เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อย และแน่นอนว่ารีวิว realme 8 5G และ realme 8 ก็พร้อมให้ทุกท่านได้อ่านกันในทันที สำหรับสมาร์ตโฟนสุดคุ้มทั้ง 2 รุ่น เปิดตัวมาในราคาไม่ถึง 10,000 บาท ซึ่งเป็นช่วงราคาที่ realme ถนัดล่ะครับ โดยทั้งสองรุ่นก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ว่าแต่จะมีส่วนไหนต่างกันบ้างนั้น เลื่อนลงไปอ่านรีวิวได้เลย
สเปค realme 8 5G
- หน้าจอ 90Hz Ultra Smooth Display ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด FHD+
- CPU MediaTek Dimensity 700 5G
- GPU Mali-G57
- RAM 8GB
- ความจุ 128GB (UFS 2.1) รองรับ microSD Card
- กล้องหลัง 3 กล้อง
– กล้องหลัก 48MP
– กล้อง Macro 2MP โฟกัสใกล้สุด 4 ซม.
– กล้อง B&W Portrait 2MP - กล้องหน้า 16MP
- การเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.1
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C
- ปลดล็อกด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้างตัวเครื่อง
- แบตเตอรี่ 5000 mAh
- รองรับชาร์จไว 18W Quick Charge
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบด้วย realme UI 2.0
- ราคา 9,999 บาท
สเปค realme 8
- หน้าจอ ขนาด 6.4 นิ้ว Super AMOLED ความละเอียด FHD+
- CPU MediaTek Helio G95
- GPU Mali-G76
- RAM 8GB
- ความจุ 128GB (UFS 2.1) รองรับ microSD Card
- กล้องหลัง 4 กล้อง
– กล้องหลัก 64MP
– กล้อง Ultrawide 8MP
– กล้อง Macro 2MP โฟกัสใกล้สุด 4 ซม.
– กล้อง B&W Portrait 2MP - กล้องหน้า 16MP
- การเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.1
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C
- ปลดล็อกด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ
- แบตเตอรี่ 5000 mAh
- รองรับชาร์จไว 30W Dart Charge
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบด้วย realme UI 2.0
- ราคา 8,999 บาท
Design – การออกแบบ
สมาร์ตโฟน realme ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับดีไซน์บางเบา ไม่ถึง 200 กรัมทั้งคู่ โดย realme 8 5G มีความบางอยู่ที่ 8.5 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 185 กรัม ส่วน realme 8 มีความบางเพียง 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 177 กรัม รวมถึงสีสันที่วางจำหน่ายก็ถือว่ามีความน่าสนใจทีเดียว
สีสันตัวเครื่อง realme 8 5G วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สี ได้แก่ สี Supersonic Blue (สีเครื่องรีวิว realme 8 5G) ใช้กระบวนการชุบอินเดียมไฮกลอส เพื่อคืนความสว่างเป็นประกาย กับสีดำ Supersonic Black ที่ใช้กระบวนการรูปแบบ lenticular เพื่อนำเสนอเอฟเฟกต์กระจกเงาระดับพรีเมี่ยม การออกแบบฝาหลังทั้ง 2 สี ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ Fast and Furious เงาสะท้อนที่ฝาหลัง มีที่มาจากเส้นแสงไฟหน้ารถที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง จนเกิดเป็น Dynamic Speed Light
ส่วน realme 8 ก็วางจำหน่าย 2 สีเช่นเดียวกัน ได้แก่ Cyber Silver และ Cyber Black ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยุคดิจิทัลที่มีความล้ำสมัย เน้นตรงสโลแกนหลักของแบรนด์อย่าง DARE TO LEAP ให้โดดเด่นขึ้นด้วยเอฟเฟกต์สะท้อนแบบ Chroma
พอร์ตเชื่อมต่อของทั้ง 2 รุ่น ให้มาอย่างครบครัน และอยู่บริเวณด้านล่างตัวเครื่อง มีพอร์ตหลักสำหรับการชาร์จไฟเป็นพอร์ต USB-C และมีพอร์ตหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตรให้ทั้ง 2 รุ่น ส่วนตำแหน่งของปุ่มกด มีความแตกต่างกันเล็กน้อย โดยปุ่มกดของ realme 8 5G จะแยกสองฝั่ง ระหว่างปุ่ม Power กับปุ่มปรับระดับเสียง อีกทั้งปุ่ม Power ของ realme 8 5G ยังเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือในตัว ในขณะที่ realme 8 จะวางปุ่ม Power กับปุ่มปรับระดับเสียงไว้ด้านขวามือ และใช้การสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอในการปลดล็อกตัวเครื่อง
หน้าจอแสดงผลของ realme 8 5G มาพร้อมกับหน้าจอ 90Hz Smooth Display ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ ความสว่างสูงสุด 600 nits นอกจากจะมีรีเฟรชเรต 90Hz แล้ว การตอบสนองหน้าจอ หรือ Touch sampling rate ยังสูงถึง 180Hz ให้การตอบสนองที่รวดเร็ว แม่นยำ เหมาะสำหรับการเล่นเกมเป็นอย่างมาก
ส่วนหน้าจอของ realme 8 เป็นหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ และมี Touch sampling rate 180Hz เช่นเดียวกัน อีกทั้งหน้าจอยังมาพร้อมกับโหมดป้องกันดวงตา ช่วยลดความเมื่อยล้าของดวงตาเมื่อใช้สมาร์ตโฟนเป็นเวลานาน
สำหรับใครที่สนใจรายละเอียดในมุมต่าง ๆ ของ realme 8 Series สามารถกดเข้าไปอ่านในบทความ แกะกล่อง พรีวิว realme 8 Series [realme 8 และ realme 8 5G] สองรุ่นใหม่ล่าสุด ก่อนเปิดตัว ได้เลยครับ
Performance – ประสิทธิภาพ
realme 8 5G มาพร้อมกับชิปประมวลผล 5G รุ่นใหม่อย่าง Dimensity 700 5G octa-core จากค่าย MediaTek มีจุดเด่นอยู่ที่การรองรับ 5G Dual Standby ใช้งาน 5G พร้อมกันได้ทั้งสองซิมการ์ด โดยตัวชิปเซ็ตเองเป็นชิปเซ็ตที่ผลิตบนเทคโนโลยี 7 นาโนเมตร สถาปัตยกรรม ARM Cortex-A76 แบบ 2 Core ประมวลผลแรง ให้ความเร็วสูงสุด 2.2 GHz ส่วนชิปประมวลผลกราฟฟิกเป็น Mali-G57 MC2 ความเร็ว 900MHz รองรับการทำงานร่วมกับหน้าจอรีเฟรชเรต 90Hz ได้เป็นอย่างดี
ในด้านการเชื่อมต่อ 5G ของ realme 8 5G นอกจากจะเป็น Dual 5G แล้ว ยังรองรับ 5G ทั้งแบบ SA (Standalone) และ NSA (Non-Standalone) อธิบายง่าย ๆ ว่า รองรับการใช้งาน 5G ทั้งในปัจจุบันที่เป็น NSA และในอนาคต SA นั่นเองครับ
