กระแสของมือถือยอดนิยมอย่างตระกูล ASUS Zenfone ก็ยังคงนับว่าเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในตลาด ด้วยความคุ้มค่า งานประกอบที่จัดว่าโอเคในแต่ละช่วงราคาของมันเอง ทั้งตัวของ Zenfone 4 ที่ฆ่ารุ่นอื่นๆ ในราคาไม่เกิน 3,000 บาทได้หมด ตัว Zenfone 5 ที่จัดว่าคุ้มค่ามากๆ แทบเพิ่งมีรุ่นรอม 16 GB แรม 2 GB ออกมาวางจำหน่ายในราคาเดิมคือ 5,990 บาทอีก ส่วนด้านของ Zenfone 6 ก็ได้รับความสนใจพอสมควร ได้ข่าวว่าของขายหมดอย่างรวดเร็วแทบจะทุกร้านเลยก็ว่าได้ มาในครั้งนี้ ASUS ก็เตรียมเข้ามาตอกย้ำความสำเร็จเข้าไปอีกกับ?ASUS Zenfone 4 รุ่นจอ 4.5 นิ้ว รหัสรุ่นคือ A450CG หรือที่จะเรียกเป็นรุ่นว่า Zenfone 4.5 ก็ได้เช่นกัน (แถมจะเข้าใจง่ายกว่าด้วย) ซึ่งในรีวิวครั้งนี้เราจะเรียกชื่อว่าเป็น Zenfone 4.5 แล้วกันนะครับ และแน่นอนว่า SpecPhone เราก็ไม่พลาดที่จะหยิบ Zenfone 4.5 มารีวิวให้ทุกท่านได้ชมกัน ว่ามันจะต่างจากเดิมอย่างไร คุ้มค่าน่าเพิ่มเงินมั้ย เรามาดูกันเลย
สเปค ASUS Zenfone 4.5
- ชิปประมวลผล Intel Atom Z2520 dual-core ความเร็ว 1.2 GHz มี Hyper Threading เสมือนว่ามี 4 คอร์ มาพร้อมชิปกราฟิก PowerVR SGX544MP2
- แรม 1 GB
- รอม 8 GB ใส่ MicroSD ได้
- หน้าจอ IPS ขนาด 4.5 นิ้ว?ความละเอียด 854 x 480
- กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล มีแฟลช
- กล้องหน้า VGA
- รองรับ 2 ซิม ใช้ 3G ได้ทุกเครือข่าย
- มาพร้อม Android 4.4 KitKat
- แบตเตอรี่ความจุ 1750 mAh ถอดแบตไม่ได้
- รองรับ USB-OTG เต็มตัว
- ราคา 3,990 บาท
- สเปค Zenfone 4.5 (A450CG) เต็มๆ
ด้านของสเปค Zenfone 4.5 จะเรียกง่ายๆ ว่าเป็นการยกสเปคมาจาก Zenfone 4 แทบทั้งหมดก็ว่าได้ จะมีก็เรื่องของจอ, กล้องหลัง, แบตเตอรี่เท่านั้นที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ดังนี้ เรียกว่าพัฒนาขึ้นมาอย่างชัดเจนทีเดียวเมื่อเทียบ Zenfone 4.5 กับ Zenfone 4 แต่ก็แลกมาด้วยค่าตัวที่เพิ่มขึ้นมาอีก 1,000 บาท ถ้ามองแค่สเปคอย่างเดียว ต้องบอกว่าเป็นการเพิ่มที่ค่อนข้างคุ้มทีเดียวครับ ได้ทั้งจอที่สวยขึ้น ใหญ่สบายตากว่าเดิม กล้องก็ดีขึ้น แถมแบตก็ให้มาเยอะกว่าด้วย ส่วนในเรื่องอื่นๆ เรามาดูกันต่อในรีวิวเลย
Design
ดีไซน์ของ Zenfone 4.5 นับว่าเป็นการยกเครื่องมาจาก Zenfone 5 แล้วมาย่อส่วนเท่านั้นเอง ทำให้เรื่องของหน้าตาดูจะไม่ใช่จุดโดดเด่นของ Zenfone 4.5 มากนัก อีกอย่างคือไลน์ของ Zenfone มันก็ออกมาในรูปร่างหน้าตาเดียวกันทั้งหมดอยู่แล้ว
จุดที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือรูปร่าง ขนาดตัวเครื่องที่เปลี่ยนไปใช้จอขนาด 4.5 นิ้ว ทำให้ได้หน้าจอที่ใหญ่ขึ้น อยู่ระหว่างกลางของ Zenfone 4 และ Zenfone 5 พอดิบพอดี นอกเหนือจากหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว ยังมีจุดที่เพิ่มเข้ามาก็คือความละเอียดหน้าจอที่เพิ่มขึ้นเป็น 854 x 480 และยังเปลี่ยนไปใช้พาเนลจอเป็น IPS ด้วย ทำให้เรื่องของสีสัน มุมมองภาพที่ออกมาดูดีขึ้นกว่า Zenfone 4 อย่างเห็นได้ชัด เลยกลายเป็นการปิดจุดด้อยเดิมไปได้ ซึ่งหน้าจอขนาด 4.5 นิ้วก็ให้การใช้งานที่สบายตากำลังดี ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป สามารถเล่น Facebook เปิดหน้าเว็บ ดูภาพถ่ายก็ทำได้อย่างไหลลื่น เหมาะทั้งกับการใช้งานของทั้งผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนมือใหม่ ผู้ที่อยากหามือถือเครื่องสำรองแบบใช้งานลื่นๆ หรือผู้ที่กำลังอยากหามือถือเครื่องใหม่แบบคุ้มค่าสุดๆ ก็เหมาะทั้งนั้น เรียกว่าเป็นมือถืออีกรุ่นที่ลงตัวมากๆ สำหรับ Zenfone 4.5 ตัวนี้ เท่าที่เรารีวิวมา ก็เสียแต่เรื่องที่ยังคงไม่มีเซ็นเซอร์วัดแสงและระบบปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติมาให้เท่านั้นเอง (เหมือนกับ Zenfone 4) และกระจกหน้าจอยังมีรอยนิ้วมือติดง่ายและสะท้อนแสงไปหน่อยด้วย ถ้าติดฟิล์มดีๆ ก็น่าจะช่วยลดปัญหานี้ลงไปได้ระดับหนึ่ง
Zenfone 4 + Zenfone 5 = Zenfone 4.5
วัสดุที่ Zenfone 4.5 ใช้ก็จะเน้นไปที่พลาสติกเช่นกัน ฝาหลังมีการเคลือบผิวเป็นแบบเซรามิกแบบซอฟต์ทัช ให้สัมผัสการใช้งานที่ดี แต่ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องคราบรอยนิ้วมือติดฝาหลังง่ายอยู่เช่นเดิม จุดนี้ถ้าใส่เคสอยู่ก็คงไม่มีผลกระทบอะไรครับ แต่ถ้าหากอยากจะใช้งานเครื่องแบบเพียวๆ คงต้องหาผ้าไว้เช็ดเครื่องเป็นประจำซักผืนล่ะนะ เพราะถ้าคราบรอยนิ้วมือติดบนฝาหลังไปนานๆ เกรงว่ามันจะกลายเป็นรอยติดฝาไปเลย คราวนี้เครื่องหมดสวยกันพอดี สำหรับงานประกอบในจุดอื่นๆ ก็ยังถือว่าทำออกมาได้ดีเช่นเคยครับ เป็นมือถือราคาไม่เกิน 4,000 บาทที่เนื้องานออกมาดี เผลอๆ พอเทียบได้กับ Nokia เลยด้วยซ้ำ
