หลังจากที่เรามีบทความแกะกล่อง iPad mini 5 ไปได้ไม่นาน ตอนนี้ก็ถึงคราวของรีวิว iPad mini 5 ฉบับเต็มกันแล้วครับ โดยในรีวิวนี้ก็จะเป็นการแนะนำแต่ละส่วนของตัวเครื่อง จุดที่มีความแตกต่างไปจาก iPad mini 4 รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ที่เปิดให้ใช้งานกับผลิตภัณฑ์กลุ่ม iPad mini เป็นครั้งแรกอย่างความสามารถในการรองรับ Apple Pencil อย่างสมบูรณ์แบบนั่นเอง
หากพูดถึง iPad mini ภาพลักษณ์ที่ผ่านมาของผลิตภัณฑ์ซีรีส์นี้ก็คือการเป็นแท็บเล็ตขนาดเล็กสุดของ Apple ที่มีการนำเอาฮาร์ดแวร์ภายในที่มักจะเป็นของ iPad หรือ iPhone รุ่นก่อนหน้ามาใส่ ทำให้สเปคของ iPad mini แต่ละรุ่นดูจะยังไม่ได้ความเป็นที่สุดในแง่ของความสดใหม่เท่าไหร่นัก ยังดีที่ขนาดของหน้าจอจัดว่ามีความสมดุลทั้งในแง่ของการพกพา และประโยชน์ในการใช้งาน โดยเฉพาะในการใช้อ่าน ebook และการเล่นเกม จะขาดก็แต่ความสามารถในการใช้งานร่วมกับปากกาสไตลัส เพื่อใช้จดบันทึก หรือใช้สเก็ตช์ภาพ ที่แม้ว่าผู้ใช้จะสามารถหาซื้อปากกาสไตลัสในท้องตลาดมาใช้งานได้ก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าประสิทธิภาพและความสะดวกในการใช้งาน ยังไงก็ไม่เท่ากับการจับคู่ระหว่าง iPad Pro/iPad กับ Apple Pencil
แต่พอมาเป็น iPad mini 5 เรียกได้ว่าเป็นแท็บเล็ตที่ Apple ขุดเอาไม้ตายมาใช้เพื่อกระตุ้นตลาดได้อย่างพอดิบพอดี ด้วยทั้งการเลือกใช้ฮาร์ดแวร์ภายในรุ่นแทบจะล่าสุด แรงสุดในสายการผลิตของตนเอง และที่สำคัญคือยังรองรับ Apple Pencil มาตั้งแต่แรก แม้ว่าจะเป็นแค่ Apple Pencil 1 ก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นฟีเจอร์ที่น่าจะโดนใจกลุ่มผู้ใช้งานที่อยากได้แท็บเล็ตขนาดไม่ใหญ่มากมาใช้จดบันทึก วาดภาพ รวมไปถึงการเล่นเกมกราฟิกสูง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ก่อนที่จะไปพูดถึงตัวเครื่อง มาดูสเปคก่อนแล้วกันครับ
- ชิปประมวลผล Apple A12 Bionic (6 คอร์) ที่มี Neural Engine และชิป M12 ในตัว
- แรม 3 GB
- หน้าจอ Retina ขนาด 7.9 นิ้ว ความละเอียด 2048 x 1536 ความสว่างระดับ 500 nits รองรับขอบเขตสีกว้างระดับ DCI-P3 และรองรับการแสดงผลแบบ True Tone
- รองรับ Apple Pencil 1 ผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth
- พื้นที่เก็บข้อมูลมีให้เลือกทั้ง 64 และ 256 GB
- กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล f/2.4
- กล้องหน้า 7 ล้านพิกเซล f/2.2
- ลำโพงสเตอริโอ
- WiFi 802.11a/b/g/n/ac ทั้ง 2.4 และ 5 GHz MIMO
- Bluetooth 5.0
- รองรับ Gigabit LTE (สำหรับรุ่นใส่ซิม)
- มาพร้อม iOS 12
- ปุ่มโฮมแบบกดได้ พร้อม Touch ID
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ Lightning
- แบตเตอรี่ความจุ 5124 mAh (19.1 Wh)
- มีให้เลือก 3 สีคือสีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และสีทอง
- ราคา iPad mini 5 เครื่องศูนย์ไทย (อิงจาก Apple)
- iPad mini 5 WiFi 64 GB ราคา 13,900 บาท
- iPad mini 5 WiFi 256 GB ราคา 18,900 บาท
- iPad mini 5 LTE+WiFi 64 GB ราคา 18,400 บาท
- iPad mini 5 LTE+WiFi 256 GB ราคา 23,400 บาท
หากเทียบกับ iPad mini 4 ซึ่งออกมาเมื่อเกือบ 4 ปีก่อน ก็แน่นอนว่าฮาร์ดแวร์ภายในของ iPad mini 5 นั้นได้รับการอัพเกรดขึ้นมาหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผลที่กระโดดจาก A8 มาเป็น A12 Bionic ที่เหมาะกับการทำงานในยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น แรมที่เพิ่มขึ้นมาอีก 1 GB พาเนลหน้าจอที่คุณภาพสูงขึ้น กล้องหน้าความละเอียดสูง ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมประสบการณ์การใช้งาน iPad mini ให้ดีขึ้นแทบทั้งนั้น โดยถ้าให้เทียบสเปคแล้ว iPad mini 5 ที่ออกมานี้ แทบจะมีสเปคเทียบเท่ากับ iPhone XR ครับ
ส่วนถ้าเป็นการเปรียบเทียบ iPad mini 5 กับไลน์ผลิตภัณฑ์ iPad ในปัจจุบัน ก็จัดได้ว่าเป็น iPad ที่มีหน้าจอขนาดเล็กที่สุด แต่ไม่ใช่เครื่องที่สเปคต่ำ และราคาถูกที่สุดครับ เนื่องจาก iPad ที่สเปคต่ำสุดในขณะนี้จะเป็นตัวของ iPad (6th gen) หน้าจอ 9.7 นิ้ว ที่ตอนนี้ก็มีอายุในตลาดราว ๆ 1 ปีได้แล้ว ซึ่งมีราคาเริ่มต้นเพียง 11,500 บาท ต่างจากการวางผลิตภัณฑ์ของ Apple ในอดีตที่ iPad mini มักจะเป็นแท็บเล็ตที่มีราคาย่อมเยาที่สุดอยู่เสมอ
ดังนั้นตลาดของ iPad mini 5 จึงถือว่าถูกวางมาได้ค่อนข้างเฉพาะตัวยิ่งกว่าเดิม เพราะไม่ได้โฟกัสในการเป็น iPad ที่ราคาถูกที่สุดอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็น iPad ที่มีขนาดเล็กที่สุดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ดีไซน์ หน้าตาของ iPad mini 5
แม้ว่าสเปค ฮาร์ดแวร์ของ iPad mini 5 จะน่าดึงดูดใจขนาดไหน แต่สิ่งที่อาจทำให้หลายคนผิดหวังก็คือดีไซน์ตัวเครื่องครับ เนื่องจาก Apple ยังคงเลือกใช้ดีไซน์ตัวเครื่องภายนอกรูปแบบเดียวกับ iPad mini รุ่นเก่า ๆ ซึ่งถ้าเราพูดถึงในแง่ของโครงร่างแล้ว ก็คงจะไม่ผิดนักถ้าหากจะบอกว่าตั้งแต่ iPad mini รุ่นแรกมาจนถึงรุ่นปัจจุบันนั้น มีหน้าตาที่แทบจะไม่แตกต่างกันเลย จะมีจุดสังเกตถึงความแตกต่างแค่เล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งเมื่อผสมกับการที่ Apple ทิ้งช่วงจาก mini 4 ไปถึงเกือบ 4 ปี และการที่ iPad Pro รุ่นใหม่ล่าสุดมาพร้อมกับการออกแบบในสไตล์ใหม่ จึงเป็นที่คาดหวังว่า iPad mini 5 จะได้รับการปรับโฉม แต่พอออกมาในรูปแบบนี้ ก็ต้องยอมรับว่าผิดหวังพอสมควรครับ
