หลังจาก Apple เปิดให้เริ่มสั่งซื้อ iPad mini 5 และ iPad Air 3 รุ่น WiFi ผ่านทางเว็บไซต์ Apple ไปเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตอนนี้คนที่สั่งตั้งแต่วันแรกก็น่าจะเริ่มได้รับของกันเรียบร้อยแล้วนะครับ ซึ่งผมเองก็สั่ง iPad mini 5 มาใช้งานส่วนตัวด้วยเหมือนกัน 1 เครื่อง เพื่อมาแทน iPad mini 2 ที่ช้าเกินใช้งานในรูปแบบที่ผมต้องการแล้ว ดังนั้นก็เลยไม่พลาดที่จะทำบทความแกะกล่องให้ทุกท่านได้ชมกัน รวมถึงมีภาพเปรียบเทียบตัวเครื่องกับ iPad mini 2 ให้ชมอีกด้วยในส่วนท้ายของบทความ
กล่องของ iPad mini 5 ก็มาในรูปแบบเดียวกับผลิตภัณฑ์กลุ่ม iPad ครับ กล่องขาว กระดาษแข็งพอสมควร ด้านข้างมีคำว่า iPad mini
กระบวนการจัดส่ง iPad mini 5 รอบนี้ถือว่าทำได้ตามมาตรฐานของ Apple ครับ ผมกดสั่งไปตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม ได้รับสินค้าในวันที่ 3 เมษายน ใช้เวลาประมาณ 6 วัน สำหรับการจัดส่งก็เริ่มจากที่สิงคโปร์ก่อน ส่งต่อไปที่จีน และก็มาถึงไทยครับ
กล่องที่ใช้ในการจัดส่งก็ถือว่าแพ็คมาได้ดี แม้กล่องนอกจะไม่ได้มีขนาดพอดีกับกล่องภายในก็ตาม แต่ก็มีการใช้พลาสติกและเทปกาวช่วยยึดไว้ได้อย่างมั่นคง ทำให้กล่องจริงภายในไม่ได้รับการกระแทกจากการจัดส่งแต่อย่างใด
ด้านหลังก็จะมีข้อมูลของตัวเครื่องระบุไว้ครบถ้วน เริ่มต้นจากด้านบนสุดคือความจุ 256 GB รองลงมาก็เป็น iPad mini รุ่น WiFi ส่วนฉลากด้านล่างก็จะมีระบุรหัสรุ่นว่าเป็น MUU32TH/A ส่วนเลขโมเดลก็คือ A2133 สำหรับเครื่องที่ผมได้รับมานี้ ถูกผลิตขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคมนี้เอง
เมื่อเปิดฝาครอบขึ้นมา ก็จะพบกับ iPad mini 5 อยู่ในซองพลาสติกอยู่ด้านบนสุด พร้อมลิ้นที่ช่วยให้ดึงเครื่องขึ้นมาได้ง่ายขึ้น
ส่วนอุปกรณ์ที่ให้มาภายในก็ตามนี้เลย
- อะแดปเตอร์ชาร์จหัว USB-A ขาปลั๊กแบน 2 ขา จ่ายไฟได้สูงสุด 10W (5.1V 2.1A)
- สาย Lightning to USB-A ยาว 1 เมตร
- เอกสารคู่มือการใช้งานเบื้องต้น
- สติกเกอร์โลโก้ Apple
ส่วนรีวิว iPad mini 5 ก็พบกันได้เร็ว ๆ นี้ครับ
เปรียบเทียบ iPad mini 5 กับ iPad mini 2
สาเหตุที่ผมนำ iPad mini 5 มาเทียบกับ iPad mini 2 ก็เพราะว่ามันเป็นเครื่องเดียวที่ผมมีอยู่ครับ (แต่ก็อยากเทียบกับ iPad mini 4 อยู่เหมือนกันนะ)
ซึ่งถึงแม้ว่ารุ่นที่เปรียบเทียบจะเป็นรุ่นที่เก่ากว่ากันมากก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้ใช้งาน iPad mini 2 อยู่ไม่น้อยทีเดียว ด้วยเพราะความทนทาน รวมถึงการที่ Apple ยังปล่อยให้อัพเดต iOS เวอร์ชันใหม่ ๆ ได้อยู่ แถมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การจะเปลี่ยนจาก iPad mini 2 หรือ 3 ไปใช้งานรุ่น 4 ก็ดูจะเป็นการอัพเกรดที่ไม่ค่อยคุ้มซักเท่าไหร่ แต่พอมาเป็นรุ่นที่ 5 เพียงแค่การเปิดตัวก็เห็นได้ชัดเลยว่าเป็น iPad mini รุ่นที่ได้รับการอัพเกรดภายในจากเดิมหลาย ๆ จุด จนน่าสนใจที่จะซื้อมาใช้งานแทนเครื่องเดิม ซึ่งหนึ่งในฟีเจอร์ที่ผมให้ความสำคัญในการตัดสินใจซื้อก็คือ มันเป็น iPad mini ที่ใช้ Apple Pencil เขียนจอได้ เพราะผมจะเอามาใช้จดบันทึกนั่นเอง
กลับมาที่การเทียบ iPad mini 5 กับ iPad mini 2 นะครับ สิ่งที่เห็นได้ชัดมาก ๆ เลยก็คือหน้าจอที่สีสันดีขึ้น แถม iPad mini 5 ยังมีเทคโนโลยี True Tone อีกด้วย
รุ่นใหม่กว่า สีสันก็ย่อมสดใสกว่าเป็นธรรมดา แถมดูเหมือนว่าตัวพาเนลจอของรุ่นใหม่จะอยู่ติดกระจกมากกว่ารุ่นเก่าอีกด้วย ทำให้ความรู้สึกตอนใช้งานเสมือนว่ากำลังแตะไอคอนนั้นอยู่จริง ๆ
ส่วนด้านหลัง iPad mini 5 ที่ผมสั่งเป็นสีเทาสเปซเกรย์ ส่วน iPad mini 2 เป็นเครื่องสีเทาขาวนะครับ ก็เลยจะมีสีแตกต่างกันเยอะหน่อย ส่วนรายละเอียดยิบย่อยเท่าที่สังเกตได้ก็คือตรงกล้องหลังจะไม่มีวงรอบกระจกเลนส์กล้องแล้ว รวมถึงตัวหนังสือคำว่า iPad ตรงด้านล่างก็เลือกใช้ font ที่น้ำหนักบางลงกว่าเดิม
บริเวณของปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงที่ด้านข้างเครื่อง iPad mini 5 ก็จะไม่มีสวิทช์เช่นเดียวกับใน iPad mini 4 ซึ่งผมเสียดายมาก เพราะมันช่วยอำนวยความสะดวกให้ผมเวลาต้องการจะเปิดหรือปิดฟังก์ชันการหมุนหน้าจอได้ง่ายจริง ๆ
ถ้าเทียบความบางระหว่าง iPad mini 5 กับ iPad mini 2 จะเห็นได้ชัดเลยครับว่ารุ่นใหม่บางกว่า
รวมถึงตัวเครื่องยังยาวกว่าอีกด้วย ทำให้ iPad mini 5 ไม่สามารถใช้เคสของ iPad mini 2 ได้เลย ดังนั้นถ้าใครเปลี่ยนเครื่องจากรุ่น 2 มาเป็นรุ่น 5 เหมือนผม ก็ต้องเปลี่ยนเคสใหม่ด้วยนะ