realme เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนน้องใหม่ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเมื่อปี 2018 เข้ามาครั้งแรกก็เล่นใหญ่ด้วย realme 2 Pro ทำเอาตลาดสมาร์ทโฟนราคาครึ่งหมื่นสะเทือนอยู่เหมือนกัน และล่าสุดก็ได้เปิดตัว realme 3 รุ่นใหม่ที่จะทำตลาดในปี 2019 โดยคงจุดเด่นด้านความคุ้มค่าไว้เหมือนเช่นเคย
สเปค realme 3
- ชิปประมวลผล MediaTek Helio P60
- แรม 3GB/ 4 GB
- พื้นที่เก็บข้อมูล 32GB/ 64 GB รองรับ MicroSD สูงสุด 256 GB
- หน้าจอ IPS ขนาด 6.22 นิ้ว อัตราส่วน 19:9 ความละเอียด HD+
- กระจกหน้าจอ Gorilla Glass 3
- ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบด้วย ColorOS 6.0
- กล้องหลังคู่
- กล้องหลัก 13 ล้านพิกเซล f/1.8
- กล้องรองสำหรับเก็บความลึก ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า 13 ล้านพิกเซล พร้อม AI Beauty
- ถาดใส่ซิมแบบนาโนซิมคู่ พร้อมช่อง MicroSD แยก
- แบตเตอรี่ 4,230 mAh ช่องชาร์จแบบ Micro USB
- มีระบบสแกนใบหน้า และสแกนลายนิ้วมือหลังตัวเครื่อง
- ราคาเริ่มต้น 4,590 บาท
ราคา realme 3 ในรุ่น Ram 3 GB/ ROM 32 GB อยู่ที่ 4,590 บาท ส่วนรุ่นที่สเปคสูงขึ้นมาหน่อย หรือสเปคของเครื่องที่อยู่ในรีวิวเป็น Ram 4 GB/ ROM 64 GB ราคา 5,990 บาท
ดูจากสเปคคร่าว ๆ แล้วเนี่ย realme 3 เกิดมาเพื่อคนที่ชอบสมาร์ทโฟนจอใหญ่ แบตเยอะ ใช้งานยาว ๆ ข้ามวันแบบไม่ต้องง้อพาวเวอร์แบงก์ และผมเพิ่มให้อีกอย่างคือรุ่นนี้ ออกแบบมาได้สวยงามเกินค่าตัวไปพสมควรเลยล่ะ
Design – การออกแบบ
สิ่งแรกที่ทำให้ realme 3 โดดเด่นก็คือเรื่องการดีไซน์ที่ให้ความรู้สึกแบบพรีเมียมสมาร์ทโฟน ด้วยตัวเครื่องไล่เฉดสีตามสมัยนิยม มีด้วยกัน 3 สี ได้แก่
- DynamicBlack – ได้รับแรงบันดาลใจจากทางช้างเผือก การเปลี่ยนแปลงที่เหนือความคาดหมายมาพร้อมดีไซน์ที่เหนือชั้นที่ส่องประกายดุจความงดงามของ Chameleon Effect
- Radiant Blue – การผสมผสานระหว่างสีฟ้าและสีเขียวที่ถูกขนานนามว่าเป็นที่สุดแห่งสีสันของชีวิต สนุกไปกับไลฟ์สไตล์ที่ไร้ขีดจำกัด ด้วยเทคโนโลยีการเคลือบแบบ NCVM ที่รังสรรค์ให้เกิดเฉดสีที่น่าหลงใหล
- Classic Black – สีดำสุดคลาสสิค
realme 3 เครื่องที่ได้รับมารีวิวเป็นสี Radiant Blue ตัวฝาหลังจะเปลี่ยนสีไปตามมุมที่แสงตกกระทบ ตัวเครื่องออกแบบมาให้มีความโค้งมน เช่นเดียวกับสมาร์ทโฟนราคาแพง ๆ ทำให้การจับถือตัวเครื่องนั้นเข้ากับมือได้เป็นอย่างดี วัสดุตัวเครื่องเป็นพลาสติกแบบ Unibody
