รีวิว OPPO Reno12 5G สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง OPPO ที่รอบนี้ไม่ใช่แค่ถ่ายภาพคนได้อย่างโปร แต่มีการอัพเกรด AI Feature เพิ่มเข้าไปด้วย กลายเป็นสมาร์ตโฟน AI ถ่ายรูปคนอย่างโปรด้วย AI Portrait ส่วนสเปคด้านอื่น ๆ ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน รวมถึงด้านการออกแบบตัวเครื่องก็ยังคงทำได้ดีสมกับที่เป็น OPPO Reno Series ครับ
สเปค OPPO Reno12 5G
- ขนาดและน้ำหนัก:
- 161.4 x 74.8 x 7.25 มม. (สีดำ), 7.30 มม. (สีเงินและชมพู)/ 179 กรัม
- หน้าจอ: หน้าจอ AMOLED 3D Curved ความละเอียด FHD+ (2412 × 1080) กว้าง 6.7 นิ้ว
- Refresh Rate 120Hz
- สว่างสูงสุด 1,200 nits/ PWM Dimming 2160Hz
- สี 1.07 พันล้านสี/ P3
- HDR/ HDR10+/ Splash Touch
- ชิปประมวลผล: MediaTek Dimensity 7300 Energy for Reno (4nm) oct-core
- GPU: Mali-G610
- RAM: 12GB (LPDDR5x)
- ROM: 256GB/ 512GB (UFS 3.1)
- microSD: รองรับสูงสุด 1TB
- กล้องหลัง 3 ตัวความละเอียด
- เลนส์หลัก 50MP (𝑓/1.8)/ OIS/ PDAF/ Sony LYT-600
- เลนส์ Ultra-Wide 8MP (𝑓/2.2)/ กว้าง 112 องศา Sony IMX355
- เลนส์ Macro 2MP ระยะโฟกัส 4 เซนติเมตร
- ทำงานร่วมกับ AI
- วิดีโอ 4K@60fps
- กล้องหน้าความละเอียด: 32MP (𝑓/2.0)/ AF/ 4K@30fps
- การเชื่อมต่อ: 5G, Wi-Fi 6, BT5.4, NFC, USB-C 2.0
- ซิม: Dual SIM
- ระบบเสียง: ลำโพงคู่
- กันน้ำกันฝุ่น: IP65
- ระบบปฏิบัติการ: ColorOS 14.1 พื้นฐาน Android 14
- แบตเตอรี่ความจุ: 5,000 mAh/ ชาร์จไว 80W SUPERVOOC
OPPO Reno12 5G สมาร์ตโฟน AI ในราคาที่ใครก็เข้าถึงได้
หนึ่งในจุดเด่นของ OPPO Reno12 5G คงหนีไม่พ้นการเป็นสมาร์ตโฟน AI ในราคาที่หลายคนตัดสินใจเป็นเจ้าของได้ง่าย ด้วยค่าตัว 14,999 บาท (12 + 256GB) และราคา 16,999 บาท (12 + 512GB) แต่สามารถใช้งานฟีเจอร์ AI ได้ไม่แพ้สมาร์ตโฟนเรือธง โดยเฉพาะฟีเจอร์ AI ที่เกี่ยวกับการแต่งภาพ นอกจากผู้ใช้จะเข้าถึงฟีเจอร์ AI ได้แล้ว ยังเป็นการเสริมจุดแข็งของ OPPO Reno Series ที่โดดเด่นเรื่องการถ่ายภาพ Portrait ให้มีความสมบูรณ์แบบเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ถ่าย Portrait ได้เหนือระดับตามแบบฉบับของ OPPO Reno Series
OPPO Reno12 5G มาพร้อมกับชุดกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบไปด้วย กล้องหลัก 50MP f/1.8 เซนเซอร์ Sony LYT-600 ขนาด 1/1.95” พร้อมกันสั่น OIS ระบบโฟกัสแบบ All Pixel Omni-Directional PDAF, กล้องมุมกว้าง Ultra Wide 112 องศา ความละเอียด 8MP f/2.2 เซนเซอร์ Sony IMX355 และกล้องมาโคร 2MP ระยะโฟกัสใกล้สุด 4 เซนติเมตร