ซึ่งเมื่อตัวเครื่องยังคงสไตล์เดิม สิ่งที่ตามมาก็คือขอบจอหนาเตอะทั้ง 4 ด้าน โดยเฉพาะขอบบนล่าง สำหรับขอบล่างอาจจะพอเข้าใจได้ เนื่องจากยังคงมีปุ่มโฮมอยู่ ทำให้มีสื่อต่างประเทศหลายแห่งให้ความเห็นว่า iPad mini 5 อาจจะเป็นแท็บเล็ตรุ่นที่ Apple ตั้งใจจะเคลียร์สต็อกชิ้นส่วนเก่าที่ยังเหลืออยู่เป็นจำนวนมากก็เป็นได้
แต่จะว่าไป การที่ iPad mini 5 ยังคงมีขอบจอบนล่างหนาอยู่ ก็ถือว่ายังมีข้อดีอยู่ครับ เพราะทำให้สามารถจับเครื่องในแนวนอนได้ถนัดมือโดยไม่ต้องกังวลว่าปลายนิ้วจะไปแตะโดน UI ของแอปพลิเคชันบนหน้าจอ โดยเฉพาะในระหว่างการเล่นเกม ก็นับว่าเป็นหนึ่งในข้อดีของมือถือ/แท็บเล็ตที่มีขอบจอหนาก็ว่าได้
ส่วนปุ่มโฮมก็เป็นแบบที่มี Touch ID มาในตัวครับ เป็นปุ่มแบบกดตามปกติเลย ไม่ได้เป็นแบบสั่นได้เหมือนกับใน iPhone รุ่นหลัง ๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแบบไร้ปุ่มอย่างซีรีส์ X
หน้าจอ Retina Display ใน iPad mini 5 ถือว่าเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาได้ไม่แพ้รุ่นใหญ่ ๆ เลย แม้จะยังคงใช้พาเนล IPS LCD ขนาด 7.9 นิ้วบนความละเอียดเท่าเดิมอยู่ แต่คุณภาพของสีสันนั้นได้รับการอัพเกรดขึ้นจากเดิมมาเป็นระดับ DCI-P3 ซึ่งเป็นขอบเขตการแสดงสีที่ Apple เลือกใช้กับผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ของตนทั้งในกลุ่มของ iPhone iPad MacBook iMac แทบทั้งนั้น ทำให้สีสันที่ได้จากจอ iPad mini 5 มีความสวยงาม สดใส คมชัดในทุกมุมมอง โดยเฉพาะกลุ่มสีโทนแดงที่มีความจัดจ้านขึ้นกว่าแต่ก่อน ส่วนแสงสะท้อนจากจอก็ไม่จัดว่าสูงมาก เมื่อผสมกับความสว่างหน้าจอที่สูงสุดถึง 500 nits ก็ทำให้สามารถใช้งานกลางแจ้งได้สบาย
นอกจากนี้ จอ iPad mini 5 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ True Tone ที่ช่วยปรับโทนสีของภาพให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยรอบให้อัตโนมัติ เพื่อให้ภาพบนจอดูเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะใช้งานอยู่ที่ใดก็ตาม โดยตำแหน่งของเซ็นเซอร์ True Tone จะถูกฝังอยู่ตรงมุมซ้ายและขวาบนของหน้าจอครับ
ส่วนด้านหลังก็ยังคงมาแบบเรียบ ๆ ในสไตล์ของ iPad mini อยู่ ด้วยการวางกล้องหลังไว้ตรงมุมซ้ายบน กระจกเลนส์ราบไปกับฝาหลัง โดยจากตรงนี้ จะมีจุดหนึ่งที่ช่วยให้สามารถแยกความแตกต่างระหว่าง iPad mini 4 และ 5 ได้ก็คือรูของไมโครโฟนรับเสียง ซึ่งในรุ่น 4 จะวางไว้ข้าง ๆ กล้องหลังเลย แต่ของรุ่น 5 จะวางเอาไว้ตรงกึ่งกลางด้านบนเครื่อง แน่นอนว่าการที่รูรับเสียงของไมค์เปลี่ยนที่แบบนี้ ย่อมทำให้เคสของ iPad mini 4 นั้นไม่เหมาะกับการจะนำมาใช้ร่วมกับ iPad mini 5 อย่างแน่นอน แม้ว่ามิติของตัวเครื่องทั้งความกว้าง ความยาวและความหนาจะยังคงเท่ากันเป๊ะ ๆ อยู่ก็ตาม (203.2 x 134.8 x 6.4 mm.)
เมื่อดูที่สันเครื่องด้านบน ก็จะพบกับช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 mm. ตรงกลางเป็นช่องรับเสียงของไมค์ช่วยตัดเสียงรบกวน ปิดท้ายด้านริมสุดก็คือปุ่ม Power
ส่วนฝั่งขวาของเครื่อง (เมื่อหันจอเข้าหาตัว) ก็จะมีปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงอยู่ทางซีกบนเหมือนเดิม และก็ไม่มีช่องรับเสียงของไมค์ช่วยตัดเสียงรบกวนแล้ว เนื่องจากมันได้ถูกย้ายไปไว้ตรงสันบนแทน และดูเหมือนว่าขนาดของปุ่มใน iPad mini 5 จะยาวกว่า iPad mini 4 เล็กน้อย
สำหรับเครื่องรุ่น LTE+WiFi ก็จะมีถาดใส่ซิมอยู่ที่ฝั่งนี้ด้วยเช่นกัน
ด้านล่างก็จะเป็นช่องลำโพงทั้งสองช่อง ให้เสียงแบบสเตอริโอ จะติดก็ตรงที่ลำโพงมันมากองรวมอยู่ฝั่งเดียวกัน ทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดมิติเสียงออกมาได้เต็มที่เท่ากับ iPad รุ่นใหญ่ ๆ ส่วนตรงกลางก็เป็นพอร์ต Lightning ตามปกติ
ส่วนฝั่งซ้ายนั้นไม่มีอะไรเลยครับ
ขนาดของ iPad mini 5 ยังคงเป็นขนาดที่เหมาะกับการพกพา เพราะสามารถใส่เครื่องไว้ในกระเป๋าได้สบาย จะถึอก็ไม่ลำบากนัก และด้วยการที่ตัวเครื่องยังคงใช้ ratio หน้าจอแบบ 4:3 อยู่ ทำให้เครื่องดูไม่ยาวจนเกินไป จะเสียดายก็แค่ขอบจอที่ยังหนาอยู่เท่านั้นเอง
ส่วนความรู้สึกในการจับถือนั้น ก็ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย เหมาะสำหรับใช้ในการอ่าน ebook นั่งไถหน้าจอ Facebook เล่นเกม ดู YouTube ด้วยตัวเครื่องที่มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป ประกอบกับน้ำหนักตัวเครื่องเพียงแค่ประมาณ 300 กรัมเท่านั้น ซึ่งแทบไม่ได้แตกต่างจาก iPad mini 4 เลยครับ ดังนั้น หากใครที่ถือ iPad mini 4 อยู่ ก็บอกได้เลยว่าความรู้สึกในการจับถือตัวเครื่องนั้นแทบไม่ต่างกันเลย
การรับชมภาพยนตร์บนหน้าจอ iPad mini 5 ก็ยังคงให้ประสบการณ์เช่นเดียวกับ iPad รุ่นอื่น ๆ ครับ ก็คือยังมีขอบดำบนล่างเมื่อรับชมในแนวนอนเหมือนเดิม เนื่องจากภาพยนตร์ส่วนใหญ่มีอัตราส่วนภาพอยู่ที่ 16:9 แต่หน้าจอ iPad นั้นใช้อัตราส่วนแบบ 4:3 ทำให้ภาพไม่เต็มจอ และยิ่งเป็นวิดีโอแบบ 21:9 ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย เพราะขอบดำในแนวนอนนั้นจะหนาไม่ต่ำกว่า 1 นิ้วเลยทีเดียว ซึ่งจุดนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติของ iPad ครับ ไม่ได้เป็นอาการผิดปกติแต่อย่างใด
ส่วนฟังก์ชันการใช้งานหลายแอปพร้อมกันของ iOS ก็สามารถใช้บน iPad mini 5 ได้เช่นกัน แต่ด้วยข้อจำกัดของขนาดหน้าจอ จึงอาจจะทำให้ไม่สะดวกเท่ากับการใช้งานบน iPad ที่มีหน้าจอใหญ่กว่านี้ครับ
ซอฟต์แวร์ของ iPad mini 5
iPad mini 5 แบบ WiFi ความจุ 256 GB ล็อตแรกที่ผมได้รับ มาพร้อมกับ iOS 12.2 โดยมีเลขโมเดลเป็น MUU32TH/A พื้นที่เหลือให้ใช้งานตอนเปิดเครื่องครั้งแรกจะอยู่ที่ประมาณ 247 GB
จุดที่น่าสนใจของ iOS เวอร์ชันล่าสุดก็คือมีการเพิ่มข้อมูลของวันสิ้นสุดการรับประกันมาให้ในเครื่องเลย ทำให้ไม่จำเป็นต้องไปเปิดหน้าเว็บไซต์ Apple แล้วกรอกหมายเลขซีเรียลเครื่องเพื่อตรวจสอบระยะเวลาการรับประกันอีกต่อไป สำหรับในภาพด้านบน เป็นการรับประกัน 1 ปีตามเงื่อนไขปกติของตัวเครื่องครับ
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ iPad mini 5
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ iPad mini 5 ก็คงหนีไม่พ้นความสามารถในการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil ที่ถึงแม้จะเป็น Pencil รุ่นแรกก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับผลิตภัณฑ์ของตนได้ดี เพราะเชื่อได้ว่าน่าจะมีหลายคนอยากได้ iPad จอเล็กกว่า 9.7″ ที่สามารถเขียนจอได้แบบไม่ต้องลุ้นว่าปากกาสไตลัสที่ซื้อแยกมาจะเวิร์คมั้ย เนื่องจากขนาดเครื่องที่กะทัดรัด เหมาะกับการพกพา จะเอาไปใช้จดเลคเชอร์ระหว่างเรียน จดบันทึกการประชุม ร่างภาพแบบคร่าว ๆ ก็ทำได้สะดวก
แต่สิ่งที่ตามมาจากการที่ Apple เปิดตัว iPad mini 5 ก็คือ เสียงของความแปลกใจว่าเพราะเหตุใดถึงเป็น Apple Pencil รุ่นแรก แทนที่จะเป็นรุ่นสองแบบที่ใช้ร่วมกับ iPad Pro รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งมีประสิทธิภาพ ฟีเจอร์ และสัมผัสที่ดีกว่ารุ่นแรกอย่างเห็นได้ชัด ก่อให้เกิดความสับสนในไลน์ผลิตภัณฑ์ iPad มากขึ้นไปอีก ว่ารุ่นไหนใช้กับ Pencil รุ่นไหนได้บ้าง
ตรงจุดนี้ หากลองเดาสาเหตุจากในมุมของ Apple ก็พอจะเจอสาเหตุที่ทำให้ Apple เลือกให้ iPad mini 5 (รวมถึง iPad Air 3) จับคู่กับ Apple Pencil รุ่นแรกอยู่เหมือนกันครับ เท่าที่ผมนึกออกก็ประมาณนี้
(1) ด้วยโครงสร้างเครื่องที่แทบจะเหมือนกับ iPad mini 4 ทำให้ไม่สามารถออกแบบวงจรสำหรับชาร์จ Apple Pencil 2 แบบไร้สายที่ด้านข้างเครื่องเหมือน iPad Pro ได้ ไม่อย่างนั้นคงต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้าง การวางอุปกรณ์ภายในใหม่พอสมควร
(2) ต้องการสร้างความแตกต่างให้กับ iPad Pro รุ่นใหม่ ซึ่งจะมองว่าเป็นการสงวนของเด็ด ๆ เอาไว้ให้กับคนที่จ่ายเยอะกว่าก็ว่าได้ครับ จ่ายเยอะกว่า ก็ได้ของใหม่กว่า ลูกเล่นเยอะกว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะถ้าเกิด mini 5 ดันใช้ Pencil 2 ได้เหมือนกับรุ่น Pro ก็คงกระทบกับยอดขายของรุ่น Pro อยู่เหมือนกัน
(3) Apple ต้องการเคลียร์สต็อกอะไหล่ปัจจุบันก่อน ประกอบกับการใช้อะไหล่พิมพ์เดิม ก็ยิ่งทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลงกว่าการใช้อะไหล่ที่ผ่านการออกแบบและผลิตขึ้นมาใหม่มาก
(4) ไหน ๆ ตัวเครื่องก็ยังคงใช้พอร์ต Lightning อยู่ ก็ให้มันจับคู่กับ Apple Pencil 1 ที่ชาร์จผ่านพอร์ต Lightning ไปซะเลย ง่ายดี
ซึ่งสิ่งที่สร้างความขบขันให้กับ Apple Pencil 1 ก็คือเจ้าวิธีการชาร์จนี่แหละครับ เนื่องจากหัว Lightning มันจะอยู่ที่ปลายบนสุดโดยมีฝาครอบที่ยึดด้วยแรงแม่เหล็กอ่อน ๆ เอาไว้อยู่ ถ้าต้องการชาร์จกับตัวเครื่อง ก็ให้ดึงฝาปิดออก แล้วเสียบเข้าไปกับพอร์ต Lightning ของตัวเครื่อง ผลที่ได้ก็จะเหมือนเอาเสาอากาศมาจิ้มกับ iPad ในแนวตั้ง ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดเสียวกับผู้ใช้งาน เรียกว่าระหว่างชาร์จไปก็ระแวงไป ว่าจะเผลอไปชนจนหัวชาร์จหักหรือไม่ ครั้นจะพกหัวแปลงให้สามารถเอา Apple Pencil 1 ไปชาร์จกับสาย Lightning ได้ก็ไม่สะดวกอีก เพราะขนาดของหัวแปลงมันเล็กมาก จนอาจทำให้สูญหายได้ง่าย
