Close Menu
    Facebook X (Twitter) YouTube TikTok
    SpecPhone
    • ข่าวล่าสุด
    • รีวิว
    • ค้นหามือถือ
    • วิดีโอ
    • บทความ
    • ติดต่อเรา
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)
    SpecPhone
    Home»Phone Review»[Review] Samsung Galaxy S10+ สมาร์ทโฟนที่ตีบวกแทบทุกด้าน พร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือสุดล้ำ
    Phone Review

    [Review] Samsung Galaxy S10+ สมาร์ทโฟนที่ตีบวกแทบทุกด้าน พร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือสุดล้ำ

    ZeroSystemBy ZeroSystem2 มีนาคม 2019Updated:24 สิงหาคม 2020
    Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    Share
    Facebook Twitter LinkedIn Pinterest Email

    ปีนี้จัดว่าเป็นปีที่น่าจับตามองของ Samsung ด้วยการที่คู่แข่งในตลาดสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะจากประเทศจีนแข็งแกร่งขึ้นมามาก ประกอบกับมือถือในซีรีส์ S9 เองก็ไม่ว้าวมากนัก ทำให้ S10 กลายเป็นมือถือรุ่นที่ Samsung ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดรุ่นหนึ่ง ดังจะเห็นได้ตั้งแต่ก่อนเปิดตัว ที่มีการโหมกระแสขึ่นมาเรื่อย ๆ รวมถึงมีสิ่งที่ทำให้คนติดตามในเรื่องของการออกแบบ ว่า Samsung จะปรับตามเทรนด์ของหน้าจอแหว่งอย่างไร ผลก็ออกมาเป็นสมาร์ทโฟนในซีรีส์ระดับเรือธงด้วยกัน 3 รุ่นย่อย โดยรุ่นที่ทางเราได้รับมารีวิวในบทความนี้ก็คือ Samsung Galaxy S10+ ที่จัดว่าเป็นรุ่นท็อปของในช่วงที่เริ่มวางจำหน่าย

    Samsung Galaxy S10+

    Samsung Galaxy S10+ เองนอกเหนือจากสเปคที่แรงแล้ว ก็ยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีอีกมากมาย โดยสเปค Samsung Galaxy S10+ ที่น่าสนใจก็มีดังนี้ครับ

    • ชิปประมวลผล Exynos 9820 ที่มี 8 คอร์ แบ่งเป็น 2x 2.73 GHz / 2x 2.31 GHz / 4x 1.95 GHz พร้อมชิปกราฟิก Mali-G76 MP12
    • แรม เริ่มต้นที่ 8 GB
    • พื้นที่เก็บข้อมูลเริ่มต้นที่ 128 GB รองรับ MicroSD เพิ่มได้ 512 GB
    • หน้าจอ Dynamic AMOLED แบบ Infinity-O ขนาด 6.4″ ความละเอียดระดับ QHD+ (3040 x 1440) รองรับกา่รแสดงผลระดับ HDR10+
    • กล้องหลัง 3 ตัว Dual OIS
      • กล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล สามารถปรับรูรับแสงได้ระหว่าง f/1.5 และ f/2.4
      • กล้องเลนส์อัลตร้าไวด์ 16 ล้านพิกเซล ความกว้างขององศาการรับภาพอยู่ที่ 123 องศา f/2.2
      • กล้องเลนส์เทเล 12 ล้านพิกเซล ซูมออปติคอลได้ 2 เท่า ความกว้างขององศาการรับภาพอยู่ที่ 45 องศา f/2.4
    • กล้องหน้า 2 ตัว
      • กล้องหลัก 10 ล้านพิกเซลมาพร้อมเทคโนโลยี Dual Pixel ที่ช่วยในการโฟกัส ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล f/1.9
      • กล้องอีกตัวความละเอียด 8 ล้านพิกเซล RGB ใช้สำหรับเก็บข้อมูลระยะห่างจากวัตถุ f/2.2
    • แบตเตอรี่ความจุ 4100 mAh รองรับการชาร์จเร็วที่มาตรฐาน QC2.0 และ AFC
    • ตัวเครื่องสามารถชาร์จแบบไร้สายได้ด้วยเทคโนโลยี Fast Wireless Charging 2.0
    • รองรับการชาร์จไฟแบบไร้สายให้อุปกรณ์อื่น (Wireless PowerShare) เช่น ชาร์จให้นาฬิกา หูฟัง และมือถือที่รองรับการชาร์จไร้สายตามมาตรฐาน Qi
    • รองรับ Wi-Fi 6 MU-MIMO 1024QAM
    • ลำโพงตัวเครื่องเป็นแบบสเตอริโอ ได้รับการจูนโดย AKG รองรับระบบเสียง Dolby Atmos 3D
    • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ ultrasonic ที่ฝังอยู่ใต้จอ
    • ตัวเครื่องยังคงมีพอร์ตเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 มม. อยู่
    • กันน้ำกันฝุ่นได้ระดับ IP68
    • ถาดซิมแบบไฮบริด รองรับ VoLTE ทั้งสองซิมพร้อมกัน
    • มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 9.0 (Pie)
    • ราคา Samsung Galaxy S10+
      • แรม 8GB สตอเรจ 128GB ราคา 35,900 บาท
      • แรม 8GB สตอเรจ 512GB ราคา 44,900 บาท (ฝาหลังเซรามิก)
      • แรม 12GB สตอเรจ 1TB ราคา 55,900 บาท (ฝาหลังเซรามิก)

    แน่นอนว่าสเปคของ Samsung Galaxy S10+ นั้นถือว่าเป็นระดับท็อป ทั้งในแง่ของความแรง และเทคโนโลยีที่อยู่ภายใน โดยจุดที่น่าสนใจก็เช่น หน้าจอแบบใหม่ กล้องที่ให้เลนส์มาครบช่วง ฟังก์ชันในการชาร์จแบตแบบไร้สายให้อุปกรณ์อื่น และที่สำคัญคือตัวเครื่องที่บางลงกว่า S9+ แต่ยังมาพร้อมช่อง 3.5 มม. แบตเตอรี่ความจุสูง และยังสามารถใส่ MicroSD ได้อีก แม้ถาดซิมจะเป็นแบบไฮบริดก็ตาม

    ดีไซน์ หน้าตาของ Samsung Galaxy S10+

    ขนาดของขอบจอ กลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้ผลิตต้องการจะเอาชนะมากที่สุด เพื่อให้มือถือมีพื้นที่แสดงผลของจอมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะเดียวกันก็เพื่อทำให้ตัวเครื่องมีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป ซึ่งรอบนี้ Samsung เลือกจะให้ S10+ รวมถึง S10 และ S10e ใช้หน้าจอแบบเจาะช่องสำหรับกล้องหน้าเอาไว้ที่มุมขวาบน โดยใช้ชื่อเรียกว่าเป็นจอแบบ Infinity-O ที่ Samsung ให้นิยามว่าหมายถึงจอที่เกือบไร้ขอบ และใช้พื้นที่เกือบเต็มเครื่อง

    ด้วยการที่ขอบจอบางเฉียบขนาดนี้ ทำให้สามารถใส่จอได้ที่ขนาดใหญ่ถึง 6.4″ ซึ่งเมื่อผมเทียบกับ Google Pixel 2 XL ที่ผมใช้อยู่ ปรากฏว่า S10+ มีขนาดเครื่องเล็กกว่า Pixel 2 XL ที่มีหน้าจอขนาด 6″ ซะอีก ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับขอบจอของ S10+ ที่บางเฉียบจริง ๆ ทำให้เราได้ใช้มือถือที่พื้นที่แสดงผลใหญ่เต็มตามากขึ้น ภายใต้ตัวเครื่องที่ไม่ได้ใหญ่ไปจากมือถือแบบเดิม ๆ เท่าไหร่ (หรือเล็กกว่าซะด้วยซ้ำ)

    ส่วนในแง่ของการแสดงผลนั้น Samsung เลือกใช้เทคโนโลยี Dynamic AMOLED ที่มีความสามารถในการปรับโทนสีให้เหมาะสมกับเนื้อหาโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ภาพมีความสมจริง สีสันสวยงามมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากที่ทดสอบมา ก็พบว่าให้ภาพที่สวยมาก ๆ สีสันสวยงาม แต่ไม่จัดจ้านจนเกินไป ส่วนที่เป็นสีดำก็ดำสนิทด้วยความเป็นพาเนลแบบ AMOLED ซึ่ง Samsung ขึ้นชื่ออยู่แล้ว นอกจากนี้ยังรองรับการแสดงภาพในมาตรฐานระดับ HDR10+ อีกด้วย แต่ในข้อนี้อาจจะยังเห็นประโยชน์ไม่ชัดมากนัก เพราะในบ้านเรายังหาคอนเทนต์ที่แสดงผลในระดับ HDR10+ ได้ไม่มากนัก

    ส่วนขอบเขตของการแสดงสีนั้นก็ให้มาจุใจเลยทีเดียว ด้วยระดับ 100% ตามมาตรฐาน DCI-P3 ซึ่งเป็นมาตรฐานในระดับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ อีกหนึ่งเทคโนโลยีของหน้าจอที่น่าสนใจก็คือ ฟังก์ชันถนอมสายตาที่ผ่านการรับรองจาก TUV Rheinland ช่วยลดแสงสีฟ้าลงได้ถึง 42% โดยที่ไม่ทำให้สีของภาพเพี้ยนจนเกินไป ช่วยลดอาการล้าของสายตา โดยเฉพาะเมื่อใช้เครื่องในเวลากลางคืน

    อย่างไรก็ตามจอภาพยังเป็นแบบขอบจอโค้งอยู่เช่นเดิมครับ แต่เท่าที่ผมใช้มา ผมรู้สึกว่าเซ็นเซอร์ในการจับสัมผัสตรงขอบจอจะได้รับการพัฒนาขึ้นจากเดิม ที่เห็นได้ชัดสุดคือเวลาที่ผมใช้งานมือถือขอบจอโค้งรุ่นก่อนหน้านี้ในการถ่ายรูป บางครั้งที่ปลายนิ้วผมไปแตะตรงขอบจอ ระบบก็จะนึกว่าผมจะโฟกัสที่ตรงจุดนั้น แต่สำหรับ S10+ ผมไม่เจอปัญหานี้เลยครับ

