iPhone จอใหญ่ แบตอึด ราคาไม่แรง สามข้อนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ใช้หลายคนต้องการมาก ๆ เพราะในช่วงหลายปีหลังมานี้ ถ้าหากต้องการ iPhone จอใหญ่ ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเลือกรุ่น Pro Max ที่หน้าจอใหญ่สุด แต่มาในปีนี้ Apple เลือกที่จะขยายไลน์ iPhone รุ่นสเปคปกติโดยเพิ่มรุ่นจอใหญ่ขึ้นมา นั่นก็คือ iPhone 14 Plus ที่แม้จะใช้สเปคหลาย ๆ จุดที่เหมือนยกมาจาก iPhone 13 series ก็ตาม แต่ด้วยความที่ตัวเครื่องใหญ่ขึ้น แน่นอนว่าก็ต้องมีจุดที่น่าสนใจกว่ารุ่นหน้าจอปกติ ซึ่งในรีวิวนี้จะมาดูกันครับว่า iPhone 14 Plus มีจุดไหนที่น่าสนใจบ้าง
โดยนอกเหนือจากหน้าจอที่ขยายมาเป็นขนาด 6.7″ เท่า ๆ กับซีรีส์ Pro Max แล้ว จุดที่น่าสนใจก็คือความจุแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้ Apple โฆษณาได้เลยว่าเป็นหนึ่งใน iPhone รุ่นที่ใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีที่สุด ทำให้น่าจะตอบโจทย์คนที่อยากได้ iPhone จอใหญ่ แบตใช้ได้นาน ๆ ได้ดีทีเดียว ซึ่งถ้าดูที่สเปคก็จะทราบสาเหตุครับ
สเปค iPhone 14 Plus
- ชิปประมวลผล A15 Bionic เหมือนกับใน iPhone 13 series
- CPU 6 คอร์ / GPU 5 คอร์ / Neural Engine 16 คอร์
- แรม 6 GB
- หน้าจอ Super Retina XDR OLED ขนาด 6.7″ 60Hz ความละเอียด 2778×1284 รองรับ HDR10 และ Dolby Vision
- กระจกหน้าจอ Ceramic Shield
- พื้นที่เก็บข้อมูล มีให้เลือกทั้ง 128, 256 และ 512 GB
- กล้องหลัง 2 เลนส์ ถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 4K 60fps
- กล้องหลัก 12 MP f/1.5
- กล้องอัลตร้าไวด์ 12 MP f/2.4
- มีโหมด Cinematic (4K 30fps) และ Action Mode
- กล้องหน้า 12 MP f/1.9
- เพิ่มระบบ Photonic Engine เข้ามาเพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพให้กับภาพถ่าย
- ลำโพงคู่สเตอริโอ ระบบเสียง Dolby Atmos
- ใช้ 5G ในไทยได้ (sub-6 GHz) + Bluetooth 5.3
- ยังมีช่องใส่ซิมการ์ดอยู่
- เพิ่มระบบตรวจจับการชน (Car Crash Detection) และระบบส่ง SOS ผ่านดาวเทียมเข้ามา
- แบตเตอรี่ 4323 mAh รองรับการชาร์จผ่านพอร์ต Lightning และ MagSafe 15W
- ราคา iPhone 14 Plus
- รุ่น 128 GB – 37,900 บาท
- รุ่น 256 GB – 41,900 บาท
- รุ่น 512 GB – 50,900 บาท
สเปคของ iPhone 14 Plus โดยส่วนใหญ่ก็คือจะคล้ายกับ iPhone 13 เลยก็ว่าได้ แต่ก็มีจุดที่ใส่เพิ่มเข้ามา เช่น การเพิ่มแรมเป็น 6 GB เพื่อการทำงาน การสลับแอปที่ไหลลื่นขึ้น ระบบ Photonic Engine ที่ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดในภาพถ่ายได้ดีขึ้นกว่าเดิม ระบบตรวจจับการชนก็จัดว่าเป็นระบบที่มีประโยชน์เช่นกันครับ แต่อาจจะเป็นโหมดที่ทดสอบยากซักหน่อย ส่วนระบบส่ง SOS ผ่านดาวเทียม อันนี้ยังไม่รองรับในประเทศไทยนะครับ
ย้อนกลับไปเรื่องหน้าจอและแบตเตอรี่ แม้ว่าจะ 14 Plus จะมีขนาดใหญ่ก็ตาม แต่ด้วยการที่เป็นจอ 60Hz ตามปกติ ไม่ได้เป็นจอ ProMotion เหมือนในรุ่นโปร ดังนั้นที่เห็นได้ชัดเลยก็คือจะใช้พลังงานน้อยกว่า โดยเฉพาะในการใช้งานที่ต้องมีการเปลี่ยนภาพบนหน้าจอบ่อย เช่น การดูวิดีโอ เล่นเกม ไถฟีดในแอปโซเชียล เป็นต้น เมื่อประกอบกับแบตที่ความจุสูง จึงทำให้ iPhone 14 Plus นั้นเป็น iPhone รุ่นที่ใช้งานแบตได้นานมากจริง ๆ
แต่จุดที่ทำให้คนสนใจ 14 Plus น้อยลง นอกเหนือจากกำหนดการวางขายที่ช้ากว่ารุ่นอื่นที่เปิดตัวมาพร้อมกันแล้ว สำหรับในไทยก็คงเป็นเรื่องราคาเครื่องศูนย์ที่ต้องบอกว่าเกินคาดไปซักนิดหนึ่ง เพราะราคาเปิดตัวในสหรัฐฯ นั้นอยู่ที่ $899 ถ้าแปลงกลับมาเป็นค่าเงินไทยด้วยเรตที่คุ้นเคยกันมาหลายปีอย่าง 1 USD = 31-33 บาท ก็น่าจะอยู่ที่ราว ๆ สามหมื่นต้น ๆ เท่านั้น แต่พอมาในปีนี้ที่ค่าเงินเฟ้อ ค่าเงินบาทอ่อน ทำให้ราคาเริ่มต้นของ 14 Plus นั้นแทบจะไปชนกับกลุ่มรุ่น Pro ที่เริ่มต้นในระดับ 41,900 บาทแล้ว และยิ่งถ้าซื้อพร้อมแพ็คเกจจากผู้ให้บริการ หักลบไป ๆ มา ๆ กลายเป็นว่าซื้อรุ่น Pro ไปเลยยังจะคุ้มกว่าซะอีก
แต่ก็ด้วยข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์แหละครับ เพราะแม้ราคา 14 Plus จะไปเกือบชน 14 Pro ก็จริง แต่จอของ 14 Plus มันก็ยังมีขนาดใหญ่กว่าอยู่ดี เพราะคนที่อยากได้ iPhone จอใหญ่ ก็คือคนที่ต้องการจอที่ใหญ่จริง ๆ แต่ถ้าจะขยับไปเป็น 14 Pro Max มันก็ราคากระโดดขึ้นไป ดังนั้นก็พอจะมองว่าเรื่องจอใหญ่ ในราคาย่อมเยา (กว่าจอใหญ่รุ่นท็อป) เป็นจุดขายที่เด่นชัดที่สุดของ iPhone 14 Plus ก็คงไม่ผิดนัก แต่ก็แนะนำว่าลองคำนวณแพ็คเกจ ราคาส่วนลดตอนซื้อเทียบกันหลาย ๆ รุ่นดูก่อนครับ รวมถึงกลุ่ม iPhone 13 Pro Max ด้วย ในกรณีที่ต้องการคุม budget หน่อย
แกะกล่อง iPhone 14 Plus และเคส MagSafe
ในการรีวิว iPhone 14 Plus ครั้งนี้ ทางเราก็ได้รับเคสตรงรุ่นมาพร้อมกันด้วย โดยเป็นเคสซิลิโคนที่รองรับการชาร์จไร้สายแบบ MagSafe ราคาบนหน้าเว็บ Apple อยู่ที่ 1,990 บาท
iPhone 14 Plus ที่เราได้รับมาในครั้งนี้ เป็นรุ่นความจุ 512 GB สีฟ้าอ่อน เครื่องผลิตเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีรหัสโมเดลเป็น A2886 ซึ่งเป็นรุ่นที่วางจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลก มีถาดใส่นาโนซิม 1 ช่อง พร้อมรองรับ eSIM ตามปกติที่คุ้นเคย ส่วนโมเดลอื่นที่น่าสนใจก็เช่น A2632 สำหรับในสหรัฐอเมริกาที่ตัดถาดใส่ซิมออก โมเดล A2885 เป็นรุ่นที่ขายในญี่ปุ่น และโมเดล A2888 จะเป็นรุ่นที่ขายในจีน ฮ่องกง มาเก๊า ซึ่งยังคงมาพร้อมถาดใส่ซิมที่มีช่องใส่นาโนซิม 2 ช่องเหมือนที่ผ่าน ๆ มา
ในกล่องก็ยังคงเหมือนในรุ่นที่ผ่านมา คือให้มาแค่สาย Lightning to USB-C สำหรับชาร์จและซิงค์ข้อมูลเท่านั้น ที่เหลือก็เป็นเข็มจิ้มถาดใส่ซิม เอกสารคู่มือเบื้องต้น การรับประกัน และก็สติกเกอร์โลโก้ Apple สีขาว 1 ดวง
กลับไปที่เคสซิลิโคน ตัวผิวนอกจะเป็นซิลิโคนแบบซอฟต์ทัชที่นุ่มมือมาก ๆ จับถือสะดวก มีการยกขอบบริเวณกล้องหลัง เพื่อช่วยให้กล้องไม่สัมผัสกับพื้นเวลาวางเครื่อง ส่วนด้านในจะเป็นผิวกำมะหยี่
เวลาใส่ก็จะฟิตพอดีกับตัวเครื่องเลย พร้อมทั้งมีขอบเครื่องนูนแบบไม่กินขอบดำของหน้าจอเลย ทำให้สามารถเลือกใช้ฟิล์มหรือกระจกกันรอยแบบเต็มจอได้
ตัวเครื่อง
ถ้าเห็นรูปเครื่องอยู่เดี่ยว ๆ ส่วนตัวผมเองก็ระบุได้ยากเหมือนกันว่าเป็น iPhone 14 Plus, 14 ธรรมดาหรือ 13 กันแน่ เพราะฝั่งหน้าจอนั้นเหมือนเดิมแทบจะ 100% เลย รวมถึงการสเกลขนาดไอคอน ตัวอักษรต่าง ๆ ที่ทำให้แยกความต่างได้ยากนิดนึง ต้องอาศัยการดูระยะห่างระหว่างไอคอนแถวสุดท้ายกับแถบ bar ด้านล่าง ถึงจะพอระบุรุ่นได้ ต่างจากใน 14 Pro และ Pro Max ที่เปลี่ยนจากแถบ notch เป็น Dynamic Island ซึ่งช่วยแยกความแตกต่างระหว่างรุ่นได้แบบชัดเจน
สำหรับใน iPhone 14 และ 14 Plus จะยังคงใช้แถบ notch อยู่เหมือนเดิม ซึ่งเท่าที่เทียบ รู้สึกว่ามันมีขนาดเท่า ๆ กับใน iPhone 13 Pro ที่ผมใช้เป็นเครื่องหลักอยู่ รวมถึงขอบจอที่ก็แทบจะเท่ากันเลย
จอ iPhone 14 Plus มีค่าความหนาแน่นของพิเซลอยู่ที่ 458 PPI ซึ่งเท่ากับ iPhone 13 Pro Max เลย ส่วน 14 Pro Max นั้นอยู่ที่ 460 PPI ทำให้ถ้าดูผ่าน ๆ ก็แทบจะแยกความแตกต่างไม่ออกแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม 458 PPI นี้ก็เนียนมาก ภาพสวยและดูเป็นธรรมชาติมาก ๆ ตามสไตล์จอ iPhone อยู่แล้ว
เรื่องสีสัน ก็ต้องบอกว่าเหมือนเดิมครับ คือเป็นตามสไตล์ของจอ iPhone ที่สีสันเป็นธรรมชาติ ไม่ฉูดฉาดเกินไป ใช้งานได้แบบสบายตา ส่วนที่ดำก็ดำสนิทตามคุณสมบัติของจอ OLED สามารถใช้งานได้ดีมากทั้งกลางแจ้งและในที่ร่ม ระบบปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติก็ทำงานได้ดี
แต่ส่วนตัวผมที่ใช้ iPhone 13 Pro จอ 120Hz ProMotion มา 1 ปีนิด ๆ ก็ต้องบอกว่าพบความรู้สึกต่างอยู่เหมือนกันในตอนที่เลื่อนหน้าจอเร็ว ๆ เช่น ตอนเลื่อนหารูปถ่ายในแอป Photo หรือตอนเลื่อนฟีดโซเชียลเร็ว ๆ ที่จอ 120Hz มันลื่นตากว่าจอ 60Hz ใน 14 Plus จริง ๆ แต่ด้วยการออกแบบด้าน UI/UX ใน iOS ของ Apple ที่ทำเรื่องความลื่นไหลมาได้ดีตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำให้แม้จะเป็นจอ 60Hz มันก็ยังโอเคอยู่ดีครับ
ด้านหลังของ iPhone 14 Plus ใช้วัสดุเป็นกระจกเหมือนกับในรุ่นอื่น ๆ โดยเครื่องที่รีวิวนี้เป็นรุ่นสีฟ้าอ่อน ที่ออกโทนสว่างกว่าใน iPhone 13 Pro/Pro Max เล็กน้อย ฝั่งบนซ้ายก็เป็นเลนส์กล้องทั้งสองตัว โดยเลนส์ด้านบนจะเป็นอัลตร้าไวด์ ถัดลงมาก็เป็นเลนส์ไวด์ปกติ
จุดที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวใน iPhone 14 Plus ก็คือมันเป็น iPhone จอใหญ่ที่มีการกระจายน้ำหนักได้ดี ทำให้ผมรู้สึกว่าสบายข้อมือกว่าตอนถือใช้งาน แม้ว่าน้ำหนักเครื่องตามสเปคนั้นจะเท่ากับ iPhone 13 Pro เป๊ะเลยที่ 203 กรัม แต่ตัวของ 13 Pro นั้นมีบอดี้ที่เล็กกว่า ทำให้รู้สึกว่าตัวเครื่องมันแน่น และมีพื้นที่ให้กระจายน้ำหนักที่น้อยกว่า รวมถึงยังมีโมดูลกล้อง 3 เลนส์ที่หนักกว่าใน 14 Plus มาก ทำให้ในบางครั้งผมรู้สึกหนักข้อมือมาก เมื่อจำเป็นต้องถือเครื่องไว้นาน ๆ แต่กับใน iPhone 14 Plus ผมยังไม่เจอปัญหานี้เลย
ขอบเครื่องของ 14 Plus ใช้เป็นอลูมิเนียมที่มีการทำสีเป็นโทนสีฟ้าตามสีฝาหลังเลย สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อก็มีแค่ Lightning ตามปกติ
ส่วนด้านข้าง ไล่จากฝั่งขวาก็มีแค่ปุ่ม Power ส่วนฝั่งซ้ายจะมีสวิตช์เปิด/ปิดเสียง ปุ่มปรับระดับเสียง และก็ถาดใส่นาโนซิมตามปกติ
เทียบขนาดกับ iPhone 13 Pro
ทีนี้ลองจับเครื่องมาเทียบ iPhone 13 Pro ดูบ้างครับ ซึ่งก็พออนุมานว่าเป็นการเทียบกับ iPhone 14 ได้อยู่เหมือนกัน แต่ฝั่งของ 13 Pro จะมีติดกระจกกันรอยหน้าจอ และฟิล์มกันรอยที่ด้านหลังด้วยนะครับ
เรื่องสีสัน ความคมชัดของจอนั้นแทบไม่ต่างกันเลย เพราะเป็นจอ Super Retina XDR OLED เหมือนกัน
ขนาดของ notch ก็เท่า ๆ กัน แต่ตรงส่วนของขอบจอสีดำโดยรอบ ถ้าเทียบดี ๆ จะดูว่าจอ iPhone 14 Plus นั้นขอบบางกว่า iPhone 13 Pro อยู่เล็กน้อย แต่ก็น้อยมาก ๆ จนสังเกตได้ยากอยู่
จอที่ใหญ่กว่า ก็ได้พื้นที่ในการแสดงผลที่มากกว่าด้วย เหมาะกับคนที่ต้องการอ่านข้อมูลเยอะ ๆ ในหน้าเดียวมาก และก็รู้สึกว่าโทนสีของจอ 13 Pro ที่ผมใช้อยู่จะดูอุ่นกว่า 14 Plus เครื่องที่รีวิวนี้อยู่เล็กน้อย (เปิดใช้ True Tone ทั้งคู่)
ทั้งคู่เป็นรุ่นสีฟ้าอ่อนเหมือนกัน แต่ใน 13 Pro จะเป็น Sierra Blue ที่มีความหม่นในสไตล์โลหะมากกว่า ส่วนสีฟ้าใน 14 Plus จะเป็นฟ้าที่ดูสว่างสดใสกว่า ส่วนบริเวณขอบเลนส์กล้องก็จะใช้วัสดุแบบเดียวกับขอบเครื่องเลย
กล้องหลัง 14 Plus จะมีความหนาที่น้อยกว่า 13 Pro อยู่นิดนึง
ส่วนขอบเครื่องก็จะดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดครับ คือในรุ่นโปรจะใช้เป็นสแตนเลสสตีลที่มีความแวววาวกว่า ในขณะที่รุ่นปกติจะใช้อลูมิเนียม
กล้อง iPhone 14 Plus
แม้ว่า Apple จะยังคงใช้กล้องหลัง 2 เลนส์เป็นเลนส์ไวด์และอัลตร้าไวด์เหมือนเดิม (ในราคาเครื่องเกือบ 40,000) แต่มันก็มาพร้อมกับการพัฒนาด้านการประมวลผลภาพแบบ computational photography จากภายในแบบใหม่คือ Photonic Engine มาด้วย ซึ่งจะเข้ามาช่วยการประมวลผลภาพถ่ายให้สามารถเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้น โดยเฉพาะกับการถ่ายภาพในบริเวณที่มีแสงระดับกลางถึงน้อยไปเลย ทำให้น่าสนใจว่าจะสามารถเพิ่มคุณภาพของภาพถ่ายได้ขนาดไหน ซึ่งผมก็ทดสอบมาแล้วครับ และมันดีขึ้นจริงอยู่นะ
สำหรับเมนูแอปกล้องก็เหมือนเดิมเลย แต่สำหรับใน iPhone รุ่นปกติที่ไม่ใช่รุ่นโปร ก็จะไม่สามารถถ่ายไฟล์ ProRAW ได้ รวมถึงยังไม่มีโหมดถ่ายมาโครมาด้วย
ส่วนในการถ่ายวิดีโอจะมีโหมดใหม่เพิ่มเข้ามา นั่นคือ Action Mode ที่ออกแบบมาสำหรับการถ่ายคลิปที่ตัวแบบมีการเคลื่อนไหว มีการเคลื่อนที่เกือบตลอดเวลา ภาพที่ได้นั้นดูนิ่งและลื่นไหลเหมือนกับการใช้ action cam เลย โดยใน iPhone 14 Plus จะถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 2.8K 60fps
ด้านของโหมด Cinematic ก็จะคล้ายกับใน iPhone 13 Pro เลย (รีวิว) แต่ในรอบนี้มีการอัปเกรดให้สามารถถ่ายที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K 30fps ได้แล้ว
สไตล์ของภาพที่ได้ก็ยังคงเป็นแบบ iPhone ครับ คือสีสันกับ white balance ความสว่างนั้นค่อนข้างตรงกับที่ตาเห็น ระบบ HDR สามารถทำงานได้ดี
การถ่ายภาพในที่มีแสงน้อยก็ทำได้ในระดับที่น่าพอใจเช่นกัน ทั้งเรื่องความสว่างของภาพที่ดูเป็นธรรมชาติ และการเก็บรายละเอียดในส่วนมืดและสว่างที่ทำได้ดีในสไตล์ของ iPhone
ส่วนโหมด Portrait ก็สามารถใช้ถ่ายได้ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ ขอแค่มีระยะห่างจากกล้องถึงตัวแบบที่เหมาะสม แต่จะไม่สามารถถ่ายโหมด Portrait พร้อมกับการเปิดโหมดกลางคืนได้นะครับ
ทีนี้ลองเทียบกันระหว่าง iPhone 14 Plus ที่มี Photonic Engine กับ iPhone 13 Pro บ้าง โดยทั้งสองเครื่องใช้งาน iOS 16.2 Public Beta 1 เหมือนกัน แม้ว่าดูผ่าน ๆ จะรู้สึกว่าภาพมันค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่ถ้าลองซูมดูรายละเอียดจริง ๆ จะเห็นความแตกต่างว่ากล้องของ 14 Plus นั้นเก็บรายละเอียดยิบย่อยได้ครบกว่าจริง ๆ อย่างในภาพบน จะมีภาพวงกลมที่ผม crop มาขยายให้เห็นความแตกต่าง ซึ่งถ้าลองดูดี ๆ จะเห็นว่าภาพขวานั้นดูไม่ชัด ไม่คมเท่ากับภาพซ้ายจาก 14 Plus
การเก็บรายละเอียดในโหมด Portrait ก็มีความแตกต่างอยู่เหมือนกัน ซึ่งลักษณะก็คล้ายกับภาพคู่แรกครับ สังเกตได้จากเส้นขนที่มีการไล่เฉดสีดำมากกว่า รายละเอียดเส้นก็ดูคมกว่าด้วย
พอเริ่มเทียบในที่มีแสงน้อย เมื่อดูจากขนบริเวณตัวแมว แม้ดูจากไกล ๆ ก็จะเห็นว่ามันดูเรียงกันเป็นเส้นมากกว่า ในขณะที่ภาพขวาจะเริ่มดูเป็นปื้น ๆ แล้ว ไม่คมเท่ากับภาพซ้าย ส่วนเรื่องความสว่าง โทนสีภาพ ต้องบอกว่าภาพจาก 13 Pro นั้นอมเหลืองกว่าที่ตาเห็นเล็กน้อย
สำหรับการถ่ายภาพในเวลากลางคืน ระบบ Photonic Engine นั้นเข้ามาช่วยด้านการประมวลผลภาพให้ดูสว่างและเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จะเห็นจากภาพซ้ายที่เราเห็นดีเทลส่วนมืดตามตึกมากกว่า รวมถึงส่วนที่สว่างมาก ๆ อย่างตรงร้าน 7-11 ที่ฝั่งของ iPhone 13 Pro นั้นดูเป็นแถบสว่างจ้าเกินจนมองแทบไม่เห็นรายละเอียดด้านในมากนัก รวมถึงโดยรวมของภาพที่ดูสว่างขึ้นกว่าเดิมด้วย
หากดูที่ค่า exif ของแต่ละภาพ ทั้งสองเครื่องใช้ ISO 800 เท่ากัน ค่ารูรับแสงตายตัวจากเลนส์ที่ f/1.5 เท่ากัน ไม่มีการชดเชยค่าแสง (ev) ทั้งคู่ แต่จุดที่ต่างกันคือ iPhone 14 Plus ใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/20 วินาที ในขณะที่ 13 Pro ใช้ที่ 1/25 วินาที ซึ่งอาจจะส่งผลถึงปริมาณแสงที่เข้าสู่เซ็นเซอร์รับภาพด้วย แต่ฝั่งของ 14 Plus นั้นปล่อยให้แสงเข้ามากกว่า แล้วใช้ระบบประมวลผลภาพช่วยในการจัดการแสงของทั้งภาพ ทำให้ภาพออกมาสว่างขึ้น แต่ก็ยังเก็บรายละเอียดส่วนที่สว่างจ้าไว้ได้ด้วยพร้อมกัน ส่วนตัวผมรู้สึกว่าโทนภาพนั้นดูขยับเข้ามาใกล้เคียงภาพที่ได้จากโหมดถ่ายกลางคืนของกลุ่มมือถือ Android หลาย ๆ รุ่นแล้ว คือเน้นภาพสว่าง ตัดขอบคม และพยายามขุดรายละเอียดส่วนมืดสุด ส่วนสว่างสุดออกมาให้ได้มากที่สุด โดยที่ภาพไม่เละเป็นวุ้นเกินไป
พอลองถ่ายในบริเวณที่มืดมาก ๆ มีแสงเข้ามาจากทางซ้ายนิดหน่อย ทั้งสองเครื่องสามารถเก็บภาพมาได้ดีทั้งคู่ แต่ถ้าซูมดูรายละเอียดบนขวด จะเห็นเลยว่า 14 Plus นั้นทำได้คมกว่า สามารถอ่านข้อความได้ง่ายกว่า 13 Pro ที่บางจุดก็ดูเป็นปื้น ตัดขอบตัวอักษรได้ไม่คมเท่า
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการถ่าย การโฟกัส จุดนี้ iPhone 13 Pro สามารถทำได้เร็วกว่า เนื่องจากมีเซ็นเซอร์ LiDAR นั่นเอง
การถ่ายย้อนแสง ระบบ HDR ของทั้งคู่ทำได้ดีพอ ๆ กัน
ส่วนเรื่องระยะการถ่ายใกล้สุด แน่นอนว่า iPhone 14 Plus นั้นสู้ 13 Pro ไม่ได้ครับ เนื่องจาก 13 Pro นั้นมีโหมดมาโครที่ใช้เลนส์อัลตร้าไวด์ในการเก็บภาพมาให้ด้วย ในขณะที่ 14 Plus ที่แม้จะมีเลนส์อัลตร้าไวด์เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีโหมดมาโครมาให้
ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ iPhone 14 Plus นะครับ
ประสิทธิภาพ ความแรง และการเล่นเกมบน iPhone 14 Plus
iPhone 14 Plus รองรับการใช้งาน iOS 16 ขึ้นไป โดยในขณะที่ทดสอบจะเป็นตัวของ iOS 16.2 Public Beta 1 ซึ่งสามารถใช้งานได้ไหลลื่นดี สามารถปรับ widget ที่หน้าล็อกสกรีนได้ตามปกติ แต่ขั้นตอนการเปลี่ยนภาพพื้นหลังหน้าจอก็จะดูแปลก ๆ นิดนึง ซึ่งก็ต้องรอ Apple ปรับจูนกันต่อไป
พื้นที่เก็บข้อมูลในเครื่องที่ทางเราได้รับมานี้อยู่ที่ 512 GB ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดของ 14 Plus แล้ว เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาครั้งแรกจะเหลืออยู่ที่ประมาณ 500 GB สำหรับในการตั้งค่าเพื่อใช้งานเครื่องครั้งแรก จะมีหน้าจอที่เกี่ยวกับการถ่ายโอนเบอร์จาก iPhone เครื่องอื่นมายังเครื่องใหม่ด้วย ซึ่งก็จะมีให้เลือกทั้งเบอร์จากในซิมการ์ดและเบอร์ที่ผมใส่ไว้ในระบบ eSIM เลย หรือจะใช้การสแกน QR ก็ได้ ในกรณีที่ซื้อเครื่องใหม่จากศูนย์ของผู้ให้บริการเครือข่าย แล้วต้องการทำ eSIM ไปพร้อมกันเลย แต่ถ้าใครต้องการใช้ซิมเดิมตามปกติ ก็กดข้ามไปได้นะ
ในการใช้งานทั่วไป แน่นอนว่าพลังของชิป A15 Bionic และแรม 6 GB ของ iPhone 14 Plus ยังตอบสนองการทำงานได้รวดเร็วทันใจอยู่ ทั้งการเปิดแอป โหลดแอป ดาวน์โหลดข้อมูล ประมวลผลภาพถ่ายก็ทำได้ดี
