Close Menu
    Facebook X (Twitter) YouTube TikTok
    SpecPhone
    • ข่าวล่าสุด
    • รีวิว
    • ค้นหามือถือ
    • วิดีโอ
    • บทความ
    • ติดต่อเรา
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)
    SpecPhone
    Home»iOS Platform»[Review] iPad mini 5 แท็บเล็ตเครื่องเล็กที่กลับมาสมการรอคอย รองรับ Apple Pencil 1 แรงด้วยชิป A12 Bionic
    iOS Platform

    [Review] iPad mini 5 แท็บเล็ตเครื่องเล็กที่กลับมาสมการรอคอย รองรับ Apple Pencil 1 แรงด้วยชิป A12 Bionic

    ZeroSystemBy ZeroSystem9 เมษายน 2019Updated:24 สิงหาคม 2020
    Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    Share
    Facebook Twitter LinkedIn Pinterest Email

    หลังจากที่เรามีบทความแกะกล่อง iPad mini 5 ไปได้ไม่นาน ตอนนี้ก็ถึงคราวของรีวิว iPad mini 5 ฉบับเต็มกันแล้วครับ โดยในรีวิวนี้ก็จะเป็นการแนะนำแต่ละส่วนของตัวเครื่อง จุดที่มีความแตกต่างไปจาก iPad mini 4 รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ที่เปิดให้ใช้งานกับผลิตภัณฑ์กลุ่ม iPad mini เป็นครั้งแรกอย่างความสามารถในการรองรับ Apple Pencil อย่างสมบูรณ์แบบนั่นเอง

    iPad mini 5

    หากพูดถึง iPad mini ภาพลักษณ์ที่ผ่านมาของผลิตภัณฑ์ซีรีส์นี้ก็คือการเป็นแท็บเล็ตขนาดเล็กสุดของ Apple ที่มีการนำเอาฮาร์ดแวร์ภายในที่มักจะเป็นของ iPad หรือ iPhone รุ่นก่อนหน้ามาใส่ ทำให้สเปคของ iPad mini แต่ละรุ่นดูจะยังไม่ได้ความเป็นที่สุดในแง่ของความสดใหม่เท่าไหร่นัก ยังดีที่ขนาดของหน้าจอจัดว่ามีความสมดุลทั้งในแง่ของการพกพา และประโยชน์ในการใช้งาน โดยเฉพาะในการใช้อ่าน ebook และการเล่นเกม จะขาดก็แต่ความสามารถในการใช้งานร่วมกับปากกาสไตลัส เพื่อใช้จดบันทึก หรือใช้สเก็ตช์ภาพ ที่แม้ว่าผู้ใช้จะสามารถหาซื้อปากกาสไตลัสในท้องตลาดมาใช้งานได้ก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าประสิทธิภาพและความสะดวกในการใช้งาน ยังไงก็ไม่เท่ากับการจับคู่ระหว่าง iPad Pro/iPad กับ Apple Pencil

    แต่พอมาเป็น iPad mini 5 เรียกได้ว่าเป็นแท็บเล็ตที่ Apple ขุดเอาไม้ตายมาใช้เพื่อกระตุ้นตลาดได้อย่างพอดิบพอดี ด้วยทั้งการเลือกใช้ฮาร์ดแวร์ภายในรุ่นแทบจะล่าสุด แรงสุดในสายการผลิตของตนเอง และที่สำคัญคือยังรองรับ Apple Pencil มาตั้งแต่แรก แม้ว่าจะเป็นแค่ Apple Pencil 1 ก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นฟีเจอร์ที่น่าจะโดนใจกลุ่มผู้ใช้งานที่อยากได้แท็บเล็ตขนาดไม่ใหญ่มากมาใช้จดบันทึก วาดภาพ รวมไปถึงการเล่นเกมกราฟิกสูง ๆ ได้เป็นอย่างดี

    ก่อนที่จะไปพูดถึงตัวเครื่อง มาดูสเปคก่อนแล้วกันครับ

    • ชิปประมวลผล Apple A12 Bionic (6 คอร์) ที่มี Neural Engine และชิป M12 ในตัว
    • แรม 3 GB
    • หน้าจอ Retina ขนาด 7.9 นิ้ว ความละเอียด 2048 x 1536 ความสว่างระดับ 500 nits รองรับขอบเขตสีกว้างระดับ DCI-P3 และรองรับการแสดงผลแบบ True Tone
    • รองรับ Apple Pencil 1 ผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth
    • พื้นที่เก็บข้อมูลมีให้เลือกทั้ง 64 และ 256 GB
    • กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล f/2.4
    • กล้องหน้า 7 ล้านพิกเซล f/2.2
    • ลำโพงสเตอริโอ
    • WiFi 802.11a/b/g/n/ac ทั้ง 2.4 และ 5 GHz MIMO
    • Bluetooth 5.0
    • รองรับ Gigabit LTE (สำหรับรุ่นใส่ซิม)
    • มาพร้อม iOS 12
    • ปุ่มโฮมแบบกดได้ พร้อม Touch ID
    • พอร์ตเชื่อมต่อแบบ Lightning
    • แบตเตอรี่ความจุ 5124 mAh (19.1 Wh)
    • มีให้เลือก 3 สีคือสีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และสีทอง
    • ราคา iPad mini 5 เครื่องศูนย์ไทย (อิงจาก Apple)
      • iPad mini 5 WiFi 64 GB ราคา 13,900 บาท
      • iPad mini 5 WiFi 256 GB ราคา 18,900 บาท
      • iPad mini 5 LTE+WiFi 64 GB ราคา 18,400 บาท
      • iPad mini 5 LTE+WiFi 256 GB ราคา 23,400 บาท

    หากเทียบกับ iPad mini 4 ซึ่งออกมาเมื่อเกือบ 4 ปีก่อน ก็แน่นอนว่าฮาร์ดแวร์ภายในของ iPad mini 5 นั้นได้รับการอัพเกรดขึ้นมาหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผลที่กระโดดจาก A8 มาเป็น A12 Bionic ที่เหมาะกับการทำงานในยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น แรมที่เพิ่มขึ้นมาอีก 1 GB พาเนลหน้าจอที่คุณภาพสูงขึ้น กล้องหน้าความละเอียดสูง ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมประสบการณ์การใช้งาน iPad mini ให้ดีขึ้นแทบทั้งนั้น โดยถ้าให้เทียบสเปคแล้ว iPad mini 5 ที่ออกมานี้ แทบจะมีสเปคเทียบเท่ากับ iPhone XR ครับ

    ส่วนถ้าเป็นการเปรียบเทียบ iPad mini 5 กับไลน์ผลิตภัณฑ์ iPad ในปัจจุบัน ก็จัดได้ว่าเป็น iPad ที่มีหน้าจอขนาดเล็กที่สุด แต่ไม่ใช่เครื่องที่สเปคต่ำ และราคาถูกที่สุดครับ เนื่องจาก iPad ที่สเปคต่ำสุดในขณะนี้จะเป็นตัวของ iPad (6th gen) หน้าจอ 9.7 นิ้ว ที่ตอนนี้ก็มีอายุในตลาดราว ๆ 1 ปีได้แล้ว ซึ่งมีราคาเริ่มต้นเพียง 11,500 บาท ต่างจากการวางผลิตภัณฑ์ของ Apple ในอดีตที่ iPad mini มักจะเป็นแท็บเล็ตที่มีราคาย่อมเยาที่สุดอยู่เสมอ

    ดังนั้นตลาดของ iPad mini 5 จึงถือว่าถูกวางมาได้ค่อนข้างเฉพาะตัวยิ่งกว่าเดิม เพราะไม่ได้โฟกัสในการเป็น iPad ที่ราคาถูกที่สุดอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็น iPad ที่มีขนาดเล็กที่สุดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    ดีไซน์ หน้าตาของ iPad mini 5

    แม้ว่าสเปค ฮาร์ดแวร์ของ iPad mini 5 จะน่าดึงดูดใจขนาดไหน แต่สิ่งที่อาจทำให้หลายคนผิดหวังก็คือดีไซน์ตัวเครื่องครับ เนื่องจาก Apple ยังคงเลือกใช้ดีไซน์ตัวเครื่องภายนอกรูปแบบเดียวกับ iPad mini รุ่นเก่า ๆ ซึ่งถ้าเราพูดถึงในแง่ของโครงร่างแล้ว ก็คงจะไม่ผิดนักถ้าหากจะบอกว่าตั้งแต่ iPad mini รุ่นแรกมาจนถึงรุ่นปัจจุบันนั้น มีหน้าตาที่แทบจะไม่แตกต่างกันเลย จะมีจุดสังเกตถึงความแตกต่างแค่เล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งเมื่อผสมกับการที่ Apple ทิ้งช่วงจาก mini 4 ไปถึงเกือบ 4 ปี และการที่ iPad Pro รุ่นใหม่ล่าสุดมาพร้อมกับการออกแบบในสไตล์ใหม่ จึงเป็นที่คาดหวังว่า iPad mini 5 จะได้รับการปรับโฉม แต่พอออกมาในรูปแบบนี้ ก็ต้องยอมรับว่าผิดหวังพอสมควรครับ

    ซึ่งเมื่อตัวเครื่องยังคงสไตล์เดิม สิ่งที่ตามมาก็คือขอบจอหนาเตอะทั้ง 4 ด้าน โดยเฉพาะขอบบนล่าง สำหรับขอบล่างอาจจะพอเข้าใจได้ เนื่องจากยังคงมีปุ่มโฮมอยู่ ทำให้มีสื่อต่างประเทศหลายแห่งให้ความเห็นว่า iPad mini 5 อาจจะเป็นแท็บเล็ตรุ่นที่ Apple ตั้งใจจะเคลียร์สต็อกชิ้นส่วนเก่าที่ยังเหลืออยู่เป็นจำนวนมากก็เป็นได้

    แต่จะว่าไป การที่ iPad mini 5 ยังคงมีขอบจอบนล่างหนาอยู่ ก็ถือว่ายังมีข้อดีอยู่ครับ เพราะทำให้สามารถจับเครื่องในแนวนอนได้ถนัดมือโดยไม่ต้องกังวลว่าปลายนิ้วจะไปแตะโดน UI ของแอปพลิเคชันบนหน้าจอ โดยเฉพาะในระหว่างการเล่นเกม ก็นับว่าเป็นหนึ่งในข้อดีของมือถือ/แท็บเล็ตที่มีขอบจอหนาก็ว่าได้

    ส่วนปุ่มโฮมก็เป็นแบบที่มี Touch ID มาในตัวครับ เป็นปุ่มแบบกดตามปกติเลย ไม่ได้เป็นแบบสั่นได้เหมือนกับใน iPhone รุ่นหลัง ๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแบบไร้ปุ่มอย่างซีรีส์ X

    หน้าจอ Retina Display ใน iPad mini 5 ถือว่าเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาได้ไม่แพ้รุ่นใหญ่ ๆ เลย แม้จะยังคงใช้พาเนล IPS LCD ขนาด 7.9 นิ้วบนความละเอียดเท่าเดิมอยู่ แต่คุณภาพของสีสันนั้นได้รับการอัพเกรดขึ้นจากเดิมมาเป็นระดับ DCI-P3 ซึ่งเป็นขอบเขตการแสดงสีที่ Apple เลือกใช้กับผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ของตนทั้งในกลุ่มของ iPhone iPad MacBook iMac แทบทั้งนั้น ทำให้สีสันที่ได้จากจอ iPad mini 5 มีความสวยงาม สดใส คมชัดในทุกมุมมอง โดยเฉพาะกลุ่มสีโทนแดงที่มีความจัดจ้านขึ้นกว่าแต่ก่อน ส่วนแสงสะท้อนจากจอก็ไม่จัดว่าสูงมาก เมื่อผสมกับความสว่างหน้าจอที่สูงสุดถึง 500 nits ก็ทำให้สามารถใช้งานกลางแจ้งได้สบาย

    นอกจากนี้ จอ iPad mini 5 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ True Tone ที่ช่วยปรับโทนสีของภาพให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยรอบให้อัตโนมัติ เพื่อให้ภาพบนจอดูเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะใช้งานอยู่ที่ใดก็ตาม โดยตำแหน่งของเซ็นเซอร์ True Tone จะถูกฝังอยู่ตรงมุมซ้ายและขวาบนของหน้าจอครับ

    ส่วนด้านหลังก็ยังคงมาแบบเรียบ ๆ ในสไตล์ของ iPad mini อยู่ ด้วยการวางกล้องหลังไว้ตรงมุมซ้ายบน กระจกเลนส์ราบไปกับฝาหลัง โดยจากตรงนี้ จะมีจุดหนึ่งที่ช่วยให้สามารถแยกความแตกต่างระหว่าง iPad mini 4 และ 5 ได้ก็คือรูของไมโครโฟนรับเสียง ซึ่งในรุ่น 4 จะวางไว้ข้าง ๆ กล้องหลังเลย แต่ของรุ่น 5 จะวางเอาไว้ตรงกึ่งกลางด้านบนเครื่อง แน่นอนว่าการที่รูรับเสียงของไมค์เปลี่ยนที่แบบนี้ ย่อมทำให้เคสของ iPad mini 4 นั้นไม่เหมาะกับการจะนำมาใช้ร่วมกับ iPad mini 5 อย่างแน่นอน แม้ว่ามิติของตัวเครื่องทั้งความกว้าง ความยาวและความหนาจะยังคงเท่ากันเป๊ะ ๆ อยู่ก็ตาม (203.2 x 134.8 x 6.4 mm.)

    เมื่อดูที่สันเครื่องด้านบน ก็จะพบกับช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 mm. ตรงกลางเป็นช่องรับเสียงของไมค์ช่วยตัดเสียงรบกวน ปิดท้ายด้านริมสุดก็คือปุ่ม Power

    ส่วนฝั่งขวาของเครื่อง (เมื่อหันจอเข้าหาตัว) ก็จะมีปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงอยู่ทางซีกบนเหมือนเดิม และก็ไม่มีช่องรับเสียงของไมค์ช่วยตัดเสียงรบกวนแล้ว เนื่องจากมันได้ถูกย้ายไปไว้ตรงสันบนแทน และดูเหมือนว่าขนาดของปุ่มใน iPad mini 5 จะยาวกว่า iPad mini 4 เล็กน้อย

    สำหรับเครื่องรุ่น LTE+WiFi ก็จะมีถาดใส่ซิมอยู่ที่ฝั่งนี้ด้วยเช่นกัน

    ด้านล่างก็จะเป็นช่องลำโพงทั้งสองช่อง ให้เสียงแบบสเตอริโอ จะติดก็ตรงที่ลำโพงมันมากองรวมอยู่ฝั่งเดียวกัน ทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดมิติเสียงออกมาได้เต็มที่เท่ากับ iPad รุ่นใหญ่ ๆ ส่วนตรงกลางก็เป็นพอร์ต Lightning ตามปกติ

    ส่วนฝั่งซ้ายนั้นไม่มีอะไรเลยครับ

    ขนาดของ iPad mini 5 ยังคงเป็นขนาดที่เหมาะกับการพกพา เพราะสามารถใส่เครื่องไว้ในกระเป๋าได้สบาย จะถึอก็ไม่ลำบากนัก และด้วยการที่ตัวเครื่องยังคงใช้ ratio หน้าจอแบบ 4:3 อยู่ ทำให้เครื่องดูไม่ยาวจนเกินไป จะเสียดายก็แค่ขอบจอที่ยังหนาอยู่เท่านั้นเอง

    ส่วนความรู้สึกในการจับถือนั้น ก็ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย เหมาะสำหรับใช้ในการอ่าน ebook นั่งไถหน้าจอ Facebook เล่นเกม ดู YouTube ด้วยตัวเครื่องที่มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป ประกอบกับน้ำหนักตัวเครื่องเพียงแค่ประมาณ 300 กรัมเท่านั้น ซึ่งแทบไม่ได้แตกต่างจาก iPad mini 4 เลยครับ ดังนั้น หากใครที่ถือ iPad mini 4 อยู่ ก็บอกได้เลยว่าความรู้สึกในการจับถือตัวเครื่องนั้นแทบไม่ต่างกันเลย

    การรับชมภาพยนตร์บนหน้าจอ iPad mini 5 ก็ยังคงให้ประสบการณ์เช่นเดียวกับ iPad รุ่นอื่น ๆ ครับ ก็คือยังมีขอบดำบนล่างเมื่อรับชมในแนวนอนเหมือนเดิม เนื่องจากภาพยนตร์ส่วนใหญ่มีอัตราส่วนภาพอยู่ที่ 16:9 แต่หน้าจอ iPad นั้นใช้อัตราส่วนแบบ 4:3 ทำให้ภาพไม่เต็มจอ และยิ่งเป็นวิดีโอแบบ 21:9 ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย เพราะขอบดำในแนวนอนนั้นจะหนาไม่ต่ำกว่า 1 นิ้วเลยทีเดียว ซึ่งจุดนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติของ iPad ครับ ไม่ได้เป็นอาการผิดปกติแต่อย่างใด

    ส่วนฟังก์ชันการใช้งานหลายแอปพร้อมกันของ iOS ก็สามารถใช้บน iPad mini 5 ได้เช่นกัน แต่ด้วยข้อจำกัดของขนาดหน้าจอ จึงอาจจะทำให้ไม่สะดวกเท่ากับการใช้งานบน iPad ที่มีหน้าจอใหญ่กว่านี้ครับ

    ซอฟต์แวร์ของ iPad mini 5

    iPad mini 5 แบบ WiFi ความจุ 256 GB ล็อตแรกที่ผมได้รับ มาพร้อมกับ iOS 12.2 โดยมีเลขโมเดลเป็น MUU32TH/A พื้นที่เหลือให้ใช้งานตอนเปิดเครื่องครั้งแรกจะอยู่ที่ประมาณ 247 GB

    จุดที่น่าสนใจของ iOS เวอร์ชันล่าสุดก็คือมีการเพิ่มข้อมูลของวันสิ้นสุดการรับประกันมาให้ในเครื่องเลย ทำให้ไม่จำเป็นต้องไปเปิดหน้าเว็บไซต์ Apple แล้วกรอกหมายเลขซีเรียลเครื่องเพื่อตรวจสอบระยะเวลาการรับประกันอีกต่อไป สำหรับในภาพด้านบน เป็นการรับประกัน 1 ปีตามเงื่อนไขปกติของตัวเครื่องครับ

    ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ iPad mini 5

    ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ iPad mini 5 ก็คงหนีไม่พ้นความสามารถในการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil ที่ถึงแม้จะเป็น Pencil รุ่นแรกก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับผลิตภัณฑ์ของตนได้ดี เพราะเชื่อได้ว่าน่าจะมีหลายคนอยากได้ iPad จอเล็กกว่า 9.7″ ที่สามารถเขียนจอได้แบบไม่ต้องลุ้นว่าปากกาสไตลัสที่ซื้อแยกมาจะเวิร์คมั้ย เนื่องจากขนาดเครื่องที่กะทัดรัด เหมาะกับการพกพา จะเอาไปใช้จดเลคเชอร์ระหว่างเรียน จดบันทึกการประชุม ร่างภาพแบบคร่าว ๆ ก็ทำได้สะดวก

    แต่สิ่งที่ตามมาจากการที่ Apple เปิดตัว iPad mini 5 ก็คือ เสียงของความแปลกใจว่าเพราะเหตุใดถึงเป็น Apple Pencil รุ่นแรก แทนที่จะเป็นรุ่นสองแบบที่ใช้ร่วมกับ iPad Pro รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งมีประสิทธิภาพ ฟีเจอร์ และสัมผัสที่ดีกว่ารุ่นแรกอย่างเห็นได้ชัด ก่อให้เกิดความสับสนในไลน์ผลิตภัณฑ์ iPad มากขึ้นไปอีก ว่ารุ่นไหนใช้กับ Pencil รุ่นไหนได้บ้าง

    ตรงจุดนี้ หากลองเดาสาเหตุจากในมุมของ Apple ก็พอจะเจอสาเหตุที่ทำให้ Apple เลือกให้ iPad mini 5 (รวมถึง iPad Air 3) จับคู่กับ Apple Pencil รุ่นแรกอยู่เหมือนกันครับ เท่าที่ผมนึกออกก็ประมาณนี้

    (1) ด้วยโครงสร้างเครื่องที่แทบจะเหมือนกับ iPad mini 4 ทำให้ไม่สามารถออกแบบวงจรสำหรับชาร์จ Apple Pencil 2 แบบไร้สายที่ด้านข้างเครื่องเหมือน iPad Pro ได้ ไม่อย่างนั้นคงต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้าง การวางอุปกรณ์ภายในใหม่พอสมควร

    (2) ต้องการสร้างความแตกต่างให้กับ iPad Pro รุ่นใหม่ ซึ่งจะมองว่าเป็นการสงวนของเด็ด ๆ เอาไว้ให้กับคนที่จ่ายเยอะกว่าก็ว่าได้ครับ จ่ายเยอะกว่า ก็ได้ของใหม่กว่า ลูกเล่นเยอะกว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะถ้าเกิด mini 5 ดันใช้ Pencil 2 ได้เหมือนกับรุ่น Pro ก็คงกระทบกับยอดขายของรุ่น Pro อยู่เหมือนกัน

    (3) Apple ต้องการเคลียร์สต็อกอะไหล่ปัจจุบันก่อน ประกอบกับการใช้อะไหล่พิมพ์เดิม ก็ยิ่งทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลงกว่าการใช้อะไหล่ที่ผ่านการออกแบบและผลิตขึ้นมาใหม่มาก

    (4) ไหน ๆ ตัวเครื่องก็ยังคงใช้พอร์ต Lightning อยู่ ก็ให้มันจับคู่กับ Apple Pencil 1 ที่ชาร์จผ่านพอร์ต Lightning ไปซะเลย ง่ายดี

    ซึ่งสิ่งที่สร้างความขบขันให้กับ Apple Pencil 1 ก็คือเจ้าวิธีการชาร์จนี่แหละครับ เนื่องจากหัว Lightning มันจะอยู่ที่ปลายบนสุดโดยมีฝาครอบที่ยึดด้วยแรงแม่เหล็กอ่อน ๆ เอาไว้อยู่ ถ้าต้องการชาร์จกับตัวเครื่อง ก็ให้ดึงฝาปิดออก แล้วเสียบเข้าไปกับพอร์ต Lightning ของตัวเครื่อง ผลที่ได้ก็จะเหมือนเอาเสาอากาศมาจิ้มกับ iPad ในแนวตั้ง ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดเสียวกับผู้ใช้งาน เรียกว่าระหว่างชาร์จไปก็ระแวงไป ว่าจะเผลอไปชนจนหัวชาร์จหักหรือไม่ ครั้นจะพกหัวแปลงให้สามารถเอา Apple Pencil 1 ไปชาร์จกับสาย Lightning ได้ก็ไม่สะดวกอีก เพราะขนาดของหัวแปลงมันเล็กมาก จนอาจทำให้สูญหายได้ง่าย

    และในระหว่างการชาร์จ ก็แน่นอนว่าจะต้องถอดฝาปิดออก นั่นก็เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ฝาปิดหายได้อีก เรียกว่า Apple Pencil 1 เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ Apple ออกแบบ UX มาได้แย่มาก ๆ ชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ จึงไม่แปลกใจที่คนอยากให้ iPad mini 5 รองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil 2 ที่ได้แก้ไขข้อบนพร่องต่าง ๆ เหล่านั้นไปแล้วซะมากกว่า

    ในแง่ของการใช้งานจริง iPad mini 5 สามารถทำงานร่วมกับ Apple Pencil 1 ได้ค่อนข้างดี การตอบสนอง ลายเส้นที่ปรากฏขึ้นมาจัดว่าเกือบจะเรียลไทม์ มีอาการดีเลย์กว่าบน iPad Pro เล็กน้อย ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ iPad Pro มีฟีเจอร์ ProMotion ที่ทำให้หน้าจอมีเฟรมเรตสูงกว่า เลยดูเหมือนลายเส้นจะติดปลายดินสอมากกว่า แต่ของ iPad mini 5 ก็ถือว่าทำได้ไม่เลวเลย สามารถใช้จดบันทึกแบบเร็ว ๆ ได้สบาย แต่ความรู้สึกอาจจะไม่เหมือนกับกำลังเขียนบนกระดาษอย่างที่ iPad Pro ทำได้

    หน้าจอของ iPad mini 5 และ Apple Pencil 1 สามารถแยกแยะแรงกดได้ รวมถึงสามารถเอียงหัวดินสอเพื่อใช้สำหรับแรเงาได้ด้วยเช่นกัน

    อีกหนึ่งเรื่องที่ iPad mini 5 ยังคงทำได้ดีอยู่ก็คือการจับสัมผัสที่ขอบจอ ทำให้ผู้ใช้สามารถวางสันมือบนขอบจอระหว่างที่กำลังเขียนได้อย่างไม่มีปัญหา

    เมื่อความสามารถในการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil 1 ได้ ผสานกับประสิทธิภาพที่แรงของตัวเครื่อง และหน้าจอความละเอียดสูง ขอบเขตสีกว้าง ทำให้การแต่งรูปบน iPad mini 5 เป็นไปได้อย่างราบรื่น โดยภาพตัวเครื่องในรีวิว iPad mini 5 นี้ทั้งหมด เป็นภาพที่ผมแต่งด้วยแอป Adobe Lightroom CC บน iPad mini 5 ล้วน ๆ เลยครับ

    สำหรับขั้นตอนการนำภาพมาแต่งของผมในรอบนี้ก็คือ import ไฟล์ raw ลงในคอมก่อน แล้วให้มันซิงค์พรีวิวของภาพทั้งหมดผ่านบัญชี Adobe มายัง iPad ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอยู่ จากนั้นก็จัดการแต่งภาพ โดยในระหว่างแต่งภาพอยู่ ระบบก็จะซิงค์ค่าการปรับแต่งกลับไปในคอมด้วย เมื่อเสร็จแล้วก็ค่อย export ภาพจากในคอมออกมาเป็นไฟล์ JPEG ตามปกติ จะแอบเสียดายก็ตรงที่รอบนี้ผมยังไม่ได้ลองโยนไฟล์ raw เข้ามาใน iPad ตรง ๆ เนื่องจากผมไม่ได้เอา card reader ที่ต่อเข้ากับพอร์ต Lightning มาด้วย

    ส่วนการตอบสนอง ความรวดเร็วในการพรีวิวภาพขณะที่กำลังปรับแต่งอยู่นั้น ถือว่าทำได้รวดเร็ว และแสดงผลได้เกือบจะทันทีที่ปรับค่าต่าง ๆ เช่น ความสว่าง ไฮไลท์ สีสัน ปรับ distortion เป็นต้น และเมื่อใช้งานร่วมกับ Apple Pencil ก็ช่วยให้ผมสามารถระบาย brush ลงจุดที่ต้องการได้แม่นยำกว่าการใช้เมาส์ในคอมอีกต่างหาก

    กล้องถ่ายรูปของ iPad mini 5

    กล้องถ่ายรูปกับ iPad ถือว่าเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นเส้นขนานกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรครับ ซึ่ง iPad mini 5 ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม คือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้เน้นเรื่องกล้องมากนัก สังเกตได้จากกล้องหลังที่ยังคงใช้โมดูลเดิมอยู่ ด้วยกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ไม่มีแฟลช ส่วนกล้องหน้ายังดีหน่อยที่ได้รับการอัพเกรดมาเป็นความละเอียด 7 ล้านพิกเซล f/2.2 ซึ่งน่าจะเป็นโมดูลใกล้เคียงกับ iPhone รุ่นใหม่ ๆ เลย

    โหมดกล้องที่มีใน iPad mini 5 ก็มีเพียงแค่โหมดมาตรฐานได้แก่ Photo, Square, Pano รองรับการถ่าย Live Photos และ HDR ส่วนการถ่ายวิดีโอก็สามารถถ่าย Slo-mo ได้ 120 fps และก็สามารถถ่าย Timelapse ได้ตามมาตรฐาน

    ภาพที่ได้จาก iPad mini 5 ก็ถือว่าทำได้ดีในเกณฑ์ของ iPad ครับ แต่ถ้าไปเจอสภาพแสงที่จัด ๆ เช่น การถ่ายรูปกลางแจ้งที่มีแดดจัด ๆ อันนี้ HDR ก็ช่วยไว้ไม่ไหวเหมือนกัน ส่วนการถ่ายภาพในเวลากลางคืนก็ยังเป็นวุ้น ๆ อยู่เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม คุณภาพของรูปก็ยังอยู่ในระดับที่ใช้แชร์ลง Facebook, IG, Twitter หรือ Line ได้แบบไม่มีปัญหาอะไร สำหรับตัวอย่างภาพอื่น ๆ สามารถรับชมได้จากแกลเลอรี่ด้านล่างนี้ครับ


















    ประสิทธิภาพและการเล่นเกมบน iPad mini 5

    ที่ผ่านมา สมาร์ทดีไวซ์ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS นับเป็นกลุ่มเครื่องที่หลาย ๆ คนลงความเห็นว่าเหมาะกับการเล่นเกมที่สุด ด้วยประสิทธิภาพ ความไหลลื่น และการปรับแต่งของนักพัฒนาเกมที่สามารถรีดประสิทธิภาพโดยรวมของทั้งระบบได้ดีกว่า จึงไม่แปลกใจที่หลาย ๆ ที่จริงจังกับการเล่นเกมจะเลือกใช้ iPhone เป็นหนึ่งในเครื่องหลักของตน เพราะจะให้ถือ iPad จอ 9.7 นิ้วเล่นเกมก็ดูจะใหญ่และหนักเกินไป ส่วน iPad mini 4 เองนั้นก็สเปคค่อนข้างเก่าไปแล้ว แถมแรมก็มีแค่ 2 GB เท่านั้น