    ทีนี้มาเจาะดูทีบริเวณกล้องหน้าคู่ของ Galaxy S10+ บ้างครับ จะเห็นชัดเลยว่าตำแหน่งของกล้องหน้าจะกินเข้ามาจากด้านบนและด้านขวาเข้ามาเล็กน้อย ผิวราบไปกับกระจกหน้าจอ ซึ่งด้วยความที่เป็นกล้องหน้าคู่ ทำให้ในบางครั้งก็มีความรู้สึกว่ามันกวนสายตาอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมื่อเปิดแอปที่ธีมสีขาวเป็นหลัก ส่วนการรับชมวิดีโอแบบเต็มหน้าจอในแนวนอน ถ้าเป็นวิดีโอในอัตราส่วน 16:9 ก็จะมีขอบดำทางฝั่งซ้ายและขวาตามปกติ ทำให้เห็นรูกล้องหน้าไม่ชัดมากนัก แต่ถ้าซูมวิดีโอเข้าไปเพื่อให้แสดงผลเต็มจอ หรือเปิดวิดีโอที่เป็นอัตราส่วน 18:9 ขึ้นไป ก็จะเห็นรูกล้องได้ชัดเจนเลย

    โดยเรื่องของรูกล้องนี้ ทาง Samsung เองก็พยายามทำให้เกิดการรบกวนสายตาให้น้อยที่สุดเหมือนกัน ดังจะเห็นได้จาก wallpaper ที่ให้มาในเครื่อง มักจะใช้สีดำอยู่ตรงมุมขวาบนที่เป็นตำแหน่งของกล้องเพื่อใช้ในการพรางสายตา

    อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจก็คือความกว้างของแถบ notifications ด้านบนที่ดูกว้างกว่าปกติ สังเกตได้จากไอคอนสัญญาณโทรศัพท์ นาฬิกาด้านบนดูเล็กกว่าแถบ noti ที่เป็นพื้นหลัง แถมยังวางตำแหน่งอยู่ค่อนไปทางด้านล่างอีกด้วย ซึ่งถึงแม้จะไม่ส่งผลกระทบกับการใช้งานก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันค่อนข้างแปลกสายตาอยู่เหมือนกันครับ

    ในการใช้งานทั่วไปนั้น จอ Infinity-O ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีมาก ๆ ทั้งในแง่ของความคมชัด สีสัน ความสว่างจอที่ใช้งานได้ในทุกสภาพแสง ส่วนแถบปุ่ม navigation ด้านล่างก็สามารถปรับได้ว่าจะคงไว้ หรือจะซ่อนไปเลย แล้วใช้การสั่งงานด้วยการปาดหน้าจอขึ้นมาจากตำแหน่งของทั้งสามปุ่มแทน ซึ่งผมลองแล้วพบว่าใช้กดปุ่มแบบปกติจะคล่องมือกว่า

    ส่วนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ฝังอยู่ใต้จอนั้น จะขอนำไปรีวิวในหัวข้อของฟีเจอร์นะครับ

    พลิกมาที่ด้านหลังกันต่อ สำหรับเครื่องที่ทางเราได้รับมารีวิวในครั้งนี้เป็นรุ่นฝาหลังสีดำแบบ Prism Black ซึ่งให้รูปลักษณ์ที่ดูสวยงามและมีความพรีเมียมในแบบของกระจก ส่วนขอบด้านข้างเครื่องเป็นอลูมิเนียมซีรีส์ 7000 ที่มีความทนทานสูง ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับตัวเครื่อง

    น้ำหนักของตัวเครื่อง Samsung Galaxy S10+ ที่เป็นฝาหลังกระจกจะอยู่ที่ 175 กรัม ถ้าเป็นแค่เครื่องอย่างเดียว ก็ไม่จัดว่าหนักมากนัก ซึ่งเมื่อถือใช้งานในมือ ส่วนตัวผมว่าการกระจายน้ำหนักของตัวเครื่องทำได้ดี โดยตัวเครื่องด้านล่างจะหนักกว่าด้านบนเล็กน้อย ช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับการจับถือได้พอสมควร

    การวางตำแหน่งของกล้องหลังถูกปรับมาใช้เป็นแนวนอนเหมือนกับ Note 9 โดยตัวโมดูลกล้องจะมีกรอบของกระจกปิดหน้าเลนส์ที่นูนขึ้นมาจากฝาหลังเล็กน้อย ซึ่งกล้องทั้งสามตัวเรียงจากซ้ายมาขวาก็จะเป็น

    • เลนส์ระยะเทเล ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มี OIS
    • เลนส์ระยะไวด์ปกติ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มี OIS และปรับรูรับแสงจริงได้
    • เลนส์ระยะไวด์กว่าปกติ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล

    ส่วนข้าง ๆ ก็เป็นแฟลช LED และเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจตามสไตล์ของ Samsung ที่มักวางไว้ข้างกล้องหลัง

    แม้ตัวเครื่องและสัมผัสโดยรวมของ Samsung Galaxy S10+ จะทำออกมาได้ดีและลงตัวก็ตาม แต่ยังมีจุดหนึ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจจะส่งผลกับการใช้งานอยู่เหมือนกันก็คือตำแหน่งของปุ่ม Power ด้านข้างเครื่องที่ขยับขึ้นไปอยู่สูงกว่าปกติ ทำให้บางครั้งก็ขยับนิ้วหัวแม่มือขวาไปกดปุ่มไม่ถึงอยู่เหมือนกัน ส่วนตัวผมก็เลยค่อย ๆ ปรับวิธีการจับเครื่องให้เครื่องลงมาต่ำกว่าเดิมนิดนึง ก็สามารถใช้ได้แล้ว และเมื่อพอใช้ไปซักระยะหนึ่ง ก็พบว่าเมื่อหยิบเครื่องออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก็สามารถใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือกดได้แบบไม่ลำบากนัก

    แต่อันที่จริงแล้ว S10+ มาพร้อมกับฟีเจอร์ Lift to wake ที่หน้าจอจะติดขึ้นมาเอง เมื่อผู้ใช้ยกเครื่องขึ้นมา ซึ่งเมื่อหน้าจอติดแล้ว ระบบก็สามารถสแกนใบหน้า หรือสแกนลายนิ้วมือได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องกดปุ่ม power แต่อย่างใด

    สำหรับด้านข้างของ Samsung Galaxy S10+ ก็มีจุดที่น่าสนใจดังนี้

    • ด้านบน: ช่องรับเสียงของไมค์ช่วยตัดเสียงรบกวน และถาดใส่ซิมแบบไฮบริด
    • ด้านล่าง: ช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 มม. ช่อง USB-C ช่องรับเสียงของไมค์สนทนา และช่องลำโพง
    • ด้านซ้าย: แถบปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และปุ่ม Bixby
    • ด้านขวา: ปุ่ม Power

    ลำโพงของ Samsung Galaxy S10+ ก็เป็นอีกสิ่งที่ทำออกมาได้ตามมาตรฐานของมือถือ คือเน้นที่เสียงกลางเป็นหลัก ส่วนในเรื่องของความเต็มอิ่มของเสียงก็ได้ความที่เป็นระบบเสียงสเตอริโอจากลำโพงด้านบนและด้านล่าง ทำให้เสียงออกมาดูมีมิติกว่าลำโพงมือถือทั่วไปที่เป็นแบบโมโน

    ซอฟต์แวร์ของ Samsung Galaxy S10+

    Samsung Galaxy S10+ มาพร้อมกับ Android 9.0 ที่เป็นเวอร์ชันล่าสุดในปัจจุบัน ครอบด้วยอินเตอร์เฟส One UI ของทาง Samsung เอง ซึ่งธีมโดยรวม การจัดวางเมนูจะมีความแตกต่างไปจาก Samsung Experience UI พอสมควร โดยจุดที่สังเกตได้ก็เช่น สีสันของไอคอนที่ดูสดใส การจัดหมวดหมู่ของเมนูการตั้งค่าที่ดูเป็นระเบียบและเรียบง่ายมากขึ้น รวมถึงยังมีธีมสีดำในแบบของ Night mode ให้ใช้งานได้อีกด้วย

    พื้นที่เก็บข้อมูลของรุ่นที่เราได้รับมารีวิวนั้นอยู่ที่ 128 GB ซึ่งเมื่อเปิดเครื่องมาใช้งานครั้งแรก จะเหลือให้ใช้อยู่ราว ๆ 107 GB

    อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือความสามารถในการปรับแต่งการทำงานของปุ่ม Bixby ที่อยู่ด้านข้างเครื่องได้ โดยจะมาหลังจากอัพเดตเฟิร์มแวร์ใหม่ และอัพเดตซอฟต์แวร์ของตัว Bixby เข้าไปแล้ว (สำหรับเครื่องที่มาล็อตหลังจากนี้ อาจจะได้รับการอัพเดตมาตั้งแต่แรกแล้ว) ซึ่งระบบก็จะเปิดให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะให้กดปุ่มครั้งเดียว หรือกดสองครั้งเพื่อเปิด Bixby ขึ้นมา โดยเมื่อเลือกแล้ว การกดอีกแบบที่เหลืออยู่ก็จะเปิดให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะเปิดแอปหรือใช้คำสั่งใด อย่างในภาพด้านบนผมก็เลือกให้กดสองครั้งเพื่อเรียก Bixby ส่วนถ้ากดครั้งเดียวก็ให้เปิด LINE ขึ้นมา

    อย่างไรก็ตาม หากกดค้างไว้ก็จะเป็นการเรียกฟังก์ชันรับคำสั่งเสียง (Bixby Voice) ขึ้นมา และจะไม่สามารถปิดการทำงานของปุ่ม Bixby ได้นะครับ

    ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Samsung Galaxy S10+

    หน้าจอ Dynamic AMOLED ในดีไซน์แบบ Infinity-O

    จากที่เกริ่นไปแล้วในส่วนของดีไซน์ว่าหน้าจอ Samsung Galaxy S10+ นั้นเป็น Dynamic AMOLED ที่ใช้ดีไซน์ในแบบ Infinity-O ซึ่งให้พื้นที่แสดงผลที่เกือบเต็มเครื่อง ร่วมด้วยกับขอบจอโค้งอันเป็นเอกลักษณ์ของมือถือจาก Samsung ทำให้ภาพจากจอดูมีความสมจริง โดยเฉพาะเมื่อรับชมวิดีโอ HDR ที่ให้ภาพดูมีมิติ และทำให้เครื่องดูกระชับมือยิ่งขึ้นอีกด้วย

    และด้วยการที่ Samsung ออกแบบให้ S10 S10+ และ S10e มีขอบจอที่บางเฉียบ ส่งผลให้ Samsung ต้องยกเอากลุ่มเซ็นเซอร์ที่ช่วยในการสแกนม่านตาออก เนื่องจากการที่จะทำงานได้ดี มันต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของหลายโมดูล ซึ่งกินพื้นที่ของหน้าจอเข้ามามากเกินไป ก็เลยทำให้ S10 ทั้งสามรุ่นย่อย ไม่มีฟังก์ชันสแกนม่านตาอีกต่อไป เหลือแต่เพียงสแกนลายนิ้วมือและสแกนใบหน้าเท่านั้น

    ด้านความละเอียดจอ Galaxy S10+ มีให้เลือกปรับได้ 3 ระดับด้วยกัน ได้แก่

    • HD+ 1520×720
    • FHD+ 2280×1080 (ค่าเริ่มต้น)
    • WQHD+ 3040×1440

    ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปรับได้ตามต้องการ โดยยิ่งใช้ความละเอียดมาก ก็ยิ่งกินแบตเตอรี่มากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน แต่เท่าที่ผมลองใช้ความละเอียดระดับสูงสุดดู ก็สามารถใช้งานจนหมดวันได้อยู่ แต่ถ้าในการใช้งานทั่ว ๆ ไป ผมมองว่าใช้แค่ระดับกลางก็พอแล้วครับ เพราะความละเอียด ความเนียนของภาพนั้นต่างจากระดับสูงสุดไม่มากนัก

    อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ยังคงอยู่ก็คือ Edge screen ที่เป็นแถบเรียกใช้แอป ใช้ฟังก์ชันที่ผู้ใช้ต้องการจากตรงขอบโค้งด้านข้างของเครื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับการใช้งานได้พอสมควร แต่ก็สามารถปิดการทำงานได้จากในเมนูการตั้งค่าครับ

    เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเทคโนโลยี Ultrasonic

    ระบบสแกนลายนิ้วมือของ Samsung Galaxy S10+ นี้มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด นั่นคือการนำเอาคลื่นเสียง ultrasonic มาใช้งาน โดยตัวเครื่องจะส่งคลื่นเสียงขึ้นมากระทบกับปลายนิ้ว และรับคลื่นที่สะท้อนกลับไปเพื่อประมวลผลเป็นภาพลายนิ้วมือ จากนั้นก็นำไปเทียบกับข้อมูลลายนิ้วมือที่เก็บไว้ หากตรง ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอ หรือใช้งานแอปต่อได้ทันที ซึ่งการใช้คลื่นเสียง ทำให้แม้ว่านิ้วจะเปียก ก็สามารถสแกนได้อย่างไม่มีปัญหา

    นอกจากนี้ ระบบสแกนลายนิ้วมือใน Samsung Galaxy S10 และ S10+ ยังผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของ FIDO ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลในระดับองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือสูง ดังนั้นจึงมั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลได้เลย

    ส่วนประสบการณ์ในการใช้งานจริงนั้น ความเร็ว ความแม่นยำนั้นแทบจะไม่ต่างจากเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบที่คุ้นเคยเลยครับ แถมในบางสถานการณ์ยังเร็วกว่าด้วย จะมีติดก็เพียงในบางครั้งที่ผมต้องการปลดล็อกหน้าจอในขณะที่หน้าจอยังดับอยู่ เช่น เมื่อวางเครื่องไว้บนโต๊ะ แล้วผมต้องการดูข้อความแจ้งเตือนที่มีเข้ามาโดยไม่อยากยกเครื่องขึ้นมา ทำให้ผมต้องเอานิ้วแปะลงไปตรงบริเวณที่เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ซึ่งบางครั้งก็แปะถูกตำแหน่งพอดี บางครั้งก็ไม่พอดี เนื่องจากหน้าจอเรียบเสมอกันทั้งหมด ไม่ได้มีส่วนที่ช่วยนำทางให้กับปลายนิ้วแต่อย่างใด ต่างจากเซ็นเซอร์ในมือถือทั่วไปที่มักจะทำออกมาเป็นเบ้าให้เห็นชัดเจน และสามารถใช้ปลายนิ้วสัมผัสได้โดยไม่ต้องมอง

