รีวิว realme X7 Pro 5G สมาร์ตโฟน 5G รุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง realme ที่ส่วนตัวผมเอง มองว่าเป็นอาวุธหนัก ส่งท้ายปี 2020 กันเลยทีเดียว เพราะถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ realme จะเปิดตัวสมาร์ตโฟน 5G ไปหลายรุ่นแล้วก็ตาม แต่สำหรับ realme X7 Pro 5G ที่ผมมองว่าน่าสนใจอยู่ที่การเลือกใช้ชิปเซ็ต Dimensity 1000+ 5G ชิปเซ็ตตัวท็อปสุดของค่าย MediaTek ที่ตามสเปคแล้ว มันสามารถชนกับ Snapdragon 865 ได้สบาย ๆ

สเปค realme X7 Pro 5G
- หน้าจอ Super AMOLED 120Hz ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ พร้อมอัตราการตอบสนอง 240Hz Touch sampling rate
- ระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบด้วย realme UI
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 1000+ 7nm octa-core ความเร็วสูงสุด 2.6GHz
- RAM 8GB LPDDR4x
- ROM 128GB UFS 2.1 ไม่รองรับ microSD Card
- กล้องหน้าความละเอียด 32MP f/2.45, FOV 80 องศา
- กล้องหลัง 4 กล้อง AI
- กล้องหลักความละเอียด 64MP f/1.8 เซ็นเซอร์ Sony IMX686
- กล้องมุมกว้าง 8MP f/2.25, FOV 119 องศา
- กล้อง B&W Portrait 2MP f/2.4
- กล้องมาโคร 2MP f/2.4 ระยะโฟกัสใกล้สุด 4 เซนติเมตร
- รองรับการเชื่อมต่อ 5G + 5G Dual Standby | Wi-Fi 6 | Bluetooth 5.0 | NFC
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C
- แบตเตอรี่ 4,500 mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge
- สเปคเต็ม realme X7 Pro 5G
- ราคาเปิดตัว 16,990 บาท

อุปกรณ์ในกล่องของ realme X7 Pro 5G มาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมพื้นฐานที่สมาร์ตโฟนเครื่องหนึ่งควรจะมี ประกอบไปด้วย สายชาร์จแบบ USB Type-C to USB Type-A, อะแดปเตอร์ 65W SuperDart Charge, เคส TPU และตัวเครื่องติดตั้งฟิล์มกันรอยมาให้ตั้งแต่ในกล่อง
Design – การออกแบบตัวเครื่อง
realme X7 Pro 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมกับสโลแกน “ดีไซน์บางเบา เรือธงทรงพลัง” เพราะฉะนั้นจุดเด่นแรกในเรื่องดีไซน์ตัวเครื่อง ก็คือความบาง และความเบา ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องเพียง 184 กรัม เมื่อรวมกับการออกแบบที่เน้นส่วนเว้าส่วนโค้ง ยิ่งทำให้การจับถือตัวเครื่อง มีความคล่องตัว จับถือตัวเครื่องได้สะดวก

โดยเครื่องรีวิว realme X7 Pro 5G ที่ผมได้รับมารีวิวนั้น เป็นตัวเครื่องสี Iridescent ที่ออกแบบภายใต้กลยุทธ์ 2 + 2 + 1 ที่เรียกว่า Double-Grain, Double-Pated และ Anti-Glare Glass อย่างแรกพื้นผิวที่แตกต่างกันสองแบบ จะถูกรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างพื้นผิวหลายชั้น จากนั้นหุ้มด้วยสารเคลือบสองชั้นเพื่อให้เกิดการไหลเวียนของสี ทำให้โดดเด่นมากขึ้น และในขั้นตอนสุดท้ายใช้เทคโนโลยี AG เพื่อปรับปรุงพื้นผิวสัมผัสตัวเครื่อง

ส่วนอีกสีของ realme X7 Pro 5G ที่วางจำหน่าย จะมีชื่อสีว่า Aerolite Black เป็นการใช้พื้นผิวเลนส์นูนระดับไฮเอนด์และผ่านเครื่องจักรที่ดีที่สุด ในการแกะสลักเส้นพื้นผิวระดับไมครอน เอฟเฟกต์เลเยอร์ตรงกลางจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเอฟเฟกต์สามเหลี่ยมบริเวณขอบตัวเครื่อง ให้ความสวยงามแตกต่างกันไปคนละแบบ

ความใส่ใจในด้านการออกแบบของ realme X7 Pro 5G อีกอย่างหนึ่ง ก็คือการออกแบบหน้าจอ แม้จะมีขนาดหน้าจอ 6.5 นิ้ว เหมือนสมาร์ตโฟนหลายรุ่นของ realme แต่รุ่นนี้เลือกใช้กระบวนการบรรจุ COP แบบใหม่ ทำให้กรอบด้านล่างหน้าจอ AMOLED บางลงกว่าเดิมถึง 10% ส่งผลให้ขนาดตัวเครื่องโดยรวมของรุ่นนี้ เมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนหน้าจอ 6.5 นิ้วปกติ จะมีขนาดตัวเครื่องที่เล็กกว่า แต่แสดงผลได้เต็มตาเท่าเดิม

สำหรับหน้าจอของ realme X7 Pro 5G รุ่นนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีหน้าจอระดับเรือธง 120Hz Super AMOLED Fullscreen ขนาด 6.5นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3, 103% NTSC และสามารถเร่งความสว่างหน้าจอได้สูงสุดถึง 1,200 nits เพราะฉะนั้นใช้งานกลางแจ้งได้สบาย ๆ ส่วนกระจกหน้าจอ ใช้เป็น Corning Gorilla Glass 5

นอกจากหน้าจอรุ่นนี้ จะมีอัตรารีเฟรชสูงถึง 120Hz ที่แสดงผล และให้การใช้งานที่ลื่นไหลกว่าหน้าจอปกติแล้ว ยังมาพร้อมกับอัตราการตอบสนองหน้าจอสูงสุด 240Hz Touch sampling rate ซึ่งเห็นผลมากเวลาเล่นเกม เพราะช่วยให้การตอบสนองหน้าจอทำได้รวดเร็วกว่า โดยเฉพาะการเล่นเกมประเภท FPS จะช่วยในการหมุนตัว การเล็ง และการยิงปืนทำได้ง่าย และตอบสนองได้ไวกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เรื่องสีสันหน้าจอ ด้วยความที่เป็นพาแนลแบบ E3 Super AMOLED เลยทำให้การแสดงสีสัน ให้สีที่สด และสีดำที่ดำจริง ๆ ส่วนเรื่องความสว่างหน้าจอ ตามที่ได้บอกไปว่า เร่งความสว่างหน้าจอได้สูงถึง 1,200 nits ซึ่งก็ถือว่าสูงกว่าสมาร์ตโฟนเรือธงบางยี่ห้อ แถมยังสามารถปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติได้ละเอียดถึง 4,096 ระดับ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป ข้อดีของการที่หน้าจอปรับความสว่างได้ละเอียดมาก คือเวลาเล่นโทรศัพท์ในที่แสงน้อย จะสบายตามากกว่า เนื่องจากความสว่างหน้าจอถูกปรับให้เหมาะสมนั่นเอง