    แต่พอมาเป็น iPad mini 5 ต้องบอกเลยว่าสวรรค์ของคอเกมบนแพลตฟอร์มพกพากลับมาแล้วครับ ด้วยทั้งประสิทธิภาพจากสเปคสุดแรงอย่างชิป A12 Bionic ที่เป็นชิประดับรองท็อปของ Apple ในปัจจุบัน แรมก็ให้มา 3 GB ที่เหลือเฟือสำหรับการเล่นเกมภายใต้ความสามารถในการจัดการระบบของ iOS รวมถึงหน้าจอขนาด 7.9 นิ้ว แบต 5124 mAh และตัวเครื่องที่มีน้ำหนักราว ๆ 300 กรัม ซึ่งหนักกว่ามือถือรุ่นท็อปในปัจจุบันไม่มากนัก แต่ได้ข้อดีตรงที่หน้าจอใหญ่กว่ามือถือ ทำให้ UI ปุ่มกด และภาพในเกมดูใหญ่เต็มตามากกว่าเล่นบนมือถือเยอะ

    หากใครที่กำลังมองหาเครื่องสำหรับเล่นเกมแบบจริงจังอยู่ iPad mini 5 ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจครับ รับรองว่าเล่นเกมได้ไหลลื่นไปอีกไม่ต่ำกว่า 3-4 ปีเลย

    เกมที่ผมลองทดสอบก็เป็นสองเกมหลักอย่าง PUBG Mobile ซึ่งสามารถปรับกราฟิกระดับสูงสุดเท่าที่จะสามารถปรับได้สบาย ๆ เฟรมเรตก็ลื่น ไม่พบอาการกระตุกแต่อย่างใด

    ส่วน RoV ก็ยิ่งสบายเข้าไปอีกครับ สามารถปรับกราฟิกระดับสูงสุด พร้อมเปิดโหมดเฟรมเรตสูงได้แบบไร้ปัญหา โดยในระหว่างการเล่น เฟรมเรตของเกมก็อยู่ที่ 59-60 fps ตลอดเวลา

    ปิดท้ายด้วยผลการทดสอบประสิทธิภาพด้วยแอป Geekbench 4 กันซักหน่อย เผื่อมีใครต้องการตัวเลขคะแนนครับ โดยผลที่ออกมาก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ iOS ด้วยกันก็จะอยู่ตรงกลางระหว่าง iPhone XR (A12 Bionic) กับ iPhone 8/8 Plus (A11 Bionic) ส่วนถ้าจะข้ามไปเทียบกับผล Geekbench 4 ของฝั่ง Android ก็ยังจัดว่าอยู่ในระดับท็อปสุดของตารางอยู่ดีครับ

    ด้านของการใช้งานแบตเตอรี่ ตรงจุดนี้ผมไม่ได้ทดสอบอย่างละเอียดนะครับ แต่สำหรับใครที่เคยใช้งาน iPad mini มาก่อนแล้ว ก็คงทราบเป็นอย่างดีว่าแบตมันอึดมาก สามารถใช้งานหลายวันได้สบาย แต่ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานด้วย ถ้าใช้เล่นเกม ดูหนังติดต่อกันนาน ๆ ก็หมดเร็วขึ้นตามลำดับ

    Overall

    iPad mini 5 คือผลิตภัณฑ์ที่ลงตัวทั้งในแง่ของความกะทัดรัด จอสวย สเปคแรง แบตอึด รวมถึงยังรองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil 1 ได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นการอัพเกรดผลิตภัณฑ์ที่ Apple ส่งไม้ตายของตนหลายขนานลงมารวมอยู่ในเครื่องเดียว ตอบสนองได้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ที่เรียกหากันมานาน ทำให้ iPad mini 5 กลายเป็นหนึ่งในสมาร์ทดีไวซ์ที่ออกมาได้สมกับการรอคอย

    แต่ถ้าถามถึงความพึงพอใจใน iPad mini 5 ส่วนตัวผมก็ยังคงไม่ให้เต็ม 100% อยู่ดีครับ ซึ่งจุดที่ผมหักคะแนนก็ค่อนข้างตรงกับที่สื่อหลายสำนักในต่างประเทศรีวิวไปก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์ที่ยังเป็นแบบเดิม ๆ อยู่ ขอบจอหนาเกินไป พอร์ตชาร์จที่ยังไม่เปลี่ยนเป็น USB-C ซักที รวมถึงการรองรับได้แค่ Apple Pencil 1 เท่านั้น