และในระหว่างการชาร์จ ก็แน่นอนว่าจะต้องถอดฝาปิดออก นั่นก็เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ฝาปิดหายได้อีก เรียกว่า Apple Pencil 1 เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ Apple ออกแบบ UX มาได้แย่มาก ๆ ชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ จึงไม่แปลกใจที่คนอยากให้ iPad mini 5 รองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil 2 ที่ได้แก้ไขข้อบนพร่องต่าง ๆ เหล่านั้นไปแล้วซะมากกว่า
ในแง่ของการใช้งานจริง iPad mini 5 สามารถทำงานร่วมกับ Apple Pencil 1 ได้ค่อนข้างดี การตอบสนอง ลายเส้นที่ปรากฏขึ้นมาจัดว่าเกือบจะเรียลไทม์ มีอาการดีเลย์กว่าบน iPad Pro เล็กน้อย ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ iPad Pro มีฟีเจอร์ ProMotion ที่ทำให้หน้าจอมีเฟรมเรตสูงกว่า เลยดูเหมือนลายเส้นจะติดปลายดินสอมากกว่า แต่ของ iPad mini 5 ก็ถือว่าทำได้ไม่เลวเลย สามารถใช้จดบันทึกแบบเร็ว ๆ ได้สบาย แต่ความรู้สึกอาจจะไม่เหมือนกับกำลังเขียนบนกระดาษอย่างที่ iPad Pro ทำได้
หน้าจอของ iPad mini 5 และ Apple Pencil 1 สามารถแยกแยะแรงกดได้ รวมถึงสามารถเอียงหัวดินสอเพื่อใช้สำหรับแรเงาได้ด้วยเช่นกัน
อีกหนึ่งเรื่องที่ iPad mini 5 ยังคงทำได้ดีอยู่ก็คือการจับสัมผัสที่ขอบจอ ทำให้ผู้ใช้สามารถวางสันมือบนขอบจอระหว่างที่กำลังเขียนได้อย่างไม่มีปัญหา
เมื่อความสามารถในการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil 1 ได้ ผสานกับประสิทธิภาพที่แรงของตัวเครื่อง และหน้าจอความละเอียดสูง ขอบเขตสีกว้าง ทำให้การแต่งรูปบน iPad mini 5 เป็นไปได้อย่างราบรื่น โดยภาพตัวเครื่องในรีวิว iPad mini 5 นี้ทั้งหมด เป็นภาพที่ผมแต่งด้วยแอป Adobe Lightroom CC บน iPad mini 5 ล้วน ๆ เลยครับ
สำหรับขั้นตอนการนำภาพมาแต่งของผมในรอบนี้ก็คือ import ไฟล์ raw ลงในคอมก่อน แล้วให้มันซิงค์พรีวิวของภาพทั้งหมดผ่านบัญชี Adobe มายัง iPad ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอยู่ จากนั้นก็จัดการแต่งภาพ โดยในระหว่างแต่งภาพอยู่ ระบบก็จะซิงค์ค่าการปรับแต่งกลับไปในคอมด้วย เมื่อเสร็จแล้วก็ค่อย export ภาพจากในคอมออกมาเป็นไฟล์ JPEG ตามปกติ จะแอบเสียดายก็ตรงที่รอบนี้ผมยังไม่ได้ลองโยนไฟล์ raw เข้ามาใน iPad ตรง ๆ เนื่องจากผมไม่ได้เอา card reader ที่ต่อเข้ากับพอร์ต Lightning มาด้วย
ส่วนการตอบสนอง ความรวดเร็วในการพรีวิวภาพขณะที่กำลังปรับแต่งอยู่นั้น ถือว่าทำได้รวดเร็ว และแสดงผลได้เกือบจะทันทีที่ปรับค่าต่าง ๆ เช่น ความสว่าง ไฮไลท์ สีสัน ปรับ distortion เป็นต้น และเมื่อใช้งานร่วมกับ Apple Pencil ก็ช่วยให้ผมสามารถระบาย brush ลงจุดที่ต้องการได้แม่นยำกว่าการใช้เมาส์ในคอมอีกต่างหาก
กล้องถ่ายรูปของ iPad mini 5
กล้องถ่ายรูปกับ iPad ถือว่าเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นเส้นขนานกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรครับ ซึ่ง iPad mini 5 ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม คือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้เน้นเรื่องกล้องมากนัก สังเกตได้จากกล้องหลังที่ยังคงใช้โมดูลเดิมอยู่ ด้วยกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ไม่มีแฟลช ส่วนกล้องหน้ายังดีหน่อยที่ได้รับการอัพเกรดมาเป็นความละเอียด 7 ล้านพิกเซล f/2.2 ซึ่งน่าจะเป็นโมดูลใกล้เคียงกับ iPhone รุ่นใหม่ ๆ เลย
