สำหรับ Samsung Galaxy S24 FE จะเป็นสมาร์ทโฟนในซีรี่ส์ FE ที่ในคราวนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็น “ฟิลลิ่งเรือธง” หรือ Flagship Experience เพราะมีการอัพเกรดสเปคขึ้นมาหลายส่วน มีความน่าใช้งานมากขึ้น และที่สำคัญคือรุ่นนี้ รองรับ Galaxy AI เต็มรูปแบบอีกด้วยครับ
สเปค Samsung Galaxy S24 FE
- หน้าจอ : Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด FHD+ Refresh Rate 120Hz พร้อม Vision Booster
- ชิปประมวลผล : Samsung Exynos 2400e (4nm)
- แรม : 8GB
- หน่อยความจำ :128GB / 256GB
- กล้องหลัง :
- ตัวที่ 1 : 50MP f/1.8 OIS
- ตัวที่ 2 : 12MP f/2.2 Ultra wide-angle 123˚
- ตัวที่ 3 : 8MP f/2.4 OIS 3x optical zoom (Telephoto)
- กล้องหน้า : 10MP f/2.4
- แบตเตอรี่ : 4700mAh + 25W Fast Charge / 15W Wireless Charging / Reverse Wireless Charging
- ระบบปฏิบัติการ : One UI 6.1 (Android 14)
- การเชื่อมต่อ :
- 5G
- Wi-Fi 6E
- Bluetooth 5.3
- NFC
- มาตรฐานกันน้ำ-กันฝุ่น : IP68
- น้ำหนัก 213 กรัม
- สี : Blue, Graphite และ Mint
- ราคา :
- 128GB : 22,900 บาท
- 256GB : 25,900 บาท
ดีไซน์ตัวเครื่อง
ดีไซน์ตัวเครื่องของ Samsung Galaxy S24 FE ยังคงใช้ดีไซน์แบบ Iconic ของทาง Samsung ที่เน้นเรื่องความเรียบหรู ตัวเครื่องออกแบบให้มีความโค้งมน เป็นงานดีไซน์ที่มองครั้งแรกก็จะทราบทันทีว่านี่คือโทรศัพท์จากแบรนด์ซัมซุง โดยความน่าสนใจอย่างแรกของ Samsung Galaxy S24 FE คือในรอบนี้ ได้หน้าจอขนาดใหญ่เท่ากับ Galaxy S24+ เลยครับ
สำหรับหน้าจอของ Samsung Galaxy S24 FE จะมาพร้อมกับหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด Full HD+ อัตรารีเฟรช 120Hz กระจกหน้าจอ Gorilla Glass Victus+ ดีไซน์หน้าจอเป็นแบบ Infinity-O Display เจาะรูเล็กๆ ไว้ใส่กล้องหน้าความละเอียด 10MP ภาพรวมของหน้าจอผมว่าถูกใจแฟนๆ Samsung อย่างแน่นอน เป็นหน้าจอที่สีสดตามแบบฉบับของจอ Dynamic AMOLED 2X และยังเป็นหน้าจอแบบแบนราบที่น่าจะถูกใจสายเกมอีกด้วย
การจับถือตัวเครื่อง Samsung Galaxy S24 FE สำหรับผมถือว่าเครื่องนี้พกพาสะดวก ขนาดกำลังพอดี และด้วยดีไซน์ลำโพงด้านล่างที่วางไว้ตำแหน่งด้านขวา เลยทำให้เวลาถือตัวเครื่องแนวนอนตอนเล่นเกม หรือรับชมคอนเทนต์วิดีโอ มือเราจะไม่บังช่องลำโพง ทำให้เสียงลำโพงออกได้อย่างเต็มที่ รุ่นนี้เป็นลำโพงคู่สเตอริโอ ให้เสียงที่ดังทีเดียวครับ
ระบบปฏิบัติการ
Samsung Galaxy S24 FE มาพร้อมกับ One UI 6.1 ที่มีพื้นฐานบน Android 14 พร้อม Galaxy AI เต็มรูปแบบ ตอบโจทย์ทั้งความบันเทิงและการทำงานได้เป็นอย่างดี เพราะการทำงานของ Galaxy AI จะครอบคลุมตั้งแต่การแต่งภาพ, การแปลภาษา ไปจนถึงการใช้งานร่วมกับ Notes เพื่อช่วยให้การทำงานสะดวกมากยิ่งขึ้น
การแปลภาษาด้วย Galaxy AI
จุดเด่นแรกที่ผมชอบมากๆ ใน Galaxy AI คือเรื่องการแปลภาษาครับ เราสามารถเปลี่ยน Smasung Galaxy S24 FE ให้เป็นเครื่องแปลภาษาได้ในทุกรูปแบบ ทั้งการแปลบทความในเว็บไซต์ทั้งหน้าผ่าน Samsung Internet Browsers แปล PDF ทั้งเอกสารด้วย Notes พร้อมสรุปความ Summarize ในไม่กี่วินาที
หรือจะเป็นการแปลภาษาด้วย Chat Assist ใน Samsung Keyboard ที่ช่วยในการแปลภาษาเวลาพิมพ์แชท, ช่วยตรวจแก้ไขไวยากรณ์ด้วย Note Assist ไปจนถึงรูปแบบการข้อความ ว่าจะให้เป็นแบบทางการ หรือแบบเป็นกันเองได้ หรือถ้าต้องคุยกับคนต่างชาติ ก็มีฟีเจอร์อย่าง Interpreter ล่ามแปลภาษาด้วย AI ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ใช้งานได้ในชีวิตจริง โดยการแปลภาษาจะเป็นแบบ real-time และยังรองรับภาษามากถึง 16 ภาษา
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อย่าง Composer ที่ช่วยเราสร้างประโยค ได้ทั้งข้อความสั้นๆ หรือจะเป็นงานใหญ่อย่างการเขียนอีเมล์ แถมยังเลือกรูปแบบการเขียนได้ด้วย ว่าอยากได้แบบเป็นกันเอง, เป็นทางการ, มืออาชีพ
แอปพลิเคชั่น Notes ที่พออัพเกรดฟีเจอร์จาก Galaxy AI เข้าไปก็ทำให้การใช้งานสะดวกขึ้นมาก ไม่ใช่ทำได้แค่แปลเอกสารทั้งไฟล์ PDF แต่ยังทำได้ทั้งการบันทึกเสียง ไปพร้อมๆ กับการจดบันทึก แล้วสามารถถอดเทปออกมาเป็นข้อความได้เลย จากนั้นจะให้ Galaxy AI แปลเป็นภาษาอื่น หรือสรุปความจากเนื้อหาที่บันทึกเสียงไว้ ก็สามารถทำได้ทันที
การแต่งรูปด้วย Galaxy AI
Galaxy AI นอกจากจะทำหน้าที่เป็นเครื่องแปลภาษา และเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการทำงานแล้ว ยังเข้ามาช่วยในเรื่องของการแต่งภาพ นอกเหนือจากการปรับแสง ปรับสีรูปภาพ ยังทำได้ในระดับของ Generative AI ทั้งการใช้งานพื้นฐานอย่างการลบสิ่งที่ไม่ต้องการออกจากรูปภาพ พร้อมกับเติมรายละเอียดในส่วนที่หายไป ก็ทำได้อย่างรวดเร็ว หรือจะเป็นการเติมวัตถุเข้าไปในภาพถ่ายด้วย Sketch to Image ก็ช่วยให้ภาพถ่ายดูมีลูกเล่นมากขึ้น และยังมี Portrait Studio สำหรับการเปลี่ยนภาพถ่ายให้เป็นภาพการ์ตูนได้อีกหลากหลายรูปแบบ
การใช้งานทั่วไปและการชาร์จ
Samsung Galaxy S24 FE มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 4700mAh ในการใช้งานจริง ผมว่ารุ่นนี้แบตเตอรี่กับการใช้งาน 1 วัน ถือว่าพอไปได้อยู่ เว้นแต่จะใช้งานตัวเครื่องหนักๆ เป็นเวลานาน เช่น เปิดจอเล่นโซเชียลมีเดีย หรือเล่นเกมต่อเนื่อง กรณีแบบนั้นน่าจะต้องมีการชาร์จไฟเพิ่มเติมระหว่างวันครับ
ส่วนการชาร์จไฟ Galaxy S24 FE รองรับการชาร์จไฟผ่านพอร์ต USB-C ที่กำลังไฟสูงสุด 25W ไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป การชาร์จด้วยเวลาประมาณ 30 นาที ได้แบตเตอรี่กลับมาประมาณ 50% นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จไร้สาย 15W และทำ Reverse Wireless Charging ให้กับสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆ ได้
การเล่นเกม
Samsung Galaxy S24 FE มาพร้อมกับชิปประมวลผลรุ่น Exynos 2400e ที่มีการปรับโครงสร้างชิปเซ็ตจากรุ่น Exynos 2400 ความเร็วสูงสุดลดลงมาเล็กน้อยเป็น 3.1GHz แต่ยังคงใช้สถาปัตยกรรมชิปเซ็ตแบบเดิม, GPU ตัวเดียวกันกับ Exynos 2400 เพราะฉะนั้นในแง่ของความแรง สามารถพูดได้เลยว่าความแรงของ Samsung Galaxy S24 FE แรงไม่แพ้รุ่นพี่อย่าง Galaxy S24 และ Galaxy S24+
ผมทดสอบเล่นเกมยอดนิยมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น PUBG Mobile ก็สามารถปรับกราฟิกสูงสุด เฟรมเรตสูงสุดได้ หรือจะปรับกราฟิก Smooth แล้วเล่นที่ 90fps ก็ทำได้เช่นกัน ส่วนเกมอย่าง RoV สามารถปรับสูงสุด 60fps ได้ หรือถ้าจะเล่นเกมที่กินสเปคโหดหน่อยอย่าง Genshin Impact ก็สามารถเล่นบน Galaxy S24 FE ได้เช่นกัน แต่แนะนำว่าเปิดกราฟฟิกกลางๆ แล้วเล่น 60fps เน้นลื่นไหล เล่นยาวๆ จะดีกว่าครับ
ส่วนเรื่องความร้อนหลังจากที่รันเกมไปสักพัก ผมว่าความร้อนของรุ่นนี้อยู่ในระดับของสมาร์ทโฟนเรือธงปกติทั่วไปเลยครับ เมื่อรันเกมต่อเนื่อง ความร้อนจะอยู่ที่ประมาณ 45 – 48 องศาเซลเซียส (วัดจากส่วนที่ร้อนที่สุดตรงฝาหลัง) แต่ความน่าสนใจคือ รุ่นนี้ระบายความร้อนออกได้ค่อนข้างเร็วเนื่องจากมีแผงระบายความร้อนที่มีขนาดใหญ่นั่นเอง
การถ่ายภาพ
สำหรับไฮไลต์ของกล้อง Samsung Galaxy S24 FE จะอยู่ที่ความสามารถในการถ่ายวิดีโอ 8K ฟีเจอร์ที่มีในสมาร์ทโฟนระดับเรือธง มีจุดเด่นเรื่องความคมชัดที่มากกว่าวิดีโอ 4K และเหมาะมากสำหรับการถ่ายแล้วนำมาครอปทีหลัง ทั้งการครอปวิดีโอในลักษณะของการซูมตอนตัดต่อ เพื่อเพิ่ม Dynamic ให้กับวิดีโอมีความน่าสนใจมากขึ้น หรือจะเก็บวิดีโอฟุตเทจแบบ 8K ในลักษณะของการถ่ายทีเดียว แล้วค่อยครอป + ตัดแยกเป็นฟุตเทจย่อย เพื่อใช้ในวิดีโอหลัก ก็ทำให้ลดขั้นตอนเวลาทำงานลงไปได้มากทีเดียว
ส่วนเรื่องการถ่ายภาพ Samsung Galaxy S24 FE มาพร้อมกับชุดกล้องหลังที่ใช้งานได้ครอบคลุมทุกระยะ ทั้งระยะเลนส์ไวด์ปกติ 50MP, เลนส์ Ultra wide-angle มุมกว้างพิเศษ 12MP และอีกหนึ่งไฮไลต์อย่างเลนส์ซูม Telephoto 8MP ที่ให้ระยะการซูมแบบ Optical 3 เท่า กับการซูมได้ไกลสุด 30 เท่าแบบ Digital Zoom คุณภาพในการซูมระยะหวังผลนี่ได้ตั้งแต่ 3 เท่า ไปจนถึง 10 เท่าแบบสบายๆ เลยครับ หรือถ้าจะซูมไกลกว่านั้น ก็มีตัวช่วยอย่าง Zoom Lock ทำให้การซูมทำได้ง่ายขึ้น จับโฟกัสตอนซูมไกลมากๆ ได้ดีขึ้นด้วย
โทนของภาพที่ถ่ายด้วย Samsung Galaxy S24 FE จะเป็นสไตล์ของภาพที่ถ่ายพร้อม Process มาแล้ว สีมีความสดกว่าตาเห็นเล็กน้อย เหมาะกับการถ่ายแล้วอัพลงโซเชียลเลย ไม่ต้องเสียเวลามานั่งแต่งภาพเพิ่มเติม ส่วนการถ่ายกลางคืน อยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วไปสำหรับเลนส์หลัก เก็บรายละเอียดได้ดี ภาพมีความสว่าง ส่วนเลนส์ Ultra wide-angle กับเลนส์ Telephoto ผมว่าเน้นถ่ายในที่แสงปกติจะให้คุณภาพของรูปถ่ายที่ดีกว่าครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วย Samsung Galaxy S24 FE
สรุปการรีวิว Samsung Galaxy S24 FE
ภาพรวมสำหรับ Samsung Galaxy S24 FE ที่คราวนี้ออกตัวชัดเจนว่าเป็น Flagship Experience คือให้ฟิลแบบเรือธง และก็สามารถนับได้ว่าเป็นเรือธงรุ่นเริ่มต้น กับราคาค่าตัวเริ่มต้น 22,900 บาท จะมองว่าเป็นเรือธงรุ่นคุ้มค่าก็คงไม่ผิดนัก เพราะหลายๆ อย่างจากที่ได้ทดลองใช้งาน ผมว่ามันให้ความรู้สึกไม่แพ้ตอนใช้ Samsung Galaxy S24+ เลยครับ ทั้งได้หน้าจอขนาดใหญ่เท่ากัน กล้องที่ก็ถ่าย 8K ได้เหมือนกัน รวมถึงซูมไกลสุดก็ทำได้ที่ 30x อีกทั้งฟีเจอร์ไม้ตายอย่าง Galaxy AI ที่ก็ใช้งานได้เต็มรูปแบบไม่แพ้รุ่นพี่
สำหรับ Samsung Galaxy S24 FE มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Blue, Graphite และ Mint ในราคาเริ่มต้นของ Galaxy S24 FE ความจุ 128GB ราคา 22,900 บาท และ ความจุ 256GB ราคา 25,900 บาท
พิเศษ โปรโมชันระหว่างวันที่ 21 ต.ค. 67 – 1 ธ.ค. 67
- นำเครื่องเก่ามาแลกใหม่ รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท
- สิทธิส่วนลด 30% จากราคาเต็ม สำหรับแลกซื้อ Galaxy Watch l Galaxy Buds เมื่อซื้อพร้อม Galaxy S24FE
- สิทธิส่วนลด 30% จากราคาเต็ม สำหรับซื้อบริการซัมซุงแคร์พลัส
- ซัมซุงแคร์พลัส 1 ปี ราคาพิเศษ 1,183 บาท จากราคาปกติ 1,690 บาท
- ซัมซุงแคร์พลัส 2 ปี ราคาพิเศษ 2,093 บาท จากราคาปกติ 2,990 บาท