กล้องหลัก 50MP จะออกแบบมาให้สามารถซูม 2 เท่าได้ในคุณภาพแบบออปติคอลซูม เหมาะสำหรับการถ่ายพอร์ตเทรต เนื่องจากได้ระยะเทียบเท่า 52 มิลลิเมตร ง่ายต่อการจัดองค์ประกอบภาพถ่ายบุคคล ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 32MP f/2.0 พร้อมระบบ Autofocus สามารถเลือกระยะการถ่ายภาพได้ตั้งแต่ 0.8x, 1x, และ 2x ทำให้การจัดเฟรมสำหรับการเซลฟี่ทำได้ง่ายขึ้น และยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Natural Tone ให้โทนสีผิวที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นอีกด้วย
สำหรับการถ่ายภาพ Portrait ด้วย OPPO Reno12 5G ส่วนตัวผมมองว่าก็ทำออกมาได้ดีในมาตรฐานของ OPPO Reno Series ที่เด่นในเรื่องการถ่ายภาพบุคคล ทั้งการปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้ออกมาสวย การตัดขอบ พร้อมละลายฉากหลัง แถมยังให้โบเก้ที่เนียนในระดับใกล้เคียงกับกล้องใหญ่ แต่สิ่งที่ OPPO Reno12 5G รวมถึงรุ่นอื่น ๆ ในซีรี่ส์นี้มีการอัพเกรดความสามารถเพิ่มเติม จะเป็นเรื่องของ AI ฟีเจอร์ที่ใส่มาให้แบบไม่เกรงใจมือถือเรือธงเลยล่ะครับ
ส่วนการถ่ายวิดีโอ OPPO Reno12 5G รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K 30fps ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง หรือถ่าย 60fps ได้ที่ความละเอียด 1080p เฉพาะในกล้องหลังครับ
ยางลบ AI 2.0
หนึ่งในปัญหาที่หลายคนน่าจะเคยเจอ เวลาที่ออกไปถ่ายรูปในสถานที่สวย ๆ ยอดฮิตในโซเชียลมีเดีย บางทีถ่ายรูปได้ภาพตัวเองที่พอใจ สวยแล้ว เป๊ะแล้ว แต่ฉากหลังดันเต็มไปด้วยคนอื่น ที่ก็มาถ่ายรูปเหมือนกัน ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วย ยางลบ AI 2.0 (AI Eraser 2.0) ฟีเจอร์นี้ถูกอัพเกรดมาจากเวอร์ชั่นก่อนหน้า จากเดิมจะต้องมานั่งคลิกคนที่เราต้องการลบที่ละคน แต่ในเวอร์ชั่น 2.0 ที่อยู่ใน OPPO Reno12 5G สามารถกดเลือกลบคนที่ไม่ต้องการในภาพได้ในคลิกเดียว
นอกจากจะลบคนที่ไม่ต้องการในเฟรมได้ในคลิกเดียวแล้ว ยางลบ AI 2.0 ยังสามารถแตะเพื่อลบวัตถุที่ไม่ต้องการในเฟรม เช่น เสาไฟ, ถังขยะ และอื่น ๆ ได้เพียงแค่แตะวัตถุที่ไม่ต้องการ จากนั้น AI ก็จะทำการลบวัตถุ พร้อมกับเติมภาพที่หายได้อย่างแนบเนียน ที่สำคัญคือใช้เวลาในการลบและเติมภาพได้เร็วมาก ๆ ด้วยครับ
สำหรับ AI Eraser 2.0 หรือยางลบ AI เป็นโมดูล AI ที่ถูกฝึกฝนกับภาพกว่าพันล้านรูปโดยกระบวนการ Diffusion Model ทั้งยังมีความแม่นยำในการจดจำรูปภาพที่สูงถึง 98% เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยางลบ AI 2.0 ของ OPPO Reno12 5G ทำได้จึงไม่ใช่แค่การลบภาพที่ไม่ต้องการ แต่ยังสามารถเติมภาพที่ลบออกไปได้อย่างแนบเนียน และรวดเร็วมากๆ อีกด้วย เนื่องจากการเทรน AI แบบ Diffusion Model มันมาพร้อมคุณสมบัติในการลบและสร้างภาพได้อยู่แล้วนั่นเอง
AI Clear Face
AI Clear Face ก็เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่น่าสนใจ ด้วยความสามารถในการระบุจำนวนคนในภาพได้อย่างแม่นยำ และสามารถปรับความคมชัดของภาพได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับสถานการณ์ที่ถ่ายรูปแบบกรุ๊ปเซลฟี่หลายคน ปัญหาที่หลายคนพบคือคนที่อยู่ด้านหลัง บางทีจะหลุดโฟกัส ทำให้หน้าเบลอ ไม่คมชัด ก็สามารถใช้ AI Clear Face เพื่อช่วยปรับความคมชัดของทั้งใบหน้าได้ทันที รองรับการทำงานสูงสุดถึง 10 ใบหน้า และเป็นการประมวลผลภายในตัวเครื่องอีกด้วยครับ
AI Best Face
นอกจากนี้ OPPO Reno12 5G ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อย่าง AI Best Face ที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเวลาถ่ายภาพหมู่ ไม่ว่าจะใช้กล้องหน้าหรือกล้องหลังก็ตาม AI จะตรวจจับการแสดงออกทางสีหน้าของบุคคลในภาพ แล้วทำการแก้ไขผ่าน AIGC (Artificial Intelligence Generated Content) ในกรณีที่มีคนในเฟรมกระพริบตา หรือหลับตาตอนถ่ายภาพ AI Best Face ก็จะทำการแก้ไขให้ภาพกลับมาสมบูรณ์ได้
*AI Best Face จะเริ่มอัพเดตให้ใช้ภายในเดือนสิงหาคม 2024
AI Studio
มาถึง AI Feature ที่ผมว่าสนุก และชอบที่สุดตอนรีวิว OPPO Reno12 5G ได้แก่ แอปพรีโหลดติดเครื่องที่ชื่อว่า AI Studio ที่จะเปลี่ยนรูปถ่ายบุคคล ให้กลายเป็นภาพแนวดิจิทัล มี Template ให้เลือกหลากหลายรูปแบบ และมี Template ใหม่อัพเดตอยู่เรื่อย ๆ สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นภาพเดี่ยว หรือภาพคู่ก็ทำได้เช่นกัน
ในการใช้งาน AI Studio จะต้องล็อกอินด้วย HeyTap ที่โดยปกติผู้ใช้สมาร์ตโฟน OPPO จะต้องสมัครกันอยู่แล้ว เมื่อล็อกอินด้วย HeyTap เรียบร้อย ในครั้งแรกจะมีเครดิตให้ใช้อยู่ที่ 5,000 เครดิต ส่วนการ GenAI จะใช้เครดิตครั้งละ 10 เครดิต นั่นหมายความว่าผู้ใช้ OPPO Reno12 5G จะสามารถสร้างภาพด้วย AI Studio ได้ฟรีถึง 500 ภาพเลยทีเดียว
AI ฟีเจอร์อื่นๆใน OPPO Reno12 5G
นอกเหนือจาก AI ที่เข้ามาช่วยในเรื่องของการถ่ายภาพ การปรับแต่งรูปภาพแล้ว OPPO Reno12 5G ยังมีการทำงานร่วมกับ Google Gemini ในส่วนของ AI Toolbox ที่เมื่อขอการเข้าถึงหน้าจอได้แล้ว ก็จะเป็นเหมือนผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับการใช้งานแตกต่างกันไปในแต่ละแอปพลิเคชั่น
ตัวอย่างการใช้งาน AI Toolbox เช่น กรณีที่ต้องการจะโพสต์รูปลงโซเชียลมีเดีย สามารถใช้ AI Writer ช่วยคิดแคปชั่นได้ หรือเวลาที่อ่านบทความ ก็สามารถใช้งาน AI Speak ให้อ่านออกเสียงให้ฟัง รวมถึงใช้ AI Summary ในการสรุปสาระสำคัญของบทความได้ทันที
*AI Speak รองรับภาษาอังกฤษ จีน และฮินดี ส่วน AI Summary รองรับภาษาอังกฤษ และจีน แต่จะมีการอัพเดตให้รองรับภาษาอื่น ๆ เพิ่มเติมในอนาคต
นอกจากนี้ OPPO Reno12 5G ยังสามารถแปลงเสียงที่บันทึกให้กลายเป็นข้อความได้ด้วย AI Recording Summary ที่ไม่ใช่แค่การถอดข้อความ แต่ยังสามารถสรุปข้อมูล จากนั้นส่งออกไปยังแอป Notes พร้อมจัดรูปแบบให้อ่านงาย แบ่งเป็นตามประเภท เช่น รายการสิ่งที่ต้องทำ, เวลา, สถานที่ เป็นต้น
ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ตัวเครื่องบางเบาและทนทานมากขึ้น
ด้านการออกแบบตัวเครื่อง OPPO Reno12 5G รอบนี้มาในดีไซน์แบบคลาสสิกที่ถือเป็น Iconic Design และส่วนตัวผมค่อนข้างประทับใจการออกแบบในลักษณะนี้ครับ ให้ความรู้สึกเหมือนตอน OPPO Reno5 Series ที่โมดูลกล้องเจอจุดที่ลงตัว ไม่ใหญ่จนเกินไป และตัวเครื่องก็ออกแบบมาให้มีความโค้งมนรับกันดีกับโมดูลกล้องหลัง อีกทั้งมีการใส่รายละเอียด Texture บริเวณขอบโมดูลกล้อง ส่งผลให้ตัวเครื่องมีความหรูหรามากขึ้น
วัสดุตัวเครื่องใช้เป็นเฟรมโลหะผสมที่ OPPO พัฒนาขึ้นเอง เน้นเรื่องความทนทาน และความแข็งแกร่งระดับเกรดการบินและอวกาศ และยังมีการใส่ฟองน้ำไบโอนิคกันกระแทกที่บริเวณขอบมุมของตัวเครื่องในทุกจุด ช่วยในการดูดซับแรงกระแทกได้จากทุกมุม ในขณะเดียวกันตัวเครื่องก็ยังคงมาพร้อมกับความบางเพียง 7.6 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเพียง 177 กรัมเท่านั้น
โดยตัวเครื่องรีวิว OPPO Reno12 5G ที่เราได้รับมา เป็นตัวเครื่องสี Matte Brown สีน้ำตาลสุดคลาสสิก เฉดสีโกโก้เข้ม พร้อมพื้นผิวที่ไม่เก็บรอยนิ้วมือ และยังมีอีก 2 สี ได้แก่ สีเงิน Astro Silver ที่มาพร้อมริ้วคลื่นสุดล้ำ กับสีชมพู Sunset Pink โทนสีที่เป็นเทรนด์มาแรงของปี 2024
ตำแหน่งของปุ่มต่าง ๆ บนตัวเครื่อง OPPO Reno12 5G ถูกจัดวางมาอย่างลงตัว ทั้งตำแหน่งของปุ่ม Power และปุ่มปรับระดับเสียงที่กดได้ถนัดทั้ง 2 มือ พอร์ตชาร์จเป็น USB Type-C รุ่นนี้ให้ลำโพงคู่ เสียงดังใช้ได้เลยครับ แล้วก็มีโหมดเร่งเสียงแบบพิเศษ Ultra Volume ที่ให้เสียงลำโพงดังขึ้นได้สูงสุดถึง 300% ส่วนถาดใส่ซิมการ์ด จะเป็นแบบ Hybrid Slot รองรับ 2 nano SIM และสามารถเพิ่มความจุด้วย microSD Card ได้สูงสุด 1TB
เรื่องหน้าจอแสดงผล OPPO Reno12 5G มาพร้อมกับหน้าจอโค้ง 3D แทบจะไร้ขอบ ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด FHD+ มีอัตรารีเฟรชหน้าจอสูงสุด 120Hz สามารถปรับแบบ Dynamic ได้ตั้งแต่ 60 – 120Hz รองรับ HDR/ HDR10+ และให้ความสว่างหน้าจอสูงสุด 1200nits ในโหมด Peak Brightness ส่วนความสว่างหน้าจอปกติ ทำได้สูงสุดที่ 600nits เพียงพอสำหรับการใช้งานกลางแจ้ง ส่วนกระจกหน้าจอรุ่นนี้เป็น Corning Gorilla Glass 7i ครับ
ด้านการตอบสนองหน้าจอ OPPO Reno12 5G ทำได้ดีเยี่ยมทั้งในการใช้งานทั่วไป หรือจะเป็นการตอบสนองหน้าจอขณะเล่นเกม นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Splash Touch ช่วยให้สามารถใช้งานหน้าจอในขณะที่นิ้วเปียก หรือมีหยดน้ำบนหน้าจอก็ตาม อีกทั้งตัวเครื่องมาพร้อมกับคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP65 ทนฝน ทนละอองน้ำในระดับหนึ่ง
ประสิทธิภาพการประมวลผลและการเชื่อมต่อ
OPPO Reno12 5G มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ช่วยเรื่องการเชื่อมต่อ 5G อย่าง AI LinkBoost เทคโนโลยีของทาง OPPO ที่เน้นเรื่องความแรงของสัญญาณโทรศัพท์ ด้วยเสาอากาศรอบตัวแบบ 360° จำนวน 9 เสา ผสานกับการทำงานร่วมกับ AI LinkBoost ช่วยเพิ่มการรับสัญญาณและเพิ่มประสิทธิภาพการเลือกเครือข่ายโดยใช้โมเดล AI ในการจดจำสภาพเครือข่ายของผู้ใช้ และทำการสลับเครือข่ายอัตโนมัติเพื่อให้การเชื่อมต่อที่เสถียรมากที่สุด
นอกจากนี้ OPPO ยังได้ทำการทดสอบภาคสนามด้านการสื่อสาร รวมถึงการปรับแต่งซอฟต์แวร์ในหลายสถานที่ทั่วโลก จึงทำให้ OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G จึงกลายเป็นสมาร์ตโฟนซีรีส์แรกที่ได้รับใบรับรอง High Network Performance จาก TÜV Rheinland ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงประสบการณ์เครือข่ายที่ไม่ธรรมดาในทุกสถานการณ์ที่ทดสอบ ได้แก่
- ความเร็วในการส่งข้อมูลเร็วขึ้นในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านและมีเครือข่ายไม่ว่าง
- การกู้คืนสัญญาณเร็วขึ้นเมื่อออกจากพื้นที่ที่มีสัญญาณอ่อน เช่น ลิฟต์และชั้นใต้ดิน
- ลดความล่าช้าของเครือข่ายได้อย่างมากเมื่อใช้แอปที่มีข้อมูลจำนวนมากพร้อมกัน
- สลับระหว่างเครือข่ายมือถือและเครือข่าย Wi-Fi ได้เร็วขึ้น
- ลดการรบกวนของ Wi-Fi และ Bluetooth ให้เหลือน้อยที่สุด โดยเพิ่มความเร็ว Wi-Fi เป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับโทรศัพท์คู่แข่งเมื่อเชื่อมต่อทั้ง Wi-Fi และ Bluetooth
- การระบุตำแหน่งที่แม่นยำยิ่งขึ้นเมื่อใช้ Google Maps ในเขตเมืองที่มีผู้คนหนาแน่น
อีกหนึ่งฟีเจอร์ด้านการเชื่อมต่อที่น่าสนใจอย่าง BeaconLink โปรโตคอลการสื่อสารที่ OPPO พัฒนาความสามารถการอัปลิงค์ Bluetooth ได้ถึง 300% ทำให้ OPPO Reno12 5G สามารถโทรหากันผ่าน Bluetooth ได้ระยะทางสูงสุดถึง 200 เมตร โดยไม่ต้องพึ่งสัญญาณโทรศัพท์ หรือสัญญาณอินเทอร์เน็ตเลยก็ตาม และยังมีฟีเจอร์อย่าง AI Clear Voice ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยกรองเสียงรบกวนรอบข้างออกในขณะที่กำลังโทรศัพท์ได้อีกด้วย
ส่วนเรื่องประสิทธิภาพ OPPO Reno12 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ตรุ่นคัสต้อมอย่าง MediaTek Dimensity 7300-Energy For Reno ชิปแบบ 4 นาโนเมตร octa-core (4 Cortex A78 + 4 Cortex A55) ที่เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง OPPO และ MediaTek เพื่อให้ชิปเซ็ตดังกล่าว ทำงานร่วมกับ Trinity Engine ของ ColorOS 14 ที่เป็นการกำหนดรูปแบบของระบบประมวลผล 3 ด้าน ประกอบไปด้วย CPU-Vita, RAM-Vita และ ROM-Vita โดยเน้นไปที่ประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหลของผู้ใช้ให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด ในขณะเดียวกันก็ยังมีการจัดการพลังงานที่ยอดเยี่ยม จับคู่กับ RAM 12GB (รองรับการขยายแรมสูงสุด 12GB) และความจุในตัวเครื่องสุงสุด 512GB แบบ UFS
จากที่ทดสอบเล่นเกมยอดนิยมอย่าง RoV ในแพทช์ปัจจุบัน สามารถปรับตั้งค่าได้สูงสุดทุกด้าน และเล่นได้อย่างลื่นไหลที่ 60fps ส่วนเป็นเกมอย่าง PUBG Mobile ก็สามารถเล่นได้สูงสุด 60fps ในการปรับตั้งค่าระดับ Smooth หรือถ้าเน้นภาพสวยก็สามารถเลือกกราฟฟิกระดับ HDR HD แล้วเล่นที่ 45fps ได้เช่นกัน และในการเล่นเกม ยังมีโหมดเกมที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ และตั้งค่าตัวเครื่องให้เหมาะสมกับการเล่นเกมมากขึ้นอีกด้วย
แบตเตอรี่และการชาร์จไฟ
OPPO Reno12 5G มาพร้อมกับแบตเตอรี่ในตัวเครื่อง 5,000mAh ที่มีการปรับโครงสร้างแอโนดและแคโทดในแบตเตอรี่ให้มีความทนทาน ใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น และมีระบบการชาร์จอัจฉริยะที่ช่วยชะลอการเสื่อมของแบตเตอรี่ได้ดียิ่งขึ้น
ส่วนการชาร์จไฟ รุ่นนี้รองรับระบบชาร์จไว 80W SUPERVOOC มีอะแดปเตอร์ให้มาในกล่อง สามารถชาร์จไฟจาก 1% – 100% เต็มในเวลาเพียง 47 นาที และจากการทดสอบเครื่องรีวิว OPPO Reno12 5G (12 + 256GB) ในการชาร์จ 15 นาทีแรก แบตเตอรี่จาก 1% ได้แบตขึ้นมาถึง 45% และเมื่อใช้เวลาชาร์จ 30 นาที สามารถชาร์จไฟเข้าเครื่องได้ถึง 70% ครับ
รีวิว OPPO Enco Air4 Pro หูฟังไร้สายเสียงดีน้ำหนักเบาตัดเสียงรบกวนได้
นอกจากบทความนี้จะเป็นรีวิว OPPO Reno12 5G ก็ยังมีอุปกรณ์อีกหนึ่งอย่างที่เปิดตัวพร้อมกัน ได้แก่ หูฟัง OPPO Enco Air4 Pro หูฟังไร้สายที่มาพร้อมกับฟีเจอร์แน่น ๆ ทั้งระบบตัดเสียงรบกวนระดับฮาร์ดแวร์, รองรับ Bluetooth 5.4, แบตเตอรี่ใช้ได้ยาวนานถึง 44 ชั่วโมง แถมยังกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP55 ในราคาเพียง 2,999 บาท
OPPO Enco Air4 Pro มาในดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ตัวหูฟังออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์ช่วยลดแรงกดในช่องหู ทั้งยังมีน้ำหนักเบาเพียงข้างละ 4.4 กรัม เลยทำให้สวมใส่ได้สบายตลอดทั้งวัน น้ำหนักเมื่อรวมเคสอยู่ที่ 47 กรัม
แนวเสียงของ OPPO Enco Air4 Pro ผมว่าหูฟังรุ่นนี้ปรับจูนเสียงมาได้ดีทีเดียวครับ เน้นฟังเพลงสนุก เสียงย่านต่ำ หรือเสียงเบสมีให้แบบสัมผัสได้ ฟังเพลงแนวที่มีเครื่องดนตรีสังเคราะห์ได้สนุกทีเดียว การแยกชิ้นดนตรีทำได้ดีเกินคาด ส่วนเสียงย่านกลาง กับย่านเสียงสูงถูกจูนให้เด่นรองลงมา แต่รวม ๆ แล้วถือว่าเหมาะกับการฟังเพลงได้หลากหลายแนว
ด้านการเชื่อมต่อก็ถือว่าให้สเปคที่ดีเลยครับ รุ่นนี้เป็น Bluetooth 5.4 ง่ายตั้งแต่การเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน Android เพราะรองรับ Google Fast Pair และยังมีความหน่วงต่ำเพียง 47ms มาพร้อม LDHC 5.0 ให้เสียงคุณภาพระดับ Hi-Res ส่วนเรื่องการควบคุมที่ตัวหูฟัง รองรับหลายคำสั่ง ไม่ว่าจะเป็น การแตะครั้งเดียว, แตะสองครั้ง, สามครั้ง กดแบบยาว และกดแบบยาวพิเศษ
ระบบตัดเสียงรบกวนของ OPPO Enco Air4 Pro เป็นแบบ Smart Scene Noise Cancellation ปรับระดับได้ถึง 3 โหมด ตามสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น การตัดเสียงสูงสุด, ปานกลาง และเบา หรือจะเปิดโหมด Transparency เพื่อให้ได้ยินเสียงรอบข้างโดยที่ไม่ต้องถอดหูฟังออกก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยในโหมดตัดเสียงรบกวน จะสามารถตัดเสียงได้มากถึง 49dB
สรุปภาพรวมรีวิว OPPO Reno12 5G
ภาพรวมของ OPPO Reno12 5G กับการใส่ฟีเจอร์ AI ช่วยเสริมให้สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มีความน่าสนใจมากขึ้น นอกเหนือจากการถ่ายรูปคนอย่างโปร เพราะนอกจาก AI Portrait ที่ทำได้อย่างโดดเด่นเหมือนเคยแล้ว การเพิ่มตัวช่วยในการรีทัชภาพด้วย AI ไม่ว่าจะเป็น ยางลบ AI 2.0, AI Best Face, AI Clear Face ไปจนถึง AI Studio ก็ทำให้การถ่ายภาพด้วย OPPO Reno12 5G โดดเด่น และสนุกขึ้นมากเลยครับ
ส่วนสเปคด้านอื่น ๆ ก็ถือว่าทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็นชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7300-Energy for Reno ที่เมื่อทำงานร่วมกับ Trinity Engine ของ ColorOS 14 แล้วได้ทั้งประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม ในขณะเดียวกันก็เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นหนึ่งที่แบตอึด ใช้งานได้ยาวนานรุ่นหนึ่งเลย แถมยังได้ระบบชาร์จไว 80W SUPERVOOC ที่ชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็วมาก ๆ อีกด้วยครับ
ราคาและโปรโมชั่น
OPPO Reno12 5G วางจำหน่ายทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเงิน Astro Silver ที่มาพร้อมริ้วคลื่นสุดล้ำ, สีชมพู Sunset Pink และสีน้ำตาล Matte Brown สุดคลาสสิก เฉดสีโกโก้เข้ม พร้อมพื้นผิวที่ไม่เก็บรอยนิ้วมือ ด้านความจุที่วางจำหน่าย จะมีด้วยกัน 2 รุ่นความจุ ดังนี้
- OPPO Reno12 5G (12 + 256GB) ราคา 14,999 บาท
- OPPO Reno12 5G (12 + 512GB) ราคา 16,999 บาท
ส่วนรุ่นโปร OPPO Reno12 Pro 5G จะวางจำหน่ายในราคา 19,999 บาทครับ
โปรโมชั่นของ OPPO Reno12 Series 5G เมื่อสั่งจองสินค้าตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน – 31 กรกฏาคม 2567 จะได้รับของสมนาคุณเป็น OPPO E-VIP Card เเละ OPPO AI Gift Box
1. OPPO E-VIP Card สิทธิการประกันจอเเตก จํานวน 1 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี
- การประกันจอเเตก รุ่น OPPO Reno12 Pro (CPH2629) มูลค่า 8,000 บาท
- การประกันจอเเตก รุ่น OPPO Reno12 (CPH2625) มูลค่า 6,500 บาท
2. OPPO AI Gift Box มูลค่า 2,999 บาท ประกอบด้วย ลําโพงบลูทูธ, กระเป๋าผ้า, แก้วนํ้าเปลี่ยนสี (เมื่อใส่นํ้าเย็น หรือ นํ้าเเข็ง)
**ของสมนาคุณมีจํานวนจํากัด เฉพาะร้านคาที่รวมรายการ**