โหมดกล้องที่มีใน iPad mini 5 ก็มีเพียงแค่โหมดมาตรฐานได้แก่ Photo, Square, Pano รองรับการถ่าย Live Photos และ HDR ส่วนการถ่ายวิดีโอก็สามารถถ่าย Slo-mo ได้ 120 fps และก็สามารถถ่าย Timelapse ได้ตามมาตรฐาน
ภาพที่ได้จาก iPad mini 5 ก็ถือว่าทำได้ดีในเกณฑ์ของ iPad ครับ แต่ถ้าไปเจอสภาพแสงที่จัด ๆ เช่น การถ่ายรูปกลางแจ้งที่มีแดดจัด ๆ อันนี้ HDR ก็ช่วยไว้ไม่ไหวเหมือนกัน ส่วนการถ่ายภาพในเวลากลางคืนก็ยังเป็นวุ้น ๆ อยู่เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม คุณภาพของรูปก็ยังอยู่ในระดับที่ใช้แชร์ลง Facebook, IG, Twitter หรือ Line ได้แบบไม่มีปัญหาอะไร สำหรับตัวอย่างภาพอื่น ๆ สามารถรับชมได้จากแกลเลอรี่ด้านล่างนี้ครับ
ประสิทธิภาพและการเล่นเกมบน iPad mini 5
ที่ผ่านมา สมาร์ทดีไวซ์ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS นับเป็นกลุ่มเครื่องที่หลาย ๆ คนลงความเห็นว่าเหมาะกับการเล่นเกมที่สุด ด้วยประสิทธิภาพ ความไหลลื่น และการปรับแต่งของนักพัฒนาเกมที่สามารถรีดประสิทธิภาพโดยรวมของทั้งระบบได้ดีกว่า จึงไม่แปลกใจที่หลาย ๆ ที่จริงจังกับการเล่นเกมจะเลือกใช้ iPhone เป็นหนึ่งในเครื่องหลักของตน เพราะจะให้ถือ iPad จอ 9.7 นิ้วเล่นเกมก็ดูจะใหญ่และหนักเกินไป ส่วน iPad mini 4 เองนั้นก็สเปคค่อนข้างเก่าไปแล้ว แถมแรมก็มีแค่ 2 GB เท่านั้น
แต่พอมาเป็น iPad mini 5 ต้องบอกเลยว่าสวรรค์ของคอเกมบนแพลตฟอร์มพกพากลับมาแล้วครับ ด้วยทั้งประสิทธิภาพจากสเปคสุดแรงอย่างชิป A12 Bionic ที่เป็นชิประดับรองท็อปของ Apple ในปัจจุบัน แรมก็ให้มา 3 GB ที่เหลือเฟือสำหรับการเล่นเกมภายใต้ความสามารถในการจัดการระบบของ iOS รวมถึงหน้าจอขนาด 7.9 นิ้ว แบต 5124 mAh และตัวเครื่องที่มีน้ำหนักราว ๆ 300 กรัม ซึ่งหนักกว่ามือถือรุ่นท็อปในปัจจุบันไม่มากนัก แต่ได้ข้อดีตรงที่หน้าจอใหญ่กว่ามือถือ ทำให้ UI ปุ่มกด และภาพในเกมดูใหญ่เต็มตามากกว่าเล่นบนมือถือเยอะ
หากใครที่กำลังมองหาเครื่องสำหรับเล่นเกมแบบจริงจังอยู่ iPad mini 5 ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจครับ รับรองว่าเล่นเกมได้ไหลลื่นไปอีกไม่ต่ำกว่า 3-4 ปีเลย
เกมที่ผมลองทดสอบก็เป็นสองเกมหลักอย่าง PUBG Mobile ซึ่งสามารถปรับกราฟิกระดับสูงสุดเท่าที่จะสามารถปรับได้สบาย ๆ เฟรมเรตก็ลื่น ไม่พบอาการกระตุกแต่อย่างใด
ส่วน RoV ก็ยิ่งสบายเข้าไปอีกครับ สามารถปรับกราฟิกระดับสูงสุด พร้อมเปิดโหมดเฟรมเรตสูงได้แบบไร้ปัญหา โดยในระหว่างการเล่น เฟรมเรตของเกมก็อยู่ที่ 59-60 fps ตลอดเวลา
ปิดท้ายด้วยผลการทดสอบประสิทธิภาพด้วยแอป Geekbench 4 กันซักหน่อย เผื่อมีใครต้องการตัวเลขคะแนนครับ โดยผลที่ออกมาก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ iOS ด้วยกันก็จะอยู่ตรงกลางระหว่าง iPhone XR (A12 Bionic) กับ iPhone 8/8 Plus (A11 Bionic) ส่วนถ้าจะข้ามไปเทียบกับผล Geekbench 4 ของฝั่ง Android ก็ยังจัดว่าอยู่ในระดับท็อปสุดของตารางอยู่ดีครับ
