This is not a smartphone, This is an intelligent machine – AI “นี่ไม่ใช่สมาร์ทโฟน แต่มันคืออุปกรณ์อันชาญฉลาด” เป็นข้อความที่ปรากฎในวีดีโอทีเซอร์ของ Huawei Mate 10 และ Huawei Mate 10 Pro สมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปสุดของ Huawei ในปี 2017 ที่เปิดตัวไปหมาด ๆ เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และเตรียมวางจำหน่ายในประเทศไทยภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
ในวีดีโอทีเซอร์ดังกล่าว จะเห็นว่า Huawei Mate 10 Series สามารถมองเห็น, คิด, เรียนรู้ได้เหมือนกับมนุษย์ ด้วยการที่มีชิป AI แบบ Built-in ในตัวเครื่อง ถึงแม้ว่าการใช้งานสมาร์ทโฟนในช่วงหลังมานี้ จะมีการใช้ AI ช่วยประมวลผลบ้างแล้วก็ตาม แต่ถ้าวัดกันที่สมาร์ทโฟนที่มีชิป AI ในตัว มีการใช้ NPU (Neural Processing Unit) เข้ามาช่วยในการประมวลผล Huawei Mate 10 Pro ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรก ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้
สเปค Huawei Mate 10 Pro
- รัน Android 8.0 Oreo ครอบทับด้วย EMUI 8.0
- หน้าจอ OLED ขนาด 6 นิ้ว FHD+ รองรับ HDR10
- CPU Kirin 970 Octa-core 2.36GHz
- RAM 6 GB
- ROM 128 GB รองรับ micro-SD
- แบตเตอรี่ 4000mAh รองรับระบบชาร์จไว Super Charge
- กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล
- กล้องหลังคู่ Leica SUMMILUX 12+20 ล้านพิกเซล f/1.6
- รองรับ 2 ซิม (4G ได้ทั้ง 2 ซิม)
- กันน้ำสาด IP67
- มีทั้งหมด 4 สี Titanium Grey , Midnight Blue , Mocca Brown , Pink Gold
- ราคาประมาณ. 27,900 บาท
ในงานเปิดตัวที่ประเทศเยอรมัน Huawei ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนในซีรี่ส์ Mate 10 ด้วยกัน 3 รุ่น ได้แก่ Huawei Mate 10 Pro (ที่เราได้มารีวิว), Huawei Mate 10 และ Porsche Design Huawei Mate 10 โดยรุ่นที่เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยในช่วงแรก จะมีเพียง Huawei Mate 10 Pro กับ Porsche Design Huawei Mate 10 สำหรับราคาของ Huawei Mate 10 Pro แว่ว ๆ มาว่าจะเปิดขายในราคาไม่เกิน 30,000 บาท ส่วน Porsche Design Huawei Mate 10 ราคาคงไม่หนีจากตอน Mate 9 ก็ประมาณ 50,000 บาทได้ครับ
จุดเด่น
– คงความเป็น Mate DNA ได้อย่างครบถ้วน แต่มีพัฒนาการโดยรวมที่ดีขึ้นมาก
– รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ 4.5G ความเร็วสูงสุด 1.2 Gbps และจับสัญญาณได้ดีเยี่ยม
– งานประกอบดีสมราคา ตัวเครื่องจับถนัดมือแม้จะมีหน้าจอ 6 นิ้ว
– หน้าจอ Huawei FullView พาแนล OLED สีสันสดใส คมชัดกว่าที่คิด
– EMUI 8.0 มีฟีเจอร์เด่น ๆ เพิ่มขึ้นมามากมาย โดยเฉพาะ Projector Mode ใช้สายเส้นเดียวก็เปลี่ยนเป็นคอมพิวเตอร์ได้
– แบตเตอรี่อึด ใช้งานได้นานข้ามวัน และชาร์จเร็วด้วย Huawei Super Charge
ข้อสังเกต
– AI ยังใช้งานได้เพียงแค่แอปติดเครื่องเท่านั้น ในอนาคตถึงจะเริ่มทำงานร่วมกับ 3rd Party App ได้
– เพิ่มเมม MicroSD ไม่ได้ แต่ตัวเครื่องก็ความจุ 128 GB แล้ว
– กระจกหลังเก็บรอยนิ้วมือง่ายพอสมควร แนะนำให้ใส่เคส
บทสรุป