แต่อย่างไรก็ตาม Zenfone 4.5 ยังมีจุดน่าขัดใจอยู่นิดหน่อยก็คือปุ่มกดด้านล่างทั้งสามปุ่ม ที่ส่วนตัวผมคิดว่ามันวางห่างกันไปนิดนึง ตอนใช้งานก็ยังไม่ค่อยถนัดอยู่บ้างในบางครั้ง ส่วนไฟ LED ที่ปุ่ม ก็ยังไม่มีอีกเช่นเคยครับ เอาง่ายๆ ว่า Zenfone 4 และ Zenfone 5 เป็นอย่างไร Zenfone 4.5 ก็เป็นแบบนั้นเลย
ฝาหลังของ Zenfone 4.5 สามารถแกะออกมาได้ โดยภายในก็จะพบแค่ช่องใส่ไมโครซิม 2 ช่อง และช่องใส่ MicroSD ทางด้านบนขวาเท่านั้น ไม่สามารถแกะแบตเตอรี่ออกมาได้เพราะมันถูกฝังไว้ในตัวเครื่องเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในจุดนี้ก็จะเหมือนกับใน Zenfone 5 และ 6 เลย ซึ่งปัญหามันก็จะอยู่ที่ปริมาณแบตเตอรี่ที่ให้มา 1750 mAh และเมื่อเทียบกับการใช้งานทั่วไปในปัจจุบัน อาจจะมองว่ามันค่อนข้างน้อยไปซะนิดนึง
ส่วนเลย์เอาท์ต่างๆ รอบตัวเครื่องก็จะมีการวางพอร์ต วางปุ่มกดในรูปแบบเดียวกับ Zenfone 5 คือมีช่องเสียบหูฟังอยู่ด้านบน, ปุ่ม Power ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงอยู่ด้านขวา, พอร์ต Micro USB อยู่ด้านล่าง ส่วนลำโพงจะอยู่ด้านล่างของฝาหลังใต้คำว่า Zenfone เป็นลำโพงตัวเดียว ให้เสียงแบบโมโนตามปกติ เสียงจากลำโพงก็ดังพอประมาณคร้บ เสียงแห้งนิดหน่อย ส่วนการฟังเพลงจากหูฟัง อันนี้เบสมาเต็ม พลังเสียงดีใช้ได้เลย ทั้งยังมีส่วนของ Equalizer, Bass booster และ Surround ให้ปรับเสียงได้ตามชอบใจ นอกจากนี้ก็ยังมีแอพ Audio Wizard สำหรับปรับรูปแบบเสียงให้สอดคล้องกับสื่อที่ฟังอยู่ได้ด้วย เช่นอาจจะเปิดเสียงในโหมดเกมเมื่อกำลังเล่นเกมอยู่ หรือจะใช้โหมดเพลงเมื่อฟังเพลงก็ได้เช่นกัน ช่วยให้ระบบสามารถปรับแต่งรูปแบบเสียงให้เข้ากับสื่อที่เราเล่นได้เป็นอย่างดี
ก็คงได้เห็นรายละเอียดต่างๆ ของตัวเครื่องกันไปแล้วนะครับ ว่า Zenfone 4.5 นั้นแทบจะไม่มีความแตกต่างกันในด้านดีไซน์เมื่อเทียบกับ 3 รุ่นหลักก่อนหน้านี้เท่าไรนัก เรียกว่าถ้าเห็นเครื่องเดียวอยู่เดี่ยวๆ ก็อาจจะพอเข้าใจได้ว่าเป็น Zenfone 4 หรือ 5 ไปเลยก็ได้ ดังนั้นในด้านของดีไซน์จึงไม่ค่อยมีจุดให้พูดถึงเท่าไรนัก
ด้านของอุปกรณ์ที่แถมมาในกล่อง Zenfone 4.5 ก็ให้มาตามมาตรฐานครับคือมีอะแดปเตอร์ชาร์จไฟ สาย Micro USB ?ผิดกับ Zenfone 4 รุ่นแรกที่ให้แบตมาสองก้อนแต่ตัดหูฟังออกไป ซึ่งต่อๆ ไป ASUS ก็คงจะให้ของติดกล่องมาเป็นลักษณะนี้ทั้งหมดครับคือมีอะแดปเตอร์และสายชาร์จ คงไม่น่ามีรุ่นไหนที่ให้แบตสองก้อนมาในกล่องอีกแล้วล่ะ
อัพเดตข้อมูล Zenfone 4.5 จะไม่แถมหูฟังมาให้ในกล่องนะครับ
เทียบหน้าตาของ Zenfone 5, Zenfone 4.5 และ Zenfone 4 (ล็อตแรก) กันซะหน่อยครับ จะเห็นว่าขนาดมันต่างกันอยู่พอสมควร ถ้าใครที่เคยจับ 4 มาก่อน ก็จะรู้สึกว่ามันใหญ่ขึ้นมานิดนึง แต่ก็ไม่มากนัก สามารถถือได้สบายๆ (เพราะ 4 มันค่อนข้างเล็กไปแล้ว) แต่ถ้าใครจับ Zenfone 5 มาก่อนก็จะรู้สึกเลยว่ามันเล็กลง กระชับมือยิ่งขึ้น
ส่วนถ้าใครอยากชมภาพถ่ายหน้าตา Zenfone 4.5 เต็มๆ ลองชมได้จากแกลเลอรี่ด้านล่างนี้ได้เลย
Software
ASUS Zenfone 4.5 มาพร้อมกับ Android 4.4.2 KitKat ซึ่งนับว่าเป็น Zenfone รุ่นแรกที่มาพร้อมกับ KitKat ในตัวเลยทีเดียว โดยรุ่นอื่นก็จะมีอัพเดตตามมาให้ใช้ในเร็วๆ นี้แน่นอน หน้าตาของ ZenUI ก็ยังคงเป็นแบบเดิม ธีมเดิม โทนสีเดิมเช่นเคย ถ้าใครที่เคยชินกับ ZenUI อยู่แล้วก็ใช้งานต่อได้สบายๆ แต่ถ้าใครใช้งานรุ่นอื่น launcher อื่นมาก่อน ก็สามารถปรับตัวได้ไม่ยากนัก เพราะรูปแบบการวางเมนู การจัดเรียงตัวเลือกต่างๆ ทำออกมาได้ใกล้เคียงกับหลักโครงสร้างของ Google จะมีการปรับเปลี่ยนก็แค่ในบางจุดที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง เช่นมีแถบปรับความสว่างหน้าจอมาให้ที่แถบ notifications เพื่อชดเชยกับที่มันไม่สามารถปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติได้
ส่วนเนื้อที่รอมที่เหลือให้ใช้งาน จาก 8 GB จะเหลือประมาณ 4.5 GB เท่านั้น ก็พอใช้งานทั่วไป ลงแอพได้ตามปกติครับ อีกทั้งยังสามารถใส่ MicroSD เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลได้ด้วย จะลงเพลง เก็บไฟล์ต่างๆ ก็สะดวก ทั้งยังสามารถย้ายบางแอพจากในเครื่องมาไว้ใน MicroSD ได้จากตัวรอมเองเลยด้วย ทำให้สามารถลดการใช้งานพื้นที่เก็บข้อมูลในเครื่องไปได้มากทีเดียว
Camera
จุดที่น่าสนใจของกล้อง Zenfone 4.5 ก็คือ การอัพเกรดขึ้นมาเป็นกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี PixelMaster แบบเดียวกับ Zenfone 5 ทำให้สามารถถ่ายภาพในที่มีแสงน้อยได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากๆ การโฟกัสก็ทำได้ไวพอประมาณ จะถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอก็ทำได้ทั้งจากในการถ่ายปกติ (เลือกจุดและระยะโฟกัสให้ดีๆ) หรือจะใช้โหมด Depth of Field ที่มีอยู่ในแอพกล้องพื้นฐานของเครื่องก็ทำได้เช่นเดียวกัน สำหรับโหมดกล้องที่มีให้ใช้งานก็มีเหมือนกับแต่ละรุ่นที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโหมด Low light สำหรับถ่ายภาพในที่มีแสงน้อย (แต่ภาพจะเหลือความละเอียดแค่ 2 ล้านพิกเซล), โหมด Time Rewind ที่กล้องจะเก็บภาพไว้หลายๆ ช็อต แล้วให้เรามาเลือกรูปที่ดีที่สุด, โหมด HDR, โหมด Selfie สำหรับถ่ายรูป selfie ด้วยกล้องหลัง เป็นต้น
ส่วนภาพด้านบนนี้เป็นการเทียบการถ่ายในที่มืดระหว่าง Zenfone 4.5 (ซ้าย) กับ LG G3 (ขวา) นะครับ เป็นการยืนถ่ายจากที่เดียวกัน เวลาห่างกันไม่กี่วินาที ใช้การตั้งค่าแบบอัตโนมัติทั้งคู่ เรื่องมุม ความกว้างของภาพอาจจะแตกต่างกันบ้างตามกลไกและลักษณะทางกายภาพของชุดเลนส์และเซ็นเซอร์ที่แตกต่างกัน แต่ที่เห็นผลชัดสุดคือความสว่างของภาพที่ภาพจาก Zenfone 4.5 สว่างกว่ามากๆ สมชื่อเทคโนโลยี PixelMaster ที่ใช้โฆษณา แต่เรื่องของความคมชัดในรายละเอียดภาพ ความเร็วในการโฟกัส ยังคงเป็น G3 ที่ทำได้ดีกว่า ภาพของ Zenfone จะออกเบลอๆ หน่อย โดยจุดที่ทำให้แตกต่างกันก็น่าจะเป็นที่ G3 มีมอเตอร์ OIS สำหรับชดเชยการสั่นจากมือ ที่ต้องจับเครื่องให้นิ่งเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพราะตามปกติแล้วในที่มีแสงน้อย กล้องจะต้องเปิดชัตเตอร์รับแสงค้างไว้นานกว่าปกติ เพื่อรับแสงเข้ามาให้ได้มากที่สุด ตรงจุดนี้ OIS จะช่วยลดปัญหาภาพเบลอจากอาการมือสั่นเวลาถือเครื่องได้ดี แต่กับ Zenfone ที่ไม่มี OIS เลยทำให้ภาพออกมาเบลอซักเล็กน้อย แต่เรื่องความสว่างนี่ได้มาเต็มๆ เลย
ตัวอย่างภาพถ่ายก็ตามในแกลเลอรี่ด้านล่างนี้เลยครับ
Performance
มาดูเรื่องความแรงของ ASUS Zenfone 4.5 จากการรีวิวกันบ้าง ด้วยสเปคที่ไม่แตกต่างจาก Zenfone 4 เท่าไรนัก คะแนนที่ออกมาจึงไม่ต่างกันมากเท่าไรด้วย ดังนี้
- คะแนน AnTuTu: Zenfone 4 ทำได้ 15,209 คะแนน // Zenfone 4.5 ทำได้ 15,493 คะแนน
- คะแนน 3DMark (Unlimited): Zenfone 4 ทำได้ 4,505 คะแนน // Zenfone 4.5 ทำได้ 4,508 คะแนน
- คะแนน GFXBench (T-Rex off-screen): Zenfone 4 ทำได้ 317 คะแนน // Zenfone 4.5 ทำได้ 305 คะแนน