ด้านของการใช้งานแบตเตอรี่ ตรงจุดนี้ผมไม่ได้ทดสอบอย่างละเอียดนะครับ แต่สำหรับใครที่เคยใช้งาน iPad mini มาก่อนแล้ว ก็คงทราบเป็นอย่างดีว่าแบตมันอึดมาก สามารถใช้งานหลายวันได้สบาย แต่ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานด้วย ถ้าใช้เล่นเกม ดูหนังติดต่อกันนาน ๆ ก็หมดเร็วขึ้นตามลำดับ
Overall
iPad mini 5 คือผลิตภัณฑ์ที่ลงตัวทั้งในแง่ของความกะทัดรัด จอสวย สเปคแรง แบตอึด รวมถึงยังรองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil 1 ได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นการอัพเกรดผลิตภัณฑ์ที่ Apple ส่งไม้ตายของตนหลายขนานลงมารวมอยู่ในเครื่องเดียว ตอบสนองได้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ที่เรียกหากันมานาน ทำให้ iPad mini 5 กลายเป็นหนึ่งในสมาร์ทดีไวซ์ที่ออกมาได้สมกับการรอคอย
แต่ถ้าถามถึงความพึงพอใจใน iPad mini 5 ส่วนตัวผมก็ยังคงไม่ให้เต็ม 100% อยู่ดีครับ ซึ่งจุดที่ผมหักคะแนนก็ค่อนข้างตรงกับที่สื่อหลายสำนักในต่างประเทศรีวิวไปก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์ที่ยังเป็นแบบเดิม ๆ อยู่ ขอบจอหนาเกินไป พอร์ตชาร์จที่ยังไม่เปลี่ยนเป็น USB-C ซักที รวมถึงการรองรับได้แค่ Apple Pencil 1 เท่านั้น
แน่นอนว่า Apple ย่อมมีเหตุผลสำหรับแต่ละข้อ ว่าทำไมถึงเลือกที่จะไม่นำมาใช้กับ iPad mini 5 ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปครับว่า iPad mini 6 จะออกมาเป็นอย่างไร เพราะเชื่อว่าบริษัทคงจะมีแผนการที่จะขยับปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของตนแบบค่อยเป็นค่อยไปแน่ ๆ (ถ้า Apple ยังจะทำ iPad mini ต่อนะ)
ส่วนกลุ่มผู้ใช้งานที่น่าจะเหมาะกับ iPad mini 5 ส่วนตัวผมมองว่าน่าจะเป็นตามนี้
- คนที่อยากได้แท็บเล็ตขนาดเล็ก ประสิทธิภาพสูง มีแอปให้ใช้เยอะ ๆ ซักเครื่อง
- คนที่อยากได้แท็บเล็ตและปากกามาไว้ใช้เป็นสมุดจดบันทึก สมุดสเก็ตช์ภาพที่พกพาได้สะดวก
- คนที่อยากได้แท็บเล็ตมาไว้เล่นเกม
- คนที่อยากได้คอมพิวเตอร์ขนาดกะทัดรัดสุด ๆ ไว้ใช้สำหรับแก้ไขงานเล็ก ๆ น้อย ๆ
สำหรับผู้ที่กำลังมองหา iPad ราคาไม่แรงซักเครื่องอยู่ ตอนนี้ก็จะมี iPad (6th gen) ที่ราคาเริ่มต้นย่อมเยาที่สุดอยู่ ถัดมาถึงจะเป็น iPad mini 5 ซึ่งถ้าไม่ได้มีข้อแม้ว่าหน้าจอ 7.9″ มันเล็กไป ส่วนตัวผมแนะนำให้สอย iPad mini 5 จะดีกว่า เพราะราคารุ่นเริ่มต้นก็ต่างกันแค่ 2,400 บาท ใช้ Pencil ได้เหมือนกัน แต่ได้สเปคแรงกว่า iPad (6th gen) มาก ได้ความจุมากกว่ากันเท่าตัว แถมยังรองรับการใช้งานในอนาคตได้ยาวนานกว่าแน่นอนอีกด้วย
ข้อดี
- สเปคแรง ประสิทธิภาพสูงด้วยชิป A12 Bionic แรม 3 GB รองรับการใช้งาน AR
- หน้าจอแสดงสีได้ขอบเขตกว้างระดับ DCI-P3 รองรับเทคโนโลยี True Tone Display
- ตัวเครื่องน้ำหนักเบา บางเฉียบ พกพาสะดวก
- แบตเตอรี่อึด ใช้งานได้นาน
- รองรับ Apple Pencil 1
ข้อสังเกต
- ดีไซน์ตัวเครื่องโดยรวมยังเป็นแบบเดิมอยู่
- พอร์ตเชื่อมต่อยังคงใช้เป็น Lightning
- ไม่รองรับการชาร์จเร็ว
- ไม่กันน้ำกันฝุ่น