เชื่อว่าเพื่อนๆ ที่ใช้ iPhone, iPad จะต้องเคยประสบปัญหาสาย Lightning ขาด โดยส่วนมากก็จะขาดตรงขั้ว บางคนนี่เปลี่ยนสาย Lightning ไปประมาณ 3 – 4 สายต่อการใช้งาน iPhone 1 เครื่อง ที่สำคัญคือสาย Lightning แท้ของ Apple นี่ก็มีราคาอยู่ที่ 690 บาท
อัพเดตล่าสุด สาย Lightning ของ Apple ตอนนี้ปรับราคาเป็น 790 บาทแล้วครับ
วันนี้เราก็มีรีวิว สาย Lightning นอกค่าย Apple จาก Energea ในรุ่น ALUBLAZE โดยสาย ALUBLAZE ผ่านการรับรองมาตรฐาน MFI (Made for iPhone/ iPad/ iPod) จาก Apple คือสามารถใช้ชาร์จไฟ และใช้ Sync ข้อมูลได้ตามปกติ และใช้งานได้ดีไม่แพ้สาย Lightning แท้แน่นอน สนนราคาของ ALUBLAZE ก็จะอยู่ที่ 890 บาท แพงกว่าสาย Lightning แท้อยู่ 200 บาท ตอนนี้แพงกว่า 100 บาทเท่านั้น
แต่ราคาที่แตกต่างกัน 100 บาทนี่บอกตามตรงว่าใครใช้สายแท้ Apple แล้วทำสายแท้ขาดบ่อยๆ เนี่ย แนะนำให้ลองเปลี่ยนมาใช้ ALUBLAZE เลยครับ เอาแค่ความทนทานก็ต่างกันเยอะแล้ว เนื่องจากวัสดุของ ALUBLAZE นั้น สายด้านในทำมาจากอลูมิเนียมที่หุ้มด้วยไนลอนถัก มีความแข็งพอสมควร ตัวสาย ALUBLAZE นี่ทนทานมากครับ สามารถหักงอได้ ความยาวอยู่ที่ 1.2 เมตร (สาย Lightning ของ Apple ยาว 1 เมตร)
ALUBLAZE มีด้วยกัน 2 สี คือสีเงิน (Silver) และสีทอง (Gold) แต่สาย ALUBLAZE ที่เราได้รับมารีวิวนั้นเป็นรุ่นสีเงิน (Silver) ครับ ส่วนตัวผมว่ามันมีสีเหมือนกับสี Space Gray ของ iPhone มากกว่าแหะ
จุดเด่นอีกอย่างของ ALUBLAZE นอกจากในเรื่องความทนทาน และตัวสายที่หุ่มไนลอนถักแล้ว บริเวณขั้วสาย Lightning ของ ALUBLAZE ยังเป็นสายแบบมีไฟ LED บอกอัตราการไหลของกระแสไฟ และเป็นรุ่นเดียวที่ได้ลิขสิทธิ์จาก Apple อย่างเป็นทางการอีกด้วย
โดยไฟ LED ที่บอกอัตราการไหลของกระแสไฟฟ้านั้นมีประโยชน์มากกว่าเอาไว้โชว์เท่นะครับ เพราะมันสามารถบอกได้ว่าอแดปเตอร์ที่ใช้มีคุณภาพดีมากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นอแดปเตอร์อย่างดี (ของแท้) ไฟ LED จะวิ่งในอัตราความเร็วที่สม่ำเสมอ แต่ถ้าเป็นอแดปเตอร์ที่คุณภาพต่ำ ไฟ LED จะวิ่งช้า เร็วสลับกัน
เมื่อชาร์จเต็ม 100% ไฟ LED ตรงขั้ว Lightning ของ ALUBLAZE จะติดค้างไว้ตลอด แต่ถ้าใครกลัวว่าชาร์จตอนกลางคืนจะแสบตาเพราะไฟ LED ก็ให้จับเอาด้านที่มีไฟ LED ไว้ด้านล่างก็เท่านั้นเอง อย่าลืมนะครับว่าสาย Lightning สามารถเสียบด้านไหนก็ได้
เรื่องความทนทาน จากการที่ได้ลองใช้สาย ALUBLAZE มาเป็นเวลา 2 เดือน ด้วยความที่เขาว่ากันว่ามันทน ผมเลยใช้งานแบบไม่ถนอมเอาเสียเลย ผลก็คือ ALUBLAZE ไม่มีแม้แต่รวยขีดข่วน ต่อให้จับมันงอแล้วงออีก เป็นสายที่แข็งแรง และทนทานจริงๆ ความแข็งของสายรุ่นนี้ผมว่าถ้าแข็งอีกหน่อยคือสามารถวางตั้งตัวเครื่องได้แล้วอ่ะครับ
เอาเป็นว่าถ้าเป็นสายแท้ Apple และใช้งานแบบนี้ ผมว่าพังเรียบร้อยไปแล้ว 😛
ลองเทียบ ALUBLAZE กับสาย Lightning แท้ Apple
บอกเลยว่า ALUBLAZE เป็นสายที่งานดีกว่าสาย Lightning จาก Apple หลายขุม ทั้งความแข็งแรง ความทนทานก็ต่างกันแล้ว และเมื่อเราจับ ALUBLAZE มาเทียบกับสาย Lightning ของ Apple ก็พบว่ามันแตกต่างกันตั้งแต่ความหนาของสายเลยทีเดียว
บอกเลยว่ากระดูกคนละเบอร์ จะเห็นว่า ALUBLAZE มีสายที่หนากว่าสาย Lightning พอสมควร
ในเรื่องของความยาว ALUBLAZE ก็ยาวกว่าสาย Lightning แท้ที่แถมมากับ iPhone, iPad นิดหน่อย เพราะสายแถม Lightning แท้จะมีความยาวอยู่ที่ 1 เมตร แต่ ALUBLAZE จะมีความยาวที่ 1.2 เมตร
ส่วนใครที่สงสัยเรื่องการจ่ายไฟระหว่าง ALUBLAZE กับ Lighting Cable ของ Apple เราก็มีผลทดสอบเล็กๆ น้อยๆ มาฝากกัน
จากรูปทั้งสองรูป จะเห็นเลยว่า ALUBLAZE สามารถจ่ายไฟได้ดีกว่าสาย Lightning แท้ของ Apple แม้ว่าจะมีแหล่งพลังงานเดียวกันก็ตาม โดย ALUBLAZE จ่ายไฟที่ประมาณ 0.9 Amp แต่ถ้าเป็นสาย Lightning จะจ่ายไฟจาก Macbook Air เข้าตัวเครื่องได้แค่ประมาณ 0.8 Amp เท่านั้น
สรุปง่ายๆ ในราคา 890 บาท สาย ALUBLAZE มีจุดเด่นที่เหนือกว่าสาย Lightning แท้จาก Apple ดังนี้ครับ
- ตัวสายเป็นอลูมิเนียม ด้านนอกเป็นไนลอนถัก แข็งแรง ทนทานมากๆ
- มีไฟบอกสถานะการจ่ายไฟที่ตรงขั้ว Lightning
- ตัวสายยาวกว่าสาย Lightning ทั่วไป (1.2 เมตร)
- จ่ายไฟได้ดีกว่าสาย Lightning แท้ของ Apple
ส่วนการใช้งานกับ Powerbank เวลาพกพาไปนอกบ้าน ก็สามารถม้วนสาย ALUBLAZE ให้เหมือนกับตอนที่อยู่ในแพคเกจเพื่อให้ใช้งานร่วมกับ Powerbank ได้สะดวกยิ่งขึ้น เนื่องจาก ALUBLAZE มีจุดเด่นที่ความแข็งแรง และสามารถดัดงอได้ตามต้องการ ทำให้สาย ALUBLAZE ตอนม้วนนี่ใช้งานกับ Powerbank ได้สะดวกไม่แพ้พวกสายสั้น 15 เซนติเมตรเลยล่ะ
เอาเป็นว่า ALUBLAZE สำหรับผมแล้ว คุ้มค่ากว่าสาย Lightning จาก Apple ทุกประการ กับราคา 890 บาท ค่าส่วนต่าง 100 บาทเมื่อเทียบกับสาย Lightning แท้ของ Apple ผมพูดเลยว่าคุ้มค่ากว่าแน่นอน ใครที่ใช้สาย Lightning พังบ่อยๆ แนะนำให้ลอง ALUBLAZE เลยครับ
หมายเหตุ: ทำไมสาย Apple ถึงพังเร็ว? นั่นก็เพราะว่า Apple ได้ระบุไว้ทางหน้าเว็บไซต์ของตัวเอง เกี่ยวกับวัสดุที่เลือกใช้ในอุปกรณ์ของ Apple จะเป็นวัสดุที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ สามารถย่อยสลายได้ ทำให้ความทนทานอาจไม่เท่าวัสดุแบบปกติทั่วไป ผู้ใช้ก็ต้องดูและตัวเองเอานะครับ สั้นๆ ง่ายๆ คือ รักษ์โลก แต่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับกระเป๋าตังค์ผู้ใช้นั่นเอง