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้คะแนนของ Zenfone 4.5 ออกมาต่ำกว่า Zenfone 4 เล็กน้อยก็เนื่องมาจากจอที่ความละเอียดสูงขึ้นนิดหน่อย ในขณะที่ใช้ชิปตัวเดิม เลยต้องใช้พลังในการประมวลผลมากขึ้น คะแนนเลยตกมานิดหน่อย แต่ก็จัดว่าไม่แตกต่างกันครับ
ส่วนการใช้งานจริง เรียกว่า Zenfone 4 เป็นอย่างไร Zenfone 4.5 ก็เป็นอย่างนั้นเลย ไหลลื่นพอสมควร มีจังหวะโหลดช้าบ้าง กระตุกบ้างเมื่อใช้งานแอพหรือเล่นเกมที่มีการประมวลผลหนักๆ ส่วนพวกเกม LINE เช่นเกมเศรษฐี Let’s Get Rich หรือจะเป็น Cookie Run, LINE Rangers นี่สามารถเล่นได้ครับ แต่ถ้าเวลาเจอวัตถุหรือยูนิตในฉากเยอะๆ ก็มีปัญหาบ้างเหมือนกัน ถือว่าเป็นมือถือราคา 3,990 ที่ใช้งานจริงได้ดี เผลอๆ ดีกว่ารุ่นที่ราคาสูงกว่านี้ด้วยซ้ำไป คุ้มครับตัวนี้
และด้วยการที่มันมาพร้อม Android 4.4.2 KitKat ผมเลยจัดการลองเปลี่ยน runtime จาก Dalvik ที่ใช้เป็นแบบมาตรฐาน มาลองใช้งาน ART ที่จะเป็นมาตรฐานใหม่ของ Android ดู ผลคือค้างตอนรีบูทเพื่อ rebuild โค้ดแอพใหม่ครั้งแรกครับ ค้างตั้งแต่ก่อนนอน มาตอนเช้าก็ยังหมุนติ้วที่หน้าบูทอยู่ ตรงนี้ก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก เพราะปัจจุบัน ART ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี ยิ่งมาเจอกับชิป Intel ที่ตัว ART อาจจะยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานร่วมกับชิปได้เต็มที่อีก ทางที่ดีก็คือใช้ Dalvik อย่างเดิมไปดีแล้วจ้า
การใช้งานแบตเตอรี่ก็ยังคงเป็นอีกเรื่องที่น่าห่วง โดยเท่าที่ผมลองแสตนด์บายเครื่องไว้ทั้งคืน ใช้งาน 3G เกือบทั้งวัน เล่น Facebook, Twitter บ้าง ฟังเพลงผ่านหูฟัง ถ่ายรูป อัพรูป มีช่วงแบตใกล้หมดที่ต่อกับ WiFi ผลก็ออกมาตามกราฟด้านบนครับ ช่วงที่กราฟนิ่งๆ คือช่วงเวลากลางคืนที่ผมแสตนด์บายเครื่องไว้ พอมากลางวันก็เสียบหูฟัง ฟังเพลงเกือบตลอด ช่วงนี้เป็นช่วงที่แบตลดเร็วมากๆ ถ้าใครที่ใช้งานจริงจังทั้งวัน น่าจะใช้งานได้ไม่หมดวันแน่ๆ ครับ ถ้ายังไง เดี๋ยวทางเราจะมีทดสอบกันอีกทีนะครับ เพื่อความชัวร์
Overall
ก็มาถึงส่วนนี่แล้วกับการสรุปรีวิว ซึ่งถ้าให้สรุปแบบสั้นๆ ที่สุด Zenfone 4.5 มันก็คือส่วนผสมกันระหว่างสเปคของ Zenfone 4 และดีไซน์ หน้าตาของ Zenfone 5 นั่นเอง ทำให้สามารถใช้งานทั่วไปได้ไหลลื่น บนหน้าจอที่ขนาดกำลังสบายตา และที่สำคัญสุดคือสบายกระเป๋า เพราะราคาซึ่งเปิดมาแค่ 3,990 บาทเท่านั้น แต่ได้มือถือจอ IPS 4.5 นิ้ว รอม 8 GB แรม 1 GB กล้อง 8 ล้าน PixelMaster แถมยังได้ใช้ Android 4.4 KitKat อีก คุ้มมากทีเดียวกับ Zenfone 4.5 ตัวนี้ จะมีปัญหาก็แต่เรื่องการจัดจำหน่ายที่มักมีของไม่พอต่อความต้องการเท่านั้นเอง ก็ต้องหวังให้มีสินค้าพอต่อการจำหน่ายซะทีนะรอบนี้
