ออกสู่ตลาดตั้งแต่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยได้มีการปรับรูปลักษณ์ให้ดูโค้งมนเป็นหนึ่งเดียวกับจอหลักมากขึ้น ต่างจากใน Note edge ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นจออีกชิ้นแยกออกมามากกว่า ดังจะเห็นได้จากภาพด้านบน ที่เอาจริงๆ แล้วมันมีแค่ส่วนขอบโค้งออกมานิดเดียวเท่านั้นที่เป็นจอแสดงผล อีกส่วนก็เป็นขอบจอและขอบเครื่องอลูมิเนียมครับ ทำให้น่าจะพบปัญหาเครื่องหล่นแล้วขอบจอแตกได้น้อยลง ส่วนถ้าใครใส่เคสอยู่แล้วคงไม่น่ามีปัญหา เพราะตัวเคสแทบทั้งหมดน่าจะได้รับการออกแบบมาให้ช่วยปกป้องขอบจอเป็นพิเศษอยู่แล้ว
ตรงขอบจอ Edge screen นี้ก็ยังคงทำหน้าที่ได้คล้ายๆ กับใน Note edge ครับ แต่ดูจากในการนำเสนอครั้งนี้ Samsung ไม่ได้เน้นไปในส่วนของการติดตั้งแอพพลิเคชัน วิดเจ็ตเสริมให้กับ Edge screen ของ S6 edge ซักเท่าไหร่
สำหรับในภาพข้างบน ก็จะเป็นการแสดงผลนาฬิกา Night Clock ซึ่งปกติแล้วจะแสดงผลตลอดช่วงเวลาที่เราตั้งค่าไว้ ก็ตามชื่อเลยครับ มันจะเน้นแสดงผลในช่วงเวลากลางคืน (ค่าเริ่มต้นของมันคือช่วงสามทุ่มถึงเจ็ดโมงเช้าของวันใหม่) โดยจะมีนาฬิกาบอกเวลา สภาพอากาศ พร้อมปริมาณแบตเตอรี่แสดงให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ด้วยความสว่างหน้าจอระดับต่ำสุด ซึ่งเพียงพออยู่แล้วสำหรับในการมองเห็นในห้องนอนมืดๆ เหมาะมากสำหรับคนที่วางมือถือไว้ใกล้ๆ หัวนอน สามารถเหลือบไปมองเวลาได้แบบไม่ต้องเปิดหน้าจอมือถือขึ้นมาให้แสบตา
ส่วนถ้าใครคิดว่าเปิดจอมือถือไว้แสดงเวลาตลอดแบบนี้ ไม่เปลืองแบตเหรอ? อันนี้ก็บอกเลยว่าการแสดงเวลาในโหมด Night Clock ของขอบจอ Edge screen มันกินไฟต่ำมากครับ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่า S6 edge ใช้จอประเภท AMOLED ที่จะกินไฟเฉพาะส่วนของเม็ดพิกเซลที่แสดงผลเท่านั้น ตรงไหนที่เป็นสีดำก็ไม่กินไฟ แถมยังแสดงผลด้วยความสว่างระดับต่ำสุดอีก จึงไม่ต้องห่วงเลยว่าแบตจะหมด
ฟีเจอร์ที่ Samsung ตั้งใจนำเสนอกับการใช้งาน Edge screen ก็คือตัวนี้ครับ People Edge ที่ออกแบบมาให้ผู้ใช้งาน S6 edge สามารถติดต่อเพื่อน ผู้ร่วมงาน คนในครอบครัวได้ง่ายขึ้นจากขอบจอ ไม่ต้องเปิดแอพโทรศัพท์ให้ยุ่งยาก รวมถึงยังแจ้งเตือนเวลาคนที่เราตั้งค่าไว้ติดต่อมาได้ด้วย โดยวิธีการเรียกขึ้นมาใช้งานก็ง่ายมาก แค่ปาดแถบสีเทาเล็กๆ ตรงขอบจอ (มีให้ตั้งค่าว่าจะวางไว้ทางขอบฝั่งซ้ายหรือขวา) เข้ามาตรงกลาง ก็จะมีวงๆ People edge โผล่มาให้ใช้งานแล้ว
ในภาพแรกก็เป็น People edge ที่ผมตั้งค่าเอาไว้แล้วครับ สามารถตั้งได้สูงสุด 5 รายชื่อ มีปุ่มตั้งค่าอยู่ด้านบน ซึ่งจะสังเกตว่าแต่ละคนจะมีสีของวงกลมล้อมรอบแตกต่างกันไป ส่วนภาพประกอบนั้น ก็จะเป็นภาพที่เราใส่ไว้ใน Google contact ครับ มันสามารถดึงมาแสดงได้เลย ถ้าไม่มีภาพ ก็จะขึ้นเป็นตัวอักษรแทน
ภาพที่สอง ถ้าเราคว่ำหน้าจอเครื่องไว้ แล้วมีสายจากคนที่เราตั้งค่าไว้ใน People edge โทรเข้ามา ตรงขอบจอก็จะมีไฟเรืองแสงวิ่งขึ้นมาตามสีวงของคนนั้น อย่างในภาพก็จะเห็นว่าเป็นไฟสีม่วงชมพูปรากฏขึ้นมาครับ ทำให้ผู้ใช้งานทราบได้เลยว่าตอนนี้มีใครโทรเข้า แม้ว่าจะคว่ำหน้าจออยู่ก็ตาม ส่วนถ้าพลิกเครื่องขึ้นมา ไฟก็จะหายไป แล้วขึ้นเป็นหน้าจอว่ามีสายเรียกเข้ามาตามปกติ
ภาพที่สาม ก็จะเป็นส่วนที่ให้ผู้ใช้สามารถเรียกดูได้ว่าคนที่เราตั้งค่าไว้บน People edge โทรมาเมื่อไหร่ในกรณีที่เราไม่ได้รับสาย ซึ่งก็จะมีปุ่มให้กดโทรออก ส่ง SMS หรือส่งอีเมลติดต่อกลับไปได้เลย สามารถเรียกดูได้จากในหน้าล็อคสกรีน การเรียกดูก็ไม่ยากครับ เพราะมันจะมีแถบสีของคนนั้นปรากฏขึ้นมาเล็กๆ เราก็ดึงแถบนั้นเข้ามาหาตรงกลางจอเพื่อดูได้เลย
ต่อมาก็เป็นส่วนของเมนูการตั้งค่าของ Edge screen ซึ่งสามารถตั้งเปิด/ปิดการทำงานของฟีเจอร์ต่างๆ ได้ เช่น ถ้าเห็นว่า People edge ไม่จำเป็น ไม่ค่อยได้ใช้ จะปิดไปเลยก็ได้ หรือไม่อยากให้มีไฟวิ่งๆ ตอนสายเรียกเข้าก็ปิดได้เช่นกัน รวมถึงยังสามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้ Night clock ทำงานช่วงกี่โมงถึงกี่โมงบ้าง และที่สำคัญคือสามารถตั้งค่าได้ว่าจะใช้งาน Edge screen ฝั่งไหนเป็นหลัก เพราะเอาจริงๆ แล้ว เราสามารถใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ของ Edge screen ได้แค่ข้างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถตั้งให้ข้างหนึ่งทำอย่างนึง อีกข้างทำอีกอย่างหนึ่งได้นะ อันนี้ผมว่ามันยังไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่ ก็คงต้องรออัพเดตเพิ่มเติมในอนาคตแหละครับ เพราะผมว่ามันน่าจะเป็นส่วนที่สามารถอัพเดตเพื่อเพิ่มฟีเจอร์ในภายหลังได้อยู่นะ
อีกส่วนที่ยังคงมีมาให้ใช้งานกันอยู่ก็คือ Information Stream ที่เป็นแถบแสดงข้อมูลต่างๆ ซึ่งเราสามารถตั้งค่าและโหลดแอพมาเสริมได้ เช่น ให้แสดงข่าวจาก Yahoo News, แสดงราคาหุ้น, แสดงข้อความจาก Twitter, แสดงมิสคอล เป็นต้น โดยสามารถเข้าไปโหลดแอพเสริมได้ด้วย อย่างในภาพขวาสุดก็เป็นแอพเสริมการทำงานให้กับ Edge screen ที่มีให้โหลดบน store ของ Samsung เอง ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดปิดไวไฟ ไฟฉาย ฯลฯ ได้จากขอบจอโดยไม่ต้องเลื่อนแถบ notifications ลงมาเหมือนปกติ เป็นต้น
อ้อ!! สำหรับการเรียกแถบ Information stream ออกมา อันนี้ส่วนตัวผมว่ามันดูงงๆ และลำบากนิดหน่อย คือให้เราถูตรงกลางขอบจอ Edge screen ไปมาซ้ายขวา ก็จะมีข้อมูลขึ้นมาแล้ว ช่วงแรกๆ อาจจะยังถูแล้วเลขไม่ค่อยขึ้น แต่พอใช้ไปซักพักก็น่าจะจับจุดจับทางได้เองไม่ยากนะ
ทีนี้มาดูฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจของ Samsung Galaxy S6 edge กันบ้างครับ เริ่มด้วยการสแกนลายนิ้วมือ ที่เราสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้ถึง 5 ลาย ซึ่งตัวระบบสแกนลายนิ้วมือเองก็สามารถนำมาใช้ได้ค่อนข้างหลากหลาย นอกจากจะใช้ปลดล็อคหน้าจอล็อคสกรีนแล้ว ยังใช้ล็อกอินบัญชี Samsung account ได้ ใช้ล็อกอินเวลาเปิดหน้าเว็บไซต์ได้ รวมถึงใช้จ่ายเงินในระบบ Samsung Pay ได้ด้วย ซึ่งเราน่าจะได้เห็นการใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้นในอนาคต
ต่อมาก็เป็นฟีเจอร์ Download booster ครับ ซึ่งหลายท่านน่าจะคุ้นกันอยู่แล้ว เพราะที่จริง Samsung ก็เปิดตัวฟีเจอร์นี้มาในเรือธงรุ่นก่อนหน้านี้มาแล้ว และแน่นอนว่าก็ยังมีให้ใช้งานบน S6 กับ S6 edge อยู่เหมือนเดิม หลักการของมันก็คือ ถ้าเวลาต้องโหลดไฟล์ใหญ่กว่า 30 MB ระบบจะใช้การดาวน์โหลดทั้งจากทาง WiFi และ 4G LTE เพื่อเพิ่มความเร็วให้การดาวน์โหลด แต่ถ้าเป็นเน็ตอย่างในไทยเรา ผมแนะนำว่าปิดฟีเจอร์นี้ไปก็ได้นะ
ภาพที่สามก็เป็นฟีเจอร์ของตัว Android 5.0 Lollipop เอง ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถปลดล็อคหน้าจอมือถือได้ง่าย ไม่ต้องมาสแกนลายนิ้วมือ ใส่รหัสทุกครั้ง โดยมันจะมีให้เลือกค่อนข้างหลากหลายครับ จะให้ตัดรหัสล็อคออกเมื่อเราอยู่ในบ้าน เมื่อมีอุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์ (เช่นพวกนาฬิกา Android Wear) อยู่ใกล้มือถือ เมื่อผู้ใช้ยกเครื่องขึ้นมาอยู่ในมือ เป็นต้น ซึ่งจะต้องเข้าไปตั้งค่าก่อนนะถึงจะใช้งานได้ แต่ถ้าคิดว่าค่อนข้างอันตราย จำเป็นที่จะต้องล็อคไว้ตลอด ก็ไม่ต้องเปิดฟีเจอร์นี้มาใช้งานได้เช่นกันครับ (ส่วนตัวผมก็ปิดนะ)
เรื่องของการใช้งานหลายๆ แอพพร้อมกันบนหน้าจอเดียว ก็เป็นสิ่งที่ Samsung ยังคงใส่มาให้ใช้งานบน S6 edge อยู่ครับ เหมาะมากสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องดูข้อมูลจากแอพหนึ่ง แล้วไปใช้งานในอีกแอพหนึ่ง เช่นบางทีเราอาจต้องดูวิดีโอนำเสนองาน แล้วตอบแชทไลน์ในกรุ๊ป เพื่อวางแผนกำหนดการในตารางนัดหมาย การที่จะต้องสลับหน้าจอแอพไปมาคงไม่ใช่เรื่องสะดวกแน่นอน ดังนั้นการใช้งานหลายๆ แอพบนหน้าจอเดียวจึงเป็นจุดที่ตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียว สำหรับของที่ใส่มาใน S6 edge นี้ก็ทำได้ดีครับ ไม่ค่อยมีอาการกระตุกหรือหน่วงๆ ให้เห็น สามารถปรับขนาดหน้าต่างได้หลากหลาย ส่วนจำนวนแอพที่เปิดใช้งานได้สูงสุดก็อยู่ที่ 5 แอพ (แค่นี้ก็เยอะมากๆ สำหรับหน้าจอมือถือแล้วแหละ)
ส่วนภาพสุดท้ายก็เป็นพวกแอพตระกูล Galaxy ที่มีเมนูคอลเลคชันเข้ามาให้ติดตั้งเพิ่มเติมได้ เนื่องจาก Samsung เลือกที่จะตัดแอพบางตัวออก เพื่อทำให้พื้นที่การใช้งานในเครื่องเหลือเยอะขึ้น แก้ปัญหาแอพขยะที่ใส่มามากมาย แต่ผู้ใช้ไม่ได้เปิดใช้เลย ซึ่งทำให้เปลืองพื้นที่ไปฟรีๆ พอมารุ่นนี้ Samsung เลยจัดการเอาพวกนี้มาเหลือแค่เป็นปุ่มให้ไปดาวน์โหลดเพิ่มเติมเมื่อต้องการใช้งานเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีนะ
Camera
ใครที่เคยได้ลอง หรือใช้งาน Samsung Galaxy S5 หรือ Note 4 อยู่ คงจะพอทราบกันอยู่แล้วว่าช่วงหลังๆ มานี้ Samsung พัฒนาเรื่องกล้องขึ้นมาได้ดีมากอย่างเห็นได้ชัด เผลอๆ จะกลายเป็นกล้องสมาร์ทโฟนที่คนชอบซะมากที่สุดในปัจจุบันไปแล้ว ด้วยการทำงานที่เร็ว ภาพออกมาก็จัดว่าสวย ดีเทลครบถ้วนแบบที่ควรจะเป็น โหมดถ่ายภาพก็มีให้เล่นค่อนข้างหลากหลาย
พอมาใน Samsung Galaxy S6 edge ก็ยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีกครับ จากเท่าที่ผมรีวิวเครื่องมา ลองถ่ายรูปทั้งกลางวันและกลางคืน เรื่องแรกที่น่าประทับใจเลยคือการโฟกัสภาพ เพราะทำได้เร็ว และแม่นยำดี แม้ว่าจะเป็นการถ่ายภาพกลางคืนแบบไม่ได้แตะเลือกจุดโฟกัสเลย ปล่อยให้ระบบมันจัดการเอง ผลที่ได้ออกมาก็ยังน่าประทับใจ สามารถเก็บดีเทลภาพได้ละเอียด ภาพโดยรวมดูสว่าง โดยที่แสงไม่จ้าจนเกินไป ส่วนการถ่ายในเวลากลางวันก็หายห่วงเลยครับ ทั้งการโฟกัส ความเร็วการทำงาน สีสัน ความละเอียดของภาพ ทุกอย่างออกมาในเกณฑ์ดีทั้งหมด ฟีเจอร์ Auto-HDR ก็ทำได้ดี ไม่ต้องมานั่งเปิด/ปิด HDR ตอนถ่ายไปๆ มาๆ พร้อมทั้งยังมีระบบกันสั่น Smart OIS มาให้อีก จัดว่าเป็นกล้องมือถือที่คาดหวังกับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันได้เลย เผลอๆ จะใช้แก้ขัดชั่วคราวแทนกล้อง DSLR ระดับเริ่มต้นได้อยู่เหมือนกันนะ
ส่วนกล้องหน้าก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเช่นกัน ที่เห็นหลักๆ เลยก็คือเลนส์มุมกว้าง พร้อมค่ารูรับแสง f/1.9 ซึ่งให้ทั้งภาพที่คมชัด และสว่างแม้ว่าจะถ่ายในที่มีแสงน้อย จุดนี้รับรองว่าคนที่ชอบถ่ายเซลฟี่มีถูกใจแน่นอน แถมยังมีการตั้งค่าหน้าเนียนใสบิวตี้โหมดให้ใช้งานได้อีกด้วย
โหมดกล้องเองก็มีให้ใช้งานหลากหลายดีครับ แถมยังมีให้โหลดเพิ่มมาใช้งานได้อีก เช่น โหมดสำหรับถ่ายอาหารโดยเฉพาะ โหมดถ่ายภาพแอคชั่นที่มีการเคลื่อนที่เร็วๆ โหมดถ่ายภาพรอบตัว (surround shot) โหมดถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหลัง เป็นต้น ซึ่งก็สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรีครับ
ส่วนโหมดที่ติดกล้องมา แล้วน่าสนใจก็เช่น โหมด Pro ที่เปิดให้ผู้ใช้ปรับตั้งค่าหลายๆ อย่างได้เอง (ระยะโฟกัส, white balance, ISO) โหมด Selective focus ที่ให้ผู้ใช้ถ่ายรูปมาก่อน แล้วค่อยเลือกจุดโฟกัสทีหลัง ซึ่งอันนี้ผมว่ายังไม่ค่อยยืดหยุ่นเท่าไหร่ เพราะสามารถเลือกทีหลังได้แค่ว่าโฟกัสวัตถุใกล้, โฟกัสระยะไกล หรือโฟกัสทั้งหมด แค่นั้นเอง ไม่สามารถค่อยๆ ลากนิ้วเลือกระยะโฟกัสได้ ส่วนอีกโหมดที่น่าสนใจก็คือโหมด Virtual shot ที่จะเป็นการเก็บภาพรอบวัตถุ แล้วมาเรนเดอร์ต่อๆ กัน เพื่อให้เราสามารถดูวัตถุได้โดยรอบในภายหลัง ไม่ต้องมานั่งถ่ายหลายๆ รูป แล้วมานั่งดูไปทีละรูปเหมือนเมื่อก่อน