realme 3 ติดเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้บริเวณด้านหลังตัวเครื่อง ตำแหน่งของสแกนนิ้วใช้งานได้สะดวก ไม่สูง หรือต่ำจนเกินไป อย่างไรก็ตามรุ่นนี้รองรับการสแกนใบหน้าด้วยเช่นกัน ส่วนตัวตอนทดสอบ realme 3 ผมเปิดใช้งานทั้ง 2 อย่างครับ และส่วนมากจะการปลดล็อกด้วยใบหน้าเป็นหลัก เพราะมันสะดวก แล้วก็รวดเร็วกว่า แค่กดปุ่ม Power เครื่องก็ปลดล็อกทันที
หน้าจอ 6.22 นิ้วของ realme 3 เป็นหน้าจอแบบ IPS ความละเอียด HD+ อัตราส่วนหน้าจอ 19:9 ด้านบนหน้าจอมี Notch screen ทรงหยดน้ำ กวนสายตาน้อยกว่า Notch แบบอื่น ๆ แล้วก็ทำให้ใช้พื้นที่หน้าจอได้คุ้มค่ามากกว่า
แม้ว่า realme 3 จะเปิดราคาไม่แพง แต่เรื่องวัสดุหน้าจอนี่ไม่ธรรมดานะครับ เพราะรุ่นนี้ใช้กระจกหน้าจอนิรภัย Corning Gorilla Glass 3 ปกป้องรอยขีดข่วนที่จะเกิดขึ้นกับหน้าจอได้มากกว่ากระจกธรรมดา และ realme 3 ติดฟิล์มกันรอยมาให้ตั้งแต่แรก นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ได้แก่ เคส TPU ขนาดพอดีตัวเครื่อง, อะแดปเตอร์ชาร์จไฟ และสายชาร์จใส่มาให้ในกล่อง
หน้าจอที่ความละเอียด HD+ ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานได้ดีในระดับหนึ่ง ผมลองเปิดวีดีโอบน Youtube ความละเอียด 720p ก็คมชัดในระดับที่น่าพอใจ อาจไม่คมเท่าพวกหน้าจอ Full HD แต่ก็ไม่ได้ภาพแตกจนเห็นเม็ดพิกเซล เรียกว่าให้มาเพียงพอต่อการใช้งาน และได้ของแถมเป็นการประหยัดพลังงานอีกด้วย
DRM Widevine ของรุ่นนี้เป็นประเภท L3 เพราะฉะนั้นจะไม่สามารถรับชม Netflix แบบ HD ได้ แต่ผมลองดู Netflix ผ่าน realme 3 ก็ไม่ได้รู้สึกว่าภาพแตกแบบรับไม่ได้ ด้วยความที่ไฟล์ของ Netflix มันคุณภาพดีอยู่แล้วส่วน Video Streaming เจ้าอื่น เช่น Youtube, LINE TV, Viu พวกนี้ดู HD ได้สบาย ๆ ครับ
Software – ระบบปฏิบัติการ
realme 3 มาพร้อมกับ ColorOS 6.0 ที่มีพื้นฐานจาก Android 9.0 Pie สามารถตั้งค่าหน้า Home ได้สองรูปแบบ ได้แก่ รูปแบบปกติที่ทุกสิ่งอย่างอยู่ในหน้าเดียว กับแบบ App Drawer รวมถึง Navigation Keys หรือปุ่มนำทางที่เป็นแบบ Android 9 โดยปุ่ม Home สามารถกดค้างเพื่อเรียกใช้ Google Assistant ได้ และใช้การปัดหน้าจอจากล่างขึ้นบน เพื่อเป็นการเรียกหน้า Recent Apps
นอกจากนี้ realme 3 ยังสามารถตั้งค่าปุ่มนำทางได้ตามต้องการ เลือกได้ทั้งแบบปุ่มนำทาง 4 รูปแบบ หรือจะใช้ Gesture 4 รูปแบบแทนปุ่มนำทางก็ได้เช่นกัน
ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างของ ColorOS 6.0 ใน realme 3 เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ๆ ก็คือหน้าตา UX & UI ที่เรียบง่าย จะว่าไปมันก็อิงกับ Stock Rom Android 9.0 พอสมควร ที่แตกต่างก็คือ realme ได้ทำการปรับพวกไอคอนต่าง ๆ ให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น
ฟีเจอร์แรกที่น่าสนใจของ realme 3 ได้แก่ Game Space เป็นโฟลเดอร์รวมเกมในเครื่อง ถ้าหากผู้ใช้ตั้งค่าให้ระบบเพิ่มเกมเข้ามาในโฟลเดอร์นี้โดยอัตโนมัติ หรือผู้ใช้สั่งเพิ่มเข้ามาเอง เมื่อเปิดเกมจากในโฟลเดอร์นี้ ระบบจะจัดการเคลียร์แรม รวมถึงปรับการทำงานด้านกราฟิกและการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้เหมาะสมกับการเล่นเกมมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การเล่นเกมที่ดี นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกในการตั้งค่าให้บล็อกการแจ้งเตือนได้ ตั้งค่าล็อกระดับแสงสว่างหน้าจอ และสามารถเร่งประสิทธิภาพการประมวลผลได้จากใน Game Space
อีกฟีเจอร์ที่น่าจะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานได้ ก็คือ Smart Sidebar ที่ระบบจะเปิดให้ใช้งานทันทีตั้งแต่เปิดเครื่องครั้งแรก โดยจะมีแถบสีเทาบาง ๆ อยู่ตรงขอบจอด้านขวา ถ้าต้องการใช้งานก็เพียงแค่ปาดนิ้วจากตรงแถบสีเทาเข้ามา ซึ่งในแถบ sidebar นี้ ก็จะมีไอคอนแอปบางส่วนปรากฏขึ้นมาให้ผู้ใช้สามารถใช้งาน โดยไอคอนแอปที่มีกรอบหน้าต่างสีเขียวอยู่ตรงมุมซ้ายบน เมื่อเรียกใช้งาน แอปที่เลือกจะปรากฏขึ้นมาเป็นลักษณะของหน้าต่าง popup เล็ก ๆ ขึ้นมาซ้อนหน้าแอปที่ใช้งานอยู่ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานได้ดี
นอกจากนี้ realme 3 ยังมีฟีเจอร์เสริมอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์อีก เช่น การโคลนแอปอย่าง LINE หรือ Facebook ให้สามารถใช้งานได้มากกว่าหนึ่งไอดี ฟีเจอร์ช่วยบล็อก ช่วยกรองเบอร์โทร เป็นต้น
Camera – กล้องถ่ายภาพ
realme 3 มาพร้อมกับกล้องหลังสองตัว ความละเอียด 13 + 2 ล้านพิกเซล f/1.8 ใช้คอนเซ็ปท์เหมือนกับในมือถือกล้องคู่หลาย ๆ รุ่นในท้องตลาด นั่นคือมีตัวนึงเป็นกล้องหลัก อีกตัวเป็นกล้องสำหรับเก็บข้อมูลระยะห่างของวัตถุ เพื่อนำไปใช้งานกับโหมด Portrait ของแอปกล้อง เพื่อให้สามารถถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ง่ายขึ้น
ส่วนกล้องหน้าก็เป็นกล้องเดี่ยวความละเอียด 13 ล้านพิกเซล แบบ fixed focus นั่นคือไม่สามารถปรับระยะโฟกัสได้ โดยจากที่ทดสอบ หากเป็นการถ่ายเซลฟี่ปกติ ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ มีให้ปรับระดับความเนียนของใบหน้า และแน่นอนว่าใช้ AI เข้ามาช่วยในการปรับแต่งให้ใบหน้าออกมาสวยเนียนสมจริงมากขึ้น
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า realme 3
UI ของแอปกล้องก็ใกล้เคียงกับมือถือส่วนใหญ่ในขณะนี้ครับ มีปุ่มสำหรับตั้งค่าฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น แฟลช โหมด Chroma Boost เร่งสีให้สด, ฟิลเตอร์ และการตั้งค่ากล้องอยู่ที่แถบด้านบนสุด ส่วนแถบด้านล่างเป็นตัวเปลี่ยนโหมดกล้องหลัก ๆ ส่วนแถบสามขีดด้านซ้าย จะเป็นโหมดกล้องอื่น ๆ เช่น Nightscape, พาโน, โหมดโปร เป็นต้น
โดยเฉพาะโหมด Nightscape จะช่วยให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยคมชัดมากยิ่งขึ้น ลด Noise บนภาพ และสามารถเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วน
ส่วนด้านล่างนี้ก็เป็นแกลเลอรี่ตัวอย่างภาพถ่ายจาก realme 3 นะครับ เชิญคลิกรับชมได้เลย
Performance – ประสิทธิภาพ
ด้วยชิปประมวลผล MediaTek Helio P60 + Ram 4 GB และความจุ 64 GB แม้จะไม่ใช่ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ แต่ในด้านของประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดการพลังงานนั้นหายห่วงครับ Helio P60 เป็นชิปเซ็ตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก สามารถทำงานร่วมกับเกมและแอปพลิเคชันได้เป็นอย่างดี อีกทั้ง realme 3 ยังมีการใช้ AI เข้ามาช่วยในการจัดการด้านประสิทธิภาพอีกด้วย
การเล่นเกมบน realme 3 ทำได้อย่างลื่นไหล ด้วยฟีเจอร์อย่าง Game Space ตามที่ได้กล่าวไปในหัวข้อซอฟท์แวร์ ผมทดสอบเล่นเกม ROV สามารถเล่นได้ลื่น ๆ ที่โหมดเฟรมเรทสูง 60 fps แบบนิ่ง ๆ รวมถึงเกมยอดนิยมอีกเกมอย่าง PUBG Mobile ก็เล่นได้ลื่นเช่นเดียวกัน ว่ากันตามตรง Helio P60 ของ realme 3 เล่นเกมได้ดีกว่าสมาร์ทโฟนราคาหลักหมื่นบางรุ่นด้วยซ้ำไปครับ
ด้านการจัดการพลังงาน realme 3 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุสูงถึง 4,230 mAh เมื่อรวมกับระบบ AI Power Master และ Battery Optimization ยิ่งทำให้ใช้งานตัวเครื่องได้นานมากขึ้นไปอีก เล่น ROV 1 เกมในโหมดประสิทธิภาพสูง ใช้แบตเตอรี่ราว ๆ 7% เพราะฉะนั้นในการใช้งานทั่วไป realme 3 สามารถอยู่ได้หมดวันแบบสบาย ๆ
Overall
realme 3 นับเป็นอีกหนึ่งมือถือที่น่าจับตามอง ในเรื่องความคุ้มค่า และภาพรวมที่ทำออกมาตอบโจทย์คนชอบมือถือราคาไม่แพง เน้นจอใหญ่ แบตเตอรี่อึด อีกทั้งรูปลักษณ์หน้าตา การใช้งาน ก็ถือว่าน่าดึงดูดใจกว่าคู่แข่งในช่วงราคาเดียวกัน เหมาะกับทั้งคนที่กำลังมองหามือถือเครื่องใหม่มาใช้เป็นเครื่องหลัก หรือคนที่มองหามือถือเครื่องรองแบบที่มีคุณภาพดี ๆ รวมไปถึงสายเล่นเกมที่อยากได้มือถือปล่อยบอทเกม บอกเลยว่า realme 3 เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามครับ
จุดเด่น
- สเปคดี ราคาไม่แพง
- จอสวย ติ่งรูปหยดน้ำ ไม่ได้ทำให้รู้สึกรำคาญสายตาแต่อย่างใด
- กล้องคุณภาพดีเมื่อเทียบกับราคา มีโหมดการถ่ายที่หลากหลาย
- ประสิทธิภาพโดยรวมถือว่าดี พร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ยาวนาน
- ใส่ได้ 2 ซิม + 1 MicroSD
ข้อสังเกต
- ขณะถือเครื่องในแนวนอน อาจเผลอวางนิ้วไปปิดทับช่องลำโพงได้ง่าย
- ผ่านการรับรองมาตรฐาน Widevine สำหรับ DRM แค่ L3
- รองรับ Wi-Fi แค่ความถี่ 2.4 GHz