พบกับรีวิว Samsung Galaxy Tab S10 FE+ แท็บเล็ตรุ่นล่าสุดในตระกูล Fan Edition ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในซีรีส์ FE และฟีเจอร์ AI ที่ครบครัน ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น หลังจากที่ได้ทดลองใช้งานมาระยะหนึ่ง พบว่านี่เป็นแท็บเล็ตที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์หน้าจอใหญ่ในราคาที่สมเหตุสมผล มาดูกันว่า Galaxy Tab S10 FE+ มีจุดเด่นและจุดด้อยอะไรบ้าง

Design – การออกแบบตัวเครื่อง
Samsung Galaxy Tab S10 FE+ มาพร้อมดีไซน์ที่บางเฉียบเพียง 6 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบาเพียง 664 กรัมสำหรับรุ่น Wi-Fi (668 กรัมสำหรับรุ่น 5G) ทำให้ถือใช้งานได้อย่างสบายมือแม้จะมีหน้าจอขนาดใหญ่ ตัวเครื่องทำจากวัสดุอะลูมิเนียมที่ให้ความรู้สึกพรีเมียมและทนทาน

จุดเด่นที่น่าสนใจคือการมาพร้อมกับขอบจอที่บาง ทำให้มีพื้นที่แสดงผลมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์และการทำงานให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีมาตรฐานกันน้ำและกันฝุ่น IP68 ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในแท็บเล็ตระดับกลาง ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจในทุกสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน ห้องประชุม หรือแม้แต่กลางแจ้ง

เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy Tab S9 FE+ จะเห็นได้ว่า S10 FE+ มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย (300.6 x 194.7 x 6.0 มม. เทียบกับ 285.4 x 185.4 x 6.5 มม.) แต่บางกว่า ทำให้ดูทันสมัยและพกพาสะดวกมากขึ้น

สำหรับสีที่มีจำหน่ายในประเทศไทย Galaxy Tab S10 FE+ มีเพียงสีเทา (Gray) เท่านั้น ซึ่งดูเรียบหรูและเข้ากับทุกสไตล์การใช้งาน
Display – หน้าจอและการแสดงผล
หน้าจอของ Galaxy Tab S10 FE+ ถือเป็นจุดขายหลักของอุปกรณ์นี้ ด้วยขนาด 13.1 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่า iPad Air M3 รุ่น 13 นิ้ว เล็กน้อย (iPad Air M3 มีขนาดจอ 13.0 นิ้ว) หน้าจอเป็นแบบ IPS LCD ความละเอียด 1800 x 2880 พิกเซล อัตราส่วน 16:10 แม้จะไม่ใช่จอ AMOLED เหมือนรุ่น Ultra แต่ก็ให้คุณภาพการแสดงผลที่ดี

จุดเด่นของหน้าจอคือการรองรับอัตรารีเฟรช 90Hz ซึ่งทำให้การเลื่อนหน้าจอและการใช้งานทั่วไปลื่นไหลกว่าหน้าจอ 60Hz ทั่วไป (และดีกว่า iPad Air M3 ที่มีอัตรารีเฟรชเพียง 60Hz) นอกจากนี้ยังมีความสว่างสูงสุดถึง 800 nits ในโหมด High Brightness Mode ทำให้สามารถใช้งานกลางแจ้งได้โดยไม่มีปัญหา

ในการทดสอบการใช้งานจริง หน้าจอให้สีสันที่สดใส มีมุมมองที่กว้าง และมี Algorithm Vision Booster ที่ช่วยปรับความสว่างและการมองเห็นโดยอัตโนมัติในสภาพแวดล้อมกลางแจ้งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมถึงมีการลดแสงสีฟ้าเพื่อถนอมสายตาในการใช้งานเป็นเวลานาน

เมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับราคาเดียวกัน หน้าจอของ Galaxy Tab S10 FE+ ถือว่าทำได้ดีมาก โดยเฉพาะการเพิ่มอัตรารีเฟรชเป็น 90Hz ทำให้การใช้งานลื่นไหลกว่าแท็บเล็ตหลายรุ่นที่ยังคงใช้อัตรารีเฟรช 60Hz อยู่
Performance – ประสิทธิภาพและฮาร์ดแวร์
Galaxy Tab S10 FE+ มาพร้อมชิปเซ็ต Exynos 1580 ที่ผลิตด้วยกระบวนการ 4 นาโนเมตร ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับกลางที่ให้ประสิทธิภาพที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยมี CPU แบบ Octa-core (1×2.9 GHz Cortex-A720 & 3×2.6 GHz Cortex-A720 & 4×1.9 GHz Cortex-A520) และ GPU Xclipse 540

เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy Tab S9 FE+ ที่ใช้ชิป Exynos 1380 จะเห็นได้ว่า S10 FE+ มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นมาก โดยข้อมูลเบื้องต้นระบุว่าเร็วขึ้นประมาณ 40% ในการประมวลผลทั่วไป ซึ่งช่วยให้การทำงานหลายอย่างพร้อมกันและการเล่นเกมทำได้ดีขึ้น

ในด้านหน่วยความจำ รุ่นที่ขายในไทยมีให้เลือกเฉพาะรุ่น 12GB RAM + 256GB ROM ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป และยังรองรับการใส่ microSD card เพิ่มความจุได้สูงสุด 2TB ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตหลายรุ่นที่ไม่รองรับการขยายความจุ
ในการทดสอบการเล่นเกม พบว่าสามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลในระดับกราฟิกปานกลาง แต่อาจมีอาการกระตุกบ้างเมื่อเปิดกราฟิกสูงสุด เกม Genshin Impact สามารถเล่นได้ค่อนข้างดีบนการตั้งค่ากราฟิกต่ำถึงปานกลาง แต่จะกระตุกเมื่อเปิดกราฟิกสูงสุด เช่นเดียวกับเกม Wuthering Waves ที่ต้องลดกราฟิกลงเพื่อให้เล่นได้ลื่น

สำหรับการใช้งานทั่วไปอย่างการท่องเว็บ ดูวิดีโอ ใช้โซเชียลมีเดีย หรือทำงานเอกสาร Galaxy Tab S10 FE+ ทำได้ดีมาก ไม่มีอาการกระตุกหรือหน่วง แม้จะเปิดแอพหลายๆ แอพพร้อมกันก็ตาม
Battery – แบตเตอรี่และการชาร์จ
แบตเตอรี่เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ Galaxy Tab S10 FE+ ด้วยความจุขนาดใหญ่ 10,090 mAh ซึ่งใหญ่กว่า iPad Air M3 ที่มีแบตเตอรี่ขนาด 9,705 mAh ในการทดสอบการใช้งานจริง สามารถใช้งานได้ยาวนานมาก โดยสามารถสตรีมวิดีโอได้นานถึงเกือบ 16 ชั่วโมง หรือใช้งานแบบผสมผสานได้ประมาณ 11 ชั่วโมงจากการชาร์จครั้งเดียว

นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จเร็ว 45W ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับ iPad Air M3 ที่รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 20W เท่านั้น โดยใช้เวลาชาร์จจาก 0% เป็น 100% ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

ด้วยแบตเตอรี่ที่ใหญ่และการชาร์จที่เร็ว ทำให้ Galaxy Tab S10 FE+ เป็นแท็บเล็ตที่เหมาะสำหรับการใช้งานนอกสถานที่หรือการเดินทาง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดระหว่างวัน
ฟีเจอร์ AI ครบครัน
Galaxy Tab S10 FE+ เป็นรุ่นแรกในซีรีส์ FE ที่มาพร้อมฟีเจอร์ AI ตั้งแต่แกะกล่อง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานในหลายด้าน ได้แก่:

- Circle to Search with Google: ค้นหาสิ่งที่เห็นบนหน้าจอได้ง่ายๆ เพียงวงกลมด้วยนิ้วหรือ S Pen โดยไม่ต้องสลับแอป ทำให้สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม แปลข้อความบนหน้าจอ หรือขอความช่วยเหลือในการทำการบ้านด้วยคำอธิบายทีละขั้นตอนได้ทันที
- Samsung Notes: มีฟีเจอร์ Math Solver (หรือ Solve Math) ช่วยแก้โจทย์คณิตศาสตร์จากลายมือหรือข้อความ และ Handwriting Assist (หรือ Handwriting Help) ช่วยจัดระเบียบโน้ตลายมือให้อ่านง่ายขึ้น ทำให้การจดโน้ตง่ายขึ้นและสามารถโฟกัสกับเนื้อหาได้มากขึ้น
- AI Hot Key: เปิดใช้งานผู้ช่วย AI ได้ทันทีด้วยปุ่ม Gemini บน Book Cover Keyboard และ Book Cover Keyboard Slim นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งผู้ช่วย AI ตามความต้องการของผู้ใช้ได้อีกด้วย
- Object Eraser: ลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพถ่ายได้อย่างง่ายดาย พร้อมคำแนะนำอัตโนมัติสำหรับการแก้ไขที่รวดเร็วและง่ายดาย
- Best Face: ช่วยให้ภาพถ่ายกลุ่มสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เพียงเปิดโหมด live photo และถ่ายภาพ จากนั้นเมื่อปรับแต่งด้วย Best Face ผู้ใช้งานจะสามารถเลือกใบหน้าที่ดีที่สุดได้สูงสุดถึง 5 ใบหน้า
- Auto Trim: รวมไฮไลต์จากคลิปวิดีโอหลายคลิปเป็นไฮไลต์ได้อย่างลื่นไหล ช่วยให้สามารถสร้างวิดีโอไฮไลต์จากช่วงเวลาที่น่าจดจำได้อย่างง่ายดาย






ในการทดลองใช้งานจริง ฟีเจอร์ AI เหล่านี้ใช้งานได้ง่ายและมีประโยชน์มากสำหรับการทำงานและการใช้งานทั่วไป แม้บางครั้งอาจมีความล่าช้าบ้างเนื่องจากข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์ แต่โดยรวมแล้วทำงานได้ดีและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานได้จริง
S Pen และอุปกรณ์เสริม
Galaxy Tab S10 FE+ มาพร้อม S Pen ในกล่อง และไม่จำเป็นต้องชาร์จ จึงสามารถใช้งานได้เลยทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตหลายรุ่นที่ต้องซื้อปากกาแยกต่างหาก และยังต้องชาร์จปากกา S Pen ให้ความรู้สึกเหมือนการเขียนบนกระดาษจริง ด้วยความแม่นยำสูงและการตอบสนองที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับการจดโน้ต วาดภาพหรือแม้แต่การตกแต่งภาพถ่าย

อย่างไรก็ตาม S Pen ที่มาพร้อมกับ Galaxy Tab S10 FE+ ไม่รองรับฟีเจอร์ Bluetooth (BLE) ซึ่งหมายความว่าจะไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์ Air Actions หรือใช้เป็นรีโมทควบคุมได้ แต่สำหรับการใช้งานทั่วไปอย่างการจดโน้ตหรือวาดภาพ ก็เพียงพอแล้ว

นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมที่สามารถซื้อเพิ่มเติมได้ เช่น Book Cover Keyboard, Book Cover Keyboard Slim และ Smart Book Cover ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้งานให้กับแท็บเล็ต โดยเฉพาะ Book Cover Keyboard ที่มีปุ่ม AI Hot Key หรือปุ่ม Gemini สำหรับเรียกใช้ผู้ช่วย AI ได้ทันที
Audio & Camera – ระบบเสียงและกล้อง
Galaxy Tab S10 FE+ มาพร้อมลำโพงสเตอริโอคู่ ซึ่งรองรับ Dolby Atmos ให้คุณภาพเสียงที่ดี เสียงดังชัดเจน สามารถเติมเต็มห้องขนาดเล็กได้โดยไม่มีปัญหา แม้จะไม่ได้มีลำโพงแบบ quad speakers เหมือนรุ่นพรีเมียม แต่ก็ให้ประสบการณ์การรับชมและการฟังเพลงที่น่าพอใจ

ในส่วนของกล้อง Galaxy Tab S10 FE+ มาพร้อมกล้องหลังความละเอียด 13MP (f/2.0) และกล้องหน้าความละเอียด 12MP แบบอัลตร้าไวด์ (f/2.4) สามารถบันทึกวิดีโอความละเอียด 4K ที่ 30fps ได้ คุณภาพของภาพถ่ายอยู่ในระดับดี ให้รายละเอียดที่ชัดเจนและสีสันที่สมจริง เพียงพอสำหรับการถ่ายภาพทั่วไปหรือการประชุมออนไลน์

เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy Tab S9 FE+ จะเห็นได้ว่ากล้องหลังของ S10 FE+ ได้รับการอัพเกรดจาก 8MP เป็น 13MP ทำให้ภาพถ่ายมีคุณภาพดีขึ้น ในขณะที่กล้องหน้ายังคงเป็น 12MP เช่นเดิม แต่ให้มุมมองที่กว้างขึ้น เหมาะสำหรับการประชุมออนไลน์หรือการถ่ายเซลฟี่กับเพื่อนๆ

กล้องของ Galaxy Tab S10 FE+ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ AI ที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพภาพถ่าย เช่น Scene Optimizer ที่ปรับการตั้งค่ากล้องให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม และ Night Mode ที่ช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ปรับแต่งรูปภาพอย่าง Object Eraser และ Best Face ที่กล่าวไปแล้วในส่วนของฟีเจอร์ AI
Software – ซอฟต์แวร์และการใช้งาน
Galaxy Tab S10 FE+ มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 15 และ One UI 7.0 ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหลและมีฟีเจอร์การใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะความสามารถในการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (multitasking) ที่ดีขึ้น

One UI 7.0 มาพร้อมกับการปรับปรุงหลายอย่าง ทั้งในแง่ของการออกแบบที่สวยงามและใช้งานง่ายขึ้น การปรับปรุงประสิทธิภาพให้เร็วขึ้น และการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น การปรับปรุง Quick Panel ให้เข้าถึงการตั้งค่าที่ใช้บ่อยได้ง่ายขึ้น และการปรับปรุง Multi Window ให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น

Samsung DeX เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Galaxy Tab S10 FE+ ช่วยให้สามารถใช้งานแท็บเล็ตในโหมดเดสก์ท็อปได้ เหมาะสำหรับการทำงานที่ต้องการความคล่องตัวสูง โดยสามารถเชื่อมต่อกับจอภาพภายนอก คีย์บอร์ด และเมาส์ได้ ทำให้การทำงานเอกสาร การตัดต่อภาพและวิดีโอ หรือการนำเสนองานทำได้สะดวกยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีแอปพรีโหลดมาให้หลายตัว เช่น Samsung Notes ที่รองรับฟีเจอร์ AI, PENUP สำหรับการวาดภาพ, Samsung Kids สำหรับการควบคุมการใช้งานของเด็ก, และแอปอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีแอปพิเศษอย่าง Clip Studio Paint (ทดลองใช้ฟรี 6 เดือน) สำหรับการวาดภาพระดับมืออาชีพ และ LumaFusion (ทดลองใช้ฟรี 3 เดือน) สำหรับการตัดต่อวิดีโอ
Samsung ให้การสนับสนุนการอัพเดตซอฟต์แวร์ที่ดีขึ้นมาก โดยสัญญาว่าจะมีการอัพเดต Android หลักประมาณหกปีและการอัพเดตความปลอดภัยห้าปี ซึ่งถือว่าดีมากสำหรับแท็บเล็ตระดับกลาง และยาวนานกว่าแท็บเล็ต Android หลายรุ่นในท้องตลาด
Connectivity – การเชื่อมต่อ
Galaxy Tab S10 FE+ รองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย ทั้ง Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3, USB Type-C 2.0 และ GPS ในรุ่น 5G ยังรองรับการใช้งานเครือข่าย 5G ผ่าน Nano-SIM หรือ eSIM ทำให้สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลา

นอกจากนี้ยังมี Samsung Smart View ที่ช่วยให้สามารถแชร์หน้าจอระหว่างอุปกรณ์ Samsung ได้อย่างง่ายดาย และ Quick Share สำหรับการแชร์ไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ Samsung หรืออุปกรณ์ Android อื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว
Galaxy Tab S10 FE+ ยังรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Samsung อื่นๆ เช่น Galaxy Watch หรือ Galaxy Buds ได้อย่างไร้รอยต่อ ทำให้สามารถใช้งานร่วมกันได้อย่างสะดวก เช่น การรับการแจ้งเตือนจากสมาร์ทวอทช์ หรือการสลับการเชื่อมต่อหูฟังไร้สายระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
Productivity – การใช้งานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
Galaxy Tab S10 FE+ เป็นแท็บเล็ตที่เหมาะสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการเรียน ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 13.1 นิ้ว ทำให้สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการเปิดแอพหลายๆ แอพพร้อมกันในโหมด Multi Window หรือการใช้งาน Samsung DeX

S Pen ที่มาพร้อมกับเครื่องช่วยให้การจดโน้ต การวาดภาพ หรือการทำงานที่ต้องการความแม่นยำทำได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับแอพ Samsung Notes ที่มีฟีเจอร์ AI ช่วยในการจัดระเบียบโน้ตและแก้โจทย์คณิตศาสตร์
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Quick Share ที่ช่วยให้สามารถแชร์ไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็ว และ Samsung Cloud ที่ช่วยในการสำรองข้อมูลและซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ ทำให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องแม้จะเปลี่ยนอุปกรณ์
Book Cover Keyboard (ที่ต้องซื้อแยกต่างหาก หรือได้รับเป็นของแถมในช่วงพรีออเดอร์) ช่วยเพิ่มความสามารถในการพิมพ์และการใช้งานเหมือนโน้ตบุ๊ก ทำให้การทำงานเอกสารหรือการตอบอีเมลทำได้สะดวกยิ่งขึ้น
Entertainment – ความบันเทิง
ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 13.1 นิ้ว และลำโพงสเตอริโอคู่ที่รองรับ Dolby Atmos ทำให้ Galaxy Tab S10 FE+ เป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับความบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกม

ในการทดสอบการดูวิดีโอบน YouTube และ Netflix พบว่าให้ประสบการณ์ที่ดีมาก ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่และสีสันที่สดใส ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังดูบนจอทีวีขนาดเล็ก ส่วนลำโพงให้เสียงที่ชัดเจน มีมิติ และเบสที่พอเหมาะ
สำหรับการเล่นเกม แม้จะไม่ใช่แท็บเล็ตที่เน้นสำหรับเกมเมอร์โดยเฉพาะ แต่ก็สามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลในระดับกราฟิกปานกลาง และด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ ทำให้การเล่นเกมสนุกมากขึ้น โดยเฉพาะเกมประเภทกลยุทธ์หรือเกมที่ต้องการพื้นที่หน้าจอมาก
ราคาและการวางจำหน่าย
Galaxy Tab S10 FE+ มีวางจำหน่ายในประเทศไทยในสองรุ่น ได้แก่:
- Galaxy Tab S10 FE+ Wi-Fi (12GB + 256GB): ราคา 26,900 บาท
- Galaxy Tab S10 FE+ 5G (12GB + 256GB): ราคา 29,900 บาท
สำหรับช่วงพรีออเดอร์ Samsung Galaxy Tab S10 FE+ จะมีโปรโมชั่นพิเศษดังนี้:
ระยะเวลาพรีออเดอร์: 10 – 23 เมษายน 2568
วันที่เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ: 21 เมษายน 2568

ของแถมพิเศษสำหรับ Galaxy Tab S10 FE+:
- AI Keyboard Cover หรือ Smart Book Cover มูลค่า 2,990 บาท
- Adapter 45W มูลค่า 1,090 บาท
- S Pen (มาในกล่องอยู่แล้ว) มูลค่า 1,200 บาท
เมื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติที่ได้รับ เช่น หน้าจอขนาดใหญ่ 13.1 นิ้ว, อัตรารีเฟรช 90Hz, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่, การชาร์จเร็ว 45W, S Pen ในกล่อง และฟีเจอร์ Galaxy AI ทั้งหมด ถือว่า Galaxy Tab S10 FE+ มีความคุ้มค่าสูงสำหรับผู้ที่ต้องการแท็บเล็ตประสิทธิภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้
เมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับราคาเดียวกัน เช่น iPad Air M3 ที่มีราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท (สำหรับรุ่น 128GB Wi-Fi) และต้องซื้อ Apple Pencil แยกต่างหากในราคาเริ่มต้นที่ 3,990 บาท จะเห็นได้ว่า Galaxy Tab S10 FE+ มีความคุ้มค่ามากกว่า โดยเฉพาะในช่วงพรีออเดอร์ที่มีของแถมมูลค่ารวมกว่า 4,000 บาท
เปรียบเทียบกับ iPad Air M3
เมื่อเปรียบเทียบ Galaxy Tab S10 FE+ กับ iPad Air M3 พบว่าแต่ละรุ่นมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกันดังนี้
จุดที่ Galaxy Tab S10 FE+ เหนือกว่า:
- หน้าจอใหญ่กว่า (13.1 นิ้ว vs 13.0 นิ้ว) และมีอัตรารีเฟรชสูงกว่า (90Hz vs 60Hz)
- มี S Pen มาในกล่อง ในขณะที่ iPad Air M3 ต้องซื้อ Apple Pencil แยกต่างหาก
- แบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่า (10,090 mAh vs 9,705 mAh) และรองรับการชาร์จเร็วกว่า (45W vs 20W)
- รองรับการใส่ microSD card เพิ่มความจุได้สูงสุด 2TB
- มีมาตรฐานกันน้ำและกันฝุ่น IP68
- ราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าได้ S Pen มาในกล่อง และมีความจุมากกว่า (256GB vs 128GB ในรุ่นพื้นฐาน)
จุดที่ iPad Air M3 เหนือกว่า:
- ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าด้วยชิป Apple M3 ที่แรงกว่า Exynos 1580 มาก
- น้ำหนักเบากว่า (460 กรัม vs 664 กรัม สำหรับรุ่น Wi-Fi)
- รองรับ HDR10 และ Dolby Vision ในขณะที่ Galaxy Tab S10 FE+ รองรับเฉพาะ HDR10
สรุปรีวิว Samsung Galaxy Tab S10 FE+
Samsung Galaxy Tab S10 FE+ เป็นแท็บเล็ตที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์หน้าจอขนาดใหญ่ ในราคาที่เข้าถึงได้ ด้วยจุดเด่นเรื่องหน้าจอขนาด 13.1 นิ้ว อัตรารีเฟรช 90Hz แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 10,090 mAh การชาร์จเร็ว 45W และฟีเจอร์ Galaxy AI ที่ครบครัน รวมถึงการมี S Pen มาให้ในกล่อง ทำให้คุ้มค่ากับราคา 26,900 บาท (รุ่น Wi-Fi) หรือ 29,900 บาท (รุ่น 5G)

แม้จะมีข้อสังเกตเรื่องประสิทธิภาพที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตระดับเรือธงหรือ iPad Air M3 แต่ในภาพรวม Samsung Galaxy Tab S10 FE+ ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป การทำงานเอกสาร การเรียนออนไลน์ หรือแม้แต่การเล่นเกมในระดับกราฟิกปานกลาง
หากคุณกำลังมองหาแท็บเล็ตหน้าจอใหญ่ที่มีฟีเจอร์ครบครัน ใช้งานได้หลากหลาย และมีราคาที่สมเหตุสมผล Galaxy Tab S10 FE+ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะในช่วงพรีออเดอร์ที่มีโปรโมชั่นของแถมมูลค่ารวมกว่า 4,000 บาท