Huawei Mate 10 Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับความคาดหวังสูง เพราะถ้านับตามลำดับการเปิดตัวในบรรดาสมาร์ทโฟนเรือธงด้วยกัน Huawei Mate 10 Pro เปิดตัวมาในลำดับสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้ทำให้สาวกหรือคนที่กำลังสนใจผิดหวังแม้แต่น้อย ด้วยสเปคที่จัดเต็ม ชิปเซ็ตที่แรงที่สุดเท่าที่ Huawei เคยใช้มาบนสมาร์ทโฟนอย่าง Kirin 970 มาพร้อมกับ NPU หรือชิป AI ภายในตัวเครื่อง ช่วยให้การประมวลผลและการใช้งานทำได้อย่างราบรื่น ด้านดีไซน์ การออกแบบแม้ยังมีความเป็น Mate DNA แต่ด้วยวัสดุที่เปลี่ยนไปใช้กระจก ทำให้มีความหรูหราเพิ่มขึ้นมาก และด้วยความที่เป็นหน้าจอ Huawei FullView อัตราส่วน 18:9 ทำให้ขนาดของ Huawei Mate 10 Pro ไม่ใหญ่จนเกินไป แม้จะเป็นหน้าจอ OLED ขนาด 6 นิ้วก็ตาม ส่วนเรื่องกล้องที่เป็นจุดเด่นของสมาร์ทโฟน Huawei มาหลายรุ่น ใน Huawei Mate 10 Pro ก็ยังคงมีความโดดเด่นเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์กล้องคู่ระดับพรีเมียม เลนส์ Leica SUMMILUX-H f/1.6 ทั้งสองตัว ทำงานร่วมกับชิป Dual ISP และ AI ให้ภาพถ่ายที่สวยแบบมือโปร
BEST PERFORMANCE
Design
สิ่งแรกที่ผมมองว่าเป็นจุดเด่นของ Huawei Mate 10 Pro ก็คงจะเป็นเรื่องวัสดุและการออกแบบ โดยเฉพาะเรื่องวัสดุที่เปลี่ยนจากอลูมิเนียม Unibody อันเป็นเอกลักษณ์ของ Mate Series ตั้งแต่ Huawei Ascend Mate 7 เมื่อปี 2014 มาเป็นการใช้โครงอลูมิเนียม กับกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เช่นเดียวกับสมาร์ทโฟนเรือธงหลายรุ่นในปี 2017
ส่วนเรื่องการออกแบบ Huawei Mate 10 Pro ยังมีความเป็น Mate DNA เช่นเคย ดีไซน์โดยรวมยังคงมีความคล้ายกับ Mate 9 Pro แต่ในแง่ของรายละเอียดต่าง ๆ ต้องยอมรับว่า Huawei ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้ตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อย ทั้งในแง่ของความสวยงามและการใช้งานจริง
ด้วยความที่หน้าจอของ Huawei Mate 10 Pro เป็นหน้าจอ Huawei FullView อัตราส่วน 18:9 ตามสมัยนิยม พื้นที่หน้าจอคิดเป็น 81.61% เมื่อเทียบกับพื้นที่ด้านหน้าทั้งหมด เลยทำให้ตัวเครื่องมีความกะทัดรัด แม้จะเป็นหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6 นิ้ว โดยขนาดตัวเครื่อง Huawei Mate 10 Pro ถือว่าใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟนหน้าจอ 5.5 นิ้ว มีน้ำหนักเพียง 178 กรัม เมื่อรวมกับการออกแบบที่เน้นเรื่องความโค้งมนบริเวณด้านหลัง ทำให้การจับถือตัวเครื่องเข้ามือเป็นอย่างดี
ตำแหน่งการจัดวางปุ่มต่าง ๆ ของ Huawei Mate 10 Pro ผ่านกระบวนการคิดมาเป็นอย่างดี เริ่มจากตำแหน่งของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่อยู่บริเวณด้านหลังตัวเครื่อง Huawei เลือกที่จะวางตำแหน่งไว้ใต้กล้องตัวที่ 2 ทำให้ไม่เกิดปัญหาลายนิ้วมือบนกล้องเหมือนคู่แข่ง และไม่ว่าจะถือด้วยมือซ้ายหรือมือขวา นิ้วชี้จะอยู่ตรงตำแหน่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือพอดี รวมถึงการกดปุ่มปรับระดับเสียง, ปุ่ม Power ก็ใช้แรงกดไม่มาก การใช้งานด้วยมือข้างเดียวทำได้สะดวก จนบางทีก็ลืมคิดไปว่านี่คือสมาร์ทโฟนหน้าจอ 6 นิ้ว