สำหรับตัวอย่างภาพถ่ายจาก Samsung Galaxy S6 edge ก็จากในแกลเลอรี่ด้านล่างนี้เลย
Performance
ประสิทธิภาพ ความแรงนี่บอกเลยว่าหายห่วงครับ เพราะ Samsung Galaxy S6 edge นี่มาพร้อมกับสเปคระดับท็อปแทบจะทุกส่วน ทำให้ผลคะแนนทดสอบแอพ benchmark แต่ละตัวออกมาอยู่ในระดับสูงทั้งสิ้น เรียกว่าจะใช้ทั่วไปก็เหลือเฟือ ใช้ทำงานก็ไหลลื่น ใช้เล่นเกมก็ไม่มีกระตุกแน่ๆ กับสเปคระดับนี้ แม้ว่าจะใช้จอความละเอียดสูงระดับ 2K (2560 x 1440) ก็ตาม แต่ก็ยังลื่น ไม่พบอาการกระตุกให้เห็นเลย
ด้วยสเปคที่แรงขนาดนี้ น่าจะมีคำถามเรื่องความร้อนของตัวเครื่องอยู่บ้างเหมือนกันใช่มั้ยครับ ข้อนี้ตัวผมเองก็ได้ลองใช้งาน รีวิว และสัมผัสกับมันมาพอสมควร สำหรับเรื่องความร้อนก็ร้อนจริงอยู่นะ โดยเฉพาะตอนที่ดาวน์โหลดแอพพลิเคชัน หรือมีการประมวลผลหนัก อย่างเวลาเล่นเกมกราฟิกสูงๆ แต่ถ้าในการใช้งานทั่วไป เช่น เล่น Facebook แชทไลน์ ถ่ายรูปลงไอจี พวกนี้ CPU รับมือได้สบายครับ ไม่รู้สึกว่าเครื่องร้อนขึ้นเท่าไหร่เลย แต่ถ้าถ่ายรูปรัวๆ ก็มีอุ่นๆ ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
ส่วนของระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ อันนี้ก็เป็นไปตามมาตรฐานครับ คือใช้งานหมดวันได้สบาย ถ้าไม่ได้ใช้งานแบบเล่นเกมหนักๆ โหลดข้อมูลทั้งวัน ก็รับรองว่าอยู่จนครบ กลับไปชาร์จแบตที่บ้านได้สบาย ทั้งที่มันใช้จอระดับ 2K แถมแบตเตอรี่ก็แค่ 2600 mAh เท่านั้น แสดงว่าทั้งส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ Samsung ทำออกมาได้ดีครับ ในแง่ของการประหยัดพลังงาน ทั้งยังมีส่วนใช้สำหรับตรวจสอบได้ด้วยว่ามีแอพไหนกินแบตเตอรี่สูงผิดปกติหรือเปล่า จะได้ไล่ปิดได้ถูก ถ้ามาทำงานผิดปกติจริงๆ
หนึ่งไฮไลท์ของการจัดการพลังงานก็คือการชาร์จแบตเตอรี่ ที่ถ้าหากใช้แบตเตอรี่ที่แถมมาในกล่อง ก็จะเป็นการชาร์จไฟที่ไวกว่าปกติ (Quick Charge) เพราะตัวอะแดปเตอร์นั้นสามารถจ่ายไฟได้สองโหมด ได้แก่ 9V 1.67A กับ 5V 2A ซึ่งรับรองว่าชาร์จไฟเข้าได้เร็วแน่นอน ส่วนสายชาร์จก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นสายที่แถมมาในกล่องเท่านั้น เพราะผมลองใช้สาย Micro USB เส้นอื่นที่มีอยู่ ก็สามารถชาร์จเร็วแบบ Quick Charge ได้เช่นกัน โดยผมลองเริ่มชาร์จตั้งแต่แบตเหลือ 5% ระบบก็จะคำนวณให้ว่าต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง 21 นาทีจึงจะเต็ม จากนั้นก็ปล่อยไปเรื่อยๆ พบว่าเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นไวมากๆ โดยเฉพาะช่วงก่อน 60% ที่ปล่อยไว้ไม่กี่นาที ก็เพิ่มขึ้นได้ร่วม 10% แล้ว พอเวลาผ่านไปทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที แบตก็เพิ่มเป็น 95% พร้อมถอดสายออกไปใช้งานในหนึ่งวันได้สบายๆ