ใช้งาน Zenfone 4 อยู่แล้ว จะเปลี่ยนมาใช้ Zenfone 4.5 ดีมั้ย
ส่วนตัวคิดว่า ถ้ามีโอกาส มีเงิน การอัพเกรดมาเป็น Zenfone 4.5 ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ เพราะสเปคต่างๆ มันก็เหมือน 4 นั่นล่ะ การใช้งานจริงคงไม่แตกต่างกันมาก แต่จะได้หน้าจอที่ใหญ่ขึ้น สวยขึ้น กล้องก็ดีขึ้นมาก เสียก็แต่แบตซึ่งไม่สามารถถอดได้แล้วเท่านั้นเอง แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้เพิ่มเข้ามาก็นับว่าคุ้มกว่ามาก ทั้งยังมีราคาที่ต่างจาก Zenfone 5 โมเดลล่าสุดถึง 2,000 บาท จึงอาจจะทำให้การตัดสินใจอัพเกรดจาก Zenfone 4 มา Zenfone 4.5 ทำได้ง่ายกว่าการอัพไป Zenfone 5 อยู่พอตัว
ข้อดี
- ได้จอ IPS ความละเอียด 854 x 480 ในราคาเครื่องแค่ 3,990 บาท
- กล้องอัพเกรดขึ้นเป็น 8 ล้านพิกเซล แถมได้ฟีเจอร์ PixelMaster มาด้วย
- งานประกอบยังไว้ใจได้
- คุ้ม ในราคานี้หาตัวชนด้วยยากมาก
ข้อสังเกต
- ยังคงไม่มีไฟ LED ที่ปุ่มกดเหมือนเดิม
- หน้าจอสะท้อนแสงมากไปหน่อย ลำบากเวลาใช้งานกลางแจ้ง
- แบตเตอรี่ถอดไม่ได้
เทียบกับรุ่นอื่นๆ ในตลาด
เมื่อลองเทียบ Zenfone 4.5 กับรุ่นอื่นในตลาดที่มีราคาใกล้เคียงกัน ก็พบว่ามีรุ่นน่าสนใจตามด้านบนนี้
ถ้าดูในเรื่องของสเปค จะพบว่าส่วนใหญ่มาพร้อมกับชิป quad-core กันแทบทั้งนั้น แต่ในเรื่องประสิทธิภาพ จุดนี้ดูเหมือน Atom จะแรงกว่าอยู่นิดหน่อย แรมก็ให้มา 1 GB บ้าง 512 MB บ้าง หน้าจอก็เริ่มต้นที่ 4.5 นิ้วกันเป็นอย่างต่ำทั้งหมด แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้ Zenfone 4.5 เหนือกว่ารุ่นอื่นๆ ในช่วงราคานี้ก็เช่นกล้องหลังที่ละเอียดสุด มาพร้อมฟีเจอร์ที่ใช้งานได้จริง รอมก็ให้มาถึง 8 GB ทั้งยังได้ Android 4.4 KitKat มาตั้งแต่แรกเลยอีกด้วย 3G ก็ใช้ได้ทุกเครือข่าย นับว่าเป็นรุ่นที่ครบเครื่องสุดในช่วงราคาไม่เกิน 4,000 บาทเลยก็ว่าได้ครับ
จะมีรุ่นที่มีจุดเด่นขึ้นมาหน่อยก็คือ i-mobile i-STYLE 7.7 DTV เท่านั้น เพราะสามารถดูทีวีดิจิตอลได้ในตัว ซึ่งก็คงเป็นจุดเด่นที่หาคนมาโค่นได้ยากในด้านนี้ล่ะนะ