ทดสอบประสิทธิภาพด้วยแอป GeekBench 5 ก็ได้คะแนนออกมาในระดับสูงทั้งส่วนของ CPU แบบ single และ multi core รวมถึงการคำนวณของ GPU ที่ทำออกมาได้เกาะกลุ่มกับชิป A15 Bionic ในรุ่นอื่น ๆ อยู่
สำหรับ AnTuTu อันนี้จะแปลกนิดนึงครับ เพราะ iPhone 14 Plus (512 GB) ทำคะแนนได้สูงกว่า iPhone 13 Pro (128 GB) เป็นหลักหมื่นคะแนนอยู่เหมือนกัน คือราวๆ 77x,xxx – 88x,xxx คะแนน เทียบกับ 13 Pro ที่ทำได้ในระดับ 77x,xxx เท่านั้น ซึ่งถ้าไปเจาะดูรายละเอียดก็จะพบว่าส่วนที่ 14 Plus ทำได้ดีจนคะแนนฉีกหนีออกมา ทั้งที่ก็ใช้ชิปรุ่นเดียวกันก็คือส่วนของหน่วยความจำรองของเครื่อง หรือที่เรียกกันแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ROM ครับ ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะปกติแล้วเครื่องที่มีรอมเยอะ ๆ มักจะทำคะแนนในการทดสอบได้ดีกว่าอยู่แล้ว อาจจะเป็นเรื่องของช่องทางในการเรียกหา เขียน อ่านข้อมูลที่เยอะกว่า จึงส่งผลให้ได้คะแนนทดสอบดีกว่าไปด้วย
ทีนี้ถ้าจับเฉพาะส่วนของผลทดสอบชิป A15 Bionic จาก GeekBench มาเทียบกัน จะพบว่าส่วนของ CPU นั้นแทบไม่ต่างกับใน iPhone 13 Pro เลย ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะมันเป็นชิปรุ่นเดียวกัน แต่กับในส่วน GPU ที่ทดสอบด้วยการคำนวณกลับเป็นว่า iPhone 13 Pro ยังทำได้ดีกว่าอยู่เล็กน้อย
อีกการทดสอบของ GeekBench ที่น่าสนใจคือการทดสอบการประมวลผลด้าน machine learning ที่มีให้ทดสอบการคำนวณจากทั้ง CPU, GPU และส่วนของ Neural Engine ที่มีถึง 16 คอร์
ผลที่ได้ก็สอดคล้องกับหัวข้อก่อนหน้านี้ครับ คือส่วนของ CPU และ Neural Engine นั้นได้ผลแทบจะไม่ต่างกันเลย ในขณะที่ GPU ก็ยังเป็น iPhone 13 Pro ที่ทำได้ดีกว่า จึงพอจะตั้งสมมติฐานได้ว่า Apple อาจมีการปรับลดการทำงานของ GPU ใน iPhone 14 Plus ลงเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นจุดที่เข้าใจได้ เพราะ 13 Pro มาพร้อมจอ 120Hz ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมากกว่า แต่ใน 14 Plus ที่ใช้จอ 60Hz ปกติ ก็ปรับลดพลังลงมานิดนึงก็ได้ ทำให้ได้ประสิทธิภาพที่เพียงพอกับความต้องการ ควบคู่กับการประหยัดพลังงานลงด้วย
ลองเล่นเกม Genshin Impact เกมยอดนิยมของสายเกลือดู ค่ากราฟิกที่ตัวเกมปรับมาให้ตอนเริ่มต้นจะอยู่ที่ระดับ High ตามภาพด้านบน แต่เฟรมเรตอยู่ที่ระดับ 30fps ซึ่งพอปรับเป็น 60fps ตัวเกมก็ยังไหลลื่นดีมาก ๆ อยู่ ระหว่างเล่นตัวเครื่องก็ร้อนขึ้นมาตามปกติ พอใส่เคสแล้วก็ช่วยลดความร้อนที่ส่งมาถึงมือได้มากทีเดียว สำหรับการเล่นเป็นเวลา 30 นาทีติดต่อกัน ความสว่างหน้าจออยู่ในระดับที่เล่นในบ้านปกติ เปิดเสียงเล็กน้อย ต่อ WiFi ตัวเครื่องใช้แบตไปประมาณ 11%
อีกเกมที่ไม่ลองไม่ได้ก็คือ Goddess of Victory: Nikke ซึ่งสามารถปรับกราฟิกและ effect ทุกอย่างในระดับสูงสุด 60fps ได้แบบสบาย ๆ แอนิเมชันในแต่ละฉาก แต่ละจุดเป็นไปได้อย่างไหลลื่น ไม่มีสะดุด สำหรับการเล่นติดต่อกัน 30 นาที จะใช้แบตไปราว ๆ 11% เท่ากันกับ Genshin เลย
ส่วนการใช้งานแบตเตอรี่ในสถานการณ์ทั่วไปนั้นทำได้ดีมาก สามารถใช้เกิน 1 วันได้เลย แม้จะเปิด 5G ด้วยก็ตาม
สรุปปิดท้ายรีวิว iPhone 14 Plus
iPhone 14 Plus คือ iPhone จอใหญ่ แบตอึดที่ทำออกมาตอบโจทย์ 2 ข้อนี้ได้แบบถูกต้อง 100% เลย ด้วยแนวคิดในการออกแบบให้เป็นเหมือน iPhone 14 ในแบบที่ขยายหน้าจอขึ้นมามีขนาดเท่ากับรุ่น Pro Max ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการเสพเนื้อหาบนหน้าจอได้ดี แถมยังมีน้ำหนักเครื่องที่ส่วนตัวผมมองว่าไม่หนักเกินไป แม้ว่าจะยังคงเป็นจอ 60Hz ตามปกติอยู่ แต่ก็จัดว่าอยู่ในระดับที่โอเคสำหรับการใช้งานพื้นฐานอยู่แล้ว แค่อาจจะขัดใจบ้างสำหรับคนที่เคยใช้จอรีเฟรชเรตสูงมาก่อน
ส่วนด้านที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างเรื่องกล้อง อันนี้ก็เห็นผลได้ค่อนข้างชัดเจนเลยเมื่อนำมาเทียบกับ iPhone รุ่นก่อนหน้า ซึ่งบางจุดก็ทำได้ดีแซงรุ่นโปรซะด้วยซ้ำ ด้วยความสามารถของ Photonic Engine ที่ช่วยประมวลผลภาพได้ดี ควบคู่กับความเร็วที่ไวทันใจในแบบฉบับ iPhone อยู่ ในขณะที่เรื่องประสิทธิภาพโดยรวม แม้ตัวเครื่องจะเลือกใช้ชิป A15 Bionic ที่เป็นรุ่นของปีที่แล้วก็จริง แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง คือเราได้ประสิทธิภาพในระดับเดียวกับ 13 Pro และ 13 Pro Max ที่เป็นรุ่นท็อปของปีที่แล้วเลย ซึ่งในตอนนี้มันก็ยังแรงเหลือเฟืออยู่ รองรับการอัปเกรดกันได้อีกนาน ประกอบกับต้องยอมรับตรง ๆ ว่าในช่วงหลังมานี้ ชิปของ Apple เองก็ไม่ได้มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพในระดับที่ก้าวกระโดดมากนัก แต่เน้นไปที่การทำให้ประสิทธิภาพต่อการใช้พลังงานที่ดีขึ้นมากกว่า ซึ่งถ้าเป็นใน iPhone 14 Plus ที่ให้แบตความจุเยอะมาแล้ว บอกเลยว่าสบายมาก
แต่จุดที่อาจจะทำให้ iPhone 14 Plus ดูมีความน่าสนใจลดลงก็คงหนีไม่พ้นเรื่องราคาไทยครับ เพราะราคาเริ่มมาก็สามหมื่นปลาย ๆ แล้ว ซึ่งเป็นจุดที่คงต้องชั่งใจหนักพอสมควร เพราะมันสูงขึ้นจากตัวเริ่มต้นของรุ่นปกติร่วม 5,000 บาท และมันก็ขยับมาใกล้ราคาของรุ่น Pro แล้ว ซึ่งรุ่น Pro เองก็ได้อะไรเพิ่มขึ้นมาหลายอย่าง ที่เน้น ๆ เลยก็คือชิปใหม่แรงขึ้น ประหยัดพลังงานขึ้น จอ 120Hz มี Dynamic Island เป็นลูกเล่นใหม่ แถมได้กล้องหลัง 3 ตัวอีก ที่ถ้าพูดตรง ๆ ก็คือค่อนข้างคุ้มสำหรับการเพิ่มเงินอยู่เหมือนกัน ยิ่งมีโปรลดราคา โปรผ่อนอีก ก็ทำให้ไม่แปลกใจนักที่คนจะข้ามไปสนใจรุ่น Pro กันมากกว่า
อย่างไรก็ตาม หากโจทย์ของคุณคืออยากได้ iPhone จอใหญ่ แบตอึด ราคาไม่สูงเกิน (เมื่อเทียบกับ iPhone ด้วยกัน) และคิดว่าไม่ได้ถ่ายซูมมากนัก ก็ต้องบอกว่า iPhone 14 Plus นั้นตอบโจทย์ความต้องการได้ดีทีเดียว