นอกจากนี้ realme X7 Pro 5G ยังรองรับการป้องกันสายตาขั้นสูง Eye Protection นอกเหนือจากการปรับความสว่างโดยอัตโนมัติแล้ว ยังรองรับฟังก์ชั่นการหรี่ไฟ DC (เปิดได้ใน realme Lab), ป้องกันแสงสโตรโบสโคปความสว่างต่ำ, ติดตั้งโหมดป้องกันดวงตา ฯลฯ
รายละเอียดด้านข้าง realme X7 Pro 5G เริ่มจากด้านขวา จะเป็นตำแหน่งของปุ่ม Power, ด้านซ้ายเป็นปุ่มปรับระดับเสียง พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ลำโพงหลัก, ถาดซิม (รองรับ 2 nano SIM ไม่รองรับ micro SD Card) จะอยู่บริเวณด้านล่างตัวเครื่อง ส่วนด้านบนมีเพียงไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน รุ่นนี้ตัดพอร์ตหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรออกไป เพราะฉะนั้นในการเชื่อมต่อหูฟัง จะต้องเชื่อมต่อผ่านตัวแปลง USB Type-C to 3.5mm หรือใช้หูฟังที่เป็นพอร์ต USB Type-C ไม่ก็เชื่อมต่อไร้สายด้วย Bluetooth
ด้านหลัง realme X7 Pro 5G ประกอบไปด้วยกล้องหลัง 4 ตัว วางบนโมดูลสี่เหลี่ยมตามสมัยนิยม ตัวโมดูลกล้องนูนขึ้นมาจากฝาหลังเพียงเล็กน้อย และตัวเครื่องสี Iridescent จะมีสโลแกนของแบรนด์ “DARE TO LEAP” เมื่อรวมกับสีตัวเครื่องที่สะท้อน และเปลี่ยนไปตามที่แสงตกกระทบ ผมมองว่ารอบนี้ realme ออกแบบมาได้อย่างลงตัวทีเดียวครับ ให้ความเป็นแฟชั่นสูง และฝาหลังที่เคลือบ AG ยังไม่เก็บรอยนิ้วมือ ดูแลรักษาเครื่องได้ง่ายอีกด้วย
Performance – ประสิทธิภาพ
สิ่งที่ผมสนใจที่สุดในการรีวิว realme X7 Pro 5G อยู่ที่ชิปประมวลผล Dimensity 1000+ จากค่าย MediaTek นี่ล่ะครับ เพราะถือเป็นสมาร์ตโฟนเครื่องศูนย์ไทยรุ่นแรก ที่มาพร้อมกับชิปเซ็ตตัวแรงตัวนี้ โดย MediaTek Dimensity 1000+ ถูกวางตำแหน่งให้เป็นชิปเซ็ตระดับเรือธง ตั้งใจทำมาชนกับ Qualcomm Snapdragon 865 ที่ถูกใช้บนสมาร์ตโฟนเรือธงหลายยี่ห้อในปี 2020

สเปคของชิปเซ็ต Dimensity 1000+ มีรายละเอียดดังนี้
- เทคโนโลยีการผลิต 7 นาโนเมตร
- ชิปเซ็ตแบบ octa-core (8 Core)
- 4 Cortex-A76 ความเร็ว 2.6 GHz
- 4 Cortex-A55 ความเร็ว 2.0 GHz
- GPU Mali-G77 MC9
- APU ประมวลผล AI แบบ 6 Core
- โมเด็ม Helio M70 5G
อย่างไรก็ตาม หากเทียบประสิทธิภาพกันตรง ๆ ก็ต้องยอมรับว่า Snapdragon 865 ดูจะมีภาษีดีกว่า ในแง่ของการประมวลผล ทั้ง CPU (Prime Core เป็น Cortex-A77) และ GPU (Adreno 650) แต่ก็ให้ประสิทธิภาพที่สูงกว่าไม่มากนัก เพราะระดับคะแนน AnTuTu 500,000 คะแนนขึ้นไป ในมุมของผู้ใช้ก็แทบจะแยกไม่ออกแล้ว และแน่นอนว่า หลังจากที่ผมได้ทดสอบเครื่องรีวิว realme X7 Pro 5G กับการเล่นเกมเป็นจำนวนหลายเกม Dimensity 1000+ กับ RAM 8GB ก็ให้ความแรงมากพอที่จะเล่นเกมทุกเกมบน Google Play ได้แบบปรับกราฟฟิกระดับสูงสุด โดยไม่มีอาการกระตุกแม้แต่น้อย

สิ่งที่ Dimensity 1000+ ทำได้เหนือกว่า Snapdragon 865 5G อย่างชัดเจน ก็คือเรื่องการเชื่อมต่อ 5G โดยรุ่นนี้จะเชื่อมต่อได้แบบ 5G + 5G Dual-SIM Dual Standby ต่อให้ใส่ 2 ซิมพร้อมกัน ก็สามารถสลับใช้งาน 5G ได้ทันที แตกต่างจากโมเด็ม X55 ของ Snapdragon 865 ที่จะใช้ 5G ได้เพียงซิมเดียว อีกทั้งครอบคลุมคลื่นความถี่ 5G หลายคลื่นความถี่ ใส่ซิม 5G ก็พร้อมใช้งานในประเทศไทยตั้งแต่แกะกล่อง (AIS, TrueMove-H) มีคลื่นที่รองรับ ดังนี้
- 5G NSA n1 / n3 / n5 / n7 / n8 / n20 / n28 / n38 / n40 / n41 / n77 / n78
- 5G SA n1 / n3 / n41 / n78 / n79
ส่วนเรื่องความเร็วสูงสุดในการเชื่อมต่อ 5G โมเด็ม Helio M70 5G ทำความเร็วในการเชื่อมต่อ Peak Download Speed ได้สูงสุด 4.7 Gbps และ Peak Upload Speed 2.5 Gbps แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นเพียงสเปคในหน้ากระดาษเท่านั้น เพราะในการใช้งานจริง ณ ปัจจุบัน ความเร็ว 5G ในประเทศไทย จะมีความเร็วในขาดาวน์โหลดสูงสุดประมาณ 1 Gbps ด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง

ส่วนการทดสอบเครื่องรีวิว realme X7 Pro 5G ผมใส่ซิม AIS 5G ไล่ทำ SpeedTest ผ่านแอปพลิเคชัน SpeedTest by Ookla ตามเส้นทางรถไฟฟ้า BTS รุ่นนี้ทำความเร็วในการดาวน์โหลดได้ไม่ต่ำกว่า 300 Mbps และมี Latency ไม่เกิน 18ms ถือว่าให้ประสบการณ์ใช้งานเน็ตมือถือ ที่แทบจะไม่ต่างจากการเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่บ้านเลยครับ
ด้านการเชื่อมต่อ Wi-Fi สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มาพร้อมกับคุณสมบัติในการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 (802.11ax) หากที่บ้านใครมีอุปกรณ์ปล่อยสัญญาณ Wi-Fi 6 ได้ และมีแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบ้านระดับ Gigabit รับรองว่า realme X7 Pro 5G จะสามารถใช้งานความเร็วอินเทอร์เน็ตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
Battery – แบตเตอรี่และการชาร์จไฟ
realme X7 Pro 5G มาพร้อมกับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge สามารถชาร์จแบตเตอรี่ความจุ 4,500 mAh เต็ม 100% ใน 35 นาที และเห็นชาร์จเร็วแบบนี้ เรื่องความปลอดภัยก็ยังคงไว้ใจได้เหมือนเดิมครับ เพราะมีทั้ง VCVT เพื่อควบคุมอุณหภูมิอย่างปลอดภัยในระหว่างกระบวนการชาร์จ และ VFC เมื่อแบตเตอรี่ใกล้เต็ม จะชาร์จด้วยกระแสต่ำลงเพื่อยืดอายุการใช้งาน และมาพร้อมระบบป้องกัน 5 ขั้นตอน ตั้งแต่อะแดปเตอร์ยันตัวเครื่อง ได้แก่

- อะแดปเตอร์ป้องกันการจ่ายไฟเกินกำลัง
- การป้องกันขณะชาร์จเร็ว
- ป้องกันการโอเวอร์โหลดอินเทอร์เฟซ
- ป้องกันกระแสไฟเกินและแรงดันไฟฟ้าเกิน
- การป้องกันขณะรวมแบตเตอรี่
ส่วนเรื่องการจัดการพลังงาน ด้วยแบตเตอรี่ความจุสูงถึง 4,500 mAh หากเป็นการใช้งานปกติทั่วไป ไม่ได้เล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลานาน แบตเตอรี่ของรุ่นนี้ใช้งานหมดวันได้สบาย ๆ แต่เมื่อไรที่มีการประมวลผลหนัก ตอนรีวิว realme X7 Pro 5G ผมทดสอบเล่นเกมไปต่อเนื่องหลายเกม สังเกตได้เลยว่าแบตเตอรี่จะลดลงอย่างรวดเร็วมากกว่าปกติ ถ้าเป็นคนชอบเล่นเกม ยังไงก็ต้องมีชาร์จไฟระหว่างวันล่ะครับ แต่ยังดีที่รุ่นนี้ชาร์จไฟได้เร็ว เพราะรองรับ 65W SuperDart Charge

อย่างไรก็ตาม หากอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่แบตเตอรี่กำลังจะหมด แต่ก็ไม่สะดวกที่จะชาร์จไฟ realme X7 Pro 5G ก็มีตัวช่วยอย่างโหมดประหยัดพลังงาน ที่มีให้เลือกใช้งาน 2 ระดับ ได้แก่
- Power Saving Mode โหมดประหยัดพลังงาน จะเป็นการลดความสว่างของหน้าจอ ลดเวลาล็อคหน้าจออัตโนมัติลงเหลือ 15 วินาที และปิดการใช้งานแอปพลิเคชั่นเบื้องหลัง เพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น
- Super Power Saving โหมดสุดยอดประหยัดพลังงาน ช่วยในการลดการใช้พลังงานและยืดอายุแบตเตอรี่ และเมื่อเปิดโหมดประหยัดพลังงานขั้นสูง ในขณะที่แบตเตอรี่เหลือเพียง 5% ก็สามารถที่จะใช้งาน หรือส่งข้อความได้อย่างต่อเนื่องนานเกือบ 90 นาที แต่จะโดนจำกัดจำนวนแอปพลิเคชันที่ใช้งานได้เพียงแค่ 6 แอปพลิเคชั่น และหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีดำ
ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจของ realme X7 Pro 5G ในด้านการจัดการพลังงาน มีดังนี้
- App Quick Freeze ฟังก์ชั่นที่จะช่วยพักการทำงานของแอปพลิเคชั่นที่ไม่มีการใช้งาน
- Sleep Standby ฟังก์ชั่นที่จะช่วยประหยัดพลังงานเครื่องขณะนอนหลับ (เปิดใช้งานใน realme LAB)
- OTG Reverse Charge รองรับการชาร์จแบตให้กับสมาร์ตโฟนและผลิตภัณฑ์ AIoT เช่น หูฟัง True Wireless , Smart Watch , realme Bands เป็นต้น ผ่านการใช้สาย USB Type-C to USB Type-C
Camera – กล้องถ่ายรูป
สำหรับการถ่ายรูป realme X7 Pro 5G มาพร้อมกับกล้องหลัง 4 เลนส์ ประกอบด้วยกล้องหลัก 64MP เซ็นเซอร์ Sony IMX686, เลนส์ Ultra wide-angle ความละเอียด 8MP, เลนส์ Black & White Portrait 2MP และเลนส์มาโคร 2MP ถ่ายใกล้สุด 4 เซนติเมตร มีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้มากมาย ที่สำคัญคือ AI ประมวลผลภาพถ่าย ทำงานได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งการโฟกัส ผมว่ารุ่นนี้จับโฟกัสได้เร็ว และแม่นยำมากทีเดียว

โหมดถ่ายรูปที่น่าสนใจของ realme X7 Pro 5G
Pro 64MP Mode เป็นโหมดตั้งค่าด้วยตัวเอง ปรับได้ทั้งความเร็วชัตเตอร์, ISO, สมดุลสีขาว (White Balance), และรองรับการเปิดรับแสง (Shutter Speed) นานสูงสุด 32 วินาที แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อยก็สามารถถ่ายภาพ 64MP ได้อย่างครบรายละเอียด แต่ต้องอาศัยความชำนาญในการถ่ายภาพในระดับหนึ่ง และต้องใช้งานร่วมกับขาตั้งกล้อง ในกรณีที่ต้องการเปิด Shutter Speed เป็นเวลานาน


Ultra wide-angle Mode & Portrait Distortion Correction แก้ไขปัญหาหน้าบวมบริเวณขอบรูป ตอนถ่ายภาพด้วยเลนส์มุมกว้าง เมื่อใบหน้าปรากฏที่ขอบเลนส์ รูปทรงของใบหน้าจะถูกปรับให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ เพื่อให้การถ่ายภาพบุคคลมุมกว้าง ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมาะสำหรับการถ่ายภาพหมู่เป็นอย่างมาก

Portrait Mode & Filter ในโหมดการถ่ายภาพบุคคล สามารถสร้างโบเก้ ละลายฉากหลังได้เนียน และยังมีลูกเล่นอย่าง AI Color Portrait ที่ดูดสีฉากหลังให้เป็นขาวดำ ทำให้ตัวแบบมีความโดดเด่นมากขึ้น
นอกจากโหมดถ่ายภาพจะมีให้เลือกใช้งานเยอะแยะมากมายแล้ว ในการถ่ายภาพที่แสงน้อย หรือโหมดกลางคืน realme X7 Pro 5G ก็มาพร้อมกับโหมดกลางคืน Super Nightscape 4.0 ที่แยกย่อยไปอีก 4 โหมด เพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานมากที่สุด ประกอบไปด้วย
- Handheld Nightscape Mode ในสภาพแสงน้อย ที่ไม่ได้มืดสนิท แนะนำให้เลือกที่ Nightscape Mode ที่ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยประมวลผลภาพถ่าย ให้มีความสว่าง มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น สามารถถือเครื่องด้วยมือเปล่าถ่ายได้เลย ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริม
- Tripod Mode โหมดขาตั้งกล้อง สามารถตั้งเวลาเปิดรับแสงที่ยาวนานเป็นพิเศษ เพื่อให้เซ็นเซอร์รับแสงได้มากขึ้น เหมาะกับการถ่ายในที่แสงน้อยค่อนข้างมืด หรือใช้ประยุกต์ในการถ่ายไฟรถที่วิ่งบนท้องถนนให้เป็นเส้น ๆ แต่ต้องใช้ร่วมกับขาตั้งกล้อง ไม่สามารถถ่ายด้วยมือเปล่าได้
- Ultra Nightscape Mode กรณีที่สภาพแวดล้อมมืด เกือบจะมืดสนิท โหมดนี้จะทำงานโดยอัตโนมัติ และทำการรวบรวมแสงในสภาพแวดล้อมที่มืดมาก และให้ความละเอียดในการถ่ายภาพกลางคืน แต่ความคมชัดอาจไม่เท่าโหมด Nightscape ปกติ
- Pro Nightscape Mode โหมดสุดท้าย เหมาะสำหรับคนที่มีชำนาญ และเข้าใจการปรับตั้งค่า ISO, Shutter Speed ด้วยการสังเคราะห์หลายเฟรม ทำให้การถ่ายภาพกลางคืนมีคุณภาพดีที่สุด การทำงานจะคล้ายกับ Tripod Mode แต่จะปรับตั้งค่าได้ละเอียดเท่ากับโหมดโปร แน่นอนว่าต้องใช้ขาตั้งกล้องในการถ่ายภาพเช่นเดียวกัน




การถ่ายวิดีโอ
realme X7 Pro 5G รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K 60fps สำหรับกล้องหลัง และที่ความละเอียด 1080p 30fps สำหรับกล้องหน้า และมีโหมดตัวช่วยในการถ่ายวิดีโอให้เลือกใช้พอสมควร แต่ถ้าต้องการใช้โหมดตัวช่วยต่าง ๆ จะต้องปรับตั้งค่าความละเอียดวิดีโอกล้องหลังไว้ที่ 1080p 30fps เท่านั้น
- Ultra Nightscape Video เพิ่มประสิทธิภาพความสว่างได้มากถึง 46% แม้ในสภาพแวดล้อมแสงน้อย สามารถถ่ายวิดีโอฉากกลางคืน 1080P / 30fps โดยใช้อัลกอริทึมเพิ่มการวิเคราะห์ฉากหลังอย่างอัจฉริยะแบบเรียลไทม์ วิดีโอที่ถ่ายด้วยโหมดนี้ จะสว่างขึ้น แต่ไม่แนะนำให้เคลื่อนไหวระหว่างถ่ายเยอะ เพราะจะเกิดอาการภาพซ้อนได้
- AI Color Portrait Video ในโหมดนี้ จะเปลี่ยนภาพพื้นหลังโดยรวมเป็นสีขาวดำ โดยระบบจะโฟกัสตัวบุคคลแบบเรียลไทม์แล้วจะคงสีไว้ นอกจากนี้ยังมีโหมดที่เลือกแสดงเฉพาะสีแดง, สีน้ำเงิน หรือสีเขียวอีกด้วย
- UIS & UIS MAX Video Stabilization ระบบกันสั่น แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ เพื่อให้สามารถบันทึกวิดีโอได้นิ่งมากขึ้น แต่ในโหมด UIS MAX แนะนำให้ใช้เฉพาะตอนที่สว่างมากพอเท่านั้น เนื่องจากเป็นการใช้เลนส์มุมกว้างในการถ่ายวิดีโอ
- Ultra Wide-angle Video เป็นการถ่ายวิดีโอด้วยเลนส์มุมกว้าง 119 ° แต่เฉพาะการตั้งค่าที่ความละเอียด 1080p 30fps เท่านั้น
- Real-time Bokeh Effect Video รองรับการบันทึกวิดีโอด้วยคุณสมบัติโบเก้แบบเรียลไทม์ ละลายฉากหลังขณะถ่ายวิดีโอได้ทันที
สำหรับกล้องหน้าความละเอียด 32MP ที่ฝังอยู่ใต้หน้าจอ ก็ทำงานได้ตามมาตรฐาน ให้ไฟล์ภาพที่มีขนาดใหญ่ และมีโหมดให้เลือกใช้งานหลัก ๆ ได้แก่ การปรับ Beauty, การละลายฉากหลัง สร้าง Bokeh ด้วย Portrait Mode เป็นต้น


สรุปภาพรวม รีวิว realme X7 Pro 5G
สำหรับ realme X7 Pro 5G กับราคาเปิดตัว 16,990 บาท ส่วนตัวผมมองว่า realme ทำราคาได้ดี และเป็นสมาร์ตโฟนที่ครบเครื่อง ในช่วงราคาเกินหมื่นห้า แต่ไม่ถึงสองหมื่นบาท และมันดีพอที่จะสู้กับหลายรุ่นในท้องตลาด ที่มีช่วงราคาใกล้เคียงกันได้สบาย ๆ อย่างแรกเลยคือชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 1000+ เป็นชิปเซ็ตที่ให้ประสิทธิภาพในการใช้งาน การเล่นเกมไม่แพ้ Snapdragon 865 ในราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า

ด้านสเปคอื่น ๆ ก็มีความน่าสนใจ ทั้งหน้าจอ 6.5 นิ้ว Super AMOLED 120Hz, แบตเตอรี่ความจุ 4,500 mAh + ชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge ที่ชาร์จไฟจาก 0 – 100% ในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง, ดีไซน์ตัวเครื่องที่มีความบางเบา สีสันตัวเครื่องที่สวยงาม รวมถึงชุดกล้องที่ใส่เต็มทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
ด้านการเชื่อมต่อของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ ก็จัดให้กันแบบสุดทาง ทั้งการเชื่อมต่อ 5G แบบ 5G + 5G Dual Standby รองรับการใช้งาน 5G ทั้งสองซิมการ์ด หรือจะเป็นการเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่รองรับมาตรฐานใหม่ล่าสุดอย่าง Wi-Fi 6 (802.11ax) ทั้งหมดที่ว่ามา ทำให้ realme X7 Pro 5G ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งรุ่นที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาด หากคุณกำลังอยากได้สมาร์ตโฟนดี ๆ สักเครื่อง ในงบประมาณไม่เกิน 20,000 บาทครับ