หลังจากได้ใช้งานเครื่องรีวิว OPPO Find X3 Pro 5G เป็นเวลาเกือบ 1 สัปดาห์ ต้องยอมรับเลยว่าคราวนี้ OPPO ทำการบ้านมาดีจริง ๆ สำหรับสมาร์ตโฟนเรือธงของแบรนด์ในปี 2021 เป็นการใส่นวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงสเปคที่เป็นสุดยอดในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นที่สุดในเรื่องของสี, ที่สุดในเรื่องของการออกแบบ และที่สุดในเรื่องของประสิทธิภาพ ในแต่ละด้านจะสุดยอดขนาดไหน เลื่อนลงไปอ่านรีวิวได้เลยครับ
สเปค OPPO Find X3 Pro 5G
- จอภาพ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว, ความละเอียด Quad HD+, อัตรารีเฟรช 120Hz แบบไดนามิก, รองรับการแสดงผล HDR10+
- ชิป Qualcomm Snapdragon 888
- RAM 12GB + ROM 256GB
- กล้องหลัง 4 ตัว
- กล้องหลัก Wide-angle 50MP (ƒ/1.8), เซนเซอร์ Sony IMX766, All Pixel Omni-Directional PDAF
- กล้อง Ultra-wide-angle 50MP (ƒ/2.2), มุมกว้าง 110 องศา, เซนเซอร์ Sony IMX766, All Pixel Omni-Directional PDAF
- กล้อง Telephoto 13MP (ƒ/2.4)
- กล้อง Microlens 3MP (ƒ/3.0)
- กล้องหน้า 32MP (ƒ/2.4)
- รองรับการเชื่อมต่อ 5G
- Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax
- Bluetooth 5.2
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C
- แบตเตอรี่ 4500mAh, รองรับชาร์จไว 65W SuperVOOC 2.0
- กระจกหน้าจอ Corning Gorilla Glass 5
- กันน้ำและฝุ่น IP68
- ระบบปฏิบัติการ Color OS 11.2 บนพื้นฐาน Android 11
วิดีโอรีวิว OPPO Find X3 Pro 5G
Best Color – 10-bit Full-path Colour Engine ที่สุดของการแสดงผล 1 พันล้านสีเต็มระบบ
OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมกับหน้าจอ Ultra Vision Screen ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด QHD+ ที่ 120Hz Refresh Rate พาแนลแบบ AMOLED ขอบเขตสี DCI P3 100% อัตราส่วนคอนทราสต์ 5,000,000:1 และเป็นหน้าจอ 10-Bit Color depth แสดงสีสันได้กว่า 1 พันล้านสี (True Billion Color) รองรับวิดีโอมาตรฐาน HDR 10+ ความสว่างสูงสุด 1,300 nits ปรับระดับของความสว่างหน้าจอได้ละเอียดถึง 8,192 ระดับ
ที่สุดของหน้าจอแสดงผล 1 พันล้านสี
ความแม่นยำในของสีหน้าจอ OPPO Find X3 Pro 5G นั้นเทียบเท่าจอแสดงผลในระดับมืออาชีพ โดยแต่ละเครื่องจะได้รับการ Calibrate เพื่อให้ได้ค่าสีที่ถูกต้องโดยเฉลี่ย 0.4 JNCD อีกทั้งมีการปรับแต่งสีสันหน้าจอโดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับแต่งสีชั้นนำ นอกจากนี้หน้าจอของ OPPO Find X3 Pro 5G ยังมีอัตราการสะท้อนที่ต่ำมาก ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงประสบการณ์การอ่าน การรับชมคอนเทนต์ แต่ยังทำให้การแสดงผลสีดำออกมาดำเข้มสมจริงอีกด้วย
การที่หน้าจอของ OPPO Find X3 Pro 5G เป็นหน้าจอแบบ 120Hz refresh rate ช่วยให้ผู้ใช้สัมผัสกับหน้าจอที่ไหลลื่นยิ่งขึ้น มอบประสบการณ์การเล่นเกมให้สมจริงมากยิ่งขึ้น และยังมาพร้อมกับการตอบสนองหน้าจอที่รวดเร็ว 240Hz touch sampling rate ทำให้ในการเล่นเกมด้วย OPPO Find X3 Pro 5G มีทั้งความลื่นไหล และการตอบสนองที่เร็วกว่าสมาร์ตโฟนทั่วไป ด้วยแผงหน้าจอแบบ LTPO ทำให้จอแสดงผลของ OPPO Find X3 Pro 5G ให้ Adaptive Refresh Rate ที่ 120Hz ในระดับฮาร์ดแวร์ มีช่วงของการรีเฟรชหน้าจอกว้างขึ้นเป็น 5 ~ 120Hz
โดยการทำงานของจอแสดงผลแบบ Adaptive จะปรับอัตรารีเฟรชหน้าจอตามลักษณะการใช้งานอัตโนมัติ อย่างการใช้งานปกติ หน้าจอแบบ 120Hz ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหลตั้งแต่การปัดหน้าจอ, การเลื่อน Feed ยาว ๆ ไปจนถึงการรับชมคอนเทนต์วิดีโอที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว เช่น การรับชมกีฬา, รับชมภาพยนตร์แอ็กชั่น เป็นต้น หรือถ้าเป็นการอ่านเอกสาร อ่าน Ebook การลดอัตรารีเฟรชหน้าจอลงมา ช่วยให้อ่านตัวหนังสือได้สบายตามากขึ้น
การมาพร้อมกับหน้าจอ 10-Bit Colour depth ที่แสดงผลได้ในระดับพันล้านสี อันที่จริงเป็นฟีเจอร์ที่ทำได้มาตั้งแต่ตอน OPPO Find X2 Series 5G แล้วล่ะครับ แต่พอเป็น OPPO Find X3 Pro 5G ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์อย่าง Colour Vision Enhancement ที่ช่วยให้การมีหน้าจอพันล้านสี สามารถเห็นผลตอนใช้งานจริงได้มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีการมองเห็นสีบกพร่อง ฟีเจอร์นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นสีได้ดีขึ้น
Colour Vision Enhancement จะประกอบไปด้วย 5 รูปแบบการใช้งานหลัก ได้แก่ การเปลี่ยนสีหน้าจอเป็นโมโนโครม (ขาวดำ), การชดเชยสีแดง, เขียว, น้ำเงิน และรูปแบบสุดท้ายที่เป็นการ Customs ให้เหมาะสมกับบุคคลนั้น ๆ ด้วยแบบทดสอบ Farnsworth-Munsell 100 hue colour vision test ให้ผู้ใช้งานทำการเลือกสีด้านล่าง ให้ใกล้เคียงกับสีในวงกลมด้านบนมากที่สุด จากนั้น OPPO Find X3 Pro 5G จะทำการหาจุดสมดุลที่ดีที่สุดระหว่างการแสดงผลของสี และความละเอียดของสี ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ คือการแสดงผล 1 ใน 765 แบบของประสิทธิภาพการปรับเทียบหน้าจอที่แก้ไขสีที่เหมาะสมที่สุด
ตัวอย่างด้านล่าง ผมได้ทำการทดสอบกับทีมงานที่มีการมองเห็นสีบกพร่อง (สีเขียวอ่อน) ให้ลองทำ Munsell 100 Hue Test เทียบกับสายตาที่มองเห็นสีปกติ จะเห็นว่าการแสดงสีหน้าจอ มีความผิดเพี้ยนไป แต่สำหรับผู้ที่มีการมองเห็นสีบกพร่อง จะช่วยให้การแยกแยะสีต่าง ๆ ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด
กรณีของกล่องเครื่อง OPPO Reno5 Pro หากเป็นการมองกล่องในรูปแบบปกติเลย ทีมงานคนนั้นจะเห็นกล่องเป็นสีเทา ก็คือไม่สามารถระบุสีของกล่องได้ (เนื่องจากมีความบกพร่องในการมองเห็นสีเขียวบางเฉด) แต่ถ้ามองผ่านหน้าจอของ OPPO Find X3 Pro 5G จะระบุได้ว่ากล่องของ OPPO Reno5 Pro เป็นสีเขียวครับ
นอกจากนี้ OPPO Find X3 Pro 5G ยังมีการใส่ชิป O1 Ultra Vision Engine ช่วยให้ทุกคอนเทนต์ที่แสดงผลบนหน้าจอ OPPO Find X3 Pro 5G มีทั้งความลื่นไหล และสามารถแปลงวิดีโอธรรมดา ให้เป็น HDR ได้อีกด้วย (SDR to HDR) ส่วนการการันตีความเทพของหน้าจอ OPPO Find X3 Pro 5G นั้นได้รับคะแนน Grade A+ จาก DisplayMate
นอกจากหน้าจอที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ในเรื่องของระบบเสียง OPPO Find X3 Pro 5G ยังมาพร้อมกับลำโพงคู่ กับระบบเสียง Dolby Atmos และยังรองรับไฟล์เพลงคุณภาพสูง Hi-Res อีกด้วย
ไม่ใช่แค่หน้าจอ 1 พันล้านสี แต่การถ่ายภาพก็ 1 พันล้านสีด้วย
สำหรับกล้องหลังของ OPPO Find X3 Pro 5G มีความเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ อยู่ที่การใส่เซ็นเซอร์ระดับท็อป IMX766 ความละเอียด 50MP ในกล้องหลักคู่ ทั้งกล้อง Wide-angle และ Ultra-wide-angle ล้วนใช้เซ็นเซอร์ตัวเดียวกัน โดย IMX766 เป็นเซ็นเซอร์ที่ OPPO พัฒนาร่วมกับ Sony เพื่อให้สามารถจับภาพสีสันพันล้านสีแบบ 10-bit ได้หลากหลายมุมมอง
กล้องหลักเลนส์ Wide-angle ทางยาวโฟกัส 26 มม. ของ OPPO Find X3 Pro 5G มีความละเอียด 50MP ใช้เซ็นเซอร์ IMX766 มีรูรับแสงกว้าง f/1.8 พร้อมกันสั่น OIS และมีการทำ Pixel-binning ให้ภาพถ่ายในโหมดปกติที่ 12.5MP ส่วนกล้องหลัก Ultra-wide-angle 50MP IMX766 สามารถเก็บภาพได้กว้างถึง 110 องศา มาพร้อมกับระบบออโต้โฟกัส (ถ่ายมาโครได้ 4 เซนติเมตร) และการเคลือบผิวเลนส์เพื่อป้องกันแสงสะท้อน อีกทั้งมีการแก้เรื่องมุมมองภาพบิดเบี้ยว (Distortion)
ระบบโฟกัสของกล้องหลักคู่ใน OPPO Find X3 Pro 5G ใช้ระบบโฟกัสแบบ All Pixel Omni-Directional PDAF ระบบโฟกัสที่สามารถโฟกัสได้ในทุกจุด ทุกพิกเซลสามารถโฟกัสได้หมด ให้ทั้งความรวดเร็วในการจับโฟกัส และมีความแม่นยำมากกว่า PDAF แบบปกติหลายเท่าตัว ส่วนเรื่องความสม่ำเสมอของสีในกล้อง เลนส์ Wide-angle กับ Ultra-wide-angle ของ OPPO Find X3 Pro 5G จะให้สีที่แม่นยำใกล้เคียงกันมาก ๆ
แนวคิดการใส่กล้องหลักคู่ของ OPPO Find X3 Pro 5G อิงมาจากการใช้งานของช่างภาพมืออาชีพ ที่ใช้กล้อง DSLR เวลาต้องการเปลี่ยนมุมมองในการถ่ายภาพ จะไม่เปลี่ยนกล้อง (เซ็นเซอร์) แต่จะเปลี่ยนเลนส์แทน เพราะฉะนั้นกล้องหลักเลนส์ Wide-angle กับกล้อง Ultra-wide-angle ของ OPPO Find X3 Pro 5G จึงใช้เซ็นเซอร์ IMX766 ตัวเดียวกัน เพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันมากที่สุด ไม่ว่าจะถ่ายด้วยระยะปกติ หรือระยะที่เป็นเลนส์มุมกว้าง ซึ่งตรงนี้เป็นอะไรที่หาได้ยากในสมาร์ตโฟนปกติทั่วไป เพราะปกติแล้ว เลนส์มุมกว้าง Ultra-wide-angle บนกล้องโทรศัพท์มักจะให้คุณภาพรูปถ่ายที่ด้อยกว่าเลนส์หลักอยู่แล้ว
DOL HDR หรือ Digital Overlap High Dynamic Range เป็นอีกรูปแบบการบันทึกภาพ HDR ที่มีใน OPPO Find X3 Pro 5G จะสร้างเฟรมอย่างต่อเนื่องในรูปแบบ line-by-line ซึ่งจะช่วยลดช่วงเวลาของเฟรมเปิดรับแสงที่ยาวและสั้น ทำให้สามารถช่วยลดภาพซ้อน หรือแสงริ้วที่อาจเกิดขึ้นจากการถ่าย HDR ได้ ทำให้ภาพ HDR เก็บช่วงไดนามิกได้กว้างขึ้น มีอัตราส่วนของ signal-to-noise ที่ดีขึ้น
Microlens กล้องตัวถัดมาของ OPPO Find X3 Pro 5G จะใช้ชื่อว่า Microlens มีความละเอียดอยู่ที่ 3 ล้านพิกเซล ลักษณะการใช้งานจะค่อนข้างเฉพาะทาง คือถ่ายใกล้มาก ๆ ในระดับกล้องจุลทรรศน์ มีกำลังขยายสูงสุด 60 เท่า โดยตอนถ่าย บริเวณรอบตัวกล้อง Microlens จะมีไฟวงแหวน LED ส่องสว่าง จึงทำให้สามารถนำกล้องเข้าไปจ่อใกล้วัตถุมาก ๆ ได้
ตัวอย่างภาพถ่าย Microlens
ด้านการซูมภาพ OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมกับกล้องเทเลโฟโต้ความละเอียด 13MP f/2.4 รองรับการซูม 5x Hybrid Zoom และซูมไกลสุดที่ 20x Digital Zoom เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า แม้จะมีระยะการซูมที่สั้นลง แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นระยะที่ถูกใช้งานจริงได้มากกว่า
ในส่วนของการบันทึกภาพ อย่างที่บอกไปว่า OPPO Find X3 Pro 5G รองรับการบันทึกภาพแบบ 10 Bit เก็บสีได้ระดับพันล้านสี แต่ก็มีข้อสังเกตเล็กน้อยตรงที่การบันทึกภาพแบบพันล้านสี จะบันทึกเป็นไฟล์ HEIF เท่านั้น หากเปิดในโปรแกรม หรือแอปพลิเคชั่นที่ไม่รองรับ อาจต้องแปลงไฟล์ภาพถ่ายเป็น JPEG ก่อน ซึ่งจะทำให้สูญเสียคุณสมบัติของการบันทึกภาพ 10 Bit ไป แต่ถ้าเป็นการเปิดดูผ่านหน้าจอ OPPO Find X3 Pro 5G ตรง ๆ ก็สามารถแสดงภาพได้ปกติ
นอกจากการบันทึกไฟล์ภาพถ่ายเป็น JPEG, HEIF แล้ว การบันทึกไฟล์ดิบที่ไม่ได้มีการปรับแต่ง รอบนี้มีชื่อว่า RAW+ ที่เพิ่มเติมคุณสมบัติจากเมื่อตอน OPPO Find X2 Pro 5G โดยรองรับการจับภาพ HDR ในรูปแบบของ RAW ด้วย RAW+ และสามารถให้รายละเอียดภาพที่มากยิ่งข้ึน รวมถึงขยายขอบเขตในการปรับแต่ง (Post Processing) ท่ีมากกว่า
การบันทึกวิดีโอ OPPO Find X3 Pro 5G รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K 60fps ทั้งเลนส์ Wide-angle และ Ultra-wide-angle มีระบบกันสั่น OIS + EIS และฟีเจอร์กันสั่นวิดีโอ Ultra Steady, Ultra Steady Video ส่วนใครที่เป็นมือโปร ต้องการปรับตั้งค่าการถ่ายวิดีโอให้ละเอียด ก็มี Cinematic Mode ที่สามารถปรับแต่งค่าต่าง ๆ ในวิดีโอได้อย่างละเอียด และด้วยความที่เซ็นเซอร์รองรับการบันทึก 10 Bit เลยทำให้การบันทึกวิดีโอด้วย OPPO Find X3 Pro 5G รองรับช่วงสี BT.2020, HDR และ log recording อีกด้วย
อีกหนึ่งโหมดวิดีโอที่น่าสนใจอย่าง AI Highlight Video เป็นการนำ AI ที่ปกติจะถูกใช้ในการประมวลผลภาพถ่าย มาใช้ประมวลผลวิดีโอ สามารถเปิด HDR, โหมดกลางคืน, ซูมเสียง และ Ultra Steady Stabilization ได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังสามารถตรวจจับฉากต่าง ๆ ได้ ลักษณะการทำงานแบบเดียวกับภาพถ่ายที่เปิด AI scene enhancement on ผู้ใช้แค่ถ่ายวิดีโอตามปกติ ส่วนการปรับแต่ง การเลือกโหมดต่าง ๆ AI ของ OPPO Find X3 Pro 5G จัดการทุกอย่างให้ทั้งหมด
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก OPPO Find X3 Pro 5G ด้วย AI scene enhancement
Best Design – ที่สุดในด้านการออกแบบ
OPPO Find X3 Pro 5G เป็นสมาร์ตโฟนระดับแฟลกชิปที่ออกแบบภายใต้แนวคิด Futuristic Design แบบล้ำ ๆ ด้วยแรงบันดาลใจจากอวกาศ ตัวกระจกฝาหลังเป็นกระจกชิ้นเดียวแบบไร้รอยต่อ และไฮไลต์ของการออกแบบครั้งนี้ อยู่ที่บริเวณโมดูลกล้องหลัง ที่ OPPO ออกแบบให้มีความโค้งจากฝาหลัง ขึ้นไปยังโมดูลกล้อง Gradient Arc Camera ด้วยเส้นโค้งที่มีจุด Control points กว่า 2,000 จุด ให้ความโค้งของกระจกที่เนียนตา สัมผัสที่เป็นธรรมชาติและกระชับมือมากที่สุด
จุดเด่นอีกอย่างในเรื่องการออกแบบของ OPPO Find X3 Pro 5G คือการที่ตัวเครื่องมีความบาง และมีน้ำหนักเบาเพียง 193 กรัม ให้ทั้งความสะดวกและความคล่องตัวเมื่อใช้งานตัวเครื่อง วางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ Gloss Black ที่มีพื้นผิวแบบมันเงา กระจกสะท้อนให้ความรู้สึกหรูหรา กับสีน้ำเงิน Blue (สีเครื่องรีวิว OPPO Find X3 Pro 5G) ที่มาพร้อมกับพื้นผิวแบบ AG Glass หรือพื้นผิวแบบด้าน นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติป้องกันน้ำ ป้องกันฝุ่นระดับ IP68
Best Performance – ที่สุดในเรื่องประสิทธิภาพ
นอกจากเรื่องการจัดการสีทั้งหน้าจอ กล้องถ่ายรูป และการออกแบบตัวเครื่องแล้ว ในด้านประสิทธิภาพ OPPO Find X3 Pro 5G ก็ถือเป็นที่สุดในตอนนี้เช่นกัน ด้วยชิปประมวลผลตัวแรงอย่าง Qualcomm Snapdragon 888 5G รองรับการเชื่อมต่อ 5G แบบ Dual Mode โดยชิปประมวลผลรุ่นนี้ เป็นชิปเซ็ตระดับแฟล็กชิป 64-bit octa core processor ความเร็ว 2.84 GHz ผลิตที่เทคโนโลยีการผลิต 5nm ให้ทั้งความแรง และการจัดการพลังงานที่ดีเยี่ยม ส่วน GPU เป็น Adreno 660 ที่ให้ประสิทธิภาพโดยรวมสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 35%
ในการเล่นเกม รุ่นนี้สามารถเล่นได้ทุกเกม ปรับตั้งค่าสูงสุดก็ได้ทุกเกมบน Play Store ไม่ว่าจะเป็นเกมยอดนิยมอย่าง Free Fire, ROV รวมถึง PUBG Mobile ที่ปรับเฟรมเรตระดับ Extreme (45fps) ได้ แน่นอนว่าสามารถเล่นเกมที่กินสเปคสูง ๆ อย่าง Genshin Impact แบบปรับตั้งค่าสูงสุด เฟรมเรตสูง 60fps ได้อย่างลื่นไหล เมื่อเปิด Competition Modes ใน Game Space
ส่วนการจัดการความร้อน เท่าที่ทดสอบเครื่องรีวิว OPPO Find X3 Pro 5G ยอมรับเลยว่ารุ่นนี้จัดการความร้อนได้ดีทีเดียว ต่อให้เป็นการเล่น Genshin Impact ก็ตาม ความร้อนจากตัวเครื่องก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ และระบายความร้อนได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากรุ่นนี้มีแชมเบอร์ระบายความร้อน วางตำแหน่งอยู่บริเวณเมนบอร์ดและแบตเตอรี่ ช่วยให้การกระจายความร้อนขณะใช้งานตัวเครื่องอย่างหนักหน่วงได้ดีมากยิ่งขึ้น
การเชื่อมต่อของ OPPO Find X3 Pro 5G รุ่นนี้นอกจากจะรองรับ Dual Mode 5G ทั้ง SA (Standalone) และ NSA (Non Standalone) แล้ว ยังรองรับการเชื่อมต่อ 5G + 5G Dual SIM และรองรับคลื่นความถี่มากกว่า 13 คลื่นความถี่อีกด้วย แน่นอนว่าสามารถใช้งาน 5G ในประเทศไทยได้ทันที ผมทดสอบเครื่องรีวิว OPPO Find X3 Pro 5G กับทั้ง TrueMove-H และ AIS ก็ขึ้นสัญลักษณ์เชื่อมต่อ 5G ทั้งคู่ ความเร็วในการเชื่อมต่อ การใช้งานก็รวดเร็วสมกับที่เป็น 5G ส่วนการเชื่อมต่อ WiFi รุ่นนี้รองรับ WiFi 6 ที่ Bandwith กว้างถึง 160MHz
ถัดมาเป็นเรื่องแบตเตอรี่ และการจัดการพลังงาน OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมกับแบตเตอรี่ในตัว ความจุรวม 4500 mAh ส่วนตัวหลังจากที่ได้ใช้งานเครื่องรีวิว OPPO Find X3 Pro 5G มาเกือบ ๆ 1 สัปดาห์ รุ่นนี้ถือว่าทำได้ตามมาตรฐานของสมาร์ตโฟนเรือธงสเปคแรง หากไม่ได้เล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลานาน สามารถใช้งานแบตเตอรี่หมดวันได้ โดยที่ไม่ต้องชาร์จไฟระหว่างวัน แต่ถ้ามีการเล่นเกม อาจจะต้องพกแบตเตอรี่สำรอง หรือมีการชาร์จไฟระหว่างวัน เนื่องจากชิปเซ็ตรุ่นนี้เป็นชิปที่แรง สามารถเล่นเกมแบบปรับสุดได้ทุกเกม จึงทำให้การบริโภคพลังงานสูงขึ้นตามไปด้วยเมื่อเล่นเกมแบบปรับตั้งค่าสูงสุด
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ OPPO Find X3 Pro 5G อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นจุดเด่นของสมาร์ตโฟน OPPO หลายรุ่น ก็คือเรื่องระบบชาร์จไฟ เรียกได้ว่าแบรนด์นี้ถือเป็น No.1 และผู้บุกเบิกเรื่อง Flash Charge (การชาร์จเร็ว) อย่างแท้จริง ด้วยระบบชาร์จเร็วแบบใช้สาย 65W SuperVOOC 2.0 ที่ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่เซลล์คู่ รองรับการชาร์จสูงสุด 10V, 6.5A (65W) ใช้เวลาเพียง 10 นาที ก็สามารถชาร์จไฟได้ถึง 40% เลยทีเดียว
นอกจากระบบชาร์จเร็วแบบใช้สาย รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับ 30W AirVOOC Wireless Flash Charge ที่สามารถชาร์จไร้สายให้กับแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh เต็ม 100% ภายในเวลาเพียง 80 นาทีเท่านั้น ถือว่าเร็วมาก ๆ เมื่อเทียบกับระบบชาร์จไร้สายทั่วไป ที่มักจะใช้เวลาชาร์จแบตเตอรี่ความจุใกล้เคียงกับ OPPO Find X3 Pro 5G ราว 2 ชั่วโมงขึ้นไป และยังรองรับ 10W Reverse Wireless Charging เปลี่ยนสมาร์ตโฟนให้กลายเป็นแท่นชาร์จไร้สาย เพื่อใช้ในการชาร์จอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ได้
สำหรับแท่นชาร์จไร้สายที่รองรับ 30W AirVOOC Wireless Flash Charge จะวางจำหน่ายแยกต่างหาก และจะต้องใช้งานร่วมกับอะแดปเตอร์ 65W SuperVOOC 2.0 เท่านั้น เพื่อให้ชาร์จไร้สายได้เต็มประสิทธิภาพที่สุดครับ
Software ระบบปฏิบัติการ
OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ ColorOS 11.2 ที่มีพื้นฐานบน Android 11 เน้นการใช้งานง่าย และเป็นธรรมชาติ สามารถปรับแต่ง AOD/ Dark Mode ได้ตามความต้องการ มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง OPPO Relax 2.0 รูปแบบเสียงเพื่อการผ่อนคลาย ไปจนถึงเรื่องความเป็นส่วนตัวอย่าง Private System
สรุปภาพรวม รีวิว OPPO Find X3 Pro 5G
ภาพรวมของ OPPO Find X3 Pro 5G ถือเป็นสมาร์ตโฟนระดับแฟล็กชิพจากทาง OPPO ที่สามารถต่อกรกับบรรดาเรือธงค่ายอื่นได้อย่างสบาย ๆ ทั้งในด้านสเปคที่ให้ความเป็นที่สุดในแทบจะทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่อง 1 พันล้านสีเต็มระบบ 10-bit Full-path Colour Engine ตั้งแต่กระบวนการบันทึกภาพ ไปจนถึงการแสดงผลด้วยหน้าจอ 10-bit ที่รองรับการแสดงสีในระดับ 1 พันล้านสี กล้องถ่ายภาพในรอบนี้ก็จัดเต็มด้วยกล้องหลักคู่ 50MP เซ็นเซอร์พิเศษ IMX766 ที่ร่วมกันพัฒนากับทาง Sony ให้คุณภาพของรูปถ่ายที่ดีเยี่ยม ทั้งเลนส์ Wide-angle และ Ultra-wide-angle
เรื่องประสิทธิภาพก็เป็นที่สุด ด้วยชิปประมวลผลตัวแรงอย่าง Snapdragon 888 5G + RAM 12GB ที่สามารถเล่นทุกเกมแบบปรับตั้งค่าสูงสุด ระบบชาร์จเร็วที่เร็วมากทั้งแบบมีสาย 65W SuperVOOC 2.0 และแบบไร้สาย 30W AirVOOC Wireless Flash Charge ดีไซน์ตัวเครื่องที่โค้งมนสวยงาม น้ำหนักเบา จับถือสะดวก รวมถึงราคาเปิดตัวที่คราวนี้ OPPO ทำการบ้านมาดีจริง ๆ หากใครที่กำลังมองหาสมาร์ตโฟนแฟล็กชิพที่เป็นสุดยอดในทุกด้าน รับรองว่า OPPO Find X3 Pro 5G เป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามเลยครับ