หลังจากมีการคาดการณ์กันว่า Apple น่าจะออกรุ่นอัปเดตให้กับผลิตภัณฑ์ในซีรีส์ iPhone SE โดยเสริมความสามารถในการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G เข้ามา ในที่สุดมันก็มาแล้วครับ ในชื่อเดิม ทรงเดิมเลย นั่นคือ iPhone SE หรือที่เราอาจจะเรียกแบบให้เข้าใจได้ง่ายในชื่อ iPhone SE 3 โดยยังคงออกแบบมาในสไตล์เดิม คือฟังก์ชันพื้นฐานในการใช้งาน iOS ที่ค่อนข้างครบถ้วนมาในบอดี้ iPhone รุ่นก่อนหน้า ตีบวกด้วยการใช้ชิปสุดแรงตัวเดียวกับชิปที่อยู่ใน iPhone รุ่นล่าสุด เพื่อให้รองรับการใช้งานได้สบาย ในราคาเริ่มต้นที่หมื่นกลาง ๆ
ในรีวิวนี้เราจะมาดูกันครับว่า iPhone SE 3 รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ จะตอบโจทย์การใช้งานในปี 2022 นี้ได้ดีขนาดไหน รวมถึงเหล่าคำถามที่น่าจะมีหลายคนสงสัย อาทิ เครื่องเล็กไปมั้ย? แบตอยู่ได้ถึงวันหรือเปล่า? กล้องดีขึ้นขนาดไหน? เป็นต้น แต่ก่อนอื่น มาดูส่วนที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดกันก่อนครับ นั่นคือเรื่องของสเปคเครื่อง
สเปค iPhone SE 3
บอกเลยว่าจัดเต็มแทบไม่แพ้รุ่นโปรเลยทีเดียวครับ ตามนี้เลย
- ชิป A15 Bionic
- CPU 6 คอร์ (2+4)
- GPU 4 คอร์
- Neural Engine 16 คอร์
- แรม 4 GB
- พื้นที่เก็บข้อมูล มีให้เลือกทั้ง 64, 128 และ 256 GB
- หน้าจอ Retina HD IPS ขนาด 4.7″ ความละเอียด 1334 x 750 แสดงสีสันได้ระดับ DCI-P3
- จอมีฟังก์ชัน True Tone และระบบปรับแสงสว่างหน้าจออัตโนมัติ
- มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID ที่ปุ่มโฮม
- กล้องหลัง 12 MP f/1.8 รองรับการถ่ายวิดีโอสูงสุดระดับ 4K 60fps
- มี Deep Fusion
- รองรับ Smart HDR 4
- กล้องหน้า 7MP f/2.2 รองรับทั้ง Deep Fusion และ Smart HDR 4
- ใช้งาน 5G NR (sub-6) ในไทยได้
- รองรับ WiFi 6 802.11ax
- ลำโพงสเตอริโอ
- กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67
- แบตเตอรี่ความจุ 2018 mAh
- รองรับการชาร์จเร็ว 18W และการชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi
- ฝาหลังมีให้เลือก 3 สีคือสีน้ำเงินเข้มมิดไนท์ สีขาวสตาร์ไลท์ และสีแดง PRODUCT(RED)
- ราคาเครื่องศูนย์จากเว็บ Apple
- iPhone SE 3 ความจุ 64 GB ราคา 15,900 บาท
- iPhone SE 3 ความจุ 128 GB ราคา 17,900 บาท
- iPhone SE 3 ความจุ 256 GB ราคา 21,900 บาท
ในส่วนของสเปค ต้องบอกว่า iPhone SE 3 นั้นมาในระดับเดียวกับมือถือรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง iPhone 13 และ 13 mini เลย ด้วยการใส่ชิป A15 Bionic มาพร้อมกับแรม 4 GB และยังรองรับการเชื่อมต่อ 5G ดังนั้นทำให้มั่นใจได้ว่าการใช้งาน iPhone SE รุ่นใหม่ล่าสุดนี้จะไหลลื่น และรองรับการอัปเดตไปได้ยาว ๆ อีกหลายปีแน่นอน แถมในบางจุดอาจจะได้เปรียบกว่าด้วย เช่น จากความละเอียดจอที่ต่ำกว่า ทำให้เครื่องไม่ต้องรีดประสิทธิภาพในการเรนเดอร์กราฟิกในเกมจาก GPU ที่สูงเท่ากับในรุ่นใหญ่ เป็นต้น
แต่ก็จะมีสิ่งที่เป็นข้อจำกัดตามมาตามดีไซน์ของตัวเครื่อง คือหน้าจอที่เล็กกว่า และความจุแบตที่น้อยกว่า iPhone 13 mini ถึง 17% จึงทำให้เกิดข้อสงสัยกันไม่น้อยว่า iPhone SE 3 ใช้งานได้หมดวันหรือไม่ จากพลังของชิป A15 Bionic และ 5G ในปัจจุบัน ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาดูกันในส่วนต่อ ๆ ไปของรีวิวกันครับ
แกะกล่อง และตัวเครื่องของ iPhone SE 3
ทีนี้มาดูตัวเครื่องกันบ้าง เริ่มที่การแกะกล่องกันก่อน สำหรับในช่วงหลังนี้ Apple ยกเลิกการใช้พลาสติกใสหุ้มกล่องไปแล้ว โดยจะใช้การดึงแถบกาวที่ใช้ติดฝาครอบกล่องออก สำหรับข้อมูลที่ระบุไว้ จะบอกชื่อแค่ว่าเป็น iPhone SE เท่านั้น ไม่มีการระบุเลขลำดับรุ่นไว้นะครับ ดังนั้นถ้าจะหาจุดสังเกตว่าเป็นรุ่น 3 หรือเปล่า แนะนำว่าดูที่ฉลากส่วนบน ต้องมีเขียนว่ารองรับเทคโนโลยีเซลลูลาร์ 5G อยู่ด้วย ถ้ามี ก็ค่อนข้างชัวร์ว่าน่าจะหยิบมาถูกรุ่นละ
อุปกรณ์ที่ให้มาด้วยในกล่องก็จะมี
- ตัวเครื่อง
- สายชาร์จ USB-C to Lightning
- เข็มจิ้มถาดใส่ซิม
- สติกเกอร์โลโก้ Apple สีขาว 1 ดวง
- เอกสารคู่มือเบื้องต้น และการรับประกัน
ส่วนอะแดปเตอร์ชาร์จไฟ หากต้องการซื้อใหม่ จะซื้อของ Apple เองก็ได้ครับ แนะนำว่าซื้อเป็นตัวอะแดปเตอร์ USB-C 20W ราคา 690 บาทก็เพียงพอแล้ว หรืออาจจะมองหาจากผู้ผลิตรายอื่นที่คุณภาพดีหน่อยก็ได้เช่นกัน สำหรับรุ่นที่จ่ายไฟ 20W ขึ้นไป ราคาอาจจะย่อมเยากว่านี้นิดนึง
เรื่องรูปร่างลักษณะ เชื่อว่าหลายท่านคงคุ้นเคยกับ iPhone ในทรงนี้กันอยู่แล้ว เพราะเป็นบอดี้เดียวกันกับตั้งแต่สมัย iPhone 7 โดยที่ส่วนหน้าจอนั้น จะบอกว่ายกมาตั้งแต่สมัย iPhone รุ่นแรกสุดเกือบ 100% ก็คงจะไม่ผิดนัก คือมีหน้าจออยู่ตรงกลาง ด้านบนมีลำโพง ด้านล่างมีปุ่มโฮม
ซึ่งตัวผมเองจากการที่ใช้มือถือจอเต็ม ๆ มาจนคุ้นชินแล้ว พอได้มาใช้งาน iPhone SE 3 ในระหว่างการรีวิว ก็ต้องมีการปรับตัวกลับมาอยู่พอสมควร หลัก ๆ เลยคือการจะกลับมาหน้าโฮมครับ เพราะจะชินกับการปาดนิ้วจากด้านล่างจอขึ้นมา แต่พอใน iPhone SE นี้คือแค่กดปุ่มโฮมเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นการย้อนอดีตซักนิดนึง
หน้าจอของ iPhone SE 3 เป็นจอ IPS LCD ขนาด 4.7″ ซึ่งเรื่องของสีสันนั้นก็ไม่ทำให้ผิดหวังตามสไตล์ของ iPhone คือให้สีที่ไม่จัดเกินไป ดูเป็นธรรมชาติ ประกอบกับฟังก์ชัน True Tone ที่ช่วยปรับโทนสีของจอให้เหมาะสมกับสภาพแสงรอบตัวด้วย ทำให้ได้ภาพที่สีสันค่อนข้างแม่นยำ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ความสว่างก็จัดว่าโอเค ใช้งานได้ดีทั้งกลางแจ้งและในที่ร่ม
แต่สำหรับใครที่ชินกับการใช้งานมือถือจอประเภท OLED รวมถึงพวก AMOLED ทั้งหลายมาแล้ว จะพบว่าภาพของจอ SE 3 นั้นดูสว่างแปลก ๆ โดยเฉพาะในจุดที่มืด และเป็นสีดำ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากเทคโนโลยีการให้แสงสว่างของพาเนลจอ ที่ใช้แผงหลอดไฟ LED อยู่เบื้องหลัง ทำให้ภาพนั้นดูสว่าง ๆ จุดที่ดำก็ไม่ดำสนิท ต่างจากกลุ่มจอ OLED ที่ใช้การเปิด/ปิดของหลอดไฟไปเลย ซึ่งทำให้จุดที่เป็นภาพสีดำนั้นดำสนิท และให้คอนทราสต์ที่สูงกว่าจอ IPS LCD
ส่วนเรื่องขนาดจอ อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความถนัด และโจทย์การใช้งานของแต่ละท่านครับ ซึ่งจอ 4.7″ นี้ ส่วนตัวผมมองว่ากำลังเหมาะกับการให้เด็กใช้งาน ไปจนถึงระดับวัยรุ่น วัยเรียนได้สบาย นอกจากนี้ยังเหมาะกับการใช้งานเป็นมือถือแจกประจำออฟฟิศ ใช้เป็นเครื่องรอง ในกรณีที่ต้องการมือถือเล็ก ๆ เบา ๆ ไว้ใช้ให้สบายมือ เป็นต้น ซึ่งแอปต่าง ๆ ก็ยังสามารถจัดเรียงคอนเทนต์บนหน้าจอได้ดีอยู่ แต่ถ้าใครที่ใช้งานมือถือจอใหญ่กว่านี้มา อาจจะรู้สึกว่ามันค่อนข้างอึดอัดไปนิดนึง กับปริมาณของเนื้อหาที่แสดงได้ต่อหนึ่งหน้าจอ
หนึ่งสิ่งที่มีคนเรียกร้องมาตลอด โดยเฉพาะในยุคโควิดก็คือ อยากให้ Apple นำเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือกลับมาใส่ใน iPhone รุ่นใหม่ด้วย เนื่องมาจากความไม่สะดวกในการสแกนใบหน้า ในขณะที่ใส่หน้ากากอนามัย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มาซักที ส่วนใน iPhone SE 3 ที่ใช้บอดี้เดิมนั้นก็ยังให้ Touch ID มาอยู่เหมือนเดิมครับ (แต่ไม่มีสแกนใบหน้านะ) ซึ่งการใช้งานนั้นก็ไม่ต่างจากเดิม คือค่อนข้างเร็วและแม่นยำดี นิ้วเปียกนิดหน่อยก็ยังสามารถสแกนได้อยู่ ส่วนตัวปุ่มนั้นจะเป็นแบบสัมผัส โดยจะมีแรงสั่นกลับมาเมื่อกดลงไป ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังกดปุ่มอยู่
การดูหนัง ดูซีรีส์ก็ทำได้อยู่ในระดับมาตรฐานครับ คือยังไม่รองรับการแสดงภาพ HDR ส่วนเรื่องเสียงนั้นก็มีลำโพง 2 ตำแหน่ง คือบริเวณลำโพงสนทนา และก็ลำโพงที่ตรงขอบล่างของเครื่อง ให้ระบบเสียงสเตอริโอ แม้จะไม่ได้ให้เสียงที่มีมิติโอบล้อมแบบ Spatial Audio ก็ตาม แต่ก็ถือว่าทำได้ตามมาตรฐานของสมาร์ตโฟนทั่วไป
ฝาหลังของ iPhone SE 3 ใช้เป็นกระจกที่มีขอบมนรับกับขอบเครื่อง ทำให้การจับถือนั้นทำได้แบบไม่สะดุด สำหรับเครื่องในรีวิวนี้เป็นสีมิดไนท์ที่เป็นโทนสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ ขึ้นอยู่กับสภาพแสงครับ โดยที่ยังคงใช้ดีไซน์แบบมินิมอลมาก ๆ คือมีแค่ส่วนกล้องหลังเลนส์เดียวพร้อมแฟลชและไมค์ ส่วนตรงกลางก็มีเพียงโลโก้ Apple สีเงินเท่านั้น
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเลือกฝาหลังสีใดก็ตาม แต่กรอบด้านหน้าเครื่องจะเป็นสีดำเท่านั้นนะครับ ไม่มีสีขาวอีกต่อไป
ด้านล่างของเครื่องจะมีช่องรับเสียงของไมค์ พอร์ต Lightning และช่องลำโพงเท่านั้น ไม่มีช่องเสียบแจ็ค 3.5 มม. มาให้
ฝั่งซ้ายมีสวิตช์เปิด/ปิดเสียงแจ้งเตือน และก็ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง
ส่วนฝั่งขวาจะมีปุ่ม Power และก็ถาดใส่ซิมการ์ด โดยจะมีช่องใส่แค่นาโนซิมเพียง 1 ใบเท่านั้น
เทียบขนาดกับรุ่นอื่น ๆ
จับ iPhone SE 3 มาเทียบขนาดกันหน่อยครับ อย่างในภาพด้านบนจะเป็นเครื่องที่อยู่ตรงกลาง ส่วนฝั่งซ้ายเป็น iPhone 13 Pro ที่มีขนาดเท่า ๆ กับ iPhone 13 ส่วนฝั่งขวามือคือ iPhone 12 mini ที่มีมิติเครื่องพอ ๆ กันกับ iPhone 13 mini
จะเห็นว่าตัวเครื่องของ SE 3 นั้นจะใหญ่กว่ารุ่น mini อยู่เล็กน้อย แต่จะมีพื้นที่แสดงผลของจอที่น้อยกว่า อันเนื่องมาจากดีไซน์ของตัวเครื่องรุ่นใหม่ ๆ ที่ใช้แบบจอเกือบเต็มขอบกันหมด พร้อมกับตัดปุ่มโฮมออก แต่เอาจริง ๆ แล้ว พื้นที่ในการวางไอคอนแอปนั้นแทบไม่ต่างจากรุ่น mini เลย
ส่วนถ้าพลิกมาด้านหลังก็จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนเลยครับ นั่นคือ iPhone SE 3 มีกล้องเพียงตัวเดียว ในขณะที่รุ่นอื่นนั้นเริ่มที่กล้อง 2 ตัวกันหมดแล้ว
ส่วนด้านข้างเครื่องเองก็มีความแตกต่างกันด้วย จากการใช้บอดี้ทรงเดิมที่เน้นความโค้งมน ที่มีมาตั้งแต่สมัย iPhone 6 ในขณะที่ตั้งแต่ iPhone 12 มา Apple ก็ปรับดีไซน์ขอบเครื่องให้กลับมาเป็นแบบเหลี่ยมหมดแล้ว
เคสซิลิโคนสำหรับ iPhone SE 3
และด้วยการที่ iPhone SE รุ่นล่าสุดนั้นยังใช้บอดี้ทรงเดิมอยู่ ทำให้การจะหาอุปกรณ์เสริมอย่างพวกเคส ฟิล์มหรือกระจกกันรอยนั้นง่ายมาก ๆ เพราะสามารถใช้ของที่ออกมาตั้งแต่ช่วง iPhone 7 ได้เลย อย่างเคสซิลิโคนของ Apple เองที่มีจำหน่ายในราคา 1,290 บาท ก็ระบุไว้บนหน้าเว็บว่าสามารถใช้งานได้ตั้งแต่ iPhone 7, iPhone 8 รวมถึง iPhone SE ทั้งรุ่น 2 และ 3 เลย
ผิวสัมผัสภายในก็เป็นผ้ากำมะหยี่ที่มีความนุ่มพอสมควร
ส่วนด้านหลังก็มีเพียงโลโก้ Apple อย่างเดียวเลยครับ
การเว้นช่องต่าง ๆ ก็ทำได้พอดี คือใช้การเปิดด้านล่างเกือบทั้งหมด
การใช้งาน iPhone SE 3
สำหรับการใช้งาน iPhone SE 3 นั้นก็จะเป็นในแบบเดียวกับ iPhone ในยุคก่อนหน้านี้เลย คือเน้นควบคุมด้วยการกดปุ่มโฮมเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาหน้าแรก การเรียกดูแอปที่ใช้งานล่าสุด ไปจนถึงการเรียกใช้งาน Siri ส่วนการจะเรียกหน้าจอควบคุม Control Center ขึ้นมา จะใช้การปาดหน้าหน้าจอจากด้านล่างขึ้นมาแทน ก็แอบไม่ชินนิดนึงนะ
ส่วนเรื่องน้ำหนักตัวเครื่อง ต้องบอกว่าเบาสบายมือมากครับ สามารถใช้งานมือเดียวได้แบบลื่น ๆ
ซึ่งการใช้งานมือเดียวนี้ก็รวมถึงการพิมพ์ข้อความด้วย เนื่องจากจอที่ไม่ใหญ่เกินไป ทำให้พอจะสามารถเอื้อมนิ้วไปกดปุ่มที่ขอบจออีกฝั่งได้สบาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความคล่องตัวในการพกพาและการใช้งานมาก ๆ หรือถ้าให้เด็กใช้งานก็กำลังดี ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องที่ไม่หนักมากเกินไป ส่งผลกระทบกับเรื่องข้อต่อ เส้นเอ็นที่มือน้อยกว่าเครื่องที่มีน้ำหนักเกือบ 2 ขีดที่กลายเป็นน้ำหนักมาตรฐานในปัจจุบันไปแล้ว
การใช้งาน 5G เองก็เป็นหนึ่งในฟังก์ชันเด่นของ iPhone SE 3 ในรอบนี้ด้วย ซึ่งก็สามารถใช้งานกับทุกเครือข่ายในไทยที่ปล่อยคลื่นในย่าน sub-6 ได้ทันที ขอแค่มีซิมและแพ็คเกจรองรับการใช้งาน 5G ใช้งานในพื้นที่ที่เปิดให้บริการ 5G แล้วเท่านั้น ก็สามารถใช้งานได้แล้ว ส่วนเรื่องความเร็วในการดาวน์โหลดและอัพโหลดนั้น ตามหน้าสเปคแล้วอาจจะน้อยกว่ากลุ่มรุ่นหลักอย่างพวก iPhone 13 นะครับ เนื่องจาก SE 3 มาพร้อม MIMO เพียงแค่ 2×2 เท่านั้น ในขณะที่รุ่นหลักจะให้มาที่ 4×4 แต่จากที่ผมทดสอบมา บอกเลยว่าเน็ต 5G บน SE 3 นั้นแรงเกินพอแล้ว สำหรับการเปิด hotspot ปล่อยเน็ตผ่าน WiFi ก็ตั้งค่าได้ทั้งคลื่น 5 GHz WiFi 6 (802.11ax) และ 2.4 GHz เท่ากับรุ่นใหญ่เลย
อีกจุดที่น่าสนใจคือถ้าใครที่ใช้งาน eSIM อยู่ ระบบของ iOS และ iCloud เองนั้นรองรับการถ่ายโอน eSIM ไปมาข้ามเครื่องที่ล็อกอินด้วย Apple ID เดียวกันได้แบบง่ายดายมาก ๆ เพียงแค่กดเพิ่ม Cellular Plan เพื่อเลือกเบอร์ eSIM ที่ต้องการใช้งาน จากนั้นก็กดยืนยันการถ่ายโอนข้อมูลซิมผ่าน iCloud มา แล้วกรอกข้อมูลยืนยันกับทางเครือข่ายอีกนิดหน่อยก็สามารถใช้งานได้แล้ว
ด้วยการใช้ชิป A15 Bionic ทำให้ส่วนของการประมวลผลภาพและวิดีโอใน SE 3 นั้นทำได้เทียบเท่ากับในรุ่นใหญ่เลย อย่างในการถ่ายวิดีโอนั้นก็รองรับได้สูงสุดถึงระดับ 4K 60fps จะเสียดายนิดหน่อยที่ไม่รองรับ Dolby Vision ด้วย ส่วนเรื่องภาพถ่าย และโหมดต่าง ๆ ของกล้อง มาดูกันในรีวิวส่วนถัดไปกันเลยครับ
กล้อง iPhone SE 3
ด้วยการที่ใช้บอดี้เดิม ทำให้ iPhone SE 3 ยังคงมาพร้อมกล้องหลังเพียงเลนส์เดียวเท่านั้น แต่ต้องบอกว่า Apple เลือกที่จะใช้การอัพเกรดด้วยความสามารถของตัวชิป A15 Bionic เอง ที่เพิ่มพลังในการประมวลผลภาพขึ้นมาเทียบเท่ากับรุ่นในซีรีส์หลัก ทำให้ SE 3 มาพร้อมกับฟีเจอร์เสริมอย่าง Deep Fusion ที่ช่วยในการเก็บรายละเอียดภาพ และ Smart HDR 4 สำหรับการเก็บรายละเอียดในส่วนมืดและสว่างของภาพให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น ทำให้ภาพที่ได้จากกล้องหลังนั้นแทบจะใกล้เคียงกับรุ่นหลักเลย
ส่วนเหล่าฟังก์ชันเสริมในการปรับแต่งก่อนถ่ายภาพนั้น ก็มีการใส่ Photographic Styles ที่เป็นลักษณะของการปรับพรีเซ็ตโทนสีและคอนทราสต์ของภาพ ซึ่งเริ่มใส่มาครั้งแรกใน iPhone 13 มาให้ด้วย สำหรับการใช้งาน และความแตกต่างของแต่ละสไตล์ ไปดูต่อได้ที่รีวิว iPhone 13 Pro ได้ครับ
เรื่องความเร็ว ความแม่นยำในการโฟกัส การชดเชย white balance ยังคงเป็นสิ่งที่ SE 3 ทำได้ดีไม่แพ้กับ iPhone รุ่นอื่นเลย รวมไปจนถึงผลลัพธ์ที่ได้ นับตั้งแต่กระบวนการประมวลผลภาพที่ทำได้รวดเร็ว ไปจนถึงภาพที่ออกมา ที่เก็บรายละเอียดยิบย่อยในภาพได้ดี เรียกว่าถ้าแสงเพียงพอ แล้วโฟกัสได้ตรงจุดที่ต้องการ ภาพที่ออกมาคืออยู่ในระดับที่ไว้ใจได้แน่นอน แทบจะไม่รู้สึกเลยว่าเป็นภาพที่มาจาก iPhone รุ่นย่อมเยาสุดในซีรีส์ปัจจุบัน
ความสะดวกในการถ่ายภาพในสไตล์ iPhone ก็ยังถูกถ่ายทอดมาในรุ่นนี้ได้อย่างครบถ้วน ยกขึ้นมาก็สามารถถ่ายได้แทบจะทันที ส่วนการถ่ายระยะใกล้สุดจะได้ที่ประมาณ 7 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างใกล้มาก จนเกือบถึงระยะมาโครของ iPhone 13 Pro อยู่เหมือนกัน
ในการถ่ายวิวก็ทำได้ง่าย ยกขึ้นมาแล้วปล่อยให้ระบบจัดการโฟกัส วัดแสง ชดเชย white balance ให้อัตโนมัติได้เลย ความแม่นยำของสีสันจัดอยู่ในเกณฑ์ดี สีตรงกับวัตถุจริงตามแบบฉบับของ iPhone ส่วนพวกมุมภาพก็แทบไม่ต่างจากซีรีส์อื่นมากนัก จะเสียดายก็ตรงที่ไม่มีเลนส์อัลตร้าไวด์มาด้วยเท่านั้นเอง
ส่วนการถ่ายใกล้ ๆ ก็สามารถเก็บรายละเอียดของผิววัตถุหรือตัวแบบได้ดีไม่แพ้รุ่นใหญ่เลย
อย่างไรก็ตาม ก็จะมีฟีเจอร์ด้านการถ่ายภาพบางอย่างที่ไม่มีใน iPhone SE 3 ได้แก่ การถ่ายภาพด้วยโหมดกลางคืน ที่อาศัยการเปิดหน้าชัตเตอร์ค้างไว้นานกว่าปกติ เพื่อรับแสงให้มากขึ้น ทำให้ภาพดูสว่างจนมองเห็นรายละเอียดได้ดีขึ้น ทำให้ iPhone SE 3 อาจจะถ่ายภาพในบริเวณที่มีแสงน้อย หรือถ่ายภาพกลางคืนได้ไม่ค่อยสะดวกนัก เมื่อเทียบกับมาตรฐานของกล้องมือถือในช่วงราคาใกล้เคียงกันในปัจจุบัน
อีกหนึ่งจุดที่ขาดหายไปก็คือการจับโฟกัสของโหมดถ่ายภาพบุคคล (โหมด Portrait) ที่ยังคงล็อกว่าต้องมีหน้าคนอยู่ในภาพด้วยเท่านั้น จึงจะสามารถโฟกัสเพื่อเบลอพื้นหลังได้ ต่างจาก iPhone รุ่นในซีรีส์หลักที่สามารถจับโฟกัสได้ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ เพื่อเบลอพื้นหลังได้หมด สำหรับข้อนี้ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมาจากการที่กล้องหลังมีแค่เลนส์เดียว จึงทำให้การวัดระยะตัวแบบ เพื่อให้ AI แยกพื้นหลังเป็นไปได้ยาก ส่งผลให้ระบบจำเป็นต้องอิงใบหน้าบุคคลเป็นหลัก เหมือนกับตอนที่ Apple ใส่โหมด Portrait มาให้ในยุคแรก ๆ เพราะขนาดใน iPhone 12 mini ที่มีแค่เลนส์ไวด์กับอัลตร้าไวด์ โดยที่ไม่มี LiDAR ก็ยังสามารถโฟกัสกับตัวแบบได้แทบทุกรูปแบบเลย
ส่วนกล้องหน้าก็ให้ภาพที่ออกมาแนวเดียวกับ iPhone รุ่นอื่น ๆ ครับ คือเน้นการเก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างครบ สีสันเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีโหมดปรับใบหน้ามาให้ อย่างในภาพทางซ้ายจะเป็นภาพเซลฟี่จากโหมดกล้องปกติ ส่วนภาพทางขวาเป็นภาพจากโหมด Portrait ที่จะมีการเบลอฉากหลังให้ เมื่อจับโฟกัสหน้าตัวแบบได้ ซึ่งก็ทำได้ในระดับที่น่าพอใจ จะมีปลายเส้นผมบางส่วนที่โดนเบลอไปด้วยอยู่บ้างเหมือนกัน
ด้านล่างนี้คือภาพจากกล้องของ iPhone SE 3 ครับ คลิกชมที่แกลเลอรี่ได้เลย
ประสิทธิภาพ ความแรงของ iPhone SE 3
iPhone SE 3 มาพร้อมกับ iOS 15.4 ที่เป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุดในขณะนี้ โดยในเครื่องที่ทดสอบนี้จะเป็นรุ่นความจุสูงสุดคือ 256 GB ซึ่งเมื่อเปิดขึ้นมาใช้งานครั้งแรก จะเหลือพื้นที่ให้ใช้งานได้อีกราว 245 GB พวกฟังก์ชันการทำงานต่าง ๆ ก็ไม่ได้ต่างจากรุ่นที่ใช้ดีไซน์ใหม่มากนักครับ ที่เห็นความแตกต่างได้ชัด ๆ เลยก็คงเป็นเมนู Face ID ที่หายไป เนื่องจากตัวเครื่องไม่มีระบบสแกนใบหน้านั่นเอง
ผลการทดสอบจาก AnTuTu รวมถึง Geekbench ก็อยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มของ iPhone 13 แทบทั้งซีรีส์เลย จะมีแค่ส่วนของการทดสอบ CPU แบบ multi-core ที่คะแนนอยู่ในช่วงไล่ ๆ กับกลุ่มเครื่องที่ใช้ชิป A14 เท่านั้น คือราว ๆ 3,900 – 4,200 คะแนน ในขณะที่กลุ่มของ iPhone 13 ที่ใช้ชิป A15 เหมือนกัน จะได้เฉลี่ยที่ประมาณ 4,400 คะแนนขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม คะแนนระดับนี้จัดว่าแรงเหลือเฟือแล้วครับ
อีกการทดสอบที่น่าสนใจคือ Geekbench ML ที่ทดสอบประสิทธิภาพการคำนวณด้าน machine learning จากโมเดล TensorFlow Lite โดยมีการทดสอบที่ให้เลือกทั้งจากการใช้ CPU, GPU และหน่วย Neural Engine (NPU) ในการคำนวณ ซึ่งผลที่ได้นั้นก็จะสะท้อนถึงความสามารถของเครื่องและชิป ในการประมวลผลที่เกี่ยวกับ AI ต่าง ๆ เช่น การทำงานของระบบสแกนใบหน้า สแกนนิ้ว ไปจนถึงระบบเบื้องหลังที่อาศัยการทำงานในลักษณะ machine learning ที่ถ้ายิ่งมีประสิทธิภาพสูง ก็ส่งผลให้การทำงานต่าง ๆ เร็วขึ้น รองรับการทำงานได้หลากหลาย รวมถึงยังช่วยลดการใช้พลังงานโดยรวมของระบบลงได้ด้วย เนื่องจากเป็นการนำส่วนประมวลผลเฉพาะทางมาใช้กับงานเฉพาะทางจริง ๆ ก็ย่อมทำได้ดีกว่าการโยนทุกงานไปให้ CPU หลักเหมือนแต่ก่อน
ซึ่งผลที่ได้ออกมาก็เป็นไปตามนั้นครับ คือเมื่อทดสอบโดยใช้ NPU ในการคำนวณ ก็ย่อมจะได้คะแนนสูงกว่าการใช้ CPU และ GPU ในการทดสอบ ส่วนถ้าเทียบคะแนนกับรุ่นอื่น ก็เป็นตามคาดเช่นกัน คือเกาะกลุ่มกับ iPhone รุ่นอื่นที่ใช้ชิป A15 Bionic ไปได้สบาย ๆ
ทดสอบประสิทธิภาพอีกรูปแบบด้วยการจับเวลาในการประมวลผลภาพถ่ายไฟล์ RAW จำนวน 67 ภาพที่มีการปรับแต่งแก้ไขรายละเอียด ใส่ลายน้ำ เปลี่ยนชื่อไฟล์ ด้วย Adobe Photoshop Lightroom เวอร์ชันล่าสุด ได้เวลาที่ใช้ออกมาดังนี้ครับ
- iPhone SE 3 ใช้เวลา 3 นาที 4 วินาที
- iPhone 13 ใช้เวลา 3 นาที 2 วินาที
- iPhone 12 mini ใช้เวลา 3 นาที 9 วินาที
- MacBook Pro 14 (M1 Pro) ใช้เวลา 53 วินาที
- เครื่อง PC Windows 11 (Ryzen 5 2600 + RAM 32 GB + GTX 1070) ใช้เวลา 1 นาที 12 วินาที
ถ้าดูจากเวลาที่ใช้ ก็ต้องบอกว่าชิป A15 Bionic ใน SE 3 นั้นมีประสิทธิภาพในการจัดการกับไฟล์ภาพที่ไม่ได้แตกต่างไปจาก iPhone รุ่นสูงกว่าที่ใช้ชิปเดียวกันเลย
ฝั่งของการใช้งาน 5G บน SE 3 ก็สามารถทำความเร็วเกิน 400 Mbps ได้สบาย ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ใช้งาน รวมถึงอาจจะทำได้ดีกว่านี้ด้วย หากมีการเปิดใช้งานการเชื่อมต่อ 5G แบบ SA จากเฟิร์มแวร์ของตัว iPhone เอง
แต่ถ้าหากเทียบกับกลุ่มรุ่นที่สูงกว่าอย่าง iPhone 13 และกลุ่มรุ่น Pro ที่ทดสอบในบริเวณเดียวกัน ตัวของ SE 3 จะมีโอกาสทำความเร็วสูงสุดได้ต่ำกว่าอยู่เล็กน้อย เนื่องจากระบบ MIMO ของการรับส่งสัญญาณในเครื่องนั้นอยู่ที่ 2×2 เท่านั้น ส่วนรุ่นสูงกว่าจะเป็นแบบ 4×4 ที่ทำให้มีแบนด์วิธสูงกว่า ทำความเร็วได้สูงกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ความเร็วดาวน์โหลดระดับ 500 Mbps นี่ก็เกินพอสำหรับการใช้งานทั่วไปแล้ว ส่วนความเร็วอัพโหลด ในขณะที่ทดสอบนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
การเล่นเกมบน SE 3 ก็หายห่วงจากความแรงของชิปรุ่นใหม่ล่าสุด บวกกับความละเอียดหน้าจอที่อยู่ในระดับ HD+ เท่านั้น (1334 x 750) ทำให้ GPU สามารถเรนเดอร์ภาพได้แบบสบาย ๆ แม้จะปรับกราฟิกในเกมต่าง ๆ ในระดับสูงสุด เฟรมเรตที่ 60 fps ส่วนเรื่องความร้อนนั้นก็จัดว่าเอาเรื่องเหมือนกันครับ ถ้าใส่เคสก็จะพอช่วยลดความร้อนที่พุ่งสู่มือลงได้นิดนึง จะติดตรงที่หน้าจอที่เล็กไปซักนิดนึง สำหรับการเล่นเกมในยุคนี้ ที่ปุ่มบนจอมีค่อนข้างเยอะ จนอาจจะบดบังภาพในเกมไปพอสมควร
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือเรื่องระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ของตัวเครื่อง ที่ให้ความจุมาแค่ 2018 mAh เท่านั้น ซึ่งจากที่ผมลองด้วยรูปแบบการใช้งานมือถือในยุคนี้ คือใช้ฟังเพลงผ่านหูฟัง Bluetooth เป็นระยะ ๆ เล่นโซเชียล ถ่ายรูปแมว มีแชร์เน็ต 5G เป็น hotspot นิดหน่อย พอถึงช่วงเย็น ๆ ประมาณ 4 โมงเย็น แบตก็เหลือประมาณ 20% แล้วครับ หากทำงานออฟฟิศ อาจจะต้องมีการชาร์จแบตระหว่างทำงานกันซักหน่อย จึงจะมั่นใจว่ากลับถึงบ้านได้แบบที่แบตยังเหลืออยู่ ส่วนถ้ามีเล่นเกมระหว่างวันด้วย หรือดูคลิป เล่น Tiktok นาน ๆ บอกเลยว่าไม่จบวันแน่นอน
ทดสอบการเล่นเกม RoV ประมาณ 12 นาที แบบเปิดเสียง ต่อ WiFi ปรับกราฟิกสูงสุด ได้เฟรมเรตนิ่ง ๆ ที่ 60 fps ส่วนแบตใช้ไป 4%
ส่วนเกม Genshin Impact นั้น ทดสอบด้วยการเปิดกราฟิกสูงสุด 60 fps เช่นกัน โดยเล่นติดต่อกัน 30 นาที ตัวเกมก็ค่อนข้างไหลลื่นดี มีเฟรมเรตตกนิดหน่อยตอนเจอศัตรู กินแบตไปประมาณ 19% ซึ่งเท่า ๆ กับที่ผมเคยทดสอบบน iPhone 13 Pro แบบตั้งค่าเฟรมเรต 120 fps เลย
ทำให้ส่วนตัวผมมองว่า iPhone SE 3 น่าจะเหมาะกับคนที่ต้องการ iPhone เครื่องเล็ก พกสะดวก มาสำหรับการใช้งานเบา ๆ หรือสำหรับคนที่ไม่ได้ติดการเล่นมือถือตลอดเวลา เพราะด้วยเรื่องของแบตเตอรี่เป็นหลักเลย
ส่วนการชาร์จแบตก็เร็วทันใจ สามารถชาร์จจนได้ 50% ภายในครึ่งชั่วโมง เมื่อใช้อะแดปเตอร์ที่จ่ายไฟได้ 20W ขึ้นไป รวมถึงยังรองรับการชาร์จไร้สายผ่านแท่นชาร์จที่ใช้มาตรฐาน Qi ด้วย แต่ก็จะชาร์จได้ช้ากว่าพวก iPhone 12 และ 13 ที่รองรับ MagSafe อยู่พอสมควร
สรุปแล้ว iPhone SE 3 น่าซื้อหรือเปล่า?
นับเป็นอีกครั้งที่ Apple ยังคงใช้ซีรีส์ SE เป็น iPhone รุ่นราคาย่อมเยา โดยอาศัยการนำบอดี้เครื่องที่หลายคนคุ้นเคย มาจับใส่ชิปใหม่ ปรับปรุงฮาร์ดแวร์ภายใน เพื่อให้ได้ iPhone สเปคแรงในตัวเครื่องไซซ์กะทัดรัด กับราคาเริ่มต้นที่ราวหมื่นกลาง ๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันเร็วทันใจ ตอบโจทย์การใช้งานในปัจจุบันได้อย่างครบถ้วน ทั้งยังมาพร้อมความสามารถในการใช้งาน 5G ที่มีความเร็วสูง ทำให้ไม่ว่าจะเล่นเน็ต ดูหนังผ่านสตรีมมิ่ง หรือจะใช้ในการไลฟ์ผ่านช่องทางโซเชียลต่าง ๆ ได้แบบไม่มีปัญหา ด้วยกล้องหลังที่ได้รับการเสริมประสิทธิภาพ ที่ทำให้การเก็บรายละเอียด การจับโฟกัส และการประมวลผลภาพนั้นแทบไม่ต่างจาก iPhone รุ่นหลักที่ออกมาใน gen เดียวกันเลย
แต่ก็ด้วยการออกแบบตัวเครื่องที่ยังคงใช้บอดี้เดียวกับ iPhone 7 ที่ออกมาตั้งแต่เมื่อราว 6 ปีก่อน พอมาอยู่ในยุคปัจจุบัน สิ่งที่กลายเป็นข้อจำกัดก็คือขนาดของตัวเครื่องเอง ที่ทำให้หน้าจอมีขนาดค่อนข้างเล็กไปซักนิดสำหรับการรับชมคอนเทนต์และการเล่นเกม รวมถึงปริมาณความจุแบตเตอรี่ที่น้อยกว่ามือถือรุ่นใหม่ ๆ ไม่ต่ำกว่า 25-50% แล้ว แต่ก็แลกมาด้วยกับความสะดวกในการพกพา ซึ่งก็เป็นหนึ่งในโจทย์ที่หลายคนยังคงใช้ในการตัดสินใจซื้อมือถือเครื่องใหม่อยู่เหมือนกัน ดังจะเห็นได้จากการที่หลายแบรนด์เอง ยังคงออกมือถือเครื่องเล็กสเปคแรงเกือบเท่ารุ่นระดับท็อปออกมาบ้างประปราย
ส่วนถ้าหากต้องการนำมาใช้แบบจัดเต็มเป็นเครื่องหลักในชีวิตประจำวัน อันนี้ต้องยอมรับว่าอาจจะต้องระวังปัญหาเรื่องแบตไม่พอระหว่างวันอยู่เหมือนกัน แต่ถ้างานของคุณเป็นแนวที่นั่งประจำโต๊ะ หรือสะดวกในการเสียบสายชาร์จทิ้งไว้ระหว่างวันได้ iPhone SE รุ่นใหม่ของปี 2022 นี้ก็เป็นทางเลือกที่ดี สำหรับคนที่ต้องการมือถือเครื่องเล็กอยู่เหมือนกัน
ถ้าจะให้บอกว่า iPhone SE 3 เหมาะกับใคร ส่วนตัวผมมองว่าน่าจะเหมาะกับผู้ปกครองที่ใช้ iPhone อยู่ แล้วต้องการหา iPhone เครื่องเล็กให้บุตรหลานใช้งาน เพราะต้องการความสะดวกในการจัดการรูปแบบการใช้งาน และคอนเทนต์ให้กับเด็ก ๆ โดยอาศัยฟังก์ชันที่มีอยู่ในตัว iOS และ iCloud เอง ซึ่งตัว SE 3 นั้นก็เร็วแรงมากพอสำหรับการใช้งานของเด็กแล้ว รวมถึงน้ำหนักตัวเครื่องที่ค่อนข้างเบา ช่วยลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานมือถือติดต่อกันเป็นระยะเวลานานด้วย
อีกรูปแบบการใช้งานที่คิดว่าค่อนข้างเหมาะกับ SE 3 ก็คือ การใช้เป็นมือถือเครื่องรอง ที่มีการซิงค์ข้อมูลกันกับ iPhone เครื่องหลักได้แบบไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นรายชื่อผู้ติดต่อ ปฏิทิน นัดหมาย รูปภาพ วิดีโอ เพลง รวมถึงเนื้อหาและข้อมูลต่าง ๆ ผ่านทาง iCloud เพื่อเอาไว้ใช้ในบางเวลา เช่น ตอนไปออกกำลังกาย หรือวันที่ไม่อยากพกมือถือเครื่องหลักน้ำหนักเยอะ ไปจนถึงใช้เป็นเครื่องสำหรับติดต่องานก็ยังได้
แต่ถ้าหากคุณกำลังมองหา iPhone ใหม่มือหนึ่งซักเครื่องในราคาเบา ๆ ผมมองว่า iPhone 12 แบบที่ติดโปรจากเครือข่าย หรือได้ส่วนลดหลักพัน น่าจะตอบโจทย์กับการใช้งานระยะยาวมากกว่า ด้วยความครบเครื่องในด้านต่าง ๆ แต่ถ้าหากโจทย์ของคุณคือมือถือเครื่องเล็กจริง ๆ การยอมกลั้นใจขยับมาที่ iPhone 13 mini แบบติดโปรนั้นน่าจะทำให้คุณสบายใจกับการใช้งานระยะยาวมากกว่า ด้วยขนาดตัวเครื่องที่แทบไม่ต่างกัน แต่ได้แบตที่ความจุสูงกว่า จอ OLED เองก็ช่วยลดอัตราการใช้พลังงานของแบตลงด้วย หรือถ้างบจำกัดจริง ๆ iPhone 12 mini ก็ยังเป็นทางเลือกที่โอเคอยู่เช่นกัน