    สำหรับข้อนี้ คงต้องอาศัยความเคยชินครับ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้นิ้วกดปุ่ม Power ก่อนหนึ่งครั้ง เพื่อให้จอติดขึ้นมา จากนั้นจะสแกนนิ้ว หรือจะสแกนใบหน้าก็ทำได้ตามต้องการ

    ชาร์จไฟให้อุปกรณ์อื่นด้วย Wireless PowerShare

    ส่วนฟังก์ชันนี้ น่าเสียดายที่ผมเองไม่มีอุปกรณ์ที่รองรับการชาร์จแบบไร้สายอยู่กับตัว เลยไม่ได้ทดสอบในส่วนนี้ แต่จะขอเล่าในแง่ของฟังก์ชันที่น่าสนใจแล้วกันครับ

    Wireless PowerShare เป็นฟังก์ชันที่ให้ผู้ใช้ S10 S10+ และ S10e สามารถชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์อื่นแบบไร้สายได้โดยการนำอุปกรณ์นั้นมาแนบกับฝาหลังของเครื่อง โดยอุปกรณ์ที่ว่านี้จะเป็นมือถือ นาฬิกา หูฟัง หรืออะไรก็ได้ที่รองรับการชาร์จไร้สายตามมาตรฐาน Qi นอกจากนี้ยังใช้สำหรับทำงานร่วมกับเคส LED View Cover ของ Samsung เอง ซึ่งจะมีไฟ LED ติดขึ้นมาเป็นรูปตามที่ผู้ใช้ตั้งค่า โดยตัวเคสจะใช้พลังงานจากฟังก์ชัน Wireless PowerShare ในการทำงานนั่นเอง

    กล้องถ่ายรูปของ Samsung Galaxy S10+

    กล้องถ่ายรูปก็เป็นอีกสิ่งที่ Samsung พัฒนาเพิ่มขึ้นมาจากรุ่นก่อนหน้า อย่างในด้านของกล้องหลัง Galaxy S10+ ก็ให้มาถึงสามตัวที่มีระยะ และการทำงานที่แตกต่างกัน ส่วนกล้องหน้าก็มาเป็นกล้องหน้าคู่ที่ช่วยเสริมการทำงานได้เป็นอย่างดี

    ด้านของซอฟต์แวร์เองก็มี AI ที่ช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับภาพถ่ายให้สอดคล้องกับสิ่งที่ถ่าย เช่น ซีนสำหรับถ่ายภาพทะเล ถ่ายภาพต้นไม้ ถ่ายภาพอาหาร เป็นต้น รวมถึงยังมีโหมด Instagram เพิ่มเข้ามาให้ขาโซเชียลอัพรูปลงไอจีได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

    สำหรับกล้องหลังทั้งสามตัวนั้น จากที่เกริ่นไปข้างต้นคือซ้ายสุดจะเป็นเลนส์เทเล ตรงกลางเป็นเลนส์ไวด์ปกติ และขวาสุดเป็นเลนส์ไวด์พิเศษ ซึ่งสำหรับกล้องตัวกลางนั้น มีความสามารถในการปรับความกว้างรูรับแสงระหว่าง f/1.5 กับ f/2.4 ได้ โดยหลักแล้วจะเป็นการปรับให้อัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับสภาพแสงภายนอก ถ้ามืดหน่อยก็ใช้ f/1.5 ถ้าสว่างมากพอ เช่น ถ่ายรูปกลางแจ้งในช่วงกลางวัน กล้องก็จะปรับไปใช้ f/2.4 ให้เอง

    หนึ่งในฟังก์ชันที่จะช่วยทำให้คุณถ่ายรูปได้ดูสวยงาม ลงตัวยิ่งขึ้นก็คือ Shot suggestion ครับ โดยเมื่อเปิดใช้งานกล้องครั้งแรก ๆ ก็จะมีป๊อปอัพแจ้งว่ามีฟังก์ชันนี้อยู่ สามารถเข้าไปเปิดใช้ได้ทันที

    เมื่อเปิดแล้ว ระหว่างที่กำลังจัดองค์ประกอบภาพอยู่ หน้าจอก็จะมีวงกลมทึบสีขาวพร้อมคำว่า Best shot ขึ้นมา ก็ให้ผู้ใช้เลื่อนกล้องให้กรอบวงกลมสีขาว ไปครอบวงกลมทึบที่ปรากฏขึ้นมา ซึ่งเมื่อครอบลงไปเรียบร้อยแล้ว วงกลมก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง นั่นหมายความว่า ตรงจุดนั้นคือจุดที่ AI ประเมินแล้วว่าองค์ประกอบภาพลงตัวที่สุด ถ่ายแล้วน่าจะได้รูปที่เป็นไปตามทฤษฎีการถ่ายภาพ เช่น กฏสามส่วน มากที่สุด

    จากที่ผมลองใช้งานดู ฟังก์ชันนี้ถือว่าทำงานได้เป็นที่น่าพอใจครับ ส่วนใหญ่แล้วระบบจะเน้นจัดองค์ประกอบเด่นไว้กลางภาพเป็นหลัก เหมาะกับการใช้ถ่ายเพื่อเน้นความโดดเด่นของวัตถุ

    ส่วนโหมด Instagram จะอยู่ทางซ้ายสุดของแถบเลื่อนโหมดครับ ประโยชน์ก็คือช่วยอำนวยความสะดวกในการโพสต์รูปลง IG story ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อถ่ายแล้วก็สามารถใส่ฟิลเตอร์ แปะอีโมติคอน ใส่ข้อความ วาดเส้นเพิ่มเข้าไปในภาพได้จากในแอปกล้อง โดยไม่ต้องเข้าไปเปิด IG อีกรอบแต่อย่างใด

    กล้องหลังทั้งสามตัวของ Samsung Galaxy S10+

    สำหรับภาพด้านล่างนี้ ก็เป็นภาพที่ผมถ่ายจากกล้องหลังด้วยมุมเดียวกัน แต่กดเปลี่ยนระยะการซูม ซึ่งก็คือการเปลี่ยนเลนส์ที่ใช้ในการถ่ายภาพเป็น 3 รูปแบบ สำหรับภาพซ้ายสุดก็คือภาพที่ได้จากเลนส์ ultra-wide ภาพกลางคือภาพที่ระยะเลนส์ปกติ และภาพขวาสุดของแต่ละชุดก็คือภาพที่ได้จากการซูม 2 เท่าด้วยเลนส์เทเล

    จากภาพจะเห็นเลยว่าภาพจากเลนส์ ultra wide นั้นออกมากว้างสะใจมาก ๆ ช่วยให้สามารถเก็บวิว เก็บวัตถุในภาพได้อย่างครบถ้วน ส่วนภาพขวาสุดที่เป็นการซูมด้วยระยะของเลนส์เทเลก็ทำออกมาได้ดี รายละเอียดของวัตถุยังคงมีความคมชัดอยู่ ซึ่งความสะดวกในการใช้งาน คุณภาพของรูปที่ได้ และระยะเลนส์ที่ครอบคลุมการใช้งานทั่วไป ทำให้ผมมองว่า Samsung Galaxy S10+ ก็เป็นมือถืออีกรุ่นที่เหมาะสำหรับคนชอบท่องเที่ยวและชอบถ่ายภาพเลยนะ ส่วนการถ่ายแบบพื้นหลังเบลอก็ยังทำได้ด้วยการใช้โหมด Live focus เช่นเคย

    ส่วนด้านล่างนี้ก็เป็นตัวอย่างภาพเซลฟี่ที่ได้จากกล้องหน้าแบบคู่นะครับ โดยจะมีกล้องหลักหนึ่งตัว ส่วนกล้องอีกตัวก็ใช้เก็บระยะสำหรับถ่ายด้วยโหมด Live focus



    สำหรับแกลเลอรี่ด้านล่างนี้ก็เป็นภาพตัวอย่างจากกล้องหลัง Samsung Galaxy S10+ ครับ



































    ประสิทธิภาพและการเล่นเกมบน Samsung Galaxy S10+

    ด้านของผลการทดสอบประสิทธิภาพ คงไม่จำเป็นต้องบรรยายเรื่องความแรงให้มากมายนะครับ เพราะ Galaxy S10+ นั้นมาพร้อมฮาร์ดแวร์ระดับท็อปในแทบทุกด้าน ความไหลลื่นก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม เท่าที่ผมใช้งานมา ยังไม่เจอปัญหาด้านซอฟต์แวร์หนัก ๆ เลย สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่น ส่วนการเชื่อมต่อเครือข่าย cellular ก็รองรับ 3CA ได้สบาย แต่ถ้าเรื่องความเร็วก็คงขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ครับ

    การเล่นเกมก็ไม่ใช่ปัญหาของ Samsung Galaxy S10+ ด้วยประสิทธิภาพของทั้ง CPU และ GPU ที่สูง รวมถึงแรมที่ให้มาถึง 8 GB ทำให้การเปิดเกม การสลับหน้าจอ รวมถึงสามารถปรับระดับกราฟิกในเกมในระดับสูงสุดได้สบาย ส่วนเรื่องความร้อนของตัวเครื่องขณะเล่นเกม ก็จะมีส่วนที่อุ่นขึ้นมาตามปกติ ไม่ได้ถึงขั้นร้อนจนเกินไป

    ปิดท้ายด้วยการใช้งานแบตเตอรี่ครับ ด้วยแบตเตอรี่ที่ความจุสูงถึง 4100 mAh ทำให้สามารถใช้งานระหว่างวันได้แบบไม่มีปัญหา จากที่ผมสังเกต ส่วนตัวผมรู้สึกว่าตัวเลข % ของแบตเตอรี่ในช่วง 100% จนถึง 70% จะลดค่อนข้างเร็ว แต่พอหลังจากนั้นจะลดช้าลงกว่าเดิมเล็กน้อย ส่วนการชาร์จแบต เสียดายที่ทางเราไม่ได้รับอะแดปเตอร์ที่แถมในกล่องมาด้วย เลยไม่ได้ทดสอบในแบบที่ควรจะเป็น แต่ที่ผมใช้งานเอง ผมใช้อะแดปเตอร์และสายชาร์จที่รองรับ USB PD ซึ่งตัวเครื่องก็จะแจ้งว่าเป็น Fast charging พร้อมกับการชาร์จที่เร็วทันใจมาก ๆ

    Overall

    Samsung Galaxy S10+ นับเป็นหนึ่งในมือถือระดับท็อปที่ทำออกมาได้อย่างกลมกล่อม ด้วยการตีบวกจุดเด่นของตนเองในรุ่นก่อนหน้านี้ เช่น การออกแบบตัวเครื่องให้บางเบาลงกว่าเดิม แต่ยังคงใส่แบตเตอรี่ที่ความจุสูงขึ้นได้ กล้องหลังที่นำของ Note 9 มาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาต่อ ไปจนถึงช่องเสียบแจ็คหูฟังแบบ 3.5 มม. ที่ยังคงเก็บไว้อย่างเหนียวแน่น เมื่อประกอบกับฟีเจอร์ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ Dynamic AMOLED ในแบบ Infinity-O ที่ให้พื้นที่แสดงผลแบบเต็มตา เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ ultrasonic ที่มีความแม่นยำและความรวดเร็วสูง รวมถึง Wireless PowerShare ที่ชาร์จไฟต่อให้กับอุปกรณ์อื่นแบบไร้สายได้ ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้ ต่างเข้ามาช่วยเสริมประสบการณ์การใช้งานให้ลงตัวกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น

    ส่วนในด้านของกล้อง แม้จะดูเหมือนว่าไม่ได้มีอะไรใหม่ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ แต่ในเบื้องลึกแล้ว ฟังก์ชันที่ใส่มาก็นับว่ามีประโยชน์ และตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้ดี โดยเฉพาะเลนส์ ultra wide ที่ให้ภาพกว้างสะใจ กับเลนส์เทเลที่มีระบบกันสั่นในตัวเพื่อทำให้ภาพไม่สั่น คุณภาพของรูปที่ได้ก็ยังอยู่ในระดับที่ไว้ใจได้ในแทบทุกสถานการณ์

    อย่างไรก็ตาม ก็นับว่าเป็นความเสี่ยงอยู่เหมือนกันที่ Samsung ยอมเจาะรูหน้าจอเป็นแถบยาวสำหรับบรรจุกล้องหน้าทั้ง 2 ตัวลงไป เพราะพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้สมาร์ทโฟนในปัจจุบัน อาจจะยังต้องอาศัยเวลาในการปรับตัวและสร้างความเคยชินกับหน้าจอแบบใหม่ ๆ อยู่เหมือนกัน

    สำหรับใครที่ใช้งาน Samsung Galaxy S7 หรือ S8 อยู่ แล้วอยากเปลี่ยนมือถือในกลุ่มระดับไฮเอนด์อยู่ Galaxy S10 และ S10+ นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียว ด้วยประสิทธิภาพ และประสบการณ์การใช้งานที่ลงตัวมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับการใช้งาน แถมยังไม่ต้องปรับตัวกับการใช้งานมากนักอีกด้วย

    Review Samsung Samsung Galaxy S10
    Share. Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    ZeroSystem

    Related Posts

    Samsung Galaxy S25 คว้ารางวัล ReMA Design for Recycling® Award ปี 2025

    8 พฤษภาคม 2025

    ยืนยัน! Samsung จัดงานเปิดตัว Galaxy S25 Edge แบบออนไลน์ 13 พ.ค. นี้

    8 พฤษภาคม 2025

    รีวิว Alldocube iPlay 50 mini และ iPlay 60 Pad Pro แท็บเล็ตตัวคุ้มที่มาขายไทยอย่างเป็นทางการ

    7 พฤษภาคม 2025

    Comments are closed.

    หัวข้อทั้งหมด

    แนะนำ 3 กลุ่มหลักที่เหมาะกับ iPhone 16e – ถ้าซื้อไปใช้ รับรองว่าคุ้ม!

    13 พฤษภาคม 2025

    เปรียบเทียบ Samsung Galaxy S25 Edge vs iPhone 17 Air มือถือตัวบางทั้งคู่ ต่างกันแค่ไหนเท่าที่รู้ตอนนี้

    10 พฤษภาคม 2025

    สรุปสเปค Samsung Galaxy S25 Edge มือถือรุ่นบาง พร้อมกล้อง 200MP ก่อนเปิดตัว 13 พ.ค. 2025 นี้

    10 พฤษภาคม 2025

    ราคาไอโฟนล่าสุด 2025 ทุกรุ่นทั้งเครื่องเปล่าและติดโปรที่วางขายในตอนนี้ มีรุ่นไหนราคาเท่าไหร่บ้าง อัพเดท พฤษภาคม 2025

    9 พฤษภาคม 2025

    มือถือรุ่นยอดนิยม

    Honor X7

    Honor X7

    6,299 บาท
    Honor X8

    Honor X8

    7,999 บาท
    Honor X9

    Honor X9

    9,299 บาท
    HTC Desire 22 Pro

    HTC Desire 22 Pro

    0 บาท
    Huawei Nova 10 Pro

    Huawei Nova 10 Pro

    24,990 บาท
    ดูมือถือทั้งหมด
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

    ยอมรับ
    X