ส่วน realme 8 มาพร้อมชิปประมวลผลเกมมิ่ง MediaTek Helio G95 octa core ความเร็วสูงสุด 2.05 GHz ผลิตบนเทคโนโลยี 12 นาโนเมตร (2 Cortex-A76 + 6 Cortex-A55) GPU หรือชิปประมวลผลกราฟฟิก Mali-G76 ความเร็ว 900MHz และยังได้ติดตั้งระบบระบายความร้อน Copper Liquid Cooling System ช่วยให้ตัวเครื่องระบายความร้อนขฯะเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น
สมาร์ตโฟน realme 8 Series ทั้งสองรุ่น ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้เป็นอย่างดี ทั้งในการใช้งานโซเชียลมีเดีย การรับชมภาพยนตร์ รวมถึงการเล่นเกมยอดนิยมหลาย ๆ เกม เช่น ROV สามารถปรับกราฟฟิกระดับสูงได้ทั้งคู่ (realme 8 5G ยังไม่รองรับ 60fps) Call of Duty Mobile เล่นได้ลื่น ๆ แบบปรับสูงทั้งสองรุ่น ส่วนเกมที่กินสเปคมาก ๆ อย่าง Genshin Impact ก็เล่นได้เช่นกัน แต่ต้องปรับกราฟฟิกเป็นระดับเริ่มต้นครับ
Battery – แบตเตอรี่และการจัดการพลังงาน
realme 8 5G ให้แบตเตอรี่ความจุสูงถึง 5,000 mAh ตอนที่รีวิว realme 8 5G ผมสามารถใช้งานยาวนานได้ตลอดทั้งวัน แม้จะเชื่อมต่อ 5G ไว้ตลอดเวลาก็ตาม โดยปกติการเชื่อมต่อ 5G จะมีอัตราการบริโภคพลังงานที่มากกว่า 4G แต่ด้วยชิปเซ็ต Dimensity 700 5G เป็นชิปที่ผลิตบนเทคโนโลยีการผลิต 7 นาโนเมตร จึงประหยัดพลังงานมากขึ้นถึง 28% เมื่อเทียบกับชิปเซ็ต 4G รุ่นเก่า
นอกจากนี้ realme 8 5G ยังมีโหมด Smart 5G ที่สามารถตรวจจับสภาพแวดล้อมของสัญญาณโดยรอบ และสลับการใช้งานระหว่าง 4G และ 5G อย่างอัตโนมัติ โดยในโหมดดังกล่าว จะใช้พลังงานน้อยกว่าสมาร์ทโฟนที่ไม่มี Smart 5G ถึง 30% ส่วนเรื่องการชาร์จไฟ รุ่นนี้รองรับการชาร์จเร็ว 18W Quick Charge พร้อมอะแดปเตอร์ที่เป็นอุปกรณ์เสริมพื้นฐานในกล่อง
ด้าน realme 8 ก็มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh เช่นเดียวกัน ในการใช้งานก็สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน รองรับการชาร์จไฟ 30W Dart Charge สามารถชาร์จไฟจาก 0 – 100% ได้ในเวลา 65 นาที
realme UI 2.0 – ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่
realme 8 5G และ realme 8 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ realme UI 2.0 บนพื้นฐาน Android 11 ตั้งแต่แกะกล่อง โดย realme UI 2.0 จะช่วยให้การใช้งานมีความรวดเร็ว ลื่นไหล และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
มีจุดเด่นในเรื่องการปรับแต่ง UI ต่าง ๆ ได้ละเอียด ด้วยตัวเลือกการปรับแต่งมากกว่า 100 รายการ ประกอบไปด้วย Global Theme Color, Dark Mode 3 สไตล์ , Icon Customization และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่สำคัญในเรื่องการป้องกันความเป็นส่วนตัว มาพร้อมกับคุณสมบัติในการซ่อนแอพและไฟล์ส่วนตัว นอกจากนี้ realme UI 2.0 มีระบบป้องกันการชำระเงิน ระบบตรวจสอบสิทธิ์การใช้งานแอปพลิเคชันอีกด้วย
Camera – กล้องถ่ายภาพ
realme 8 5G มาพร้อมกับชุดกล้องหลัง 3 ตัว AI Triple Camera ประกอบไปด้วยกล้องหลัก 48MP Ultra HD รูรับแสง f/1.8 กล้องรองเป็นเลนส์ B&W Portrait ที่ช่วยในการถ่ายภาพบุคคล พร้อมกับฟิลเตอร์ใหม่ ๆ กับเลนส์ Macro ถ่ายใกล้ได้ 4 เซนติเมตร ส่วนกล้องหน้า 16MP AI Beauty ของรุ่นนี้ อยู่บริเวณมุมซ้ายบนหน้าจอ
จุดเด่นของกล้อง realme 8 5G คือมาพร้อมกับ Nightscape Mode ที่นอกจากจะถ่ายภาพกลางคืนได้สว่าง รายละเอียดคมชัดแล้ว ยังมาพร้อมกับฟิลเตอร์กลางคืน ช่วยให้การถ่ายภาพกลางคืนมีความน่าสนใจมากขึ้น ส่วนการถ่ายวิดีโอ realme 8 5G รองรับการบันทึกที่ความละเอียดสูงสุด Full HD 1080p / 30fps ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก realme 8 5G
ทางด้าน realme 8 มาพร้อมกับชุดกล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียดสูงสุด 64MP ในกล้องหลัก รูรับแสง f/1.79 เทคโนโลยีการประมวลผลแบบ Pixel-binning ให้ขนาดพิกเซลที่ใหญ่ถึง 1.4μm ตามมาด้วยกล้องมุมกว้าง Ultra wide-angle ความละเอียด 8MP และมีกล้อง B&W Portrait กับ Macro Lens เช่นเดียวกับ realme 8 รวมถึงกล้องหน้าที่ความละเอียด 16MP เท่ากัน
โหมดถ่ายภาพที่น่าสนใจของ realme 8 ได้แก่ Tilt-shift Mode โหมดการถ่ายภาพแบบจำลอง , Starry Mode สำหรับถ่ายดาว และยังมี Trandy Portrait ที่เพิ่มเอฟเฟกต์โบเก้แบบใหม่ ๆ ทำให้การถ่ายภาพโหมดบุคคลมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ด้านการถ่ายวิดีโอ realme 8 รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K 30fps ในกล้องหลัง และ Full HD 1080p / 30fps ด้วยกล้องหน้า
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก realme 8
สรุปภาพรวม รีวิว realme 8 5G และ realme 8
ภาพรวมสำหรับ realme 8 และ realme 8 5G ทั้งสองรุ่นแม้จะอยู่ในซีรี่ส์เดียวกัน แต่ส่วนตัวผมมองว่าก็มีความแตกต่างกันพอสมควร คร่าว ๆ ก็คือถ้าต้องการสมาร์ตโฟนที่ถ่ายรูปสนุก โหมดกล้องเยอะ ราคาไม่แพง realme 8 ก็มีทุกสิ่งที่ว่ามา ส่วนใครที่ต้องการสมาร์ตโฟน 5G สเปคดี ๆ แต่ไม่ได้เน้นโหมดกล้องหลากหลายมากนัก realme 8 5G ก็ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ดีครับ
แม้ทั้งสองรุ่นจะมีความแตกต่าง แต่ถ้าเจาะลึกไปในแต่ละจุดแข็งของแต่ละรุ่น เทียบกับราคาเปิดตัว เริ่มจาก realme 8 5G กับราคา 9,999 บาท ก็ถือว่าให้สเปคการเชื่อมต่อ 5G ในระดับที่ใช้งานได้ทั้งปัจจุบันและในอนาคต อีกทั้งรองรับ Dual 5G Dual Standby กับการปรับแต่งเครื่องให้มีการจัดการพลังงานที่สอดคล้องกับ 5G ในโหมด Smart 5G
ส่วน realme 8 กับราคา 8,999 บาท ในด้านการถ่ายภาพก็ถือว่าจัดเต็ม ทั้งชุดกล้องหลังความละเอียดสูง 64MP กับโหมดถ่ายภาพที่ให้มาแบบแน่น ๆ โดยเฉพาะการถ่ายภาพบุคคลที่มีลูกเล่น Bokeh เพิ่มขึ้นมาอีกหลากหลายรูปแบบ ทำให้ภาพถ่ายมีความแตกต่าง และน่าสนใจมากยิ่งขึ้น