    แน่นอนว่า Apple ย่อมมีเหตุผลสำหรับแต่ละข้อ ว่าทำไมถึงเลือกที่จะไม่นำมาใช้กับ iPad mini 5 ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปครับว่า iPad mini 6 จะออกมาเป็นอย่างไร เพราะเชื่อว่าบริษัทคงจะมีแผนการที่จะขยับปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของตนแบบค่อยเป็นค่อยไปแน่ ๆ (ถ้า Apple ยังจะทำ iPad mini ต่อนะ)

    ส่วนกลุ่มผู้ใช้งานที่น่าจะเหมาะกับ iPad mini 5 ส่วนตัวผมมองว่าน่าจะเป็นตามนี้

    • คนที่อยากได้แท็บเล็ตขนาดเล็ก ประสิทธิภาพสูง มีแอปให้ใช้เยอะ ๆ ซักเครื่อง
    • คนที่อยากได้แท็บเล็ตและปากกามาไว้ใช้เป็นสมุดจดบันทึก สมุดสเก็ตช์ภาพที่พกพาได้สะดวก
    • คนที่อยากได้แท็บเล็ตมาไว้เล่นเกม
    • คนที่อยากได้คอมพิวเตอร์ขนาดกะทัดรัดสุด ๆ ไว้ใช้สำหรับแก้ไขงานเล็ก ๆ น้อย ๆ

    สำหรับผู้ที่กำลังมองหา iPad ราคาไม่แรงซักเครื่องอยู่ ตอนนี้ก็จะมี iPad (6th gen) ที่ราคาเริ่มต้นย่อมเยาที่สุดอยู่ ถัดมาถึงจะเป็น iPad mini 5 ซึ่งถ้าไม่ได้มีข้อแม้ว่าหน้าจอ 7.9″ มันเล็กไป ส่วนตัวผมแนะนำให้สอย iPad mini 5 จะดีกว่า เพราะราคารุ่นเริ่มต้นก็ต่างกันแค่ 2,400 บาท ใช้ Pencil ได้เหมือนกัน แต่ได้สเปคแรงกว่า iPad (6th gen) มาก ได้ความจุมากกว่ากันเท่าตัว แถมยังรองรับการใช้งานในอนาคตได้ยาวนานกว่าแน่นอนอีกด้วย

     

    ข้อดี

    • สเปคแรง ประสิทธิภาพสูงด้วยชิป A12 Bionic แรม 3 GB รองรับการใช้งาน AR
    • หน้าจอแสดงสีได้ขอบเขตกว้างระดับ DCI-P3 รองรับเทคโนโลยี True Tone Display
    • ตัวเครื่องน้ำหนักเบา บางเฉียบ พกพาสะดวก
    • แบตเตอรี่อึด ใช้งานได้นาน
    • รองรับ Apple Pencil 1

    ข้อสังเกต

    • ดีไซน์ตัวเครื่องโดยรวมยังเป็นแบบเดิมอยู่
    • พอร์ตเชื่อมต่อยังคงใช้เป็น Lightning
    • ไม่รองรับการชาร์จเร็ว
    • ไม่กันน้ำกันฝุ่น

    Gallery

    Apple iPad mini 5 Review
    Share. Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    ZeroSystem

    Related Posts

    Apple อาจใช้ AI ช่วยประหยัดพลังงาน คาดใส่เข้ามาใน iOS 19

    13 พฤษภาคม 2025

    แนะนำ 3 กลุ่มหลักที่เหมาะกับ iPhone 16e – ถ้าซื้อไปใช้ รับรองว่าคุ้ม!

    13 พฤษภาคม 2025

    เปรียบเทียบ Samsung Galaxy S25 Edge vs iPhone 17 Air มือถือตัวบางทั้งคู่ ต่างกันแค่ไหนเท่าที่รู้ตอนนี้

    10 พฤษภาคม 2025

    Comments are closed.

    หัวข้อทั้งหมด

    Samsung Galaxy S25 Edge มาแล้ว เปิดราคา 36,xxx บาง 5.8mm แต่แรงด้วย SD 8 Elite for Galaxy

    13 พฤษภาคม 2025

    Apple อาจใช้ AI ช่วยประหยัดพลังงาน คาดใส่เข้ามาใน iOS 19

    13 พฤษภาคม 2025

    แนะนำ 3 กลุ่มหลักที่เหมาะกับ iPhone 16e – ถ้าซื้อไปใช้ รับรองว่าคุ้ม!

    13 พฤษภาคม 2025

    เปรียบเทียบ Samsung Galaxy S25 Edge vs iPhone 17 Air มือถือตัวบางทั้งคู่ ต่างกันแค่ไหนเท่าที่รู้ตอนนี้

    10 พฤษภาคม 2025

    มือถือรุ่นยอดนิยม

    Honor X7

    Honor X7

    6,299 บาท
    Honor X8

    Honor X8

    7,999 บาท
    Honor X9

    Honor X9

    9,299 บาท
    HTC Desire 22 Pro

    HTC Desire 22 Pro

    0 บาท
    Huawei Nova 10 Pro

    Huawei Nova 10 Pro

    24,990 บาท
    ดูมือถือทั้งหมด
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

    ยอมรับ
    X