นอกจากเรื่องการวางตำแหน่งของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือและปุ่มควบคุม ด้วยความที่ Huawei Mate 10 Pro มีการออกแบบภายใต้แนวคิด Symmetric Design (การออกแบบสมมาตร) ทำให้การจัดวางรายละเอียดต่าง ๆ ดูลงตัว ไม่ขาดไม่เกิด ทั้งด้านหน้า, ด้านข้าง และด้านหลัง โดยเฉพาะด้านหลังที่ถือว่าเป็นงานยาก เพราะมีทั้งกล้องคู่ที่ออกแบบให้ดูสวยก็ว่ายากอยู่แล้ว ยังมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเพิ่มเข้ามาอีก
หน้าจอของ Huawei Mate 10 Pro เป็นหน้าจอแบบ OLED ความละเอียด Full HD+ ขนาด 6 นิ้ว และมีคอนทราสที่จัดถึง 70,000: 1 ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับหน้าจอบนสมาร์ทโฟน เรื่องการแสดงผลก็ตามสไตล์ของหน้าจอ OLED คือแสดงผลสีดำได้ดำสนิท ไม่มีการยิงเม็ดสีออกมาจากหน้าจอ เรื่องสีสันไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เพราะหน้าจอของ Huawei Mate 10 Pro สามารถแสดงสีสันได้อย่างดีเยี่ยม และยังรองรับ HDR 10 อันเป็นมาตรฐานใหม่ในการรับชมคอนเท้นแบบวีดีโอ ให้สีสันที่สดกว่า สมจริงมากกว่า
EMUI 8.0
Huawei Mate 10 Pro มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ EMUI 8.0 ที่มีพื้นฐานบน Android 8.0 Oreo ในเรื่องของระบบปฏิบัติการ Android อันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะรุ่นก่อนหน้าก็เป็น Android 7.0 Nougat แต่ที่แปลกคือตัวเลขเวอร์ชัน EMUI จากรุ่นก่อนหน้าที่เป็น EMUI 5.1 อยู่ดี ๆ ก็กระโดดมาเป็น EMUI 8.0 เฉยเลย
ในแง่ของหน้าตา UI เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าไม่ได้มีความแตกต่างในแบบที่เห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ EMUI 5.1 บน Huawei P10 Plus ที่ผมใช้ประจำก็มีความคล้ายคลึงกันมาก ลักษณะการใช้งานยังคงเดิม แต่จะมีความเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดบางส่วน ซึ่งก็อิงตามฟีเจอร์ใน Android 8.0 Oreo เช่น Picture-in-Picture, App Shotcut, Smart text selection รวมถึง Notification หรือการแจ้งเตือนแบบใหม่ ที่เปลี่ยนมาใช้แบบ Badge App Icons ไม่ได้ขึ้นเป็นตัวเลขเหมือนเวอร์ชันก่อน ๆ แล้ว
ในเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คงเป็นฟีเจอร์ Projector Mode ที่สามารถเปลี่ยน Huawei Mate 10 Pro ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์ได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ Dock เหมือนกับคู่แข่ง ต้องการแค่สาย USB-C to HDMI เพียงเส้นเดียวเท่านั้น เมื่อต่อเข้ากับ Monitor หรือ Projector จะเหมือนการต่อจอแยก มีหน้า Interface ไม่เหมือนกับบนสมาร์ทโฟน แต่เป็นการออกแบบให้ใช้แทนคอมพิวเตอร์ไปเลยมากกว่า
การควบคุม Huawei Mate 10 Pro ในโหมด Projector สามารถทำได้ผ่านสมาร์ทโฟน หน้าจอจะเปลี่ยนเป็น Touchpad แล้วก็สามารถพิมพ์ข้อความได้ด้วยคีย์บอร์ดในตัวเครื่อง หรือถ้าต้องการให้การใช้งานลื่นไหล และใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์มากขึ้น ก็สามารถเพิ่ม Mouse, Keyboard ได้เช่นกัน แต่ก็ต้องเปลี่ยนมาใช้ Mate Dock (วางจำหน่ายแยก) หรือพวก USB-C Multiport Adapter แทน
เพื่อให้เห็นภาพ Projector Mode ได้ง่ายขึ้น สามารถรับชมจากวีดีโอด้านล่างนี้ได้เลยครับ
Camera
กล้องก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ Huawei เน้นมาตลอดในสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธง Huawei Mate 10 Pro ก็ยังคงเป็นอีกรุ่นที่มาพร้อมกับกล้องคู่แบบแยกสี – ขาวดำเหมือนเมื่อตอน Huawei Mate 9 และแน่นอนว่ากล้องของ Huawei Mate 10 Pro ก็ยังคงเป็นการร่วมมือระหว่าง Huawei กับ Leica เช่นเคย แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในกล้องของ Huawei Mate 10 Pro คือฮาร์ดแวร์กล้องที่ดีขึ้นจากรุ่นก่อน, การประมวลผลด้านภาพที่ดีขึ้น และที่สำคัญคือมีการใช้ AI เข้ามาช่วยอย่างที่ผมเคยได้เกริ่นมาแล้วก่อนหน้านี้
Huawei Mate 10 Pro ใช้กล้องคู่เลนส์ SUMMILUX-H รูรับแสง f/1.6 ทั้ง 2 กล้อง โดยกล้องตัวแรกที่ถ่ายภาพสี RGB มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อม OIS กันสั่นติดมาให้ ส่วนกล้องอีกตัวเป็นกล้องสำหรับถ่ายขาวดำ Monochrome โดยเฉพาะ มีความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ฟีเจอร์กล้องจากรุ่นก่อน เช่น HUAWEI Zoom, 4-in-1 Hybrid Focus ก็ยังคงมีให้เห็นใน Huawei Mate 10 Pro
โหมดกล้องที่มีใน Huawei Mate 10 Pro ถอดแบบมาจากตอน Huawei P10 Plus แบบเป๊ะ ๆ เสียงชัตเตอร์ก็ยังคงความเป็น Leica เหมือนเคย ส่วนการใช้งานกล้อง Huawei Mate 10 Pro ส่วนมากจะเน้นที่โหมด Auto เป็นหลัก ด้วยการใช้ AI เข้ามาช่วยในการประมวลผลภาพถ่าย ช่วยในการแยกแยะวัตถุ และแยกแยะฉากต่าง ๆ จากนั้นก็เลือกปรับตั้งค่าของภาพให้เหมาะสม โหมดที่จะได้ใช้บ่อย ๆ เช่น โหมดวิว, โหมดถ่ายคน แล้วก็โหมดกลางคืน ก็ล้วนแต่ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี
หน้าที่อีกอย่างของ AI ที่เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพก็คือการเบลอฉากหลัง แม้ว่า Huawei เองก็ขึ้นชื่อในการถ่ายรูปหน้าชัดหลังละลาย หรือโหมด Bokeh เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่การที่ได้ AI มาช่วยทำให้การละลายฉากหลังเนียนขึ้นมาก โดย AI เข้ามามีส่วนในการช่วยประมวลผลทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง
นอกจากการใช้ฮาร์ดแวร์ที่ดี และมี AI เข้ามาช่วยแล้ว Huawei Mate 10 Pro ยังมีการใช้ Dual ISP (Image Signal Processor) ช่วยในการประมวลผลภาพถ่าย ทำให้การจับโฟกัสมีความรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น สามารถจับภาพที่ยาก ๆ เช่นการเคลื่อนไหวในที่แสงน้อยได้คมชัด ไม่เบลอ
ตัวอย่างการใช้ AI มาช่วยในการถ่ายภาพ เช่น การถ่ายภาพสุนัข หรือแมว AI ก็สามารถเรียนรู้ได้ และเลือกการตั้งค่าที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพ สังเกตได้จากความคมชัดของเส้นขน การแยกขนของสุนัข ถ้าเป็นกล้องปกติทั่วไป เวลาถ่ายน้องหมา ส่วนที่เป็นขนจะนัว ๆ และไม่คมเท่ากับที่ Huawei Mate 10 Pro ถ่าย
นอกจากการแยกแยะวัตถุอย่างสัตว์เลี้ยง หรือคนได้แล้ว AI ยังสามารถถ่ายอาหารให้น่ารับประทานขึ้นด้วย ส่วนตัวรู้สึกว่าโอเคกว่า Food Mode ที่เคยใช้ในสมาร์ทโฟน Huawei รุ่นก่อน ๆ
คุณภาพรูปถ่ายของ Huawei Mate 10 Pro ก็สมกับการเป็นสมาร์ทโฟนตัวท็อป คือถ่ายออกมาได้สวย โหมด Auto เมื่อมี AI ก็ฉลาดขึ้นมาก คุณภาพของไฟล์ยังคงไว้ใจได้ ส่วนการถ่ายภาพในที่แสงน้อย สำหรับบางคนอาจมองว่ามันถ่ายมาค่อนข้างจะติด Under หน่อย ๆ แต่ส่วนมากจะเป็นเฉพาะกรณีที่ถ่ายภาพในที่แสงน้อย แล้วมีแสงไฟมากวนมาก ๆ ด้วยความที่กล้องต้องการเก็บรายละเอียดทั้งหมดในภาพ (ไม่ได้เลือกจุดโฟกัส) จึงต้องถ่ายให้ติด Under เพื่อที่จะได้เก็บแสงไฟฟุ้ง ๆ ให้ได้ทั้งหมด
กรณีถ่ายภาพในที่แสงน้อย เทียบกันระหว่าง Huawei Mate 10 Pro (ซ้าย) กับ Samsung Galaxy Note 8 (ขวา)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Huawei Mate 10 Pro
ปิดท้ายด้วยภาพถ่ายจากกล้องหน้า Huawei Mate 10 Pro ครับ แน่นอนว่ามีการให้ AI เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพเช่นกัน เรื่องการทำ Bokeh Effect ในโหมด Portrait ทำได้เนียนขึ้นมาก
Performance
ประสิทธิภาพของ Huawei Mate 10 Pro ที่มาพร้อมกับชิปประมวลผล HiSilicon Kirin 970 ชิปประมวลผลแบบ Octa-Core (4 Cortex A73 2.36 GHz + 4 Cortex A53 1.8 GHz) + i7 co-processor มาพร้อมชิปประมวลผลกราฟฟิครุ่นใหม่ล่าสุด Mali G72 MP12 และพ่วงด้วย NPU หรือ AI ในระดับฮาร์ดแวร์ เมื่อรวมกับ Ram 6 GB แบบ LPDDR4 ทำให้เรื่องการใช้งานหนัก ๆ ไม่ใช่ปัญหาของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้
เท่าที่มีโอกาสได้ใช้งานเครื่องรีวิว Huawei Mate 10 Pro มาเป็นระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี ทั้งการทำงาน และการเล่นเกม ยังไม่เจออาการค้าง หรืออาการหน่วงให้เห็น รวมถึงความร้อนที่ออกมาจากตัวเครื่องก็จัดการได้เป็นอย่างดี ทดสอบเล่นเกม ROV ก็ทำเฟรมเรทในโหมดเฟรมเรทสูงได้เฉลี่ยที่ประมาณ 50 – 55 fps ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ระดับต้น ๆ ของแอนดรอยกับเกม ROV
ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ Huawei Mate 10 Pro ยังคงความเป็น Mate DNA มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 4,000 mAh เมื่อรวมกับการให้ AI เข้ามาช่วยในการจัดการพลังงาน ยิ่งทำให้ Huawei Mate 10 Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่แบตเตอรี่อึดเอามากเลยทีเดียว สามารถใช้งานได้นานกว่า 1 วัน หรือถ้าเป็นการใช้งานที่ไม่หนักมาก Huawei Mate 10 Pro สามารถลากได้ 2 วันสบาย ๆ โดยไม่ต้องชาร์จไฟ
การชาร์จไฟกลับเข้าไปใน Huawei Mate 10 Pro ก็ทำได้อย่างรวดเร็ว ด้วยอะแดปเตอร์ Huawei Super Charge ที่แถมมาให้ในกล่อง สามารถชาร์จไฟได้ที่ 4.5V/ 5A ใช้เวลาเพียง 30 นาทีก็ชาร์จไฟกลับเข้าไปได้ถึง 50% ส่วนเรื่องความปลอดภัย Huawei Super Charge ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยจาก TÜV Rheinland หน่วยงานที่เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยระดับโลก การทดสอบครอบคลุมชิ้นส่วนทุกชิ้น ตั้งแต่อแดปเตอร์ วงจรไอซี จนถึงวัสดุที่ใช้ผลิตสายชาร์จ ซึ่งล้วนผ่านการทดสอบทั้งด้านความปลอดภัยและความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบเฉียบพลัน